http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-03-16

ไม่มีข้าวกินก็สวดมนต์สิจ๊ะ, + ความดีเล็กๆ โดย คำ ผกา

.

ไม่มีข้าวกินก็สวดมนต์สิจ๊ะ
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1595 หน้า 89


ข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์พาดหัวว่า "วธ. ชง ครม. ให้ขรก. เข้าวัด-สวดมนต์ก่อนเข้าประชุม" www.thairath.co.th/content/pol/153769

รายละเอียดของข่าวระบุว่า นี่คือส่วนหนึ่งของภารกิจสำคัญของรัฐบาลให้การส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมของประชาชน นักเรียน นักศึกษา ให้ถือโครงการนี้เป็นตัวชี้วัดในภาพรวมของจังหวัด

ยอมรับว่า อ่านข่าวแล้วไม่เข้าใจกระจ่างนักว่า การจัดกิจกรรมกระตุ้นให้คนเข้าวัดอันกระทำผ่านสายงานของกระทรวงมหาดไทย ผ่านข้าราชการภูมิภาค แต่เป็นไอเดียของกระทรวงวัฒนธรรมนี้จะช่วยให้ประเทศไทยมีอะไรดีขึ้น นอกจากนั้น จำนวนคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรม ที่เพิ่มขึ้นเพียงเพราะการจัดตั้งผ่านระบบบริหารราชการ ซึ่งแปลว่า

- คน "จำต้อง" เข้าวัด สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ด้วยกลัวว่าจะถูกเพ่งเล็งจากผู้บังคับบัญชา

- ด้วยหวังว่าจะสร้างผลงานเพื่อได้สองขั้น เพื่อหวังความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

- เพื่อหวังสร้างผลงานแข่งขันกันว่าจังหวัดไหนจะเกณฑ์คนไปเข้าวัดได้มากกว่าจังหวัดไหน อีกทั้งการถลุงเงินไปกับการสร้างป้าย สร้างภาพโฆษณา ประชาสัมพันธ์กิจกรรม และเพื่อทำให้เกิดบรรยากาศของการเข้าวัดอันคึกคักกันขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน

- เชื่อว่าต้องมีการจัดตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านไปเกณฑ์ อสม. เกณฑ์ผู้สูงอายุ มาร่วมกิจกรรมประเภทธรรมะสัญจร หรือการสวดมนต์หมู่ให้ยิ่งใหญ่อลังการ

ทั้งหมดนี้เน้นการ "โชว์" ภาพแห่งความสำเร็จของแคมเปญในฐานะที่เป็นผลงานสำแดงต่อเจ้านาย ผู้บังคับบัญชา

ถามว่า ทั้งหมดนี้จะช่วยเสริมสร้างจริยธรรม ศีลธรรม ของประชาชนได้อย่างไร?


แน่นอนว่าหากท่านทำได้ผล มันอาจส่งผลเชิงอุดมการณ์ในระยะยาว ที่รัฐไทยสามารถผนวกเอาพุทธศาสนาแบบที่มีแต่เปลือก คือเน้นรูปแบบและปริมาณของกิจกรรมเข้ากับโครงสร้างอำนาจแบบมหาดไทย ซึมลึกเข้าไปในระบบราชการ ระบบการศึกษา ล้างสมองคนทั้งชาติผ่านการเสนอข่าวให้ครึกโครมเข้าไว้ผ่านสื่อมวลชนที่รัฐกุมเอาไว้ในมือทั้งหมด

เหล่านี้หากทำได้สำเร็จ เราย่อมได้ประชาชนไทยที่โง่และดักดานกว่าเดิมอีกหลายร้อยเท่าในอนาคต

ไม่ต้องพูดถึงว่า ทุกวันนี้คนไทยก็โดนล้างสมองจนสะอาดหมดจดมากพอที่จะทนอยู่กับระบอบเผด็จการซ่อนรูปโดยหลงคิดว่านี่คือการปกครองในแบบที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้วสำหรับคนไทย และประเทศไทย อันมีพัฒนาการทางการเมืองการปกครองที่ไม่เหมือนใครในโลกนี้

มันเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะทำความเข้าใจได้ว่าในขณะที่เกิดภาวะขาดแคลนน้ำมันพืชอย่างหนักจนถึงขั้นกำหนดโควตาการซื้อว่าครอบครัวละกี่ขวด มาจนถึงภาวะน้ำตาลทรายขาดตลาด กะทิขาดตลาด สินค้าอุปโภค บริโภค แพงขึ้นหลายเท่าในระยะเวลาอันสั้น กลับเป็นช่วงที่สื่อมวลชนของไทยเกือบทั้งหมดให้พื้นที่กับปัญหาปากท้องของคนส่วนใหญ่ในประเทศน้อยอย่างน่าใจหาย

และนายกรัฐมนตรีที่ว่ากันว่าพูดเก่ง ตระกูลดี หน้าตาดี การศึกษาดี ประกบด้วย รัฐมนตรีคลังที่มีโปรไพล์ยอดเยี่ยมไม่แพ้ตัวนายกฯ กลับรอดพ้นที่ถูกสื่อชำแหละ ถากถาง ทั้งๆนี่เป็นผลงานที่น่าอับอายที่สุด สมควรถูกตั้งคำถามต่อประสิทธิภาพในการบริหารมากที่สุด



สื่อมวลชนมีอำนาจถึงขั้นล้มรัฐบาลได้ หากเขาต้องการ และนี่ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลของอภิสิทธิ์ไม่เพียงแต่เป็นรัฐบาล "เทพประทาน" แต่ยังเป็นรัฐบาลที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่อุ้มชู และเสนอข่าวด้านลบเกี่ยวกับรัฐบาลอย่างเกรงอกเกรงใจ

ไม่เชื่อลองนึกภาพว่าภาวะขาดแคลนสินค้าอุปโภค บริโภคนี้เกิดขึ้นกับรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา ของนายเนวิน ชิดชอบ ของนายเสนาะ เทียนทอง ไม่ต้องพูดถึงว่าหากนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลทักษิณ เชื่อแน่ว่า สื่อมวลชนตัวพ่อ ตัวแม่ของวงการ คงเขียนด่ากันเมามันทุกเช้าค่ำ

และสามารถวิเคราะห์ เจาะลึก หาข่าวมาได้ว่าใครโกง ใครกักตุน ใครชั่ว ใครขายชาติ ใครระยำตำบอน ไม่นับการกดดันให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก

ทั้งจะต้องมีคนเขียนหนังสือถากถางว่า "กะอีแค่จะให้ประชาชนมีน้ำมันพืชใช้ยังไม่มีปัญญา กลับไปนอนกินนมไป๊ จะมานั่งเป็นนายกฯ เป็น รมต. คลัง เป็น รมต. พานิชย์ทำซากอะไร"



นอกจากรัฐบาลจะทำมึนๆ ไปกับปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของประชาชน ( อันเป็นปัญหาคนเดินดินอย่างเราๆท่านๆ แต่บ้านท่านนายกฯ และ รมต. ทุกคนคงมีน้ำมันพืชใช้กันไม่ขาดแคลน แต่อย่างว่า ฉันก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าคนอย่างพวกท่านที่ไม่ได้เดินดินกินข้าวแกงอย่างเรา จะรู้ว่าไข่ต้มต่างจากไข่เจียวและไข่ดาวหรือเปล่า? ) รัฐบาลชุดนี้หมดเวลาไปการทำงานเพื่อโฆษณาผลงานของตนเอง ยิ่งไม่มีผลงานจริงก็ยิ่งต้องใช้งบประมาณไปกับการโฆษณามากขึ้นเท่านั้น

จากนั้นก็วุ่นวายอยู่กับผลงานสร้างภาพประเภท ไทยเข้มแข็ง ไทยสามัคคี พร้อมไปกับการเที่ยววิ่งไล่จับกุมคนที่คิดไม่ตรงกับตนเองเข้าคุก หรือวิ่งปิดเว็บไซต์ เซ็นเซอร์หนัง

วันๆ หมดเวลาไปกับการสร้างภาพและเดินสายชี้แจงแก้ตัวหรือไม่ก็เยาะเย้ยถากถางผู้อื่น

สมมุติมีเสื้อสีขาวแล้วเปื้อนโคลน วิธีการแก้ปัญหาคือเอาเสื้อไปซัก แต่ถ้าเราส่งเสื้อตัวนี้ให้กับรัฐบาล แทนที่พวกเขาจะเอาเงินไปซื้อผงซักฟอกมาซักเสื้อ แต่เขาจะจัดแคมเปญ รณรงค์ ทำงบโฆษณาเพื่อทำให้ประชาชนเปลี่ยนความคิดให้ได้ว่า เสื้อตัวนี้ไม่เปื้อน เสื้อตัวนี้ยังขาวสะอาดดีอยู่


ส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะทำให้ประชาชนเชื่อหรือสบายใจว่าเสื้อตัวนี้ไม่เปื้อนคือ เจียดเงินไปให้เหล่านักกิจกรรมทางสังคม ให้สื่อมวลชนที่ยังดักดานเชื่อว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง ปล่อยให้คนเหล่านี้เอาเงินไปทำโครงการ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนพัฒนา ปฏิรูปจิตสำนึกสื่อ อบรมเด็กและเยาวชนให้รักสิ่งแวดล้อม

ทำรายการโทรทัศน์เชิดชูภูมิปัญญาท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน สร้างนักข่าวพลเมืองเพื่อให้ดูเหมือนว่า กำลัง empower คนธรรมดาสามัญให้ได้ "เปล่งเสียง" ออกสู่สาธารณะ

นั่นแปลว่า ปัญหาเรื่องปากท้อง เรื่องของแพงมันเป็นปลายเหตุ ดูสิ รัฐบาลกำลังพยายามแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยมีราษฎรอาวุโสคอยออกมากรอกหูพวกเราว่า "ก่อนอื่นเราต้องทำให้คนจนมีศักดิ์ศรีก่อนนะค้าบบบ"

คนเหล่านี้เชื่อว่าตนเองมีความคิดที่ก้าวหน้ากว่าไอ้พวกคนเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยแบบตัวแทนและการเลือกตั้ง จากนั้นก็เรียกการเลือกตั้งตั้งว่าเป็นประชาธิปไตยสามสิบวินาทีเพียงชั่วกากบาท อายุสั้นยิ่งกว่าจุดสุดยอด ประชาธิปไตยอยู่ที่เนื้อหา ดังนั้น แม้ไม่มีการเลือกตั้งแต่มีสำนึกอันเป็นประชาธิปไตยอันอาจเล็งเห็นได้ผ่านวิถีชีวิต และการจัดการปัญหาความขัดแย้งในชุมชนอย่างแยบคายผ่าน "ผู้นำตามธรรมชาติ" ที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง ก็ถือว่าเป็นประชาธิปไตย สุดยอดของกระบี่ไม่ต้องมีดาบฉันใด สุดยอดของประชาธิปไตยก็ไม่ต้องมีการเลือกตั้งฉันนั้น เพราะประชาธิปไตยมันอยู่ที่ใจเว้ยยย!

เพราะฉะนั้น จึงเข้าทางรัฐบาลที่มาจากการอุ้มสม ก็แค่โยนเศษเนื้อ เอ๊ย เศษเงินให้พวกปัญญาชนที่คิดว่าตนเองไปไกลกว่าชาวบ้านร้านช่องเพราะมีตาทิพย์มองเห็นจิตสำนึกประชาธิปไตยในหัวใจคนไทยได้โดยไม่ต้องง้อการเลือกตั้ง ไปจัดกิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตยในหมู่บ้าน ประชาธิปไตยทางเลือก ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และอีกทุกประเภทของประชาธิปไตยยกเว้นการเลือกตั้งเท่านั้นที่ปัญญาชนเหล่านี้ไม่ศรัทธา

น่าตระหนกว่า คนดี มีศีลธรรม คนหัวก้าวหน้า คนที่รักชาวบ้าน รักธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร รักมนุษย์ เหล่านี้ ไม่เคยมีสักครั้งที่พวกเขาออกมาเรียกร้องให้มีการแสวงหาความยุติธรรมให้กับการสังหารหมู่ในใจกลางเมืองหลวงครั้งแล้วครั้งเล่าในประวัติศาสตร์ไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งล่าสุดที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม

พวกเขาไม่เคยเลยสักคำที่จะบอกว่า รัฐบาลบกพร่องอย่างยิ่งยวดในการปกป้องชีวิตของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตามที่ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ล้อมปราบครั้งนี้ พวกเขาไม่เคยตั้งคำถามกับโวหารอำมหิตอย่าง "กระชับพื้นที่" หรือ "ขอคืนพื้นที่"

ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะทำงานกับรัฐบาล รับเงินจากรัฐบาล และปกป้องรัฐบาล โดยแหย่ขาอีกข้างไว้กับสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "ความเป็นกลาง", "ไม่ด่วนตัดสิน เพราะศาลยังไม่ตัดสินว่าใครฆ่า", "ปัญหาการเมืองมันซับซ้อนกว่าที่พวกเรารู้", "พวกคุณไม่รู้หรือว่าคนอื่นเขาก็ทำงานเหมือนกัน เพียงแต่เขาไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ ไม่ต้องมาเดินเรียกร้องบนถนน"

หรือ "มันจะดีกว่าไหม ถ้าทุกคนกลับบ้าน ไปทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เลิกด่าคนอื่น แล้วลงมือทำอะไรเสียที"



เมื่อจัดการกับปัญญาชนที่มีอิทธิพลกับชนชั้นกลางที่มีการศึกษา (กลุ่มคนที่มีสำนึกดีทุกอย่างตั้งแต่ ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ศาสนา จิตวิญญาณ ฯลฯ ยกเว้นเรื่องประชาธิปไตยกับการเลือกตั้ง) ได้จนอยู่หมัดแล้ว

รัฐบาลก็มาโหมจัดการสยบข้าราชการทุกระดับมิให้มีเวลาในการทำงาน หรือ มีความคิดเป็นของตนเอง ด้วยการกระชับความสามารถในการทำงานของสมองด้วยการกระตุ้นให้คนเหล่านี้หมดเวลาไปกับการทำป้าย การเลียเจ้านาย ผู้บังคับบัญชา การรับแขก การประชาสัมพันธ์ การระดมคนเข้าร่วมกิจกรรมพิธีที่ทางอำเภอและจังหวัดผลัดกันจัดให้ถี่เข้าไว้

ผลก็คือ ข้าราชการเหล่านี้จะไม่มีเวลาไปทำงานในหน้าที่ของตนเองที่พึงจะทำ เช่น ข้าราชการที่พึงทำบัญชี อาจจะได้ทำบัญชีแค่เดือนสักสิบวัน อีกสิบวันหมดไปกับการเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางรัฐบาลสรรหามาให้ทำ

ลำพังงานบุญ งานบวช งานบอล งานรำวง งานวันเกิดเจ้านายตั้งแต่ใหญ่สุดมาจนถึงเล็กสุดก็เหนื่อยและไม่มีเวลาคิด เขียน อ่าน

ส่วนการทำงานประจำวันก็สักแต่ทำไปตามความเคยชินอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงดูเหมือนว่ายิ่งทำงาน สมองก็จะยิ่งฝ่อลงไปเรื่อยๆ เพราะงานในหน้าที่ก็ไม่มีเวลาฝึกฝน

ครั้นจะหาความรู้รอบตัวบ้างก็มีเวลาอ่านหนังสือน้อยเหลือเกิน เมื่อเป็นดังนี้ ข้าราชการจึงมีโอกาสที่จะลุกขึ้นเป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจรัฐได้ยากอย่างยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงการรู้เท่าทันการล้างสมองที่ดำเนินโดยรัฐผ่านสื่อที่รัฐควบคุมทุกฝีก้าว



ไอเดียสวดมนต์ทุกเช้าค่ำ ไปวัดทุกวันพระ ทุกวันอาทิตย์ ตอกย้ำในเนื้อหาข่าวด้วยการบอกว่าต้อง "คุมเข้มทุกส่วนราชการ" พร้อมปฏิบัติการร่วมกันทั้งมหาดไทย กองทัพบก และกระทรวงวัฒนธรรม ก็คงเป็นแค่อีกหนึ่งในหลายๆ โครงการของรัฐบาลที่ต้องการสกัดกั้นการเติบโตทางสติปัญญาของกลไกลรัฐ โดยใช้ประเด็นทางศีลธรรมและจริยธรรมมาบังหน้า เพราะใครหน้าไหนจะกล้าลุกขึ้นมาบอกว่า การสวดมนต์ไม่ดี การไปวัดไม่ดี การฟังธรรมไม่ดี การปฏิบัติธรรมไม่ดี

อย่างไรก็ตาม เราก็ลืมที่จะถามต่อไปว่า การนับถือศาสนา การปฏิบัติตนตามศาสนาที่ตนเองนับถือ ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลจะเข้ามา "จัดตั้ง" ทว่าเป็นไปด้วยความสมัครใจ และประชาชนแต่ละคนย่อมมีวิถีแห่งการปฏิบัติ วิถีแห่งความเชื่อ ไปจนถึงวิถีที่จะไม่เชื่อแตกต่างกันต่อไป รัฐพึงมีหน้าที่ปกป้องสิทธิที่จะไม่เชื่อ หรือสิทธิที่จะไม่ทำอย่างที่คนอื่นทำ ตรงกันข้าม รัฐไม่มีหน้าที่มาสั่งให้ประชาชนทำในสิ่งที่รัฐเห็น (โดยไม่ปรึกษาใคร) ว่านี่คือสิ่งที่ทุกคนพึงทำอย่างไม่บิดพลิ้ว

หากเรายังอยู่กับรัฐบาลที่มีงานหลักคือล้างสมองประชาชนแล้วละก็ ในอนาคตพวกเราคนไทยคงมีคำขวัญประจำชาติว่า "ไม่มีกินไม่เป็นไร สวดมนต์เข้าไว้ ชาติไทยแข็งแรง"



++

บทความปีที่แล้ว ( 2553 )

ความดีเล็กๆ
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1579 หน้า 91


วันนี้ดาวพระศุกร์มีนัดกับน้องทัดดาวเช่นเคย หลังจากไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน ตั้งแต่ดาวพระศุกร์หันหน้าเข้าหาธรรมมะ รู้สึกว่าจิตใจแช่มชื่น ชีวิตที่เคยว่างๆ โหวงก็ได้รับการเติมเต็ม เริ่มละความรัก โลภ โกรธ หลงได้บ้าง

เมื่อวันก่อนอ่านสัมภาษณ์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านก็พูดได้จับใจ และดาวพระศุกร์ก็เห็นด้วยจังเลยว่า ในบรรดา รัก โลภ โกรธ หลงเนี่ยะ ความโกรธเป็นสิ่งที่ละได้ยากที่สุดแล้ว

แม้แต่ความรักดาวพระศุกร์ยังทำใจได้ พี่ภาคย์ไปมีเมียน้อยคนที่ร้อยแล้วมั้ง ดาวพระศุกร์ยังปลง ตราบใดที่ทรัพย์สมบัติทั้งหมดยังเป็นของดาวพระศุกร์ และไม่มีทรัพย์สินใดกระเด็นไปหาอีกะหรี่หน้าด้านพวกนั้น

ชิ! ดาวพระศุกร์ก็จะนั่งเป็นเมียหลวง เริ่ดๆ เชิดๆ อยู่อย่างนี้แหละ ขออย่างเดียวเวลานิตยสารมาถ่ายรูป สัมภาษณ์ พี่ภาคย์ต้องมาทำท่ารักเมียออกสื่อ

ขอเท่านั้นแหละ

ผู้ใหญ่ท่านนั้นบอกว่า ความโกรธละยากและสิ่งที่ทำให้ท่านโกรธได้มากที่สุดคือ "มนุษย์" โอ้!!! มันคมบาดหัวใจดาวพระศุกร์มาก

เพราะดาวพระศุกร์แชร์อารมณ์นั้นกับท่านได้เลย

ทุกวันนี้มีแต่พวกแม่บ้าน คนใช้ แม่บ้าน คนสวน นี่แหละที่ทำให้ดาวพระศุกร์ต้องโมโห จิตใจขุ่นมัว ที่ดาวพระศุกร์ยังไม่สามารถควบคุมตนให้มีปิยวาจาได้ตลอดเวลา ต้องมีด่า มีบริภาษ มีตะคอก มีกรี๊ด มีกระทืบเท้าบ้าง ก็เพราะอีนังคนใช้ทั้งหลายที่อู้งาน พูดไม่รู้เรื่อง ขี้เกียจ สันหลังยาวพวกนี้แหละ

เฮ้อ เดี๋ยวแม่ไล่ออกให้หมด

เมื่อไหร่คนชั้นต่ำพวกนี้จะมีปัญญาเท่ากับมนุษย์มนาธรรมดาเค้าบ้าง ถ้าไม่มีคนเหล่านี้คอยกวนใจ ป่านนี้ดาวพระศุกร์อาจได้เข้าใกล้ภาวะนิพพานอะไรกับเขาบ้าง

แต่ผู้ใหญ่ท่านนั้นคงไม่ได้คิดง่ายๆ เหมือนดาวพระศุกร์ ท่านเป็นคนฉลาด ลึกซึ้ง ที่ท่านว่า มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ทำให้ท่านโกรธ เพราะท่านตระหนักในความบกพร่องของมนุษย์ในฐานะที่ท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

ถึงที่สุดแล้วอาจเป็นตัวท่านเองที่ทำให้ตัวเองโกรธมากที่สุด

เอ๊ะ ซับซ้อนมากไปหรือเปล่าเนี่ยะ? เรื่องยากๆ แบบนี้เดี๋ยวไปเอาถามน้องกะทิดีกว่า แต่ดาวพระศุกร์ว่าท่านพูดในฐานะที่ท่านศึกษาธรรมะจนเข้าถึง จนมีสภาวะที่สูงส่งเหนือมนุษย์ จึงมองลงมายังมวลมนุษย์ด้วยความสังเวชว่า พวกมึงช่างน่าขัน ช่างน่าเย้ยหยัน ที่ยังติดกับดัก รัก โลภ โกรธ หลง ยังไม่ยอมแก้ผ้า เอ๊ย ยังไม่ถอดหมวก ยังยึดติด ในลาภ ยศ สรรเสริญ

หารู้ไม่ว่า อำนาจนั้นมีได้ก็เสื่อมได้ ชัยชนะได้มาแล้วก็เสื่อมสลาย ไม่มีอะไรอยู่ยั้งยืนยง ประชาธิปไตยก็แค่ความคิดนามธรรมอันหนึ่ง จะไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกับมันนักหนา แถมได้มาแล้วไม่รู้ว่าเป็นของปลอมหรือของจริง

พวกมนุษย์ขี้เหม็นช่างน่าสงสารที่ต้องมาต่อสู้ บาดเจ็บ สิ้นชีพกันเพื่ออุดมการณ์ พวกนี้หากหันมาศึกษาธรรมะเสียบ้าง โลกใบนี้จะน่าอยู่ ร่มเย็น ขึ้นอีกมหาศาล

ดาวพระศุกร์เสียดายที่สมัยก่อนไม่เคยติดตามผลงานของท่านเลย เพราะเข้าใจว่าท่านเป็นคอมมอนก คอมมูนิดอะไรนู่น พ่อแม่ก็ห้ามนักหนาว่าอย่าไปยุ่ง อย่าไปอ่านหนังสือของคนพวกนี้ เพราะคนเหล่านี้มันจะมาทำลายบ้านเมืองของเรา เป็นพวกไม่มีศาสนา

ดาวพระศุกร์เสียใจที่มองท่าผิดไป แต่ก็ไม่แน่ ในวันเวลาที่ยังเยาว์ เหงา และทึ่ง (ไม่รู้อึ้ง และ เสียวด้วยหรือเปล่า) ท่านอาจจะเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แต่วันนี้ที่ท่านได้พบกับธรรมมะ ท่านก็ได้พบกับความสว่าง สงบ ใบหน้าท่านก็อิ่มเอิบ ดวงตาก็เปล่งประกายความเมตตา ท่านได้ตาสว่างแล้วว่า อุดมการณ์ทางการเมืองใดๆ ก็ตามมันก็แค่สิ่งสมมุติ ไม่ใช่สัจธรรมดังคำสอนของพระพุทธเจ้า

หมดยุคของ angry young man แล้ว ดาวพระศุกร์ภูมิใจในตัวเองจังที่ไม่เคยต้องเป็น angry young woman เพราะมีวุฒิภาวะสูงมาโดยตลอด ไม่เคยเห็นด้วยกับการไปเย้วๆ เรียกร้อง นั่น นู่น นี่



ความยุติธรรมมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากพวกเราคนตัวเล็กๆ ไม่เริ่มทำความดีเล็กๆ ไม่เริ่มจากการรักคนเล็กๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เฮ้อ วันนี้ดาวพระศุกร์รู้สึกดีจังเลย

"คุณพี่ขา" ทัดดาวส่งเสียงทักทายร่าเริงมาแต่ไกล แหม อุตส่าห์ เข้าวัดเข้าวา จริตกริยาไม่สำรวมเอาเสียเลย ดาวพระศุกร์ตำหนิเพื่อนในใจด้วยความเอ็นดูมากกว่าจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

"คุณพี่! น้องมีอะไรจะมาอวด" ทัดดาวเดินเข้ามาในเดรสแบบเบบี้ดอลสั้นแค่เข่าสีขาว ชุดเก๋ๆ เรียบๆ แบบนี้ต้องเป็นของพราด้าแน่ๆ

"อะไรจ๊ะ แล้วนี่เพิ่งกลับจากวัดเหรอ"

"ไม่ใช่ค่ะ แต่เพิ่งไปฟังทอล์ก โชว์ เอ๊ย การบรรยายของท่านวชิรา โอ๊ย ฟังแล้วอิ่มอกอิ่มใจ ท่านสมกับเป็นพระรุ่นใหม่ พูดจาฉลาดเฉลียว ธรรมะที่ว่ายากๆ ท่านย่อยซะง่ายเชียวค่ะ ฟังปุ๊บ สว่างวาบ ตื่น ตระหนักรู้ ทันที พี่ดาวพระศุกร์คิดดูสิ ท่านบอกว่า คนเราต้อง

รู้จัก "เอ๊ะ" ใครพูดอะไรมาเราต้อง "เอ๊ะ" ก่อน เพื่อจะได้คิด ไม่หลงเชื่อทันที ฟังแล้วกรี๊ดเลยค่ะ มันโดน!"

"ใช่ๆ พี่ก็ชอบท่านมาก นี่เป็นแฟนทวีตของเท่านเลยนะ ว่าแต่ว่า น้องทัดดาวฟังคำสอนของท่านแล้วรู้สึก "เอ๊ะ" บ้างหรือเปล่า" ดาวพระศุกร์อมยิ้ม

"แหม พี่ดาวพระศุกร์ เราจะไปอ๊ง เอ๊ะ อะไรกับท่านละคะ ท่านคมถึงปานนั้น ทวีตท่านน่ะมีพลังมากเลย สั้นๆ แต่กินความกว้าง ล่าสุดท่านสอน โลกนี้กว้างใหญ่สำหรับคนใจกว้าง โลกนี้อ้างว้างสำหรับคนใจแคบ" เป็นไงกรี๊ดไม๊คะ คมมากกกกกกกกก อ่านแล้วบรรลุ อะไรจริงอะไรไม่จริง ถ้าท่านไม่บอก เราก็ไม่รู้นะคะเนี่ยะ สัจธรรมลึกซึ้งขนาดนี้"

"แล้วที่ว่ามีของมาอวด เอาอะไรมาอวดจ๊ะ?"

ทัดดาวอมยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะล้วงวัตถุหนึ่งออกมาจากกระเป๋า

"แถ่น แทน แท้นนนนนน...กระเป๋า ชาแนลใบใหม่สีขาวค่ะคุณพี่"

"ต๊ายยยยย สวยจังเลยค่ะน้อง"

"แหม น้องก็ได้แรงบันดาลใจจากคุณพี่ คราวก่อนที่ไปวัดคุณพี่ถือหิ้ว ดิออร์สีขาว กับชุดปฏิบัติธรรมสีขาว สวยสว่าง เจิดจรัสมาก น้องเลยไปถอยชาแนลสีขาวใบนี้มา ทีนี้เวลาไปวัดเราสองคนต้องวิ้ง วิ้งกว่าใครแน่เลย"

"ช่าย แต่หน้าก็ต้องแจ่มนะคะ น้อง เวลาไปวัด ต้องลงรองพื้นกับลิปกลอสให้เนี้ยบจริง วิ้งจริง แต่งหน้าแบบสวยใส อิ่มบุญเนี่ยะต้องเนียนค่ะ ยากกว่าแต่งแบบธรรมดาที่เราแต่งกันทุกวัน ว่าแต่ว่า พี่ได้ข่าวคุณน้องไปช่วยน้ำท่วมมาเหรอจ๊ะ"

"ใช่ค่ะ แหม เหนื่อยสุดๆ ถึงต้องมาถอยชาแนลใบใหม่เป็นรางวัลให้ตัวเอง" ทัดดาวหน้าเศร้าไปทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

"คุณพี่ขา ชาวบ้านที่โดนน้ำท่วมน่าสงสารมาก บางคนติดอยู่ในบ้านไม่มีข้าวกิน พวกเราเอาอาหาร เอาของไปบริจาคเนี่ยะ ยังกะเป็นนางฟ้ามาโปรดเลยค่ะ มือไม้พวกเขาที่ยื่นมาขออาหารจากเรา เฮ้อ น้องไม่อยากนึกภาพเลย มันเป็นภาพที่น้องสะเทือนใจมาก ที่สำคัญนะคะ คุณพี่ แม้เราจะรู้ว่า คนเหล่านี้อาจจะเป็นคนที่เคยมาชุมนุมในกรุงเทพฯ ที่เราเคยกลัว เคยเกลียด เคยสาปแช่ง แต่วันนี้..." ทัดดาวกลั้นก้อนสะอื้นก่อนจะพูดต่อ

"แต่วันนี้ ทัดดาวรู้เลยว่า เราต้องให้อภัยเขา พวกเขาก็คือคนไทยเหมือนๆกันกับเรา วันนี้พวกเขาตกทุกข์ได้ยาก เราต้องลืมความโกรธ ความเกลียด พวกเขาก็คงได้คิดนะคะว่า ในเวลาที่พวกเขาประสบทุกพิขภัย คนกรุงเทพฯ ไม่เคยทอดทิ้งพวกเขาเลย พวกเราบริจาคเงินกันอย่างไม่คิดชีวิต มาม่า ปลากระป๋อง ผลิตไม่ทันเลยนะคะ ธารน้ำใจของพวกเรามันทะลักยิ่งกว่าน้ำที่ทะลักออกมาท่วมบ้านเรือน เรือกสวน ไร่นาของพวกเขาเสียอีก...ทัดดาวอยากให้ดาวพระศุกร์ไปเห็นแววตาของพวกเขาหลังจากที่ได้ของบริจาคจากเรา ทัดดาวเองขนลุก ตัวสั่นไปหมดเลยค่ะ ไม่คิดว่าความดีง่ายๆ ที่เราทำ มันจะส่งผลสะเทือนยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น"


"แต่ถ้ามองแบบพุทธ นี่อาจจะเป็นกรรมเก่าของพวกเขาก็ได้นะคะน้อง พี่ไม่อยากจะรื้อฟื้นความหลังอะไร แต่พี่เชื่อว่า บุญกรรมมีจริง

อีกอย่างนี่อาจเป็นการลงโทษของธรรมชาติ พวกเราที่เป็นมนุษย์พยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ พร่าผลาญทรัพยากร ชาวนาทิ้งวัว ทิ้งควาย มาใช้ควายเหล็ก แทนการลงแขกก็ใช้รถเกี่ยวข้าว แล้วเป็นไงล่ะ วันนี้ธรรมชาติสอนพวกเขาและพวกเราด้วยว่า พวกเราน่ะ ไม่มีวันเอาชนะธรรมชาติได้หรอก"

"จริงค่ะ คราวนี้มนุษย์จะได้เข็ดหลาบกันเสียทีและตระหนักว่า มนุษย์นั้นช่างกระจ้อยร่อย อย่าบังอาจที่ขู่เข็ญธรรมชาติอีกต่อไป วันนี้ธรรมชาติหรือธรรมะ ท่านก็ได้ให้บทเรียนแก่เราแล้ว แต่...เอ๊ะ... ทำไมวันนี้บ้านคุณพี่ร้อนจัง ลืมเปิดแอร์หรือเปล่าคะ?"

"นั่นน่ะสิ พี่ก็ว่าร้อนๆ ลืมเปิดคงไม่ลืมเพราะพี่กำชับแม่บ้านพี่นักหนาว่าห้ามปิดแอร์เด็ดขาด แต่มันก็ดื้อเหลือเกิน พี่สั่งแล้วสั่งอีกว่า อุณหภูมิในบ้านต้องไม่สูงกว่ายี่สิบองศา ไม่อย่างนั้น กระป๋ง กระเป๋า ข้าวของพี่พังหมด กระเป๋าแบรนด์เนมพวกนี้ต้องอยู่ห้องแอร์ตลอด แต่คนใช้ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก มันชอบมาปรับแอร์พี่เป็นยี่สิบห้าองศา มีแต่พวกบ้านนอกน่ะสิ เปิดแอร์ยี่สิบห้าองศา กลัวเปลืองไฟ"

"เกิดเป็นคนกรุงเทพฯ อย่างเราก็ถือว่ามีบุญนะคะ คุณพี่ ถึงจะมีวิกฤติการเมือง มีคนโง่ๆ มาเผาบ้านเผาเมืองอะไรบ้าง แต่พวกเราก็ผ่านพ้นมันมาด้วยดี ขอบคุณรัฐบาลที่ประคับประคองประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ แถมพวกเราไม่เจอภัยธรรมชาติ คุณพี่คิดดู กรุงเทพฯ เป็นที่ลุ่มขนาดนี้ น้ำยังไม่ท่วม ไม่เรียกว่าพวกเราทำบุญมาเยอะจะเรียกว่าอะไร น้ำไฟก็พร้อม สิ่งอำนวยความสะดวกก็เพียบ เหลือแต่ว่าพวกเราจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านเขามีบทเรียน มีจิตสำนึกและได้เรียนรู้อะไรอย่างเราเท่านั้นเอง"

"ก็นี่แหละค่ะ พี่ว่าจะไปช่วยหลวงพี่ทำโครงการเกษตรอินทรีย์ อบรมเกษตรกร พยายามเปลี่ยนให้พวกเขาหันมาทำเกษตรธรรมชาตินะคะ ทำการเกษตรที่เคารพดิน เคารพน้ำ หยุดทำร้ายธรรมชาติกันเสียที"

"ดีจังเลยค่ะ น้องสนับสนุนคุณพี่เต็มที่อยากให้น้องช่วยทำอะไรบอกมาเลยนะคะ"

"นี่แหละค่ะ พี่อยากบอกทุกคนจังเลยว่า แทนการเข้าไปเปลี่ยนระบบโครงสร้างอะไรที่มันใหญ่โต ทำไมเราเริ่มต้นที่การทำความดีเท่าที่เราทำได้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เราเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็กๆ ที่อยู่รอบตัวเราก่อน ทำให้คนรอบตัวเรา คนใกล้ตัวเรามีความสุข แล้วทุกอย่างมันจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ไม่จำเป็นต้องไปพูดเรื่องการเมือง ไปเปลี่ยนแปลงการเมือง นักการเมืองไม่ว่าหน้าไหน จะเลือกตั้งกี่ครั้ง มันก็เลวได้เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม ไปเย้วๆเปลี่ยนแปลง แก้ไขโครงสร้าง ระบอบการเมือง แต่ตัวเองไม่เคยแม้แต่จะทำความดีง่ายๆ อย่างไปช่วยน้ำท่วม คนเหล่านี้ไม่รู้จักละอายใจกันเลยหรือไง"

"ต๊าย คุณพี่ขา ฟังคุณพี่พูดแล้วน้องน้ำตาจะไหล ถูกใจน้องจริงๆ อีพวกที่เรียกร้องนู่น นั่น นี่ ความยุติธรรม น้องเห็นพวกมันก็นั่งชิลจิบไวน์ พวกเราเสียอีก ออกไปย่ำน้ำ ลุยโคลน นั่ง ฮ. ทำอาหาร ไปช่วยชาวบ้านถึงที่ เฮ้อ... อ้อ วันนี้ตอนที่รอกระเป๋าชาแนล น้องได้อ่านบทความที่พูดถึงบทสัมภาษณ์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซาบซึ้ง สะเทือนใจมาก อ่านแล้วเต็มตื้นอยู่ในใจ"

"เหรอ ว่าไงจ๊ะ"

"ท่านบอกว่าความดี อย่ามาวัดกันว่าทำเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ อย่างท่านมีความสุขกับการช่วยสัตว์เลื้อยคลานข้ามถนน แค่เห็นสัตว์เล็กปลอดภัย หัวใจท่านก็อิ่มเอิบ น้องอ่านแล้วน้ำตาจะไหลอีกแล้วค่ะ ท่านได้ชี้ให้เราเห็นถึงภาวะถ่อมเนื้อถ่อมตนในการทำความดี ความดีอันเงียบเชียบ เหมือนจะไร้ความหมายสำหรับมนุษยชาติ ทว่า มันเบิกบาน อิ่มเอิบ เติบโตอยู่ในใจ อันนี้มันยิ่งกว่าปิดทองหลังพระอีกนะคะคุณพี่ มันลึกมาก มันซึ้งมากมายเลย"

"โอ้ว คุณน้องขอพี่กอดหน่อย วันนี้เรามีไอดอลคนเดียวกันเลย"

ดาวกระศุกร์และทัดดาวกอดกันกลม

ในใจท่ามท้นไปด้วยปิติแห่งกัลยาณมิตร



.