http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-03-17

ปราสาทนกหัสดีลิงค์ โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์

.
ปราสาทนกหัสดีลิงค์ ปลงศพเจ้า เผาศพพระ
เมื่อชาวล้านนา-ล้านช้างถูกกระชับพื้นที่
โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ คอลัมน์ ปริศนาโบราณคดี
ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1593 หน้า 75


หากใครมีโอกาสสัมผัสดินแดนล้านนา บางสถานที่และบางจังหวะเวลา ซึ่งไม่บ่อยนัก ท่านอาจพบกับขบวนคนชุดดำปิดถนนนับพันมีพระสงฆ์นำหน้าเดินจูงลาก "ปราสาทศพนกหัสดีลิงค์" ไปตามท้องถนนจากวัดสำคัญมุ่งหน้าสู่สุสานหลวง

ชาวล้านนาเรียกฉากนี้ว่า พิธีส่งสการ หรือพิธีประกาศคุณความดีของผู้มีบุญญาธิการที่ได้สั่งสมไว้ชั่วชีวิต ให้กลับคืนไปเสวยสุขบนหล้าสรวง

โดยใช้นกหัสดีลิงค์ทำหน้าที่เป็นดั่ง "ภูตทูต" อัญเชิญดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ไปสู่ปรโลก


นกหัสดีลิงค์
ทูตสวรรค์จากแผ่นน้ำสู่แผ่นดิน
และจากแผ่นดินสู่แผ่นฟ้า

บนแผ่นดินล้านนารู้จักสัตว์ในจินตนาการชนิดนี้มาตั้งแต่ยุค 1,400 ปีก่อน

ชื่อของนกหัสดีลิงค์ปรากฏในตำนานการสร้างนครหริภุญไชย ว่าเหล่าฤๅษีทั้งสาม (วาสุเทพฤๅษี สุกทันตฤๅษี และอนุสิสฤๅษี) ที่ช่วยกันวางรากฐานเมืองลำพูน ได้เรียก "นกหัสดีลิงค์" ออกมาจากป่าหิมพานต์ ให้ทำหน้าที่บินไปคาบ "หอยสังข์" (สัญลักษณ์หนึ่งในสี่สวัสดิมงคลของพระนารายณ์ ประกอบด้วย ดอกบัว สังข์ จักร คทา แทน ดิน น้ำ ลม ไฟ) จากห้วงมหาสมุทร เพื่อนำมาใช้เป็นต้นแบบในการสร้างเมืองลำพูน

เหล่าฤๅษีใช้ไม้เท้าขีดเส้นเขตแดนเมืองตามขอบรูปร่างของหอยสังข์นั้น กลายเป็นแผ่นดินที่พูนนูนขึ้นตอนกลางคล้ายกระดองเต่า และมีน้ำล้อมรอบ อันเป็นที่มาของผังเมืองโบราณยุคทวารวดีที่มีอายุเกินพันปีมักมีรูปยาวรีแบบหอยสังข์ซึ่งเชื่อว่าเป็นผังเมืองที่จะทำให้ผู้อาศัยมีความสมบูรณ์พูนสุข

เห็นได้ว่า "นกหัสดีลิงค์" ทำหน้าที่เสมือนดั่งทูตสวรรค์ที่ได้นำ "หอยสังข์" จากท้องสมุทรามาสู่ผืนแผ่นดิน มีบทบาทในฐานะผู้กำเนิดฐานรากหรือผู้วางผังเมืองให้แก่หริภุญไชยนคร

แล้วนกหัสดีลิงค์ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับพิธีส่งสการศพชาวล้านนาได้อย่างไร จากทูตที่เคยทำหน้าที่เชื่อมมหาสมุทรเข้ากับแผ่นดิน กลายมาเป็นทูตที่เชื่อมแผ่นดินเข้ากับแผ่นฟ้าด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่



นิยามและความหมายแห่งนกหัสดีลิงค์

นกหัสดีลิงค์ ปรากฏนามตามภาษาบาลีว่า "หตฺถิลิงฺคสกุโณ" มาจากคำสามคำสมาสกัน สามารถแยกเป็น หัตถี+ลิงค์+สกุโณ (หัตถี หมายถึง ผู้มีมืออันโดดเด่นขนาดใหญ่ ซึ่งก็คือ งวงของช้าง, ลิงค์ แปลว่า การแสดงเพศ และ สกุโณ แปลว่า นก) เช่นเดียวกับภาษาสันสกฤต หัสดิน + ลิงคะ แปลว่า นกที่มีงวงอันโดดเด่น ภาษาไทยใช้ว่า นกหัสดีลิงค์ ชาวล้านนานิยมเรียกชื่อย่อว่า "นกหัส" หรือไม่ก็ "นกงางวง"

นกหัสดีลิงค์ จากคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท ภาค 2 กล่าวว่าเป็นนกขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ มีลักษณะผสมของสัตว์สี่ชนิดดังนี้ ลำตัวเป็นนก ใบหน้าเป็นสิงห์ จะงอยปากเป็นงวงช้างเขี้ยวหน้าเป็นงา มีหางเป็นหงส์ มีพละกำลังดั่งช้างเอราวัณ 3-5 เชือกรวมกัน

เรื่องราวของนกหัสดีลิงค์พบในวรรณกรรมหลายเรื่อง เช่น นิทานอาหรับราตรี เรียกว่า "นกกินช้าง" โดยวาดภาพประกอบหนังสือเป็นนกยักษ์หน้าตาคล้ายนกอินทรีย์เฉี่ยวเอาช้างไปกินหลายตัว

ส่วนในนิทานชาดกของศาสนาพุทธ ก็มีการกล่าวถึงนกหัสดีลิงค์หลายครั้ง เช่น ตอนพระเจ้าอุเทนผู้ทรงบุญญาบารมี ก่อนพระองค์จะทรงประสูตินั้น พระมารดาถูกนกหัสดีลิงค์คาบขณะทรงพระครรภ์แก่โดยบินโฉบเอาไปวางไว้ในระหว่างคาคบไม้ไทร ครั้นพระนางปรบมือร้องตะโกน นกตกใจบินหนีพระนางจึงลงจากคาคบไม้ แล้วประสูติพระโอรสในขณะที่ฝนตกฟ้าร้อง จึงขนานนามพระโอรสว่า อุเทน แปลว่ากึกก้องกัมปนาท

เห็นได้ว่า "นกหัสดีลิงค์" เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งในศาสนาพุทธและพราหมณ์จนถึงโลกอาหรับ โดยเฉพาะประเทศอินเดียนั้นมีเมืองโบราณหนึ่งชื่อ "หัสดินปุระ" ทำรูปนกหัสดีลิงค์ที่ซุ้มประตูทางเข้าเมือง ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นกรุงนิวเดลี



การปลงศพด้วยลม นกแร้ง สู่พิธีส่งสการ

พิธีกรรมปลงศพของทั่วโลก เริ่มจากแนวคิดพื้นฐานเรื่องธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ

ปลงศพด้วยดิน เป็นการฝังศพด้วยโครงกระดูกมนุษย์นอนเหยียดยาว สืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จวบปัจจุบันศาสนาหลักๆ ของโลกยังคงมีวัฒนธรรมการปลงศพด้วยวิธีนี้อยู่ ทั้งศาสนาคริสต์ อิสลาม ขงจื๊อ

ปลงศพด้วยน้ำ คือการลอยศพในแม่น้ำลำคลอง เริ่มจากศาสนาฮินดูนั่นคือให้พระแม่คงคาอันศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าที่ชำระศพให้บริสุทธิ์ ไปจนถึงการลอยเถ้าอังคารใส่หม้อกระดูกของชาวพุทธ

ปลงศพด้วยลม คือการโยนศพขึ้นสู่ฟ้าหรือกลางป่า ให้เหยี่ยวหรือแร้งคาบไปกิน

ปลงศพด้วยไฟ คือการเผาตามคติของพุทธศาสนาให้เกิดการดับสูญซึ่งกายเนื้อ

จะว่าไปคติการปลงศพด้วยลมโดยให้นกเป็นผู้ชำระนี้มีมานานแล้ว เป็นหนึ่งในสี่พิธีกรรมหลักสากลของมนุษยชาติ ในไตรภูมิกถามีการกล่าวถึงการปลงศพด้วยนกใหญ่ ตอนที่พระเถระรูปหนึ่งพรรณนาถึงการเผาศพพระยาในอุตตรกุรุทวีป (ทวีปหนึ่งในสี่ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ อันตั้งอยู่ทางทิศเหนือ) ว่าเมื่อผู้มีบุญญาธิการนั้นตาย

"เขาจึงเอาศพนั้นมาอาบน้ำทากระแจะแลจวงจันทน์น้ำมันอันหอม แลนุ่งผ้าห่มผ้าให้ แล้วประดับด้วยเครื่องถนิมอาภรณ์ แล้วนำศพนั้นไปไว้ในที่แจ้งเพื่อให้นก ซึ่งลางอาจารย์ว่านกหัสดีลิงค์ ลางอาจารย์ว่านกอินทรี ลางอาจารย์ว่านกกด บินมาโฉบเอาศพนั้นไปไว้ในแผ่นดินอื่นเพื่อไม่ให้แผ่นดินอุตตรกุรุสกปรก"

จากข้อความนี้จะเห็นถึงความเชื่อในเรื่องนกหัสดีลิงค์ ว่าเป็นสัตว์ที่มีพละกำลังมาก สามารถบินไปส่งดวงวิญญาณผู้วายชนม์ถึงสรวงสวรรค์ ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมีบุญบารมีของผู้ตายที่มีเหนือนก จึงอยู่บนหลังนกนั้นได้ หากสิ้นชีวิตลงจะมีนกประเภทนี้มาคาบศพไปทิ้งที่อื่นโดยไม่ต้องมีการจัดงานศพในโลกมนุษย์

ในความเป็นจริงยุคโบราณนั้น มีการใช้นกแร้งมาชำระศพ แต่ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามกาลเวลา นกใหญ่ที่ดูมีอิทธิฤทธิ์สามารถส่งวิญญาณของศพสู่สรวงสวรรค์ได้ อันถือว่าเป็นการชำระความบริสุทธิ์ให้แก่แผ่นดินไม่ให้แปดเปื้อน มิให้ศพตกลงสู่พื้นดิน ได้ถูกจำลองด้วยนกหัสดีลิงค์แทน



ความเชื่อเรื่องนกหัสดีลิงค์ในภาคเหนือเริ่มขึ้นอย่างไร

ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าพิธีกรรมปลงศพด้วยนกหัสดีลิงค์เริ่มขึ้นบนแผ่นดินล้านนาตั้งแต่ยุคใด และมีความเก่าแก่ไปถึงยุคหริภุญไชยหรือทวารวดีหรือไม่ ทราบแต่ว่าเริ่มมีแล้วในยุคล้านนาตอนปลาย

หนังสือ "พงศาวดารโยนก" กล่าวถึงการสร้างพิมานบุษบกบนหลังนกหัสดีลิงค์ในงานถวายพระเพลิงศพพระนางวิสุทธิเทวี กษัตรีย์แห่งราชวงศ์มังรายผู้ครองเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้าย ราวปี พ.ศ.2121 ซึ่งเป็นยุคที่ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าแล้ว ถือว่าเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมชิ้นแรกในล้านนา

"จุลศักราช 940 ปีขาล สัมฤทธิศก เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ...นางพระญาวิสุทธิเทวี...ตนนั่งเมืองนครพิงค์...ถึงสวรรคต พระญาแสนหลวงจึงแต่งการพระศพ...ทำเป็นวิมานบุษบกตั้งอยู่บนหลัง...นกหัสดินทร์ตัวใหญ่...แล้วฉุดลากไปด้วยแรงช้างคชสาร...ชาวบ้าน ชาวเมืองเดินตามไป...เจาะกำแพงเมืองออกไปทางทุ่งวัดโลกโมฬี...และทำการถวายพระเพลิง ณ ที่นั้น...เผาทั้งรูปปนกหัสฯและวิมานบุษบกนั้นด้วย... "

ด้วยเหตุที่พระนางวิสุทธิเทวีทรงอยู่ในฐานะพระชายาองค์หนึ่งของพระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่า ทำให้นักวิชาการบางท่านเห็นว่าประเพณีนี้อาจถูกนำมาสถาปนาในล้านนาโดยพม่า

เมื่อศึกษาให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีกชั้นพบว่าพม่ารับวัฒนธรรมส่วนใหญ่มาจากชาวมอญอีกทีหนึ่ง

แต่ที่น่าสงสัยก็คือในปัจจุบันทั้งชาวมอญ (หงสาวดี) และชาวพม่าในเมืองสำคัญๆ กลับไม่ปรากฏว่ามีพิธีการทำศพด้วยนกหัสดีลิงค์ ยกเว้นแต่คำบอกเล่าของปราชญ์ชาวมอญบ้านเกราะเกร็ดนนทบุรี ที่บอกว่าคนเฒ่าคนแก่เคยเล่าถึงพิธีลากปราสาทศพนกหัสดีลิงค์เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันพิธีนี้ยกเลิกไปแล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกับทางกรุงศรีอยุธยา เมื่อ 400 ปีก่อนได้พบคำว่า เมรุเผาศพ ขึ้น (เมรุแทนถึงเขาพระสุเมรุ) ในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง ราว พ.ศ2181 ว่ามีการสร้างวิมานขนาดใหญ่กลางนคราเพื่อเป็นที่ถวายพระเพลิงศพกษัตริย์เป็นการเฉพาะ อันเป็นรูปแบบที่จำลองมาจากปราสาทหินนครวัด

ซึ่งทางกรุงศรีอยุธยามีความสัมพันธ์กับทางขอมมากกว่ามอญจึงไม่ปรากฏเรื่องราวของนกหัสดีลิงค์



นกสักกะไดลิงค์จากเชียงรุ้งสู่ทุ่งศรีเมือง

พิธีส่งสการศพด้วยนกหัสดีลิงค์ในล้านนามีธรรมเนียมสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยพระนางเจ้าวิสุทธิเทวี เคียงคู่ขนานกับรัฐหลายรัฐในสายตระกูล "ล้านนา-ล้านช้าง" อาทิ รัฐฉาน และเชียงตุงในพม่า เมืองหลวงพระบาง เมืองจำปาสัก ในลาว ข้อสำคัญยังพบพิธีกรรมนี้ที่อำเภอทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีเจ้านายสืบเชื้อสายมาจากเมืองเชียงรุ้ง (เชียงรุ่ง) ในสิบสองปันนา

ตำนานการทำศพด้วยนกสักกะไดลิงค์ฉบับทุ่งศรีเมืองกล่าวว่า

"มีนครหนึ่งชื่อนครเชียงรุ้งตักศิลา พระเจ้าแผ่นดินถึงแก่สวรรคต พระมเหสีนำพระบรมศพแห่แหนไปถวายพระเพลิงนอกเมือง นกสักกะไดลิงค์ บินจากป่าหิมพานต์มาเห็นเข้าจึงได้โฉบลงแย่งพระศพ พระมเหสีให้หาคนที่จะสู้นกแย่งเอาพระศพคืน ในที่สุดมีหญิงสาวผู้หนึ่งชื่อ เจ้านางสีดา เป็นบุตรีของมหาราชครู อาสาต่อสู้นก เจ้านางสีดามีวิชายิงศรเป็นเยี่ยม ได้ใช้ศรยิงถูกนกใหญ่ตกลงมาถึงแก่ความตาย พระมเหสีจึงให้ประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของกษัตริย์พร้อมนกใหญ่ จนกลายเป็นธรรมเนียมสำหรับเจ้านายเชื้อสายจำปาสักว่า เมื่อถึงแก่อนิจกรรม แล้วให้ทำพระเมรุรูปนกสักกะไดลิงค์ประกอบหอแก้วแล้วเชิญศพขึ้นตั้ง ชักลากออกไปบำเพ็ญพระกุศลครบถ้วน 3 วันจึงเผา ก่อนเผาต้องมีพิธีฆ่านก แล้วเผาทั้งศพทั้งนก"

พิธีปลงศพด้วยนกสักกะไดลิงค์ที่อุบลราชธานีในอดีตนั้นมีความหรูหราอลังการมาก นั่นคือต้องชักลากปราสาทศพออกไปบำเพ็ญกุศลกลางท้องทุ่งศรีเมืองเป็นเวลา 3 ถึง 5 วันจึงจะเผา เจ้าภาพต้องจัดโรงทานไว้ตลอดงาน

สำหรับคนที่มาร่วมงานพิธีฆ่านก ผู้ฆ่าต้องเป็นนางทรงที่สืบสกุลจากเจ้านางสีดา ซึ่งมีการสืบทอดเชื้อสายกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ก่อนมีพิธีฆ่านก เจ้าภาพจะจัดพิธีทอดผ้าบังสุกุลตามพุทธศาสนาเสียก่อน หลังจากเผานกและเมรุแล้ว คืนนั้นจะมีมหรสพสมโภชอัฐิไปด้วย รุ่งเช้าเก็บอัฐิและอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย แล้วนำอัฐิไปก่อธาตุบรรจุต่อไป

เมื่อกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์เป็นข้าหลวงต่างพระองค์ ปกครองเมืองอุบล ได้มาร่วมงานประเพณีนี้ เห็นว่าเป็นการแข่งบารมีกับพระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยามที่มีการเผาพระบรมศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกประเพณีการเผาศพเจ้านายที่ทุ่งศรีเมืองเสีย

จากนั้นแนวความคิดรวมศูนย์อำนาจดังกล่าวได้แพร่หลายนำไปใช้เป็นแบบอย่าง ในการออกคำสั่งให้ยกเลิกพิธีปลงศพเจ้านายด้วยนกหัสดีลิงค์บนแผ่นดินล้านนาทั่วทุกเมืองอีกเช่นกัน

ด้วยเหตุผลที่ว่าอาณาจักรล้านนาและล้านช้างฟากตะวันตกของแม่น้ำโขงถูกรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับราชอาณาจักรสยามแล้ว ดังนั้น จึงมีพระมหากษัตริย์ได้เพียงหนึ่งเดียว ทางรัฐบาลสยามเกรงว่าหากปล่อยให้มีพิธีถวายพระเพลิงศพเจ้านายบนปราสาทนกหัสดีลิงค์ซึ่งมีความสง่างาม ยิ่งใหญ่สมฐานะบารมีต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นการแข่งขันกับพระราชพิธีถวายพระเพลิงของกษัตริย์ราชวงศ์จักรี



การเมืองเรื่องปราสาทศพนกหัสดีลิงค์

แม้กระนั่นชาวล้านนาและชาวอุบลยังขออนุโลมให้ได้จัดพิธีดังกล่าวสำหรับพิธีศพของพระเถระชั้นผู้ใหญ่บ้าง เพื่อมิให้ประเพณีนี้สูญหายไป

เฉพาะการลากจูงศพนั้น ต้องใช้ภูมิปัญญาของชาวบ้านแบบโบราณ ด้านล่างของปราสาทไม่มีล้อและกลไกขับเคลื่อน แต่ใช้ต้นมะพร้าวสองต้นเป็นส่วนฐานลากแทนล้อรถ ต้องใช้แรงงานคนในการบังคับการเลี้ยว และใช้ไม้พลองในการงัดต้นมะพร้าว ให้ไปตามทิศทางที่จะเลี้ยวด้วยความยากลำบากยิ่ง แต่การลากจูงสำเร็จได้ด้วยความร่วมมือร่วมใจของวิถีชาวบ้านอย่างแท้จริง

ภาพของประชาชนนับหมื่นที่แห่เข้าร่วมขบวนลากจูงปราสาทศพนกหัสดีลิงค์ของพระเถระผู้ใหญ่ จากวัดเคลื่อนไปตามท้องถนนสู่เมรุเผาศพในแผ่นดินล้านนานั้น กว่าจะมีให้เห็นประปรายสักครั้งจึงยากแสนเข็ญ

เหตุเพราะภาครัฐและการเมืองได้เข้ามาอุปถัมภ์การจัดพิธีกรรมนี้ เพื่อจะได้กลั่นกรองพิจารณาเห็นชอบอนุญาตให้จัดได้เฉพาะพระเถระที่ทรงคุณธรรมเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีความรู้ในพระปริยัติแตกฉานเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ตนบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา แต่ถูกสยามมองว่าเป็น "กบฏผีบุญ" ทั้งหลายเช่นครูบาเจ้าศรีวิชัย จะไม่ได้รับอนุญาตให้จัดพิธีศพด้วยปราสาทนกหัสดีลิงค์

แม้รัฐบาลจะมีส่วนช่วยให้พิธีกรรมส่งสการศพด้วยนกหัสดีลิงค์นี้ยังดำรงอยู่ หากแต่ในแง่หนึ่งนั้นก็สะท้อนให้เห็นว่า ภาคการเมืองได้พยายามใช้พิธีกรรมนี้เป็นเวทีการกดข่มและขีดวงล้อมกรอบทางประเพณีของคนในท้องถิ่นไว้ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันไม่มี "เจ้านาย" องค์ไหนของทางล้านนาและเมืองอุบลราชธานี มีสิทธิ์ได้รับเกียรติอันสูงส่ง ในการปลงศพด้วยปราสาทนกหัสดีลิงค์อีกต่อไปแล้ว

แต่หากไม่ช่วยกันรักษา "พื้นที่" อนุรักษ์พิธีกรรมนี้ไว้เมื่อพระสงฆ์ผู้หลักผู้ใหญ่ถึงแก่มรณภาพ คนในท้องถิ่นก็จะขาดสำนึกทางประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ในแง่ของการผลิตซ้ำอุดมการณ์ความเชื่อที่ว่าพวกตนต่างสืบเชื้อสายมาจากกลุ่ม "ล้านนา-ล้านช้าง"

น่าเสียดายเหมือนกันที่งานศพของหลวงตามหาบัว พระเถรานุเถระชื่อก้องชาวอีสานล้านช้าง ถูกจัดการด้วยรูปแบบของชาวกรุงเทพ

.