http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-08-26

"รัก"จัดหนัก, เสือกับลิง, หมั่นไส้"การอ่าน", เงียบ, ลิงโลดและหดหู่ โดย ทราย เจริญปุระ

.

"รัก" จัดหนัก
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1619 หน้า 80


เหมือนๆ จะเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าเวลาฉันได้มีโอกาสแสดงหนังอะไรที่มีข้อให้ ชี้แจงแถลงไขเพิ่มเติม ฉันจะถือเอาหน้ากระดาษนี้เป็นสื่อในการกล่าว

มาวันนี้ฉันก็มีเรื่องจะกล่าวอีก, คือฉันได้ไปกำกับภาพยนตร์สั้นหนึ่งในสามเรื่อง ซึ่งจะนำมาฉายรวมกันในชื่อว่า "รักจัดหนัก"

เรื่องที่ฉันทำนั้นมีชื่อตอนว่า "ทอมแฮ้ง"

ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนักแสดงฮอลลีวู้ดผู้เป็นเจ้าของสองรางวัลออสการ์คนนั้นหรอก

แต่เป็นอาการตรงไปตรงมาของทอมคนหนึ่ง ที่แฮงก์โอเวอร์เพราะการดื่มเหล้า

เรื่องมันไม่ได้จบแค่ว่ากินกาแฟร้อนหรือแอสไพรินแล้วจะหายได้

เพราะทอมนั้นดันไปเกิดอาการเสียหลักมีอะไรกับหนุ่มหนึ่งจนเกิดท้องขึ้นมา

เธอจึงต้องตัดสินใจกระทำการเกี่ยวกับอาการแฮงก์ในระดับไม่ธรรมดาคราวนี้

เรื่องมีอยู่แค่นี้

แล้วอีกสองเรื่องนั้นก็พูดถึงประเด็นการท้องไม่พร้อมในมุมที่แตกต่างกันออกไป ทั้งท้องขึ้นมาแล้ว และลุ้นว่าจะท้องหรือไม่ (ในตอน "เป็นแม่เป็นเมีย" และ "ไปเสม็ด"ตามลำดับ)



เมื่อปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไป

ก็เกิดคำถามและเสียงวิจารณ์ (ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ดู) มากมายของโปรเจ็กต์รักจัดหนักนี้ ที่มีทีท่าพูดเรื่องเพศและการท้องไม่พร้อมในช่วงวัยรุ่นด้วยท่าทีสบายๆ ไม่สั่งสอนอบรมให้รู้สึกว่าดูหนังประกอบการเรียนการสอน

เบาะๆ ก็มี ตั้งแต่กลัวว่าหนังจะเป็นการยั่วยุให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร (คาดว่า ห่วงแทนวัยรุ่นที่จิตอ่อน...เอ่อ...มาก ฉันไม่ค่อยเจอ

ใครที่ไปดูหนังในโรงภาพยนตร์แล้วออกมาอยากมีเพศสัมพันธ์ในบัดดลนะ ถ้าจะมีคงเป็นพวกดูหนังที่โหลดมาเองเสียมากกว่า)

กลัววัยรุ่นจะแยกแยะไม่ได้และกลายไปว่าหนังส่งเสริมสนับสนุน (อันนี้ดูถูกวัยรุ่นมากที่คิดว่าเขาต้องดูหนังก่อน ถึงจะมีความคิดขึ้นมาว่าควรไปมีอะไรกัน เขาคิดของเขากันเองได้ค่ะ!)

ไปจนถึงกลุ่มคนน่าสงสารที่อาจตามโลกไม่ทันแล้วเลยมางอแงว่าหนังเรื่องนี้ นั้นเลวระยำสิ้นคิด จนต้องเอาเรื่องเพศของวัยรุ่นมาขาย

เรียกว่าเป็นเขาหรือเธอเหล่านั้นผู้มีญาณหยั่งรู้แล้วกัน เพราะยังไม่ได้ดูหนังและบอกด้วยว่าจะไม่มีวันดูหนัง แต่รู้เรื่องไกลไปถึงขั้นว่าหนังเรื่องนี้ต้องพูดถึงประเด็นนี้ซึ่งจะต้องส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอันเป็นสังคมสวยงามตามอุดมคติของเขาเป็นแน่

เห็นไหมว่าเขาน่าสงสารจริงๆ



คนเราเอากันทุกวัน แต่ไม่ได้มาพูดอธิบายเหตุผลเท่านั้น

การไม่พูดไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นนี่นา

แค่การเป็นผู้หญิงแล้วมาพูดเรื่องเพศแบบหน้านิ่งอย่างฉันก็โดนมองด้วยสายตากล่าวหาแล้วว่าล้ำโลกเหลือแสน เปรี้ยวแก่นเกินหญิงไทย

ต้องเบื้อใบ้เก็บความรู้สึกรู้สาไว้ภายในสินะ ถึงจะดูน่ารักเสงี่ยมงาม

ทำไมคนที่ดูเปรี้ยวปรู๊ดอยู่ดีๆ พอเป็นพ่อเป็นแม่แล้วความเปรี้ยวและการมองโลกอย่างสนุกและบันเทิงมันพลันหายเหี้ยนไปจนหมดสิ้น

เหลือแต่ชายหญิงที่อยากฟังความจริงในแบบที่ตัวเองต้องการเท่านั้น

เราเอาแต่กระมิดกระเมี้ยนพูดแล้วปล่อยให้เด็กพกดวงไปเผชิญความจริงกันเอาเอง



อย่าหลอกตัวเองต่อไปอีกเลยว่าวัยรุ่นนั้นจะพึงใจแค่บทเรียน และไม่อยากรู้อยากลองในเรื่องต้องห้าม

ทำไมเราต้องห้ามด้วยเล่า?

เราห้ามนั้นเป็นเพราะเรารู้ว่าเขายังไม่พร้อมจะรับผิดชอบได้อย่างเต็มกำลัง

ไม่ใช่ห้ามเพราะเชื่อว่าถ้าเราห้ามแล้วเขาจะไม่ไปร่วมรักกัน

และไม่ใช่ว่าเราห้ามเพราะเราต้องการให้สังคมไทยเป็นสังคมที่งดงาม

เราไม่ได้เป็นคนดีกันขนาดนั้น เราแค่ห่วงว่าวันหนึ่งผลผลิตที่เกิดจากความไม่ตั้งใจเหล่านี้จะมาสร้างปัญหาให้เรา จะมาขโมยของเรา จะมาค้าขายยาเสพติดในชุมชนของเรา

เราไม่ได้ห่วงวัยรุ่นเท่ากับตัวเราเอง

เราห้ามเขาเพาะเราไม่อยากร่วมรับผิดชอบ

ดังนั้น เราก็ต้องบอกเขาไปตรงๆ ไม่ใช่หรือว่า คุณไม่ควรทำอะไรเพื่อให้คนอื่นมารับผิดชอบด้วย อย่ามาอ้างศีลธรรมหรือความเป็นเมืองพุทธ วัฒนธรรมไทยให้มันเพ้อคลั่งกันไปเลย



ไม่ได้ยุให้ออกไปร่วมเพศกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง แต่หนังเราพูดถึงความรับผิดชอบ เหตุและผลของสิ่งที่คุณกำลังจะทำ

เราไม่ได้ห้าม, เรายกตัวอย่าง

แต่ถ้าใครคิดว่าสังคมสายลมแสงแดดของเราจะล่มเพราะเราพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประเทศนี้เพียงบางมุมฉันก็ขอนิมนต์เถอะ

เพราะนอกจากไม่รู้จะเถียงได้ยังไงแล้ว ฉันคงยังต้องยุ่งกับการคอยหลบหนีหัวซุกหัวซุน

เพื่อไม่ให้โดนล่าเอาหัวมาเสียบประจาน ฐานพูดความจริง



++

เสือกับลิง
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1618 หน้า 80


หลายคนบอกว่าเสือกับลิงนั้นไปกันไม่ได้

ไม่เฉพาะตามความเป็นจริงในธรรมชาติ แต่ยังหมายรวมไปถึงดวงดาวที่เป็นเจ้าชะตากรรมของเรา ใครก็ตามที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของปีแห่งลิงและเสือนั้น จะไม่มีวันไปกันได้ เป็นความต่าง เป็นคู่ผิดพลาด เป็นการเสียเวลา เป็นสัมพันธ์อันไม่ลงตัว

แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกชีวิตย่อมดิ้นรนหาหนทาง

ลิงและเสือมีส่วนร่วมกันได้ มันหายใจและใช้ชีวิตอยู่ในห่วงโซ่อาหารเดียวกัน

จะแปลกอะไร ถ้ามันจะลุกขึ้นมาดิ้นรนจากแรงกระทำที่กดทับลงบนความเป็นลิง

หรือเลิกจำนนและสะบัดโซ่ตรวนความเชื่อที่ล่ามจูงไว้กับความเป็นเสือออกไป



-เสือ-

นิยายรางวัลบุ๊กเกอร์ในปี ค.ศ.2008 เรื่องนี้มีพล็อตเรื่องที่ฟังแล้วน่าสนใจจริงๆ นิยายเขียนในรูปแบบจดหมายที่ยาวมากๆ จำนวน 8 ฉบับ

จากตัวละครเอกชาวอินเดียวรรณะต่ำชื่อ พลราม ฮัลวาย ผู้เรียกตัวเองว่า The White Tiger ถึงนายกรัฐมนตรีเหวินเจียเป่าของจีน

เหตุที่เขียนจดหมายถึงก็เพราะพลรามได้ฟังข่าววิทยุว่า เหวินเจียเป่าจะมาเยือนบังคาลอร์ในสัปดาห์หน้า ท่านผู้นำจีนอยากทราบความ

จริงของบังคาลอร์และอยากพบผู้ประกอบการอินเดีย ดังนั้น ในฐานะผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จและเป็นผู้รู้จริงเรื่องบังคาลอร์ พลรามจึงอยากถ่ายทอดความจริงนี้ผ่านเรื่องราวชีวิตของตัวเอง

ยิ่งได้อ่านบทแรกของหนังสือแล้วก็น่าจะทำให้หลายคนอยากอ่านหนังสือทั้งเล่ม เพราะตัวละครเอกมีน้ำเสียงน่าสนใจ เป็นเสียงซื่อๆ ที่โอ้อวดตนเอง

(พลรามเรียกเหวินเจียเป่าว่าเป็นพวกผิวเหลือง กะโหลกเหลือง และคิดว่าเขาเป็นคนระดับเดียวกับท่านผู้นำ) และยังมีตลกร้ายจำนวนมาก

เช่น

"เห็นได้ชัดครับท่าน ว่าคนจีนอย่างท่านล้ำหน้ากว่าพวกเราทุกด้าน ยกเว้นท่านไม่มีผู้ประกอบการ ประเทศเรานั้นแม้จะไม่มีน้ำดื่ม ไฟฟ้า ระบบกำจัดสิ่งปฏิกูล การขนส่งสาธารณะ สุขอนามัย วินัย มารยาท หรือความตรงต่อเวลา แต่เรามีผู้ประกอบการ มีหลายพันคน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี ผู้ประกอบการเหล่านี้--อย่างเราๆ นั้น--ก่อตั้งบริษัทเอาท์ซอร์สที่ทำให้อเมริกาดำเนินการอยู่ได้ก็ว่าได้"

พลรามกล่าวยกย่องประเทศจีน โดยบอกว่าเขาเรียนรู้ประวัติศาสตร์จีนจากหนังสือ เรื่องเร้าใจจากตะวันออกไกล ที่พบในแผงหนังสือมือสอง หนังสือบอกว่าคนจีนรักเสรีภาพ พลรามชื่นชมประเทศเพียง 3 ประเทศที่ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การปกครองของต่างชาติ ได้แก่ จีน อัฟกานิสถาน และอบิสสิเนีย เขาบอกว่าอังกฤษพยายามทำให้จีนเป็นคนรับใช้ แต่จีนไม่ยอม

เขาจึงชื่นชมคนจีน

เพราะพลรามนั้นเคยเป็นคนรับใช้มาก่อน และเขายังเป็นฆาตกรที่เชือดคอเจ้านายผู้แสนดีของตัวเอง

พลรามเล่าชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก เล่าถึงประเทศอินเดียว่ามีทั้งส่วนที่สว่างและมืดมน เขามาจากส่วนที่มืดมน---ส่วนที่แม่น้ำคงคาไหลผ่าน

"ท่านเจียเป่า ผมขอแนะว่าอย่าได้ไปแช่แม่น้ำคงคา นอกจากท่านจะอยากให้ปากมีแต่อุจจาระ ฟาง ชิ้นส่วนศพแฉะๆ ซากควาย และกรดอุตสาหกรรมเจ็ดชนิด"

พลรามเกิดที่เมืองใกล้พุทธคยา "ผมสงสัยว่าพระพุทธเจ้าจะเคยผ่านเมือง Laxmangarh หรือไม่ มีคนบอกว่าท่านเคยผ่าน ผมรู้สึกว่าท่านวิ่งผ่าน---ให้เร็วที่สุด---เพื่อไปอีกฟากหนึ่ง และท่านไม่เคยเหลียวหลังกลับมามอง!"

มันเกือบๆ จะสนุกมาก แต่สำหรับคนอ่านอย่างฉัน มันก็ยังมีความไม่ลงตัวบางอย่างอยู่

ซึ่งทำให้ความน่าเกรงขามในเวลาที่เราคิดถึงเสือ-อย่างที่พลรามบอกว่าเขาเป็นนั้น-ลดหายลงไปมาก หากจะเหลือ ก็เหลือแต่เพียงรูปร่าง

ของเสือ ที่ไม่ได้บรรจุเอาศักดิ์ศรีของเสือไว้ภายใน



-ลิง-

Rise of the planet of the apes เป็นหนังที่ทำให้เราตั้งข้อสงสัยว่า, ในความเป็นมนุษย์ของเรานั้น เราสมควรแก่ความภาคภูมิใจแค่ไหนกัน

ภายใต้ภาพพจน์ความเป็นหนังขายเทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟิก หนังได้ตั้งคำถามที่พาเราไปไกลกว่านั้น

มันถามถึงสิ่งที่เราทั้งได้ลงมือทำ และยังไม่เคยลงมือทำ

นั่นคือการลดสิทธิของสิ่งมีชีวิตอื่น และการยืนหยัดเพื่อสิทธิของตัวเราเอง

เราจับสัตว์ซึ่งมีความใกล้เคียงกันกับเราที่สุด,

สัตว์ซึ่งอ้างได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของเราด้วยซ้ำมาทดลองอย่างทิ้งขว้างโดยมองไปแต่ความก้าวหน้าและชีวิตอันยืนยาวของเผ่าพันธุ์มนุษย์

โดยไม่สนใจไต่ถามถึงความสมัครใจของมันหรือแม้แต่จะมองสบตาอันเต็มไปด้วยความกังขาของมันด้วยซ้ำ

เราคิดว่าเราฉลาด คิดว่าเราเอาอยู่ สัตว์ป่าดุร้ายกระหายเลือดขนาดไหนเราก็จับมันมาฝึกจนเชื่อง บีบบังคับให้มันกลายเป็นแค่ความบันเทิงน่าสมเพชให้คนได้กอดจูบ หรืออุ้มชูเพื่อตั้งท่าถ่ายรูป

แล้ววันหนึ่ง, ความกดดัน ความคับแค้นก็ได้รับโอกาสให้ปลดปล่อย

และเรา, สัตว์ประเสริฐ ก็ต้องเป็นฝ่ายรอความเมตตา

อย่าทะนงหลงตนกันนักเลยมนุษย์

จะเป็นลิง เป็นเสือ หรือเป็นคนมันไม่ได้มีใครดีไปกว่ากัน

มันอยู่แค่ว่า, เวลานั้น มันคือวันของใคร



ไม่รู้สิ, ฉันไม่ได้ตั้งใจจะให้มันจบลงแบบฟูมฟายหรือฟุ้งฝันจนเกินไปนักหรอก

แต่ความจริงก็คือ, ฉันเกิดปีลิง เธอเกิดปีเสือ

ก่อนหน้านี้มันเคยพังมาแล้ว ฉันเคยจำนนต่อโชคชะตา ฉันเคยพยายามทำใจให้ยอมรับอิทธิพลของดวงดาว

ฉันแค่อยากบอกว่า ฉันจะลองดูอีกที

เท่านั้นเอง

...................................................

หนังสือ ' พยัคฆ์ขาวรำพัน ' ( The White Tiger ) เขียนโดย อราวินด์ อาดิกา แปลโดย สุชาดา อึ้งอัมพร พิมพ์โดยเพิร์ลพับลิชชิ่ง, สิงหาคม 2552



++

หมั่นไส้"การอ่าน"
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1617 หน้า 80


เมื่อวานนี้มีคนถามว่าเวลาว่างชอบทำอะไร

พอฉันขยับจะตอบ เขาก็พูดดักทางฉันก่อนว่า "ที่ไม่ใช่อ่านหนังสือนะ"

แหม รู้ทัน

แต่อ่านหนังสือนั่นไม่ใช่คำตอบแรกที่ฉันจะตอบในช่วงนี้หรอก



ช่วงนี้คำตอบว่าฉันชอบทำอะไรที่สุดตอนว่างจะเรียงลำดับจากการนอน กิน (ทั้งข้าวและเหล้า) จากนั้นค่อยเป็นเรื่องของการอ่าน

ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ ฉันก็ขวางการอ่านขึ้นมาดื้อๆ

อาจเป็นเพราะช่วงนี้ผู้คนตื่นตัวกับการอ่านกันอย่างเหลือเกิน

อาจเพราะฉันมีหน้าตาและชื่อเสียงว่าชอบอ่านหนังสืออย่างยิ่ง

อาจเพราะรัฐหันมาส่งเสริมการอ่านกันอย่างจริงจัง

อาจเพราะคนชอบติดต่อนัดสัมภาษณ์หรือติดต่อร่วมงานกับฉันในเรื่องเกี่ยวกับการอ่าน

อาจเพราะอะไรต่อมิอะไรมากมาย นางคนขี้ขวางโลกอย่างฉันเลยหมั่นไส้การอ่านขึ้นมา

ก็อยากจะมานิยมกันทำไมล่ะ!


ฉันชอบการอ่านเพราะมันจะทำให้ฉันได้อยู่เงียบๆ โดยไม่มีใครมาวุ่นวาย

ฉันชอบเพราะผู้คนที่เห็นฉันอ่านหนังสือก็จะแค่มองผ่านๆ ไปโดยไม่มาถามอะไรเซ้าซี้

ตอนนี้การอ่านกลับทำให้คนมาคอยถามอะไรฉันมากเกินไป เช่น ชอบอ่านหนังสือแนวไหน อ่านอะไรอยู่ช่วงนี้ เล่มนี้ดีอย่างไร แนะนำหนังสือให้หน่อยสิ

ใครมันจะเป็นคนมีเหตุผลขนาดนั้น

เราจะมีกิจกรรมที่เราชอบทำ แค่เพราะเราชอบทำโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้เหรอ

ฉันแค่ชอบอ่านอะไรซ้ำๆ ซากๆ ไม่ได้เหรอ



แต่ก่อนนี้การเขียนคอลัมน์นี้ เป็นเรื่องสนุกสนานบานใจอย่างยิ่งสำหรับฉัน ที่จะได้กึ่งเล่ากึ่งแนะนำหนังสือให้กับคุณผู้อ่าน ที่ยังมีระยะห่างกันพอสมควร

มันไม่ใช่คอลัมน์แนะนำหนังสือเสียทีเดียว, คุณคงพอจะรู้

แต่บางทีก็เป็นการเชื่อมตัวเองเข้ากับหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งซึ่งมีความส่วนตัวเป็นอย่างยิ่ง จนปริ่มๆ จะเป็นการฟูมฟายฟุ้งซ่าน คร่ำครวญไปเสียด้วยซ้ำ

แต่มันก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งที่ฉันเคยอ่านมา

มีทั้งหนังสือใหม่เพิ่งวางแผงหมาดๆ

มีทั้งหนังสือเก่าชนิดนึกไม่ออกว่ามันเคยมีอยู่ในบรรณพิภพของเรา

แต่มันก็คือหนังสือที่มีอิทธิพลกับฉันให้ฉันครวญถึง

มาตอนนี้ชักจะไม่สนุก ฉันกลับรู้สึกกดดันกับการเลือกหนังสือมาเขียนถึงซักเล่ม

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือคนอ่านสิ่งที่ฉันเขียน มากกว่าการอ่านหนังสือที่ฉันเขียนถึง

ฟังดูอหังการ เหิมเกริมอย่างยิ่ง แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ฉันที่มองตัวเองว่าเป็นทางผ่านไปสู่หนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งเลยชักจะแหยงๆ

อ่านอะไรก็ไม่สนุกเหมือนเดิม อ่านไปก็คิดไปว่ามันดีพอจะบอกต่อไหม มันสมควรหรือยัง

เขียนถึงหนังสือของผู้เขียนคนนี้ หรือสำนักพิมพ์นี้บ่อยไปไหม

เขียนถึงเล่มนี้ไปแล้วคนจะหามาอ่านได้หรือเปล่า

เล่มนี้มันสนุกแต่มันไม่เก๋เอาเสียเลยจะแนะนำดีไหม หรือเก็บไว้สนุกคนเดียวดีกว่า

ฯลฯ

สารพัดสารเพความคิดที่โหมประดังเข้ามา และระหว่างที่คิดประมวลเหตุผลนั้นฉันก็ต้องประกอบอาชีพด้านอื่นๆ ไปด้วย ในเวลาเดียวกัน

รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาต้องส่งต้นฉบับเสียแล้ว

นรกชัดๆ



ฉันซึ่งขี้ขลาดอย่างยิ่งในการรับมือกับปัญหา จึงพาตัวเองไปสู่กิจกรรมอื่นๆ ซึ่งไม่ต้องรับผิดชอบกับใครนอกจากตัวเอง
ไปหาข้าวร้านอร่อยๆ กิน ถ้ากินแล้วมันไม่อร่อย ก็ไม่อร่อยแค่กับตัวเอง
ไปกินเหล้า กินแล้วเมา ก็แค่รับผิดชอบหาทางกลับบ้านด้วยตัวเอง
ไม่มีคนมาคอยนั่งถามเซ้าซี้ว่าทำไมไปกินเหล้า ทำไมสั่งเมนูนี้ ร้านไหนอร่อยที่สุด
กินอะไรกันเยอะแยะ, อ้วนแล้วเห็นไหม (ก็เห็น แต่จะกินน่ะ!)
กินเหล้ามากขนาดนี้เดี๋ยวร่างกายก็แย่หรอก
กิจกรรมที่ยกมานั้นแม้จะทำให้เกิดคำถามอยู่บ้าง

ฉันก็ตอบได้ด้วยคำตอบครอบจักรวาลคำตอบเดียว

คือ, เรื่องของกู

แต่เรื่องหนังสือมันไม่ใช่อย่างนั้น มันตอบแบบนั้นไม่ได้

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันนี่

อะไรที่พาฉันมาจนถึงจุดนี้

ตัวฉันเอง

นิสัยของฉันเอง ความขวางโลกของฉัน หรือความคาดหวังของคนรอบตัว

ช่วยฉันด้วย!!!!



ทุกย่อหน้าข้างบนนั้นฉันเขียนก่อนจะได้อ่านหนังสือ "100 ขั้นตอนสู่ความล้มเหลว"

อ่านไปแล้วก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้ว่า ฉันกำลังก้าวเข้าใกล้การทำตัวไม่เข้าท่ามากขึ้นทุกที

สารพัดความรู้สึกนี้ตรงกันกับหลายๆ ข้อที่ในหนังสือระบุไว้

ธรรมดาฉันไม่ชอบอ่านหนังสือ How To แต่คราวนี้มันต่างกัน

มันไม่ได้บอกให้ฉันทำอะไร แต่มันกำลังบอกว่าฉัน-ไม่ได้-ทำอะไรมากกว่า

ความล้มเหลวกำลังยืนยิ้มรออยู่ปลายทาง จะร่วมมือหรือหันหนี

มีเพียงฉันเท่านั้นที่เป็นคนตัดสินใจ

...................................................
หนังสือ ' 100 ขั้นตอนสู่ความล้มเหลว ' โดย ทีปกร วุฒิพิทยามงคล ฉบับพิมพ์ครั้งแรก : พฤษภาคม 2554 โดยสำนักพิมพ์แซลมอนบุ๊คส์



++

เงียบ
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1615 หน้า 80


ขอโทษค่ะ

หายไปสองอาทิตย์ก็ต้องกลับมาพร้อมคำขอโทษเช่นนี้ ตามประสาสตรีไทยที่ดี มีมารยาทและรู้จักนอบน้อมสำนึกผิด ก็จะให้ฉันทำอะไรได้มากไปกว่านี้

การหามรุ่งหามค่ำกู้ชาติไทย (แน่นอน, มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว ซึ่งถูกจำลองมาแสดงในภาพยนตร์เรื่องนั้นนั่นแหละค่ะ)ไม่เอื้อให้ฉันได้มีเวลาพอจะอ่านหนังสืออะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากพอจะเอามาบอกต่อได้ สิ่งเดียวที่ฉันต้องการอย่างไม่เคยพอคือการนอน,

นอนอย่างเป็นอิสระจากเครื่องรัดรึง เช่น เสื้อผ้า และศัสตราวุธต่างๆ ที่พันผูกอยู่กับร่างกาย

นอนอย่างไม่ต้องคอยสะดุ้งระแวงเสียงครืดคราดของวิทยุสื่อสารในกองถ่าย ว่าจะเอ่ยชื่อฉันออกมาเมื่อไหร่

และฉันต้องลุกขึ้นไปแสดงอะไรอีก

และอย่างเดียวที่ฉันอยากอ่านแทบใจจะขาดแต่ไม่ได้อ่านเร็วทันใจมากพอคือบทภาพยนตร์



แล้ววันหนึ่ง, หลังจากที่ซัดเซกลับจากกองถ่ายเมื่อฟ้าสางพร้อมเบียร์สองขวดที่ผิดสัญญาซึ่งเคยให้มาตลอดกับฉัน ว่ามันจะทำให้ฉันล่วงเข้าสู่นิทราอย่างไร้เงื่อนไข ก็ถึงเวลาที่ฉันต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย นั่นก็คือหนังสือ

ฉันพกหนังสือเล่มนี้กระเตงติดตัวไปไหนมาไหนมาหลายวัน

พร้อมความตั้งใจที่ไปได้ถึงเพียงแค่หยิบมันมาถืออยู่ในมือ

หนังสืออีกสองสามเล่มซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเป้ของฉันส่งสายตาเว้าวอนบวกค้อนนิดๆ ด้วยอารมณ์หมั่นไส้

ต่างจากเล่มนี้ที่น่าจะหงุดหงิดในหัวใจมากกว่าเล่มไหนๆ แต่กลับไม่แสดงอาการ

ด้วยความหนาเพียง 122 หน้า ฉันจึงสามารถอ่านจนจบได้อย่างรวดเร็ว และมันมอบสิ่งล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดให้กับฉัน

นั่นคือการหลับอย่างสงบ

เปล่า, มันไม่ได้น่าเบื่อจนทำให้ฉันง่วงงุนแต่อย่างใด

เนื้อหาภายในนั้นต่างหากที่มอบสิ่งที่ฉันเคยมีและสร้างมันได้ด้วยตัวเอง

แต่กลับทำลายมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสไปนานแล้วกลับคืนมา

-ความเงียบ-

ใกล้เคียงกับสิ่งที่เรียกว่าความสงบมากกว่าการไร้เสียง


หนังสือเล่มนี้ค่อยๆ ฟื้นความทรงจำถึงความสามารถในการเข้าถึงความสุขง่ายๆ ที่หาได้เฉพาะในความเงียบ หรือความสุขที่เอ่อขึ้นช้าๆ

เวลาฉันมีสมาธิอยู่กับตัวเองอย่างเวลาอ่านหนังสือ

หรือช่วงเวลาสั้นๆ ในกองถ่ายเมื่ออยู่หน้ากล้องและทุกคนกำลังรอคอยสิ่งที่ฉันกำลังทำ,

ชั่วขณะที่สมองบอกฉันว่าฉันสามารถปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมานั้นได้ ชั่วขณะที่จิตฉันรู้ว่าฉันเข้าใจมัน ในห้วงขณะที่ทุกคนเงียบ และรอปฏิกิริยาจากฉัน

เสียงทุกเสียงจะเงียบลง ไม่มีใครขอกาแฟ ไม่มีใครอยากย้ายไฟ ไม่มีใครบ่นว่าร้อน ไม่มีใครคิดถึงโมงยาม

เสียงฟิล์มที่หมุนอยู่ในกล้องจะสร้างคลื่นเสียงความถี่ต่ำๆ ซึ่งมีเพียงผู้ที่อยู่ใกล้และเงียบพอเท่านั้นจะได้ยิน

ฉันแทบจะใช้เสียงของมันเป็นคำตอบสำหรับคำถามว่าทำไมฉันถึงชอบเล่นหนัง



มันคือเสียงแห่งความสบายใจ

เสียงแห่งความเงียบที่สื่อสารกับฉันในแบบเฉพาะตัว

เกือบจะแตะสิ่งที่เป็นความอิ่มเอิบที่คนออกไปเสาะแสวงหาจากการทำสมาธิขั้นสูง

ความเงียบในแบบของฉันนั้นหาได้จากวงการที่เรียกได้ว่าเอะอะอึกทึกในการดำเนินชีวิตมากที่สุดวงการหนึ่งในโลก

หากศาสนามีที่มาจากความศรัทธา จากการมีความรู้สึกร่วม และความหวังที่จะได้ความสงบสุขตอบแทน

ฉันก็ค้นพบศาสนาของตัวเองแล้ว

...............................................
หนังสือ ' พระเจ้าความเงียบ ' เขียนโดย อนุสรณ์ ติปยานนท์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยแพรวสำนักพิมพ์ มีนาคม, 2554



++

ลิงโลด และหดหู่
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1612 หน้า 80


ขอสารภาพตรงๆ ว่าสัปดาห์นี้ไม่มีหนังสือมาบอกต่อ

เพราะสำหรับฉันยังไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าสารพัดข้อความแสดงความในใจ, ทฤษฎีสนับสนุน และอีกมากมายหลากหลายความรู้สึกที่สื่อสารออกมาผ่านทางสังคม โซเชียล เน็ตเวิร์ก ในช่วงสัปดาห์แห่งการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่ใครๆ ต่างก็รอคอย

มาถึงตอนนี้ผลการเลือกตั้งก็ได้เป็นที่รับทราบกันไปแล้วเรียบร้อย แต่ประเด็นที่ฉันสนใจในนาทีนี้ยังไม่ใช่แผนเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ หรือใครจะได้เป็นรัฐมนตรี ใครจะเป็นงูเห่า ใครจะเป็นอะไร จะส่งต่ออะไร จะครอบครองอะไร ฉันยังไม่สน

ด้วยความที่ฉันเป็นฉัน, ฉันจึงมีเพื่อนที่สามารถเรียกได้ว่า "สุดขั้ว" ไปทั้งสองฟากฝั่งของความคิดอะไร ที่ฝ่ายหนึ่งเสนอมา ก็จะถูกวางอันดับสลับเรียงกันไปกับแนวคิดของอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ เป็นการเรียงตัวสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปมาอย่างน่าดู

แน่นอน, คือสลับกันไประหว่างความลิงโลดและหดหู่



ฝ่ายหดหู่นั้นมีตั้งแต่คนเซ็งน้อยๆ, บ่นแบบเบาะๆ ไปจนถึงเครียดและรับไม่ได้เจียนคลั่ง อะไรขวางตาสามารถเอามาเหน็บแนมจิกกัดได้ทุกประเด็น

ฝ่ายลิงโลดนั้นก็ดีใจไชโย และคอยแถลงอธิบายตอบต่อคำกล่าวของอีกฝ่ายอยู่ไปมาด้วยท่าทางสุขุมของผู้ชนะ บวกอาการหวาดระแวงนิดๆ ของคนลุ้นที่กลัวว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเหนือความ คาดหมายขึ้นมาหรือเปล่า อะไรจะน่าอ่านไปกว่านี้

ฉันได้รู้เรื่องราวลึกลับซ่อนเร้นของการเมืองในช่วง 10 ปีที่ผ่านจากการวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ และวิวาทะของทั้งสองฝ่าย ที่เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ต้องบอกว่าอ่านของแต่ละฝ่ายแล้วเอามาบวกลบคูณหารในใจของตัวเองอีกซักทีก็พอจะได้ข้อสรุปเอาไว้คิดต่อเองได้

เพราะขืนอ่านทั้งหมดแล้วคอยจดจำไว้ตลอดเวลาก็อาจหลอนจิตกันได้ง่ายๆ

ด้วยว่าอารมณ์นั้นรุนแรงมหาศาลเหลือเกิน

แต่โลกก็เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ

มันจะต้องมีระบบอย่างหนึ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ และจะต้องมีอีกระบบที่รอจังหวะของตนอยู่ ผลัดกันขึ้นผลัดกันลงไปตามกาลเวลา

วันนี้ความเชื่อของเราไม่ได้รับความนิยม แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล

แต่บางทีอ่านแล้วก็เศร้าใจ



ไอ้ความเห็นประเภทที่ว่า "ถึงเวลาเอาคืน" หรือเหยียดหยามเย้ยหยันกันนั้นก็ใจร้ายพอแรงอยู่แล้ว เพราะการเลือกตั้งไม่ใช่การแข่งฟุตบอลโลกที่จะเอามาเกทับกันได้

ถ้าจะดีใจก็เอาเป็นเรื่องว่าทุกคนรู้ตัวว่าคะแนนเสียงของตัวนั้นสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงจะดีกว่า ไม่งั้นมันก็จะกลายเป็นการทับถมกันไปอย่างเปล่าประโยชน์

ส่วนอีกทางหนึ่งนั้นก็ยิ่งชวนให้รู้สึกแย่หนักเข้าไปอีก

ประเภทที่รู้สึกว่าตนนั้นฉลาด แต่สู้ปริมาณของคนโง่ในประเทศนี้ไม่ได้

เราส่งออกข้าวและผลิตผลทางการเกษตรไม่ใช่เงินภาษีของชาวเมืองไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมเขาที่ปลูกข้าวทำงานการเกษตรจึงต้องถูกคนมองว่าโง่นักหนา

คนเราแค่รู้ใจตัวเองว่ารักว่าชอบอะไรโดยไม่ต้องอ้างอิงทฤษฎีการเมืองและการทำเพื่อสังคม ภาพลักษณ์และใครคนอื่นไม่ได้หรืออย่างไรกัน?

เพื่อนในโซเชียล เน็ตเวิร์ก คนหนึ่งของฉันตั้งคำถามลอยๆ ขึ้นมาว่า, คนต่างจังหวัดนั้นตื่นตีห้ามาดูข่าว และต้องคอยดูอยู่เรื่อยๆ ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายอย่างไรกับราคาข้าว ราคาน้ำมัน และราคาข้าวของในท้องตลาด

ในขณะที่ชาวกรุงอย่างเราๆ นั้นตื่นตีห้าแล้วรีบขับรถฝ่าการจราจรไปทำงาน ก่อนจะกลับบ้านมาอย่างหมดแรงในช่วงเย็นเพื่อมาดูสรุปข่าวประจำวัน

แล้วอย่างนี้คุณจะว่าเขารู้น้อยกว่าคุณได้จริงหรือ ?

ฉันเรียนจบนิเทศศาสตร์ ทำงานในสาขาที่ยุคหนึ่งโดนเหยียดหยามอย่างสาหัสว่าเต้นกินรำกิน และไม่มีอนาคต หมายความว่าฉันโง่กว่าคนจบครู หมอ หรือวิศวกรหรือ?

แล้วสุดท้ายผู้เจริญเหล่านี้ก็พร้อมใจกันอธิษฐานขอคุณพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายให้ปกป้องคุ้มครองประเทศของเราไม่ต่างกับการที่ชาวบ้านซึ่งคุณมอง หมิ่นไปไหว้หมูหรือต้นกล้วยเพื่อขอหวยนั่นเอง



ความเชื่อของคนคนหนึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอีกคนหนึ่งเพียงเพราะอาศัยอยู่ในถิ่นฐานที่แตกต่างกัน ความทุกข์ใจของเศรษฐีก็มีมิติเนื้อหนังในความเป็นจริงของชีวิตเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าชาวนา ความต้องการที่จะขยับตัวขึ้นมามีตัวตนของคนคนหนึ่งก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าของคนอีกคนหนึ่ง แรงที่จะใช้ขับเคลื่อนประเทศของคนขับแท็กซี่ก็ไม่ได้น้อยกว่าแพทย์ผ่าตัด

และเงินก็ซื้อไม่ได้ทุกอย่าง

แต่ก็ใช่ว่าจะซื้ออะไรไม่ได้เลย

ฉันจะยิ้มๆ ทุกครั้งที่มีคนพูดให้ได้ยินว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพราะอำนาจเงิน

เพราะจำได้ว่าคราวที่แล้ว, หรือคราวไหนๆ ก็ตามเหตุผลนี้จะถูกหยิบขึ้นมาใช้เสมอ จะมากจะน้อยก็เท่านั้นเอง

สมัยฉันเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ๆ

ข้อหาสำคัญที่ฉันโดนตั้งแง่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูจนลอยลมมากระทบให้ได้ยินบ่อยๆ ก็คือ "เด็กเส้น" เส้นทั้งพ่อ เส้นทั้งพี่และที่ฉัน (ซึ่งเสียงวิพากษ์เหล่านั้นไม่ได้เรียกชื่อที่พ่อแม่ฉันตั้งให้หรอก แต่ก็มักจะแทนด้วย-อี-หรือ-มัน-แล้วแต่สะดวกปาก) ได้เล่นละคร

เล่นหนังนี่ก็เพราะพ่อฉันบีบบังคับ ใช้อำนาจทั้งความเป็นผู้กำกับใหญ่และอำนาจเงินซื้อหามาประเคนให้ฉัน

ฉัน, ซึ่งในเวลานั้นเดือดเนื้อร้อนใจและหดหู่กลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่งก็นำเรื่อง ที่ได้ยินมานี้มาปรึกษากับพ่อ ด้วยหวังจะได้ยินคำปลอบประโลมใจ

แต่พ่อ กลับหัวเราะแล้วบอกว่า, ถ้าเขามีทั้งเงิน ทั้งอำนาจจนบีบบังคับและซื้อหาคนได้ถึงเพียงนั้น พ่อจะมานั่งทำงานอยู่ทำไม? สู้นั่งสบายๆ

สั่งให้คนนั้นคนนี้เอาเงินมาให้ไม่ดีกว่าหรือ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ล่ะก็ เขาคงไม่ให้ฉันออกแรงมาทำงานอดนอนตากไฟแบบนี้หรอก สู้เอาเงินซื้อผู้ชายซักคนมาเป็นเจ้าบ่าวให้ฉัน แล้วมอบหมายหน้าที่ประเภทใช้อิทธิพลเก็บเงินเอาจากใครต่อใครที่น่าจะตกอยู่ภายใต้อำนาจมืดของพ่อน่าจะสะดวกสบายง่ายกว่า

พ่อทำงานในวงการนี้มาทั้งชีวิต พ่อไม่เคยมีอาชีพเสริม หรืองานสำรองใดๆ ในสายธุรกิจอื่นๆ

ดังนั้น เงินที่หาเลี้ยงครอบครัวก็มาจากงานแบบเดียวกับที่ฉันกำลังทำอยู่นี่เอง

ใช่ว่าเงินไม่สำคัญ แต่ทรายจะรู้เองว่ามันซื้อทุกอย่างไม่ได้, อย่างน้อยก็ความรัก, ความเชื่อแบบไม่มีเงื่อนไข และใจของคน

ดังนั้น เวลาใครพูดเรื่องใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลได้ฉันก็จะนึกถึงสิ่งที่พ่อกับฉันคุยกันในวันนั้นทุกที

อีกอย่างที่ฉันได้เรียนรู้จากช่วงชีวิตที่ผ่านมาสั้นๆ ของฉันก็คือ

ความรักนั้นมันเปลี่ยนแปลงกันได้

และสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในความรักได้อย่างเข้มข้นนั้นก็คือ ความเป็นจริง กาลเวลาและสิ่งแวดล้อม

ไม่ใช่เงิน


.