http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-07-11

สงครามสั่งสอน, สมัยหน้าของประชาธิปัตย์ โดย วงค์ ตาวัน

.

สงครามสั่งสอน
โดย วงค์ ตาวัน คอลัมน์ ชกคาดเชือก
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1612 หน้า 98


สังคมไทยเรายึดหลักการให้อภัย เลยไม่มีใครไปทวงถาม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ท้าทายเอาไว้ก่อนเลือกตั้ง หลังจากโพลทุกสำนักชี้ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะประชาธิปัตย์อย่างขาดลอย แต่นายสุเทพยืนยันว่าสูสี กระทั่งประชาธิปัตย์จะชนะนิดหน่อย

ย้ำด้วยว่า ให้แปะข้างฝาเอาไว้ได้เลย เตรียมปี๊บคลุมหัวเอาไว้ด้วย

นักเลงจริงเขาไม่ซ้ำเติมกัน ถือเสียว่าแค่นี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ชอกช้ำพออยู่แล้ว

ไหนจะยังมีเรื่องใหญ่รออยู่เบื้องหน้าอีก คือ คดี 91 ศพ

กล่าวได้ว่าเจตนารมณ์ของคนส่วนใหญ่ที่เลือกพรรคเพื่อไทยจนได้รับชนะเหนือประชาธิปัตย์ถึง 106 เสียงนั้น

นอกจากกระแสนิยมในว่าที่นายกฯ หญิงแล้ว อีกประการที่สำคัญคือ ต้องการความยุติธรรม ไม่มี 2 มาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นธรรมในคดี 91 ศพ

จริงอยู่สังคมไทยต้องการความปรองดอง ต้องการคลี่คลายความขัดแย้งแตกแยกที่ยืดเยื้อมาหลายปี

เป็นหน้าที่ของรัฐบาลนายกฯ หญิงจะต้องนำสันติสุขกลับคืนสู่สังคมไทย


แต่สำหรับความจริงและความถูกต้อง ในเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 นั้น ยังจำเป็นต้องได้รับการสะสางให้กระจ่างชัด เพื่อให้เป็นบทเรียนกับผู้มีอำนาจในยุคต่อๆ ไป

อย่าได้คิดใช้มาตรการทางทหารจัดการกับการชุมนุมประท้วงทางการเมืองอีก

รวมทั้งกรณีที่มีอำนาจพิเศษหนุนหลังก็อย่าได้ย่ามใจ

ปราบเสร็จจนตายหมู่เกือบร้อย ก็ยังเฉยๆ อยู่ได้ โดยลืมว่าคดีความนั้นมีอายุถึง 20 ปี

จะอยู่อำนาจได้ยาวนานแค่ไหน จะมีมือที่มองไม่เห็นปกป้องตลอดไปได้หรือ

แล้วเมื่อถึงวันต้องพ้นจากอำนาจ ก็ต้องกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง ใครกระทำอะไรไว้ ต้องไปพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม

และนี่คือความมุ่งมั่นจากประชาชนส่วนใหญ่ ที่แห่กันไปเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจ!



นักวิเคราะห์การเมืองบางคนเรียกปรากฏการณ์ 3 กรกฎาคม ซึ่งคนเกือบ 16 ล้านเสียงไปเลือกนายกรัฐมนตรีหญิงและพรรคเพื่อไทย จนได้รับชนะเหนือประชาธิปัตย์ด้วยจำนวน ส.ส. 265 ต่อ 159 เสียงนั้น ว่าเป็นสงครามสั่งสอน

เป็นเสียงเตือนพรรคการเมืองทุกพรรค แม้แต่พรรคเพื่อไทยเองก็เถอะ

เมื่อเข้าสู่อำนาจ แล้วถึงวันที่ขัดแย้งกับประชาชน จนเกิดการชุมนุมประท้วงด้วยจำนวนคนหลายหมื่นหลายแสน

ไม่ว่าจะมองม็อบนี้มีเบื้องหลังเช่นไรก็ตามที แต่ถ้าสถานการณ์มีแนวโน้มจะบานปลายถึงขั้นแตกหัก นองเลือด

ผู้มีอำนาจต้องยอมหยุด ยอมถอย

อย่ามาอ้างว่าต้องอยู่เพื่อรักษาบ้านเมืองเอาไว้ เพราะเนื้อแท้คือไม่ยอมปล่อยอำนาจจากมือ

ที่สำคัญ การรักษาบ้านเมืองที่ดีที่สุด ก็คือ ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย ต้องไม่มีประชาชนล้มตาย!

เพราะถ้าอ้างว่าต้องรักษากฎหมาย ไม่ยินยอมกฎหมู่ แล้วสั่งทหารลงสู่ท้องถนน ลงเอยต้องมีคนตาย วุ่นวายจลาจล แล้วก็เกิดเผาบ้านเผาเมืองตามมา

นั่นมิใช่วิสัยของผู้ปกครองบ้านเมืองที่ดี

แม้ว่าจะทำให้เป็นรัฐบาลที่กลุ่มอำนาจต่างๆ โปรดปราน แต่สำหรับประชาชนส่วนใหญ่มีแต่ความแค้นเคือง

รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ยอมม็อบเมื่อต้นปี 2553 แม้จะมีอะไรต่อมิอะไรสนับสนุนจนยืนยงอยู่ได้ ต่างจากรัฐบาลที่มีการปราบปรามประชาชนรุ่นพี่ๆ

แต่สุดท้ายอีก 1 ปีก็ไม่อาจฝืนกระแส ต้องยอมยุบสภาและยอมเลือกตั้งในที่สุด


จึงต้องถามว่า แล้วทำไมไม่ยอมยุบสภาเสียแต่ตอนที่เสื้อแดงเรียกร้อง

เมื่อมายุบในภายหลัง ไม่เกิดประโยชน์ เพราะความแค้นเคืองของผู้คนที่สะสมมาตั้งแต่ 19 พฤษภาคม 2553 นั้น ได้แปรเป็นพลังอันถาโถมในการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม

ผนึกเข้ากับความเดือดร้อนในเรื่องปากท้อง ความเบื่อหน่ายในการทำการเมืองระหว่างประเทศแบบเด็กสร้างบ้าน

265 เสียงของเพื่อไทย กับ 159 เสียงของประชาธิปัตย์ เป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

เป็นสงครามสั่งสอนจากประชาชน เมื่อ 3 กรกฎาคม!



ก่อนการเลือกตั้ง เกิดการดิ้นรนของกลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัด นำโดยอดีตนายทหาร คมช. กลุ่ม 40 ส.ว. ออกมาสร้างคำขวัญต่อต้านอย่างโจ๋งครึ่ม อย่าไปเลือกพรรคเผาบ้านเผาเมือง

สอดรับกับการโหมโจมตีพรรคเพื่อไทยและเสื้อแดงของประชาธิปัตย์ เน้นย้ำพวกเผาบ้านเผาเมือง ชุดดำฆ่า 91 ศพ อย่าไปเลือกพวกล้างผิดให้ทักษิณ

ไม่เท่านั้น ยังเล่นอะไรกันแปลกๆ ระดับโลก เมื่อจู่ๆ นายสุวิทย์ คุณกิตติ ประกาศลาออกจากภาคีมรดกโลก แล้วนายอภิสิทธิ์ก็ขานรับว่า นี่เป็นการตัดสินใจเพื่อรักษาอธิปไตย แล้วโจมตีใส่เพื่อไทยทันทีว่าเป็นพวกเดียวกับเขมร

เท่ากับเพิ่มเสียงตะโกน อย่าไปเลือกพวกขายชาติเพิ่มขึ้นอีก

แล้วผลการเลือกตั้งเป็นเช่นไร

คนส่วนใหญ่เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย จนเกินครึ่งสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างสบายๆ

แสดงให้เห็นอะไร!?

การที่อดีตทหาร คมช. กับกลุ่ม 40 ส.ว. งัดเผาบ้านเผาเมืองขึ้นมา แปลว่าคนส่วนใหญ่ชอบเผาบ้านเผาเมืองหรือไง

แล้วมุขขายชาติที่นายอภิสิทธิ์ผนึกกับนายสุวิทย์ จนสุดท้ายนายสุวิทย์สอบตกยกพรรคกิจสังคมแปลว่าอะไร

แปลว่าคนไทยส่วนใหญ่ชอบคบเขมร คนส่วนใหญ่ขายชาติหรือเปล่า

ต้องถามกลับไปว่าคนเหล่านี้มีสิทธิอะไรเอาบ้านเมือง เอาประเทศชาติ มาวางเดิมพันในการต่อต้านพรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้าม!

บ้านเมืองไทย อธิปไตยของชาติ มีศักดิ์ศรีในตนเองอยู่แล้ว อย่าได้ดึงลงมาเป็นเครื่องมือการเมืองอีกเลย

เพราะคนส่วนใหญ่เลือกพรรคเพื่อไทย โดยไม่เชื่อถือเรื่องเผาบ้านเผาเมือง แต่ต้องการให้หาคนผิดที่ทำให้ประชาชนล้มตาย 91 ศพมากกว่า

ต้องการรัฐบาลที่แก้ข้าวของแพงได้ ไม่ปล่อยให้ทุนใหญ่ด้านเกษตรมาผูกขาดจนกำหนดราคาได้เอง

ต้องการรัฐบาลที่คิดกว้างไกล สร้างสันติภาพกับเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เป็นเด็กเกเรแถมคลั่งชาติล้าหลัง

นั่นจึงทำให้พรรคเพื่อไทยชนะอย่างท่วมท้น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงกลายเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์การเมือง ใช้เวลาเพียง 40-50 วัน ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังเป็นนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทยอีกด้วย


แต่รัฐบาลปู ต้องเร่งทำงานฟื้นฟูประเทศ สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ลบล้างความขัดแย้ง แต่มิใช่กลบเกลื่อนความขัดแย้ง

ต้องรื้อฟื้นคดี 91 ศพสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา นำคนสั่งการตัวจริงมาลงโทษ ภายใต้ระบบยุติธรรมมาตรฐานเดียว ไม่ใช่ 2 มาตรฐาน

ไม่ใช่เป็นยุคเสื้อแดงเลยเอาใจแต่เสื้อแดง ไล่ล่าแต่เสื้อเหลือง นั่นก็คืออยุติธรรมซ้ำรอยเดิม

ต้องไม่ทำเพื่อทักษิณเพียงคนเดียว

แล้วถ้าเกิดความขัดแย้งกับประชาชนต้องยอมยุบสภา คืนอำนาจให้ชาวบ้าน

ไม่เช่นนั้นเลือกตั้งหนหน้า รัฐบาลนี้จะถูกประชาชนสั่งสอนอีกเช่นกัน!



++

สมัยหน้าของประชาธิปัตย์
โดย วงค์ ตาวัน คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
ในข่าวสดรายวัน วันพฤหัสบดีที่ 07 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7525 หน้า 2


กล่าวถึงชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม ซึ่งทิ้งห่างประชาธิปัตย์ถึง 106 ที่นั่ง รวมทั้งกวาดส.ส.ในหลายพื้นที่ จนพรรคขนาดกลางกลายเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยไปตามๆ กัน

บรรดานักการเมืองด้วยกันสรุปว่า เป็นกระแสพรรคที่รุนแรงอย่างมหาศาล

บางคนก็แค่ผู้สมัครใหม่ แต่สามารถไหลไปกับกระแสเพื่อไทยอันเชี่ยวกราก เข้าป้ายอย่างไม่น่าเชื่อ


กระแสพรรคเพื่อไทยที่ถาโถมถล่มทลายนั้นมาจากอะไร

หนึ่ง พลังเสื้อแดงที่แผ่กว้างไปทั้งภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง กทม. และสอง คลื่นความนิยมในตัวผู้นำหญิง!

กล่าวเฉพาะเสื้อแดง เป็นพลังที่สั่งสมมาจากเหตุ การณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553

เหตุการณ์ที่มีคนตายเกือบร้อยชีวิตกลางเมือง แต่ไม่มีใครรับผิดชอบ คดีไม่มีความคืบหน้า ผู้ที่น่าเชื่อว่าเป็นคนสั่งการ นั่งลอยนวลอยู่ในตำแหน่ง

นี่คือปรากฏการณ์สะท้อนอยุติธรรมในบ้านเมืองอย่างร้ายแรง

ความแค้นของเสื้อแดงจึงแปรเป็นพลังในวันเลือกตั้ง

ผสมผสานกับความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในวงกว้าง ที่ตัดสินใจไปเข้าคูหาด้วยรับไม่ได้กับ 2 มาตรฐาน

บัดนี้การเมืองไทยพลิกโฉมหน้า

เสื้อแดงและประชาชนที่เห็นอกเห็นใจในชีวิตมนุษย์มากกว่าตึกที่ถูกเผา จึงมีความหวังอย่างสูง!

เมื่อการเมืองเปลี่ยนแปลง

ความเป็นธรรมในคดี 91 ศพจะบังเกิดเสียที


จะว่าไปแล้วพรรคเพื่อไทยจะไม่ชนะขนาดนี้หรอก ถ้ารัฐบาลขณะนั้นเน้นคุณค่าของชีวิต โดยไม่ยอมให้สถานการณ์ไปถึงจุดนองเลือด

ถ้านายกฯขณะนั้น ตัดสินใจถอย เพื่อให้บ้านเมืองสงบโดยไม่มีคนตาย รับรองได้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะสูสีอย่างแท้จริง!!

วันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ พ้นจากอำนาจอย่างแท้จริง ด้วยการตัดสินของประชาชนในการเลือกตั้ง

ทั้งยังลาออกจากหัวหน้าและเลขาฯประชาธิปัตย์ เพราะพรรคพ่ายแพ้

ขณะที่คดี 91 ศพกำลังจะเดินหน้า

ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ น่าจะยอมรักษาพรรค เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ความถูกผิด โดยไม่ผูกตัวเองไว้ในตำแหน่งของพรรคอีก

เผื่อรัฐบาลไปได้ไม่กี่น้ำ ต้องยุบสภาเลือกกันใหม่ในอีกปีสองปี

ประชาธิปัตย์จะได้สะอาดสะอ้านลงสนามอย่างสง่างาม !



.