http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-07-28

การปรับตัวเพื่ออนาคต โดย ผาสุก และ สิทธิมนุษยชน โดย ฐากูร

.

การปรับตัวเพื่ออนาคต
โดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร คอลัมน์ ดุลยภาพ ดุลยพินิจ
ในมติชน ออนไลน์ วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 21:30:00 น.


ข้อมูลสถิติเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 ที่น่าสนใจมาก นอกเหนือจากที่ว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ ส.ส.จำนวนสูงสุด เทียบกับพรรครองลงมา 265 ต่อ 159 แล้ว ยังมีอีกหลายเรื่อง

หากนับจำนวนผู้ออกเสียงเลือกตั้งแบบปาร์ตี้ลิสต์ มีคนเลือก พท.ถึง 15.7 ล้านเสียง มากกว่าเมื่อปี 2550 อยู่ 3.4 ล้าน พรรค พท.ได้มากกว่า ปชป. อยู่ถึง 4.3 ล้านเสียง

เฉพาะพรรค ปชป. นั้น พ.ศ.2554 ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 11.4 ล้านเสียง ต่ำกว่าเมื่อปี 2550 ที่ได้ 12.1 ล้านเสียง

แสดงว่าโดยรวมพรรค ปชป.มีคะแนนนิยมลดลง แม้แต่พรรคพันธมิตร เช่นภูมิใจไทย ก็ยังได้คะแนนไม่เข้าเป้า ขณะที่ พ.ท.คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นมาก

สำหรับการเลือก ส.ส.พรรค ปชป.ชนะแบบขาดลอยที่ภาคใต้ แต่ที่ภาคเหนือตอนบนและอีสาน พท.ชนะแบบขาดลอย แสดงให้เห็นว่าความพอใจพรรคการเมือง แยกตามภาคเด่นชัดใน 3 ภาคนี้

ที่กรุงเทพฯ แม้ ปชป.จะชนะ พท.โดยได้ ส.ส. 23 ต่อ 10 หากดูรายละเอียด พบว่า ปชป. ไม่ได้ชนะแบบขาดลอยถึง 18 เขต คือคะแนนต่างกันเพียงไม่กี่พันเท่านั้น

จึงมีผู้กล่าวว่า ที่กรุงเทพฯยังไม่มีลักษณะแยกพรรคที่เด่นชัด ดังที่ภาคเหนือตอนบน อีสาน และภาคใต้ ถึงกระนั้นชัยชนะก็คือ ชัยชนะของ ปชป.ที่กรุงเทพฯ ดังนั้น จึงยังไม่อาจกล่าวได้ว่า พ.ท.ชนะทั้งประเทศแบบถล่มทลาย


อย่างไรก็ตาม ชัยชนะของพรรค พท. โดยรวมในปี 2554 นี้ได้ส่งสัญญาณถึงความเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ทางการเมืองของสังคมไทยที่ยากจะปฏิเสธ ที่สำคัญคือ

ก.การออกเสียงเลือกตั้งมีแนวโน้มสู่การเลือกพรรคใหญ่ 2 พรรค ชัดเจนขึ้น และพรรคใหญ่ที่ว่านี้เป็นตัวแทนของ 2 ขบวนการสังคมไทยที่ย้อนแย้งกันอยู่ด้วย คือกลุ่มคนเสื้อเหลืองและผู้มีใจให้ (แม้จะไม่เห็นด้วยทุกเรื่อง) กับอีกกลุ่มคือคนเสื้อแดงและผู้มีใจให้

ข.การตัดสินใจเลือกตั้งมีแนวโน้มว่า เกิดจากความนิยมชมชอบพรรคมากกว่าเรื่องบุคคล (personality) หรือเงิน หรือการกำกับโดยภาคราชการ (มหาดไทย กองทัพ) ดังเช่นในอดีต การใช้เงินยังมีอยู่ เพราะเกิดเป็นประเพณีไปแล้ว อีกทั้งยังมีปัญหารายได้ต่ำ แต่มีข้อมูลน่าเชื่อถือว่า แม้จ่ายเงินก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ที่ต้องการ ชาวบ้านรับเงินแต่จะเลือกใครเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ค.ผลของการเลือกตั้งทั่วไปตามแนวโน้มที่กล่าวมา เกิดขึ้นซ้ำๆ มาเป็นเวลา 10 ปี แล้ว

ง.ราษฎรที่ตื่นตัวทางการเมืองไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งในอัตราสูงเป็นประวัติการณ์ คือร้อยละ 75 ส่อแสดงความต้องการระบอบรัฐสภาประชาธิปไตยภายใต้หลักการ 1 คน 1 เสียง ที่ค่อนข้างเด่นชัด


ข้อมูลข้างต้นนี้ บันดาลใจให้คิดถึงข้อเสนอเพื่ออนาคต ให้พิจารณาถกเถียงกันอย่างน้อยหกข้อด้วยกัน คือ

หนึ่ง ถึงเวลายกเลิกแนวคิดความเป็นหนึ่งเดียว (unity) ยอมรับการอยู่ร่วมโดยสันติ

ความเป็นหนึ่งเดียว บางทีก็ว่า ความสามัคคี เป็นแกนของอุดมการณ์ชาติมาโดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาใส่กล่องใหม่ใช้คำว่า "ปรองดอง" โดยจะพบว่ากองทัพใช้คำนี้มาก แต่แนวคิดนี้ตกขอบไปแล้ว เพราะขณะที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไป และมีความสลับซับซ้อนขึ้น ความปรองดองกลับถูกใช้เพื่อปราบปรามผู้มีความคิดต่าง และได้นำไปสู่การข่มขู่ การจับกุมคุมขัง การปิดสื่อสาธารณะ ฯลฯ จึงควรยกเลิกเสีย ทดแทนด้วยยอมรับการอยู่ร่วมกัน ยอมรับนับถือความคิดต่าง

จะเป็นไรไปถ้าจะอยู่กลุ่มเสื้อเหลือง จะเป็นไรไปถ้าจะอยู่กลุ่มเสื้อแดง สีอะไรก็อยู่ร่วมกันได้

สอง ระบอบรัฐสภาประชาธิปไตย เป็นกลไกการเมืองเพื่อบริหารจัดการความคิดต่าง และความขัดแย้งต่างๆ ในสังคมสมัยใหม่ที่มากด้วยความสลับซับซ้อนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในขณะนี้ และสากลโลกก็ยอมรับ จงยอมให้กลไกนี้ทำงานและพัฒนาไปตามครรลอง แน่นอนว่า กรอบกติกาที่กำกับระบบนี้คือ รัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก จะต้องได้รับการออกแบบและมีการพัฒนาแบบลองผิดลองถูก ผ่านกระบวนการเรียนไปทำไป จนก่อเกิดเป็นประเพณีและหลักปฏิบัติอันเหมาะสมกับสภาพของเศรษฐกิจสังคมที่มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ

โดยไม่ให้มีการสะดุดหยุดและถูกแทรกแซงเป็นระยะๆดังที่ผ่านมา

สาม กองทัพต้องยุติบทบาททางการเมืองโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ เพื่อความอยู่รอด และศักด์ศรีของกองทัพนั้นเองและเพื่อชาติ กองทัพคงไม่อยากจะถูกโยงกับเรื่อง 91 ศพ อีก

เริ่มต้นเลย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ที่รัฐบาลรัฐประหาร 2549 ผ่านออกมา ต้องยกเลิก เพราะว่า พ.ร.บ.สถานการณ์ฉุกเฉินก็เพียงพอแล้ว การคงอยู่ของ พ.ร.บ. นี้เป็นช่องให้กองทัพมีบทบาททางการเมืองสูงขึ้น

สี่ สถาบันพระมหากษัตริย์

กลุ่มอนุรักษนิยมในช่วงที่ผ่านมาสนับสนุนแนวคิด สถาบันอยู่เหนือการเมือง แล้วพยายามใช้อำนาจที่อิงสัญลักษณ์ของสถาบัน เพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือโดยไม่ระบุเป้าหมายที่ชัดเจน

การใช้อำนาจที่อิงกับสัญลักษณ์ของสถาบัน ได้สร้างความเสียหาย เพื่อหลีกเลี่ยงความสุ่มเสี่ยงนี้ ทางออกทางหนึ่งคือการพัฒนาสู่ "ceremonial role" ในทำนองเดียวกับที่อังกฤษเป็นอยู่

ห้า ระบบตุลาการและศาล ต้องได้รับการปฏิรูปอย่างครอบคลุม

ในอดีต ศาลไม่มีบทบาททางการเมือง แต่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในเรื่องนี้ ขณะที่ยังไม่มี rule of law ที่ชัดเจน พัฒนาการนี้สุ่มเสี่ยงและเป็นอันตราย กับชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของศาลได้ เนื่องจากศาลอาจจะยังไม่เป็นอิสระจากส่วนอื่นๆ ของระบบรัฐบาลอย่างเต็มที่

คำว่า สองมาตรฐาน มีหลายความหมาย แต่ก็มีนัยเป็นข้อวิจารณ์ระบบศาลด้วย

การปฏิรูประบบศาล ต้องรวมถึงการปรับระบบการเรียนการสอนกฎหมาย การตรวจสอบระบบศาล และการให้ความช่วยเหลือผู้ถูกดำเนินคดีที่เป็นระบบ (legal aid)

หก รัฐบาลจำเป็นต้องใช้งบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสร้างสินค้าสาธารณะเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

การนี้ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่ความสามารถเก็บภาษี ขณะนี้ได้เพียงร้อยละ 17 ของจีดีพี การศึกษาชี้ว่าถ้าการจัดเก็บมีประสิทธิภาพขึ้น แม้ไม่เพิ่มอัตราภาษีเลย ก็จะได้รายได้รัฐเพิ่มเป็นร้อยละ 22 ของจีดีพี

และหากปรับปรุงระบบภาษี นำภาษีทางตรง เช่นภาษีที่ดิน และ capital gain tax เข้ามาปรับใช้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถเพิ่มรายได้รัฐได้อีกอักโข พอที่จะนำไปสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐานแบบถ้วนหน้าให้ราษฎรได้ โดยไม่ต้องมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น



++

สิทธิมนุษยชน
โดย ฐากูร บุนปาน คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์ วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 21:00:00 น.


ถึงจะดึงรายงานการสอบสวนข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมของประชาชนในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ชุดที่ นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นประธาน กลับไปแล้ว

แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ก็ยังเผชิญแรงกดดันมหาศาล

จากทั้งญาติของผู้เสียชีวิตผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าว ไปจนกระทั่งถึงผู้มีใจรักความเป็นธรรมและผู้ที่ยึดกุมหลักการสิทธิมนุษยชนเอาไว้มั่นคง

ในด้านหนึ่งเพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาของ กสม.เอง ที่มักจะเอียงเข้าหาอำนาจมากกว่าความเป็นธรรม

อีกด้านหนึ่งก็เนื่องจากรายงานสาระของฉบับที่ว่านั้น "เหลือทน" จริงๆ

เพราะไม่เพียงแต่ "บิดเบือน" หลักการสิทธิมนุษยชนจนไม่เหลือชิ้นดี

ยัง "กล้าหาญ" พอที่จะบรรจุข้อมูลเท็จเอาไว้ในนั้นด้วย


ในประเด็นแรก ถ้าคนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนไม่มีจิตสำนึกว่า การที่เอาทหารเข้ามาปราบปรามประชาชนที่มาชุมนุมทางการเมืองเป็นความผิด

เอาปืนที่ควรจะชี้ออกนอกบ้าน เข้ามาชี้ในบ้านเป็นเรื่องผิดปกติ

ควรจะกลับไปตรวจสมองของตัวเองใหม่


ไม่ได้อ่านวารสาร "เสนาธิปัตย์" ของทหารเขาบ้างหรือว่า ที่เขาจัดกำลังกันมาครั้งนี้ เขามากันเป็นกองทัพ เพื่อจะทำสงครามในเมือง และได้รับอนุญาตให้ใช้กระสุนจริง

ปฏิบัติการทั้งหมดนี้รัฐบาลเป็นผู้อนุมัติและสนับสนุนอย่างจริงจัง

จนกระทั่งผู้ปฏิบัติ "สบายใจ"


ในประเด็นต่อมา รายงานนี้สรุปเอาแบบผู้มีตาทิพย์ว่า พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิตด้วยฝีมือ "ชายชุดดำ"

ทั้งที่นี่คือหนึ่งในคดีปริศนาที่สุดของเหตุการณ์ช่วงดังกล่าว

ขณะที่ในกรณี 6 ศพวัดปทุมวนาราม ท่านบอกดื้อๆ ว่าไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร

แถมยังมีข้อมูลใหม่ล่าสุด ชนิดที่ไม่เคยมีคนรู้อีกว่า มีคนถูกฆ่านอกวัด แต่ถูกลากมาตายอยู่ในวัด

ท่านเอาข้อมูลนี้มาจากไหนครับ?

ทำไมเรื่องนี้ไม่เคยปรากฏในข่าว ไม่อยู่ในสำนวนของตำรวจ และที่สำคัญคือไม่เคยมีคนนับพันที่หลบอยู่ในวัดพูดถึง



เอากลับไปทบทวนกันใหม่น่ะถูกต้องแล้ว

และถ้าจะให้ดี ลองไปหารายงานเรื่องเดียวกันขององค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือ "ฮิวแมน ไรต์ วอตช์ "

หรือรายงานของอาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ประธานคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์สันติวิธี ของ สกว.

ไปจนกระทั่งรายงานสรุป 6 เดือนแรกของคณะกรรมการอิสระเพื่อการค้นหาคามจริงและการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)มาอ่านบ้างก็ได้

ไม่ได้หวังว่าอ่านแล้วจะเกิดความ "กล้าหาญทางจริยธรรม" และความรับผิดชอบอื่นๆ ตามมาในทันใด

แต่อยากให้รู้ว่า หลักสิทธิมนุษยชนในโลกนี้ยังมีอยู่จริง

ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านไม่ต้องลำบากมาทำก็ได้



.