http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-10-16

น้ำลดตอผุด, + อยากให้เป็นเพียงแค่ฝันไป โดย คำ ผกา

.

น้ำลดตอผุด
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1626 หน้า 89


คงมีหลายแง่มุมที่เราสามารถพูดเกี่ยวกับน้ำท่วมได้

ตั้งแต่ในระดับ "ความเชื่อ" เช่น มีหลายคนอวดอ้างว่า บ้านของตนรอดพ้นจากน้ำท่วมเพราะได้บูชาพระแม่คงคาอย่างถูกต้อง โดยมิได้คำนึงว่าแท้จริงแล้วตนเองได้ถมที่ให้สูงกว่าบ้านหลังอื่นหรือมีทรัพยากรบุคคลและกำลังทรัพย์ในการตระเตรียมกระสอบทราย เครื่องสูบน้ำ ได้มากกว่าคนอื่น

ไปจนกระทั่งการรื้อฟื้นพิธีไล่น้ำที่ทำโดย กทม. โดยมิได้ชัดแจ้งว่าไล่ไปไหน จะไล่ไปอ่าวไทย หรือไปลพบุรี อยุธยา อันแปรสภาพเป็นเมืองบาดาลไปแล้ว

หรือที่เหลือเชื่อว่านั้นคือกระแสความเชื่อที่บอกว่า เพราะมีผู้นำประเทศเป็นผู้หญิงจึงเกิดอาเพศ หากใช้ตรรกะเดียวกันจะบอกว่าที่เกิดสึนามิในญี่ปุ่นเพราะมีผู้นำเป็นผู้ชายได้หรือเปล่า?

หรือเพราะญี่ปุ่นห้ามการล่าปลาวาฬเทพเจ้าแห่งมหาสมุทรเลยกริ้วดลบันดาลให้เกิดสึนามิ



แม้น้ำท่วมครั้งนี้จะก่อให้เกิดความเสียหายจนแทบประเมินค่าไม่ได้ แต่ด้วยพลังของการถ่วงดุลข่าวสารข้อมูลจากผู้คนที่อยู่ใน social media ฉันคิดว่าสังคมไทยได้บทเรียนเกี่ยวกับน้ำท่วมที่ต่างไปจากอดีต

อันดับแรก มีการตั้งคำถามกับการมีอยู่ของ "เขื่อน" มากขึ้น ในอดีต เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ผลักดันโครงการเขื่อนเก็บน้ำขนาดใหญ่โดยอ้างว่าเราจำเป็นต้องมีเขื่อนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอีก

ทว่า เหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำซาก บวกกับการที่ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณน้ำในเขื่อน การเก็บและการปล่อยน้ำจากเขื่อน ทำให้เกิดคำถามว่า เหตุไฉนเขื่อนจึงทำหน้าที่สวนทางกับที่เราเคยรับรู้

นั่นคือ เราเชื่อมาโดยตลอดว่า เขื่อนจะเก็บน้ำในฤดูฝน และปล่อยน้ำให้ประชาชนใช้ในฤดูแล้งยามที่ขาดแคลนน้ำ

ทว่า การณ์กลับเป็นตรงกันข้าม เพราะในฤดูแล้ง เขื่อนบอกว่ามีน้ำไม่มีพอปล่อย หรือปล่อยได้ไม่ทั่วถึง แต่พอถึงฤดูน้ำหลาก เขื่อนก็บอกเราว่าเขื่อนไม่สามารถรับปริมาณน้ำได้อีกแล้วจำต้องปล่อยไปท่วมบ้านเรือน เรือกสวน ไร่นาของราษฎร

ประชาชนไทยจึงได้รับบทเรียนแล้วว่านอกจากเขื่อนจะผลิตกระแสไฟฟ้าที่พอใช้แค่สำหรับห้างใหญ่ไม่กี่ห้างในกรุงเทพฯ แล้ว เขื่อนที่สร้างมาบนฐานของการทำลายผืนป่าขนาดใหญ่ เขื่อนยังไม่ได้ทำหน้าที่ป้องกันน้ำท่วมและแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างที่อวดอ้าง



อันดับที่สอง ฉันพบว่าคนไทยเริ่มตั้งคำถามที่สำคัญมาก นั่นคือ ตั้งคำถามต่อคำว่า "น้ำใจ"

ในอดีต เมื่อมีภัยพิบัติทางธรรมชาติ อีเวนต์ที่ใหญ่ที่สุดคือการจัดงาน หรือเอาคนดังมารับโทรศัพท์เพื่อรับบริจาคเงินช่วยเหลือ

ในอดีต การเกิดภัยพิบัติยังเป็นช่องทางให้กลุ่มการเมือง (ที่ไม่ใช่นักการเมืองเท่านั้น) และกลุ่มธุรกิจที่ต้องการสร้างภาพพจน์ที่ดีแก่องค์กร กระโดดเข้ามาทำงานสังคมเคราะห์เพื่อสั่งสมภาพพจน์ที่ดีขององค์กร

ส่วนคนชั้นกลางจำนวนหนึ่งที่ลึกๆ สำนึกอยู่ว่าตนเองมีความได้เปรียบทางสังคม เศรษฐกิจท่ามกลางการขูดรีด เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น (เช่น เรารู้ดีว่า เราได้เดินห้าง มีแอร์เย็นฉ่ำ เพราะคนไทยกลุ่มหนึ่งต้องสูญเสียที่ดิน บ้าน อาชีพ ไปกับการสร้างเขื่อน) ก็ถือโอกาสนี้ได้ทำงานจิตอาสา บริจาคเงิน เพื่อล้างบาปในใจ (ซึ่งก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย)


แต่น้ำท่วมปีนี้ มีการถกเถียงกันใน social media อย่างคึกคักว่า น้ำใจอาจจะจำเป็นมากในการให้ความช่วยเหลือระยะสั้น แต่ในการแก้ไขปัญหาระยะยาวนั้นแท้จริงแล้วมันเกิดจากความ "ไร้น้ำใจ" หรือไร้ซึ่งสำนึกของพลเมืองที่ตระหนักว่าตนเองต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเสมอภาคกัน

และหากเรามีสำนึกนี้อยู่ "น้ำใจ" ในเชิงสังคมสงเคราะห์หรืออุปถัมภ์ อาจจะไม่จำเป็น เช่น

ความเพิกเฉยของพวกเราต่อการประท้วงของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน, ความเพิกเฉยของพวกเราต่อธุรกิจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่เจ้าของธุรกิจการเกษตรแบบพันธะสัญญาที่ก่อให้เกิดการทำลายผืนป่าเพื่อทำไร่ข้าวโพดหรือการละเลยที่จะตรวจสอบโครงการเกษตรในพื้นที่สูงว่ามีผลกระทบต่อป่าและระบบนิเวศน์อย่างไร ?

ความเพิกเฉยของพวกเราที่ไม่อยากใส่ใจตรวจสอบ ความถูกต้องของบรรดาโครงการบ้านจัดสรรที่ถมคู คลอง หนองบึง ว่าโครงการเหล่านั้นและภาครัฐได้เข้มงวดต่อการออกแบบเพื่อมิให้กระทบต่อการระบายน้ำของเมืองทั้งเมืองหรือไม่ ไปจนกระทั่งปัญหาโลกแตกแบบใครรวยกว่าก็ถมที่สูงกว่า บ้านคนอื่นท่วมช่างหัวมัน บ้านกูอย่าท่วมก็แล้วกัน

การเอาใจใส่ที่จะตรวจสอบและใช้ความเป็นภาคประชาสังคมเข้าไปตรวจสอบและมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายในเรื่องเหล่านี้คือ

สำนึกของพลเมืองที่ปรารถนาจะปกป้องสิทธิอันไม่ควรถูกละเมิดของตน ไม่เกี่ยวกับระดับศีลธรรม คุณธรรม หรือ "น้ำใจ"เพราะน้ำใจนั้นมาพร้อมกับบุญคุณ หรืออาการอิ่มเอิบที่ได้ "ช่วยเหลือ" คนที่ต่ำกว่าหรือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก

แต่สำนึกพลเมืองจะไม่เอาศีลธรรมบังหน้าเพราะไม่เชื่อว่าใครดีกว่าใครหรือเลวกว่าใคร แต่คนทุกคนต้องได้รับการปกป้องสิทธิของตนเองอย่างเสมอหน้ากันในฐานะที่เป็นพลเมืองของรัฐ

และที่สำคัญสำนึกพลเมืองเช่นนี้ พลเมืองย่อมไม่เพิกเฉยต่อปัญหาของพลเมืองคนอื่นๆ เช่น "เขื่อนสร้างบ้านมึงไม่ใช่บ้านกู" ไม่เป็นไร

หรือไม่สนใจเรื่องโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ตราบใดที่ไม่ได้มาสร้างอยู่ข้างบ้านตนเอง อย่างนี้เป็นต้น

น้ำท่วมปีนี้คนไทยได้ตั้งคำถามแล้วว่า เราไม่ได้ต้องการ "น้ำใจ" แบบสังคมสงเคราะห์เท่านั้น - โดยเฉพาะพวกที่สงเคราะห์แล้วป่าวประกาศแบบกลัวคนไม่เห็นความดี

แต่สิ่งที่เราพัฒนาต่อคือ สำนึกของพลเมืองของรัฐสมัยใหม่



ประการต่อมา มีกลุ่มคนที่ตาสว่างจากมหากาพย์ว่าด้วยประเทศไทยฉบับราชการได้พยายามเบิกเนตรคนไทยคนอื่นๆ มิใช่ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อแต่ด้วย "ข้อมูล" ที่ไม่ได้ลึกลับซับซ้อน ทว่า ที่ผ่านมาคนไทยถูกม่านอคติบังตาเอาไว้ข้อมูลเหล่านี้จึงไม่ได้รับความสนใจไยดีมาก่อน ข้อมูลเหล่านี้ถูกสื่อสารผ่านเพจในเฟซบุ๊กชื่อ "ประเทศไทยอยู่ตรงไหน" http://www.facebook.com/whereisthailand

คำว่า "อยู่ตรงไหน" เปลี่ยนการรับรู้ของคนไทยในอดีตที่มักจะพูดถึงประเทศไทยโดยไม่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับโลกใบนี้ราวกับเราเป็นขวานทองที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในจักรวาลตามลำพัง ดังนั้น เราจึงเคลิบเคลิ้มกับการพูดถึงประเทศไทยว่า

- ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร

- ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์กว่าใคร ในน้ำมีปลาในนามีข้าว

- ประเทศไทยพัฒนาช้าเพราะเราอยู่ในประเทศที่สบาย ไม่ร้อนจนตาย ไม่หนาวจนตาย มีผ้าขาวม้าผืนเดียวก็อยู่ได้ คนจีนนั่งเรือมาเห็นผักบุ้งในแม่น้ำไทยก็ตะโกนว่า เรารอดตายแล้ว เพราะเจอแผ่นดินสุวรรณภูมิอันอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่งไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ

- ประเทศไทยเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวอะไร ประเทศของเราจะอยู่รอดปลอดภัยตราบเท่าที่เราไม่ลบหลู่และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์

- ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ จึงไม่กินเหล้า ไม่มีบ่อน ไม่มีกะหรี่ มีแต่คนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

- ประเทศโชคดี ไม่มีภูเขาไฟระเบิด ไม่มีแผ่นดินไหวใหญ่ เพราะบรรพบุรุษของเราอัจฉริยะได้เลือกชัยภูมิที่ดีเลิศในการสร้างบ้านแปงเมือง

ฯลฯ

เพจ "ประเทศไทยอยู่ตรงไหน" ได้เข้ามาแก้อาการ "ทึกทักเอาเอง" ในมหากาพย์ว่าด้วยประเทศไทยฉบับราชการนี้ ด้วยการนำเสนอข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ เพราะปราศจากการเปรียบเทียบเสียแล้ว เราคงไม่มีวันรู้ว่า "เราอยู่ตรงไหน"

เพจเราอยู่ตรงไหนตั้งคำถามว่า - ประเทศไทยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำจริงหรือไม่?, เราปลูกข้าวได้มากกว่าประเทศอื่นๆ จริงหรือไม่?, เราบริโภคสุราเป็นอันดับที่เท่าไหร่ของโลก?, สถิติการฆ่ากันของเราอยู่ตรงไหนของโลก ผลพลอยได้ที่เรารู้มาคือประเทศภูฏานที่ว่ากันว่ามีความสุขนักหนานั้นมีสถิติการฆ่ากันสูงกว่าประเทศบรูไน อย่างนี้เป็นต้น

หากใครอยากรู้ว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหน เชิญไปทัศนาเพจนี้ด้วยตนเอง แล้วได้ตาสว่างออกจากมายาคติที่ว่าด้วยเกิดมาเป็นคนไทยมันช่างโชคดีกว่าใคร



ทีนี้เกี่ยวกับน้ำท่วมอย่างไร

ล่าสุด เพจ ประเทศไทยอยู่ที่ไหนนำเสนอข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทย บราซิล บังกลาเทศ และแอฟริกากลางเป็นกลุ่มประเทศที่มีความผันผวนของปริมาณน้ำต่อหน่วยพื้นที่ในรอบปีสูงที่สุดในโลก

เพราะฉะนั้น "ชัยภูมิ" ของประเทศไทยคือชัยภูมิที่ต้องเผชิญกับภาวะผันผวนของทั้งภัยแล้งและภัยน้ำท่วมอย่างประมาทไม่ได้

แต่ปัญหาคือ คนไทยถูกสอนให้เชื่อตามๆ กันมาว่า ประเทศไทยนั้นไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่จะต้องเผชิญกับภัยพิบัติ พวกเราจึงมีชีวิตอยู่กับมายาคติที่ว่าคนไทยมีผ้าขาวม้าผืนเดียวก็ไม่ตาย

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีหน่วยงานหรือรัฐบาลไหนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทำการศึกษา หาข้อมูล มีวาระว่าด้วยการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างเอาจริงเอาจังแม้แต่รัฐบาลเดียว

ไม่ต้องพูดถึง การซักซ้อม เตรียมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที มีประสิทธิภาพ

มีการเตรียมตัวโดยปราศจากอารมณ์เวิ่นเว้อ ฟูมฟาย เพราะสิ่งที่มนุษย์ต้องการยามประสบหายนะคือ สติ เหตุผล และประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาอันมาพร้อมกับการเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบและเป็นการทำงานระยะยาว ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

คนที่บ้านน้ำท่วม ไม่ได้อยากได้แค่มาม่า ปลาประป๋อง แต่ต้องการส้วม ต้องการรู้วิธีการรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บ การจัดการกับขยะ ต้องการรู้ข้อมูลล่วงหน้าตั้งแต่ฤดูแล้งว่าหากน้ำท่วม รัฐบาลได้เตรียมการใช้สถานที่ที่ไหนเป็นแหล่งอพยพ พักพิง โรงยิม สนามกีฬา ศูนย์ประชุม โรงเรียน ฯลฯ ที่ถูกกำหนดให้เป็นที่ลี้ภัยได้ชั่วคราว เป็นต้น

สุดท้ายในเพจนี้ยังแสดงข้อมูลที่ทำให้เห็นว่าทั้งลาว และเวียดนาม ประสบความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินกับน้ำท่วมในปีนี้ไม่น้อยไปกว่าเรา


ข้อมูลนี้บอกอะไรแก่เรา ?

ข้อมูลนี้บอกว่า อย่าหมกมุ่นแต่เฉพาะปัญหาในบ้านตนเอง ปราศจากเขตแดนสมมุติในแผนที่ การรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการป้องกันมิให้เกิดปัญหาที่เลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น เราต้องเห็นภูมิภาคทั้งภูมิภาค เห็นแม่น้ำโขงทั้งสาย เห็นแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสายที่เชื่อมโยงกับแม่น้ำอื่นๆ และในดินแดนของประเทศอื่นๆ

เมื่อเห็นดังนั้น เราจะต้องใส่ใจกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในจีน ปัญหาการสร้างเขื่อนสาละวิน ปัญหาการจัดการแม่น้ำโขง ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าในลาว ด้วยหรือไม่

และคงจะต้องหยุดวิเคราะห์ปัญหาภัยพิบัติในพม่าว่าเกิดขึ้นเพราะชาติที่แล้วทำบาปกรรมไว้กับอยุธยา มิเช่นนั้นที่อยุธยาจมน้ำอยู่ตอนนี้ พม่าอาจบอกว่า เป็นเพราะบาปกรรมที่ทำไว้กับพม่าเมื่อชาติที่แล้วเช่นกัน

คำโบราณว่า "น้ำลด ตอผุด" ฉันภาวนาว่าน้ำลดครั้งนี้ หลักตอในมหากาพย์ของความเป็นไทยจะโผล่และปัญญาของเราจะผุด

และพอกันทีกับการสังคมสงเคราะห์กันไปวันๆ



++++

บทความที่เกี่ยวกับมายาคติ 'ความเป็นไทย'ของปีที่แล้ว

อยากให้เป็นเพียงแค่ฝันไป
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1561 หน้า 89


"สื่อที่พูดถึงหมายถึงใคร นายสาธิตกล่าวว่า เป็นอดีตสื่อ เป็นผู้ใหญ่ของหนังสือพิมพ์บางฉบับ โดยพบว่ามีเส้นทางการเงินเข้ามา ซึ่งกำลังติดตามว่าสื่อคนเดียวไม่น่าจะมีผลการเปลี่ยนแปลงความคิดของคอลัมนิสต์ต่างๆ ได้ จึงกำลังโยงว่าสื่อนี้มีอิทธิพลต่อสื่ออื่นหรือไม่ เพราะคิดว่าบุคคลนี้ไม่น่าจะมีอิทธิพลเพียงพอในการนำสู่การสำเสนอข่าวบิดเบือน น่าจะมีเจ้าพ่อสื่อ หรือสื่อที่ใหญ่กว่านั้นอยู่เบื้องหลัง ซึ่งผมจะนำข้อมูลมาเปิดเผยและส่งให้คณะกรรมการปฏิรูปสื่อ นำไปศึกษา ทั้งนี้ควรเอาคนผิดมาดำเนินการให้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นหากนำไปร่วมปฏิรูปด้วยกัน ไม่ได้ผล คนที่รับเงินก็ต้องถูกกำจัดออกไป"
www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278827097&grpid=00&catid=



จําได้ว่าเคยถามอาจารย์ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งว่าทำไมท่านถึงเลือกที่จะศึกษาเรื่องเมืองไทย ท่านตอบว่า สำหรับนักศึกษาปริญญาโทในขณะนั้น ท่านรู้ว่าท่านสนใจภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เมื่อต้องเลือก "พื้นที่" เพื่อทำงานวิจัยและเขียนวิทยานิพนธ์ ท่านเลือกเมืองไทยเพราะ เมืองไทยอยู่ง่าย อาหารอร่อย ที่สำคัญมีเสถียรภาพทางการเมือง และมีความปลอดภัยพอสมควรโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับพม่า และอินโดนีเซีย

เวลาผ่านไปประมาณ 30 ปี ฉันไม่แน่ใจว่าถ้าย้อนเวลากลับไปในสมัยเรียนปริญญาโท อาจารย์ยังจะเลือกเมืองไทยเป็นพื้นที่ศึกษาหรือไม่

บางวันฉันตื่นขึ้นมาแล้วอยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงความฝัน คนในเจเนอเรชั่นของฉันซึ่งเติบโตมาพร้อมกับความเชื่อมั่น อีกทั้งความหยิ่งผยองว่าเราอยู่ในประเทศที่ปลอดภัย และรัฐบาล "ศิวิไลซ์" พอที่จะไม่กระทำกับประชาชนอย่างเช่นรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านทำ (หากเขาเคยกระทำมาในอดีต เขาย่อมไม่ทำซ้ำ-ทำไมเราถึงไร้เดียงสาเช่นนั้น)

เราเคยนั่งสงสารเพื่อนชาวพม่าบางคนที่ไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นในโลกภายนอก เพราะโลกของเขาและเธอถูกจำกัดเอาไว้เท่าที่รัฐบาลต้องการให้รู้เท่านั้น

เราเคยหัวเราะเยาะเพื่อนชาวพม่าอีกนั่นแหละที่ยืนยันในงานเลี้ยงนักศึกษาต่างชาติว่า "ในประเทศพม่าไม่เคยมีการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารอะไรอย่างที่พวกเธอพูดเลย ไปเอาข่าวมาจากไหน ?!! "

เราเอาเรื่องการจับคนไปเรียกค่าไถ่รายวันของฟิลิปปินส์มาเป็นเรื่องขำขันในวงสนทนา

เราเคยพยายามทำความเข้าใจอารมณ์ขึ้งเคียด และความเครียดกดดันของเพื่อนนักศึกษาชาวเวียตนามว่าเป็นเพราะพวกเขาผ่านช่วงเวลาของสงครามอันโหดร้าย

เราเคยก่นด่า สะเทือนใจกับการก่อการร้ายโดย "รัฐ" ของอินโดนีเซีย

แต่วันนี้ ฉันมานั่งอยู่ในประเทศที่ไม่เคยแน่ใจว่าโทรศัพท์จะถูกดักฟังหรือไม่ เพื่อนบางคนต้องใช้โทรศัพท์ สอง-สามเบอร์ โทรฯเสร็จปิดเครื่อง ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ใช่คนเสื้อแดง ไม่ใช่แกนนำ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นเป็นเพียงพลเมืองที่กล้าออกมาพูดในสาธารณะว่าเขาไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลอย่างไรบ้าง



ฉันอยากจะเชื่อจริงๆ ว่าฉันฝันไป ฝันว่าไม่มีการคุกคาม ข่มขู่พยาน อย่างที่คุณวสันต์ อาสาสมัครของมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันกำลังโดน

ฝันว่าไม่มีฝ่ายความมั่นคงลงพื้นที่ไปกวาดล้างประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล-จริงหรือที่ว่า เราไม่มีสิทธิที่จะคัดค้าน ทักท้วง และไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล?

จริงหรือที่เรากำลังนั่ง เดิน ยืน กิน ขี้ และบางครั้งก็หฤหรรษ์ร่วมเพศอยู่ในประเทศที่ถ้าคุณออกมาพูดว่า รัฐบาลทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เขาจะส่งคนมาจับคุณ!

การยืนหยัดในหลักการประชาธิปไตย กลายเป็นการล้มเจ้า กลายเป็นเรื่องของการก่อการร้าย กลายเป็นการเลียไข่แม้ว กลายเป็นการท่อน้ำเลี้ยง กลายเป็นศัตรูของชาติ-เรากำลังอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าอะไรกันแน่ ?


"คนไทยหรือเปล่า?" ...เพียงแค่นักข่าวถามคำถามที่จี้ใจดำรัฐบาล แทนการตอบคำถาม รมต. ในรัฐบาลนี้กลับถามนักข่าวกลับไปว่า "เป็นคนไทยหรือเปล่า ?"

ยังจะไม่ลงไปในรายละเอียดว่า สำนึก จดจำ และการสะกดจิตตนเองให้ "หลง" ในความเป็นไทยนั้นเป็นกลุ่มอาการป่วยไข้ทางอัตลักษณ์ชนิดหนึ่ง มักเกิดขึ้นกับกลุ่มประเทศที่มักหลอกตนเองว่าตนมีดีกว่าที่มีอยู่จริง

พูดง่ายๆ ว่า เกิดขึ้นกับกลุ่มประเทศที่มีปมด้อย ลึกๆ แล้วรู้สึกต่ำต้อยน้อยหน้าประเทศอื่นจึงสร้างภาพลวงตามาหลอกตนเองไปวันๆ และหากมีใครไปสะกิดให้เบิ่งตามองดูความเป็นจริงบ้าง เช่น บอกว่าประเทศยูหากินกับการค้าขายเซ็กส์ จะเกิดอาการโกรธมากเกินจะเยียวยา เป็นต้น

คำถามว่า "คนไทยหรือเปล่า?" อันที่จริงเป็นคำถามที่ไม่มีความหมายเลย รมต. ท่านนั้นคงจะเข้าใจอะไรผิดสักอย่างเกี่ยวกับสถานภาพความเป็น "ไทย"

เพราะหากความเป็นไทยหมายถึง การเห็นดีเห็นงามไปกับรัฐบาลทุกอย่าง หมายถึงการเป็นคนว่านอนสอนง่าย รัฐบาลสร้างคำขวัญด๋อยๆ อะไรออกมาก็พร้อมจะเชื่อ

ถ้าการเป็นคนไทยหมายถึงความสามารถในการนั่งชมรายการโทรทัศน์ที่เยินยอรัฐบาลได้โดยไม่เคยตั้งคำถาม หมายถึงการเหยียบย่ำศพเพื่อนร่วมชาติเพื่อปีนบันไดปรองดองและปฏิรูป

หากการเป็นคนไทยหมายถึงการเพิกเฉยต่อความรู้ ต่อประวัติศาสตร์ หากการเป็นคนไทยหมายถึงการเชื่อทุกคำพูดของสารพัดโฆษกรัฐบาลและ ศอฉ.

หากทั้งหมดนั้นคือ นิยามของความเป็นคนไทย ฉันเชื่อว่า คงมีคนไทยอีกหลายล้านคนอยากลาออกจากความเป็นไทยนั้นเสีย

(หากระลึกชาติได้ ฉันก็อยากรู้ว่าชาติที่แล้วไปกรรมเวรอะไรมานักหนาจึงต้องเกิดมาเป็นคนไทยภายใต้เผด็จการหน้าหยกเทียมที่แข็งและหนามาก)



คนเราเกิดมาเลือกพ่อเลือกแม่เองไม่ได้ฉันใด (เคยไหมบางอารมณ์แบบอยากเกิดเป็นลูกคนอื่นที่รวยกว่านี้ ใจดีกว่านี้ ดุน้อยกว่านี้-หวังว่าแม่ฉันจะไม่มาอ่านเจอ) สัญชาติที่เราได้มาโดยกำเนิดก็เลือกเองไม่ได้ฉันนั้น

เพราะหากเลือกได้ ฉันคงอยากมีสัญชาติของ "ชาติ" ที่เขาดูแลพลเมืองดีๆ มีสวัสดิการสังคม ไม่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของพลเมือง ไปขอวีซ่าเข้าประเทศไหนก็ไม่ถูกรังเกียจเหยียดหยาม

แต่ในเมื่อมันเลือกไม่ได้เพระฉันดันเกิดมามีพ่อแม่เป็นคนไทยในขอบเขตประเทศที่เรียกกันว่าประเทศไทย ฉันจึงต้องเป็นคนไทยไปโดยปริยาย

เพราะฉะนั้น ใครก็ไม่ต้องมาถามฉันว่า "คนไทยหรือเปล่า?" เพราะบังเอิญเลือกไม่ได้ และหากผัวฝรั่งอั้งม้อได้เมื่อไหร่จะรีบเปลี่ยนสัญชาติให้ทันที เผื่อจะมีสิทธิวิพากษ์ วิจารณ์ มีสิทธิไม่เออออห่อหมกไปกับรัฐบาลได้บ้าง

ไม่เพียงแต่รัฐบาลที่เพี้ยน คนไทยจำนวนไม่น้อยก็โดนล้างสมองมาจนเพี้ยนไปหมด จากเดิมที่เพี้ยนพอประมาณกับอาการหลงตนเอง

เพี้ยนเพราะเรียนประวัติศาสตร์ฉบับคลั่งชาติมายาวนานเกินไป เพี้ยนเพราะรู้จักประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆ ในโลกนี้น้อยเกินไป

เลยพลอยทำให้ไม่รู้จักประเทศของตัวเองไปด้วย

แต่ตอนนี้อาหารเพี้ยนเหล่านั้นถูกซ้ำเติมด้วยกลุ่มอาการ ทักษิณโฟเบีย กลุ่มอำนาจเก่าที่สะทกสะท้านหวาดกลัว เพราะไม่เคยเห็นนักการเมืองคนไหนได้รับความนิยมจากมหาชนมากเท่ากับทักษิณ

ไม่เพียงแต่ความนิยมจากมหาชน หลายสิ่งหลายอย่างที่ทักษิณทำจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันได้ไปบ่อนเซาะทำลายฐานอำนาจ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของกลุ่มอำนาจเก่า

และนั่นคือที่มาของขบวนการ กำจัดทักษิณออกจากพื้นที่ภูมิศาสตร์ทาง "อำนาจ" ในสังคมไทยเสีย กำจัดออกไปยังไม่พอ วิธีที่จะรับประกันได้ว่า ทักษิณจะไม่กลับมาหลอกหลอนกลุ่มอำนาจเก่าคือ ต้องสร้างทักษิณให้กลายเป็นปิศาจโฉดชั่วในจินตสำนึกของมวลชนชาวไทยให้จงได้

แน่นอนว่าทักษิณได้กระทำการชั่วร้าย คอรัปชั่น ปิดกั้นสื่อ ฆ่าคนที่ตากใบ ละเมิดสิทธิมนุษยชน และอะไรอีกหลายอย่าง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าทักษิณเป็น "ปิศาจ" ที่จะตามหลอกหลอนสังคมไม่รู้จบ เพราะทักษิณก็เป็นเพียงนักการเมืองผู้มีความทะเยอทะยานคนหนึ่งไม่ต่างจากนักการเมืองคนอื่นๆ ในโลกใบนี้ ทักษิณก็เป็นเพียงนักธุรกิจที่อยากขยายอาณาจักรธุรกิจของเขาออกไปให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ เหมือนนักธุรกิจทุกคนบนโลกใบนี้

ทว่า คนไทยยังไม่ตระหนักว่า กลุ่มอำนาจเก่าจำต้องทำให้ผู้ชายหน้าบ้านๆ มีความเลว ความชั่วอย่างมนุษย์เลวๆ คนหนึ่งพึงจะมีอย่างทักษิณให้เป็นปิศาจระดับพระกาฬ เกือบจะเทียบเท่ากับมนุษย์ต่างดาวที่จะเข้ามาบุกยึดครองโลก ก็เพียงเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนในการจะลงมือทำในสิ่งที่ไม่ชอบธรรม เช่น ทำรัฐประหาร, ยุบพรรคการเมือง, ตั้งองค์กรอิสระตามใจชอบ และตรวจสอบไม่ได้, ครอบงำระบบตุลากาล, มุบมิบตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร เลยเถิดไปจนถึงสร้างนิยายเรื่องผู้ก่อการร้าย หนักที่สุดคือเป็นใบอนุญาตฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย ได้โดยกระหยิ่ม

ทั้งฟาดงวงฟาดงาเอากับคนที่ไม่ยืนอยู่ข้างรัฐบาลด่ากราดว่าเป็นสมุนทักษิณไปเสียหมด-สมุนทักษิณ เลียไข่แม้ว ล้มนู่นล้มนี้ เป็นภัยต่อความมั่นคง โง่ ดักดาน ฯลฯ

เหล่านี้คือข้อกล่าวหาที่รัฐบาลมอบให้ และคนไทยที่กระโดดงับภาพปิศาจทักษิณ (บนฐานอุดมการณ์ที่ถูกฝังหัวเอาไว้ไม่ให้วางใจในนักการเมือง แต่บูชาคนดีที่มาจากไหนไม่รู้) ก็พลันเห็นแผ่นดินแยกออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งคนฉลาด รู้ทันทักษิณ กับฝั่งบัวใต้น้ำถูกทักษิณหลอกวันยังค่ำ ต่อให้คนที่ออกมาสนับสนุนการต่อสู้ของประชาชนเป็นนักกฎหมาย นักวิชาการที่น่าเชื่อถือ มาพร้อมกับข้อมูลที่หนักแน่นเพียงใดก็ตาม

ฝ่ายที่ยืนอยู่ข้างรัฐบาลพร้อมจะเหวี่ยงคนเหล่านั้นให้กลายเป็นพวก "รับเงินทักษิณ" ไปในทันที ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ไม่มีประวัติไปรับใช้ เลียไข่เผด็จการ ไม่มีประวัติไปนั่งร่างรัฐธรรมนูญให้รัฐบาลของคณะปฏิวัติ

และส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการที่นุ่งเจียม ห่มเจียม ปกติเตะบอล ดื่มเบียร์ ไม่เคยคิด ไม่เคยฝันว่าจะต้องมาร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ด้วยซ้ำ



รัฐบาลเผด็จการลำพังตัวของมันเองยังไม่น่ากลัวเท่ากับประชาชนที่เป็นผลผลิตของโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล เพราะเมื่อใดที่รัฐเผด็จการสามารถสร้างมวลชนที่หูหนวกตาบอดต่อข้อมูลอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากรัฐบาลได้แล้ว และยังเห็น "ผี" ที่รัฐบาลลวงขึ้นมาอย่างเป็นตุเป็นตะ ทึกทักเชื่อถือว่าเป็นจริง เมื่อนั้นประชาชนจะกลายมาเป็นแขนขาให้กับรัฐบาลในการกำจัดประชาชนอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับตน

จะมีอะไรที่น่ากลัวไปกว่าประชาชนที่เห็นรัฐบาลซึ่งปลิดชีวิตเพื่อนร่วมชาติของตนตายลงอย่างโหดร้ายในฐานะที่เป็นฮีโร่ ในฐานะที่เป็นพระเอกในฝันเป็นขวัญใจของสาวๆ-สำหรับฉันมันน่าสยดสยองพอๆ กับการที่วันหนึ่งลูกสาวของฉันจะเดินมาบอกว่า "แม่ๆ หนูอยาก "เอา" กับฆาตกร"

ไม่เพียงแต่อยากมีเซ็กส์กับฆาตกร มวลชนที่ถูกรัฐล้างสมองยังกระเหี้ยนกระหือจะกำจัด กวาดล้าง มวลชนที่ไม่เห็นตรงกันตน ตั้งแต่กลุ่ม Social Sanction ใน facebook กลุ่มเสพศพคนเสื้อแดง กลุ่มล่าหัวมาประจาน ลามปามไปจนกระทั่งทำให้เด็กคนหนึ่งต้องสละสิทธิ์การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งไปกดดันจนมหาวิทยาลัยเองก็บ้าจี้ถอนสิทธิ์ของเด็กคนนั้นในการเข้าเรียน กรณีล่าสุดคือ มาร์ควี 11 ที่สุดท้ายต้องระงับการขึ้นแสดงคอนเสิร์ตเนื่องจากถูกกดดันจากกลุ่มคนที่ปกป้องรัฐบาล เพียงเพราะน้องไปโพสต์ข้อความวิจารณ์นายกรัฐมนตรี!!!

นี่ไม่ใช่การลงโทษจากรัฐโดยตรง แต่คือความสำเร็จของรัฐในการแบ่งมวลชนออกเป็นสองกลุ่ม และสร้างให้อีกกลุ่มกลายเป็น "สมุน" ของปิศาจ ที่เหล่ามวลชน "พลเมืองดี" ผู้ (ที่ถูกทำให้เชื่อว่า) พิทักษ์โลก ต้องออกมาปกป้อง ราวกับว่า หากปล่อยให้มีคนมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล นายกฯ รมต. กันมากๆ แล้ว ประเทศไทยอาจโดนธรณีสูบ จมหายลงไปในดิน

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยเราจะต้องมานั่งถามตัวเองว่า เราอยู่ในดินแดนแบบไหนกัน? และในปกติดีอยู่หรือที่ดินแดนที่เราอยู่นี้เป็นดินแดนที่เราไม่อาจพูดในสิ่งที่รัฐไม่อยากฟัง? เราอยู่ในดินแดนที่ เด็กคนหนึ่งไม่อาจแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของเขาได้เพราะถูกมวลชนที่รัฐล้างสมองพวกเขาได้โดยหมดจดราวกับเป็นนาซีกลับชาติมาเกิดตามจองล้างจองผลาญ ตามทำลายอนาคตพวกเขาอย่างเลือดเย็น


ไม่เพียงแต่มวลชนนาซี ปัญญาชนของไทยที่คิดว่าจะพึ่งได้ก็พึ่งไม่ได้ การณ์กลับกลายเป็นว่าพวกท่านก็ชื่นชมที่จะได้สมรสร่วมรักกับเผด็จการกลายเป็นนาซีไปอีกกลุ่ม เพราะหากท่านมิใช่นาซี เหตุใด ท่านจึงไม่ออกมาปกป้องสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของเด็กเหล่านั้น เหตุใดท่านจึงเพิกเฉยต่อการคุกคามประชาชนทั้งลับและแจ้งของรัฐบาล-นักวิชาการชื่อก้อง, นักสันติวิธีชื่อกระฉ่อนที่รักประชาชนนักหนาและอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง, นักสิทธิมนุษยชน, พระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงในทางการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และทุกๆ ท่านที่เคยหากินกับ "ความเป็นธรรม" ของสังคมมาโดยตลอด เหตุใดพวกท่านจึงปิดปากเงียบหรือพวกท่านได้สมยอมถูกรัฐบาลเผด็จการชำเราทางปากจนกระทั่งพูดมิออก

และจะขอจดจำรายชื่อทุกท่านที่เข้าร่วมกระบวนการปรองดอง ปฎิรูปกับรัฐบาลที่ยังไม่หยุดทำร้ายและขยี้สิทธิของประชาชนพลเมืองทิ้งด้วยทุกๆ โสโครกวิธี

ขอไว้อาลัยแด่สิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนชาวไทยด้วยบทสัมภาษณ์ที่ยกมาข้างต้น โดยสงวนคำอธิบาย

ขอเรียนเชิญชำเรากันให้หนำใจ



.