http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-10-21

อีก19 ปีกรุงเทพจมแน่, ธรรมะแบบขำๆ, +ศึกษาบ้านลอยน้ำแบบดัตช์ โดย เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง

.
กระทู้ศึกษาเร่งด่วน ก่อนบทความหลัก

แนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพชั้นใน
www.youtube.com/watch?v=bmI5WnecYdA&sns=fb

สนับสนุน "โมเดลน้ำดันน้ำ" แก้วิกฤติน้ำท่วม
www.petitiononline.com/Tum0406/petition.html



______________________________________________________________

. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

* หมายเหตุของ admin บทความดี ;
ผู้เขียนเป็นหนึ่งในผู้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายจำนำข้าว (เหมือน ดร.อัมมาร์ สยามวาลา) เสนอให้ยกเลิก ด้วยเห็นว่า ใช้เงินมากและกลัวการทุจริตของข้าราชการ นักการเมือง เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้อง ผู้เขียนไม่ได้เสนอกลไกตรวจสอบแต่ให้ยกเงินไปลงทุนเพื่อการสาธารณะอย่างอื่น เพราะเชื่ออย่างจริงใจว่าต้องมีการทุจริตแน่ เหมือนเช่นการชนะเลือกตั้งในชนบทนั้นก็ได้จากทุจริตซื้อขายเสียง


. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

อีก 19 ปีกรุงเทพจมแน่
โดย เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง คอลัมน์ โลกหมุนเร็ว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1627 หน้า 50


"เค้าบอกว่า คนไทยเป็นสังคมที่แปลก คือ เป็นสังคม "รู้ทั้งรู้" คือทุกคนรู้ดีว่าอะไรคือปัญหา และทุกคนรู้ดีว่าจะแก้ยังไง และทุกคนก็รู้ดีว่า จะไปทางไหน แต่ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ แต่ก็เหมือนจะไม่ทำอะไรเลย"

ได้รับข้อความนี้จากเมลที่ส่งต่อๆ กันมา เป็นเมลที่จั่วหัวว่า "อายุขัยของกรุงเทพฯ" และมีคำเกริ่นก่อนจะเข้าเรื่องว่า "ได้รับเมลนี้จากผู้อื่น ไม่เกี่ยวกับผู้ส่งแต่อย่างใด" ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เหมือนคนส่งจะกลัวว่า ใครอ่านแล้วจะไม่พอใจ จึงต้องกล่าวออกตัวไว้ก่อนเช่นนี้

ต่อไปนี้เป็นข้อความที่เขาส่งกันมา ลองอ่านดูก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวค่อยคุยกัน



"เมื่อวานผมได้มีโอกาสเสวนากับ CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งจากสิงคโปร์ มีเรื่องน่าสนใจมาเล่าแชร์ให้ฟังครับ เป็นสามชั่วโมงของการสนทนาที่ได้ความรู้มากครับ

1. เขาบอกว่า อายุขัยของกรุงเทพฯ นั้น จากการคำนวณของนักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยา รวมถึงผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา ของสิงคโปร์ เค้าบอกว่ามีอายุอีกราวๆ 19 ปี (เค้าใช้คำว่า Life span of Bangkok City) ถ้าไม่มีการแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น

2. หลากหลายเรื่องราวที่เราเห็นจากหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการเมืองในประเทศเรานั้น จริงๆ แล้วเป็นฉากละครฉากหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้ผู้ชม (คนไทย) นั้น เชื่อไปอย่างนั้นเอง

เช่น การทำเหมือนเป็นศัตรูกันของนักการเมือง แต่แท้จริงแล้วทะเลาะกันบังหน้า เพื่อผลประโยชน์ ฮั้วกันลับหลัง หลายๆ อย่างที่เราเห็นนั้น รัฐบาลของเค้ามีส่วนอยู่ด้วย เชื่อไหมครับว่าเงินของทักษิณที่โอนไปเกาะเคลย์แมนนั้น รัฐบาลสิงคโปร์เป็นคนฟอกเงินให้และจัดการส่งไปให้

3. เค้าบอกว่า ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล สุดท้ายเข้าสู่วงจรโกงกินอยู่ดีแน่นอนเพราะผลประโยชน์และเงินสกปรกจะถูก Offer (เสนอให้) มาโดยรัฐบาลของเค้าเอง รวมถึงนักธุรกิจใหญ่ๆ จากหลายชาติโดยเฉพาะสิงคโปร์ ฉะนั้น อย่าไปหวังเลยว่า สีเหลือง สีแดง อะไรทั้งหลาย เขาบอกว่าหนีไม่พ้นหรอก

ต่อให้ใครขาวสะอาดมาแค่ไหนสุดท้ายก็ทนเงินก้อนโตที่ถูกยัดให้ปิดปากไม่ไหว

4. เมื่อ 20 ปีก่อน รัฐบาลไทยเคยเชิญรัฐบาลสิงคโปร์นำผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อทำการวิเคราะห์ว่าทำยังไง ถึงจะแก้ปัญหาผังเมืองและการขนส่งคมนาคม

ผลสรุปคือ แก้ไม่ได้ เพราะผังเมืองผิดแต่แรกแล้วเค้าแนะนำให้ย้ายเมืองหลวง หรือไม่ก็ขยายออกรอบนอก ไปไกลๆ แล้วตั้งผังเมืองใหม่ จากวันนั้นจนวันนี้ก็ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด

ผิดกับรัฐบาลของสิงคโปร์ที่จัดทำการวางผังและปรับปรุงตลอดเวลาใหม่ควบคุมแม้กระทั่งการกระจายตัวของชนชาติต่างๆ ไม่ให้กระจุกตัวเพื่อสร้างสังคมเฉพาะใหม่ๆ ขึ้นมา รวมไปถึงมีการสร้าง เขื่อน กำแพงรอบ และประตูกั้นน้ำ เพื่อป้องกันปัญหา Global warming และน้ำทะเลสูงขึ้น จนท่วมเมืองสิงคโปร์ (เรายังไม่ได้ยินข่าวสิงคโปร์น้ำท่วมเลยใช่ไหมเล่า-ผู้เขียน)

5. คนไทยนั้น เป็นสังคม idol (วีรบุรุษ) กล่าวคือ เชิดชู บูชา คนที่เด่นดังโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี (ไม่ว่าอยู่ข้างไหนก็ตาม) ฉะนั้น การชนะใจคนไทยนั้นง่ายมาก จากเหตุนี้ การเข้ายึดประเทศไทยไม่ใช่เรื่องยากเลย สำหรับคนที่มุ่งมั่นตั้งใจ พ้น 19 ปี น้ำทะเลจะหนุน จนทำให้เกิดการท่วมถาวรในบางพื้นที่ จนสุดท้ายอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ ทั้งหลายที่เคยลงทุนไปโดยรัฐบาลจะใช้ไม่ได้ เสียเงินลงทุนไปเปล่าๆ เค้าบอกว่าถ้ายังทะเลาะกันไม่เลิกแบบนี้ ก็เตรียมขายที่ดินใน กทม. ทั้งหมดได้เลย (นี่ไม่ใช่คำขู่นะ เรื่องจริง-ผู้เขียน)

6. พอเริ่ม AEC (Asean Community) เมื่อไหร่ คนไทยรากหญ้าจะเป็นกลุ่มแรกที่ซวยที่สุด ตามมาด้วยตระกูล SMEs ทั้งหลาย (ตอนนี้ก็ซวยเห็นๆ แล้วไง น้ำท่วมคนรากหญ้าตายไปแล้วสองร้อยกว่า SME ม้วนเสื่อ บริษัทใหญ่ๆ ไม่เป็นไร สายป่านยาว)

7. เค้าบอกว่า อย่าได้คิดว่า คนที่ดูดีภายนอก (พวกนายกฯ) จะไม่ทำเรื่องสกปรก คนส่วนมากไม่รู้แค่นั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น นายกฯ ของสิงคโปร์เอง ลี กวน ยู ที่สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ทั้งหลายแก่สิงคโปร์ทำให้สิงคโปร์พัฒนามาจนมีวันนี้ เบื้องหลังแล้วนั้นเค้าจับคนยัดข้อหาเข้าคุกมากมายโดยที่ไม่มีความผิดอันใดแม้แต่เพื่อนเขาเอง เขาก็ทำมาแล้ว จุดประสงค์เพียงเพื่อต้องการเสถียรภาพของการปกครอง

บางครั้ง คนที่ยิ่งใหญ่ มันก็จำเป็นต้องทำเรื่องเลวๆ บ้าง

นายกฯ ของไทยกี่คนต่อกี่คนก็เช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น (คุณคิดถึงนายกฯ ไทยคนไหนบ้างล่ะคะ)

8. จุดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยนั้น จริงๆแล้วดีมากๆ ในแง่ของที่ตั้ง และการเชื่อมต่อ แต่เขาสงสัยว่าทำไมรัฐบาลไทยมัวแต่ทำอะไรอยู่ ถ้าวางโครงส้รางพื้นฐาน และ วางกำหนดทิศทางประเทศให้เป็น Center of Asean Distribution ให้ดี ประเทศไทยเราป่านนี้ คงจะเจริญไปไกลแล้ว

9. ทั้งไทย และมาเลเซีย รวมถึงเวียดนาม มีปัญหาเดียวกันคือการรับเงินสกปรกใต้โต๊ะ การจะเป็นเจ้าของสัมปทานอะไรบางอย่างหรือธุรกิจอะไรที่จะผูกขาดบางอย่าง เช่น กลุ่มพลังงานหรือเหมืองแร่ธาตุสำคัญอะไรทั้งหลายทำได้ง่ายกว่าประเทศอื่นๆ เพราะ คน "ซื้อ" กันได้ (ก็ดูจากการเลือกตั้ง ปฏิเสธไม่ออกใช่มั้ยล่ะ)

10. เค้าแนะนำให้รัฐบาลหาทางเปลี่ยนโครงสร้างของค่านิยมและความคิดของประชากรไทยที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ ไม่อย่างนั้นเราก็จะอยู่แค่นี้ คนที่รวยจะยิ่งรวย คนที่จนจะยิ่งจน

และสุดท้ายโครงสร้างของชนชั้นทางสังคม จะกลายเป็น M society กล่าวคือ M ไหล่ซ้ายแทนคนรวย M ไหล่ขวาแทนคนจน แปลว่า คนชนชั้นกลางจะหายไป หรือ เหลือน้อยลงไปมาก อนาคตจะกลายเป็นเหลือแค่คนจน และข้ามไปคนรวยเลย

(ท่านมองเห็นภาพตัวเองในอนาคตแล้วหรือยังคะ ว่าท่านอยู่ฟากคนรวยหรือจน คนรวยต้องถึงขั้นมีเรือยอชต์หรือเครื่องบินส่วนตัว ขี่รถเฟอรารี่ และมีชาโตต์อยู่ที่ฝรั่งเศส คุณผู้หญิงมีกระเป๋า Birkin และ Kelly ของ Hermes ทุกสี ถึงจะเรียกว่ารวย)

และข้อสุดท้ายก็คือที่ผู้เขียนจั่วไว้ข้างบนนั่นแหละค่ะ ขอซ้ำอีกที

11. เค้าบอกว่า คนไทยเป็นสังคมที่แปลกคือ เป็นสังคม "รู้ทั้งรู้" คือทุกคนรู้ดีว่าอะไรคือปัญหา และทุกคนรู้ดีว่าจะแก้ยังไง และทุกคนก็รู้ดีว่าจะไปทางไหน แต่ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ แต่ก็เหมือนจะไม่ทำอะไรเลย

(ถึงตอนนี้คุณผู้อ่านรู้สึกแสบไปถึงทรวงแล้วหรือยังคะ หรือได้แต่ทำตาปริบๆ)



ที่ต้องเขียนเรื่องนี้ (หรือลอกเมลนี้มาให้อ่านกัน) ก็เพราะเกรงว่าคนที่ไม่ได้ใช้อีเมลจะไม่ได้เห็น

ข้อสังเกตประการแรกก็คือ การวิจัยเพื่อให้รู้จักเมืองไทยกันอย่างลึกซึ้งแบบนี้ สิงคโปร์ได้ประโยชน์สองเด้ง

เด้งที่หนึ่งคือหากเป็นวิจัยที่คนไทยไปจ้างสิงคโปร์ สิงคโปร์ก็ได้เงิน ซึ่งแน่นอนราคาของสิงคโปร์นั้นไม่ถูก เพราะคุณภาพของคนเขาดี

เด้งที่สองคือเขาได้องค์ความรู้ที่เอาไปประเมินเมืองไทยได้ว่าจุดอ่อนอยู่ที่ไหน สิงคโปร์เป็นคู่แข่งของเรา แน่นอนย่อมหาโอกาสทุกทางที่จะมาเหยียบเมืองไทยพร้อมๆ กับหาประโยชน์จากเมืองไทย ก็เขาบอกอยู่แล้วว่า "การเข้ายึดประเทศไทยไม่ใช่เรื่องยากเลย"


ข้อสังเกตที่สองคือเรื่องนักการเมืองไทยฮั้วกัน ไม่ว่าเหลืองว่าแดงท่านเชื่อหรือไม่ก็ลองตรองดูนะคะ ประชาชนอย่างเราเอาเวลาไปตรองให้กระจ่างดีกว่าจะมานั่งทะเลาะกันดีไหมล่ะคะ เมื่อกระจ่างแล้วเผื่อจะเปลี่ยนวิธีคิด วิธีพูด วิธีทำ อะไรหลายๆ อย่างขึ้นมา

ก็อย่างที่เมลนี้บอกแม้แต่ ลี กวน ยู ก็ยังมีฟากชั่วฝังอยู่ในฟากดี แต่เขาทำดีกว่าชั่ว ไอ้นี่แหละค่ะที่สำคัญ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะเห็นแก่ตัวบ้างก็ไม่ว่ากัน ขอแต่เพียงอย่าเอาบ้านเมืองเป็นเดิมพัน

ดังนั้น นักการเมืองที่รู้อยู่กับอกว่าอะไรจริงอะไรไม่จริงก็ขอร้องเถอะลดความเห็นแก่ตัวให้น้อยลงหน่อยดีไหมคะ ทำอะไรก็เพลาๆ อย่าเอาตัวรอดเฉพาะตัวเองกับพวกพ้อง แล้วเอาบ้านเมืองเป็นเดิมพัน ถ้าสิ้นเมืองไทย อยู่ไหนก็ด้ายยยย แต่ไม่ดีเท่าเมืองไทยแน่นอน

หรือว่านักการเมืองหน้าด้านตามที่เขาว่ากันหมดแล้วทุกคน (ที่เขียนซะเจ็บอย่างนี้ก็เพราะได้ยินว่านักการเมืองบางคนมาจากตระกูลดี ร่ำรวย เรียกเปอร์เซ็นต์จากโครงการกันอย่างไม่อาย) ใครดีก็ไม่เกี่ยวนะคะ

ส่วนเรื่องที่สิงคโปร์เขาตราหน้าว่าคนไทย เงินซื้อได้ทุกอย่าง ท่านเจ็บไหมคะ ผู้เขียนคนหนึ่งละเจ็บใจจริง เพราะมันเป็นเรื่องจริง

ส่วนที่บอกว่า "เค้าแนะนำให้รัฐบาลหาทางเปลี่ยนโครงสร้างของค่านิยมและความคิดของประชากรไทยที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ" ก็ยิ่งแสบมาก นี่เราต้องรอให้คนอื่นมาแนะนำเชียวหรือ



และส่วนที่แสบที่สุดก็คงอยู่ตอนท้ายที่บอกว่า "รู้ทั้งรู้แต่คนไทยจะไม่ทำอะไรเลย"

ขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมถึงขั้นเป็นวิกฤติของชาติแล้ว ซึ่งเราได้เห็นทั้งเรื่องของน้ำใจและความโกลาหลซึ่งเป็นลักษณะประจำชาติของเรา ความช่างคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (แต่ไม่ชอบแก้ระยะยาว) ของคนไทยก็มีออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นส้วมลอยน้ำ หรือบ้านลอยน้ำที่เริ่มได้รับความสนใจ บ้านราคาหลังละเจ็ดแสนมีห้องน้ำใช้ระบบจุลินทรีย์ย่อยสลายของเสีย มีผู้บ่นว่าแพงไป ซึ่งก็จริงเพราะหากคุณมีบ้านอยู่แล้วก็คงไม่มีใครอยากซื้อบ้านลอยน้ำอีกหลัง

ทีนี้ก็เลยมีออกมาอีกเวอร์ชั่นเป็นแพราคาเรือนหมื่น ผู้เขียนคิดเอาเองว่าน่าจะเสริมด้วยเตาปิกนิกอีกแพละหนึ่งชุด คอยรับอาหารบริจาค (เพราะเบื่อมาม่าเต็มที) แล้วก็หุงข้าวทอดไข่กันอยู่บนแพ ของเสียก็ลงน้ำไป (อันนี้เจ้าอาวาสวัดหนึ่งที่อยุธยายืนยันมาว่าจะทำอย่างไรได้ ก็ต้องแบบนี้แหละ) ชีวิตก็รอดแล้ว

เป็นเล่นไป อีกหน่อยบ้านหลังที่สองของคุณอาจไม่ใช่ที่เขาใหญ่ หรือหัวหิน แต่จะเป็นบ้านลอยน้ำ หรือท่านที่จะซื้อบ้านหลังแรกอย่าเพิ่งเอาเงินไปซื้อบ้านหลังแรกแบบธรรมดา เก็บเงินสดไว้แล้วข้ามขั้นไปซื้อแพบ้านลอยน้ำจะเข้าท่ากว่าไหม

ที่เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องสลดก็คือ ถ้าหากคนไทยต้องอยู่แพกันทั้งชาติหรือปีละหกเดือน ใครจะขำออก สภาพอย่างนั้นน่ะมัน'บังกลาเทศ' ประเทศที่ล้าหลังเราไม่รู้เท่าไหร่ เราจะถอยไปเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า โรงงานลอยน้ำ โรงเรียนลอยน้ำ อันนี้แพงกว่าบ้านแน่ ขำไม่ออกอีกแล้ว

เชื่อว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมระยะยาวไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงรัฐบาลเพื่อไทยหรอก ความกล้าคิดไอเดียต่างๆ มีอยู่แล้ว แต่ขอท้าให้ใส่ความจริงใจเข้าไปให้มากๆ หน่อย เห็นแก่พี่น้องตาดำๆ ที่อุตส่าห์เลือกคุณเข้ามาด้วยความหวังอันเปี่ยมล้น แล้วก็จะทำได้

ผู้เขียนฟังข่าวเห็นนายกฯ ขานหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับน้ำท่วมชัดเจน อันนี้ของกรมชลประทาน อันนี้ของมหาดไทย อันนี้ของกรมทรัพยากร ก็เริ่มมีศรัทธา แถมนายกฯ ยังบอก คุณโต้ง กิตติรัตน์ ว่าฉันให้เวลาคุณ 6 เดือน เรื่องจำนำข้าว ก็ยิ่งศรัทธาเข้าไปใหญ่

แล้วก็จะได้รู้กันว่าควรปิดโครงการจำนำข้าวเอาเงินสี่แสนล้านมาแก้ไขเรื่องน้ำท่วมในระยะยาวกันไหม สาบานว่าผู้เขียนไม่ใช่คนเดียวที่คิดอย่างนี้



++

ธรรมะแบบขำขำ
โดย เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง คอลัมน์ โลกหมุนเร็ว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1625 หน้า 49


คนไทยส่วนใหญ่เวลานี้คงอดคิดไม่ได้ว่า บ้านเมืองของเรายุ่งจริงหนอ มีความคิดต่างๆ สวนทางกันไปมา ก่อให้เกิดความเครียด และดูเหมือนธรรมะจะกลายเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดโดยอัตโนมัติ

อะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด ต้องปล่อยวางมันเสีย ความเปลี่ยนแปลงเป็นของธรรมดา

คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยสนใจธรรมะ เห็นว่าน่าเบื่อ ที่จริงธรรมะในเเง่ขำขันเบาสมองไม่ใช่ว่าไม่มี

ซึ่งพอดีกับได้รับหนังสือกำนัล 1 เล่มจากเพื่อนรุ่นน้องที่ไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง อ่านดูเห็นว่าเป็นธรรมะที่ขำขันดี เลยหยิบติดมือมาฝากกัน

เปิดดูที่หน้าปกเขียนไว้ว่า Be Awake เก็บเล็กร้อยเรื่องระเริงเชิงธรรมะ โดย เปสโลภิกขุ หนังสือตีลังกากลับหัว มีสองปก เหมือนนิตยสารบางฉบับชอบทำให้เก๋ (ท่านผู้นี้เกิดที่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เรียนที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บวชที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี จำพรรษาที่วัดป่าอภัยคีรี ประเทศสหรัฐอเมริกา มีผลงานที่เรียกว่า "ทรมานใจวัยหวาน" ได้แก่ Dhamma Design Issue 1 บทกวีในที่ว่าง Dhamma Design Issue 2 แดนสนทนา Pesalocation / Dhammascapes เป็นต้น)

ก็เลยอยากให้ผู้อ่านคลายเครียดด้วยการติดตามข้อความบางตอนจากหนังสือเล่มนี้ดังต่อไปนี้

เชิญอภิรมย์ได้เลยค่ะ


พระนิด : ชาวอเมริกันคิดอย่างไรกับพระพุทธศาสนา
พระน้อย : เขาสนใจการทำสมาธิเพื่อหาความสงบสุขทางจิตใจ เพราะเขาสงสัยว่า iPhone4 ก็มีแล้ว แต่ทำไมเรายังไม่มีความสุข


ญาติโยม : พระอาจารย์ชามาอยู่ชายแดนเขมรต้องระวังตัวด้วยนะครับ แถวนี้คนเล่นของเยอะ เขาชอบลองดีกับพระ บางทีก็เสกตะปูเข้าท้อง
พระอาจารย์ : ถ้ามีตะปูมาเยอะๆ ก็ดีเหมือนกัน อาตมาจะเอาไปทำกุฏิ


พระฝรั่งรูปหนึ่งเสนอว่า ถ้าพระเดินอยู่ในเมืองแล้วมีผู้หญิงฝรั่งยื่นมือมาขอเช็กแฮนด์ เราอาจจะต้องยอมยกมือไหว้โยมแล้วบอกให้เขารู้ว่า ชาวพุทธทักทายกันแบบนี้


ญาติโยมชาวไทยผู้หนึ่งเห็นฝรั่งเล่นเจ๊ตสกีอยู่กลางทะเลสาบ จึงพูดขึ้นว่า "ฝรั่งนี่ไม่มีอะไร ทำงานหาเงินแล้วก็เอามาซื้อของเล่น"


เหตุเกิดที่วัดจีนแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก เมื่อพระภิกษุเข้าแถวเป็นระเบียบพร้อมถ่ายรูปหมู่ ช่างภาพจึงนิมนต์ให้พระทุกรูปเซย์ Cheese เพื่อจะได้ยิ้มกว้างและภาพที่ออกมาจะได้ดูเป็นมิตร พระที่อยู่ประจำวัดแห่งนั้นสัพยอกว่าควรจะเซย์ Quinyin (กวนอิม)

ขณะกำลังถ่ายภาพเพื่อส่งไปพิมพ์หนังสือที่ประเทศไทย พระฝรั่งบอกว่า "ถ้าผมเผลอยิ้มก็ช่วยถ่ายอีกสักรูปนะ คนไทยชอบเห็นพระทำหน้าเคร่งขรึม"


พระฝรั่งมักจะมีปลาสเตอร์ยาปิดอยู่ที่เท้าหลายแผ่น เพราะเดินซุ่มซ่ามเตะก้อนหินหรือรากไม้อยู่เป็นประจำ เมื่อพระเดชพระคุณพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) สังเกตเห็นจึงพูดขึ้นว่า "ฝรั่งฉลาดแต่ตีนโง่"


สุภาพสตรีท่านหนึ่งนำปัจจัยมาถวายหลวงพ่อพร้อมกำชับว่า "หลวงพ่อเป็นหนี้ดิฉัน ต้องไปสวดงานศพให้ดิฉันด้วยนะเจ้าคะ"

ญาติโยมที่วัดแห่งหนึ่งทะเลาะกันถึงขั้นตบตี เหตุเพราะแย่งกันใช้เตาแก๊สทำอาหารถวายพระ


โยม : ระวังเหยียบมดนะคะท่าน
พระ : ไม่ห่วงว่ามดจะกัดพระเลยนะ
โยม : ไม่ห่วงหรอกค่ะ พระเอาตัวรอดได้


คณะสงฆ์จ่ายค่ารักษาฟันให้กับสามเณรรูปหนึ่งเป็นจำนวนเงินถึง 25,000 บาท อีกหนึ่งเดือนถัดมา สามเณรก็ลาสิกขา ด้วยเหตุนี้คณะสงฆ์จึงตั้งระเบียบขึ้นมาว่าผู้ใดมีความประสงค์จะบวชต้องรักษาสุขภาพเหงือกและฟันตนเองให้ดีก่อน


โยม : ทำไมพระไม่หุงข้าวหรือทำกับข้าวกินเอง
พระ : ทำไม่อร่อย
โยม : ข้าวสารอาหารแห้งที่โยมเขาทำบุญกัน พระเอาไปไว้ไหนอ่ะ
พระ : เอาไปไว้ที่ครัว
โยม : เอาไปไว้ทำไมที่ครัว
พระ : ให้แม่ครัวฝีมือดีทำกับข้าว
โยม : เห็นมีแต่มาม่ากับปลากระป๋อง
พระ : ถ้าเห็นแบบนี้ที่วัดไหนต้องรีบหาของอร่อยๆ ไปเติม


นักวิชาการชาวตะวันตกให้การยอมรับว่า สงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นองค์กรที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก


โยม : ถ้ามีคนพูดว่า "นักปฏิบัติธรรมตัดช่องน้อยแต่พอตัว" จะอธิบายให้เขาฟังว่าอย่างไร
พระ : เราตัดช่องใหญ่ไม่ได้เพราะกำลังของเรายังไม่พอ ก็ฝึกหัดตัดช่องน้อยไปพลางๆ ก่อน


พระนิด : ค่ำนี้ยุงเยอะ ท่านต้องการสเปรย์กันยุงไหม
พระน้อย : เป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกส์หรือเปล่า ผมสงสารยุง


คุณตาชาวแคนาดาท่านหนึ่งเคยเป็นอาจารย์สอนศาสนาเปรียบเทียบในมหาวิทยาลัย ภายหลังท่านลาออกแล้วมาบวชเป็นพระในพุทธศาสนา


โยมฝรั่ง : อีกสองสัปดาห์ผมจะเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่เมืองไทย ท่านช่วยแนะนำสิ่งสำคัญที่ผมควรทราบก่อนการเดินทางได้ไหมครับ
พระไทย : ได้...อาหารไทยเผ็ดมากๆ


พระอาจารย์ฝรั่งรูปหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า คำว่า "งาน" ในภาษาไทยตรงกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษสามคำคือ work - festival -marriage


ตั้งแต่มีพระฝรั่งมาบวชในพุทธศาสนา และตั้งแต่วัดไทยได้เข้าไปเผยแพร่พระธรรมในแดนตะวันตก การปะทะสังสรรค์กันระหว่างวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกก็เกิดเป็นประจำในแวดวงพระศาสนา รวมทั้งอารมณ์ขันลึกๆ ต่างๆ ตามแบบตะวันตกก็มีแทรกซึมอยู่ในคำสั่งสอนของพระสงฆ์ผู้เผยแผ่ธรรม เป็นอีกแรงดึงดูดหนึ่งให้คนเดินเข้ามาหาศาสนามากขึ้น



++

บทความปีที่แล้ว (2553)

ถึงเวลาศึกษาบ้านลอยน้ำแบบดัตช์
โดย เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง คอลัมน์ โลกหมุนเร็ว
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1579 หน้า 42


ถึงเวลานี้อุทกภัยที่ถั่งโถมเข้ามาสู่ชีวิตคนไทยกว่าครึ่งประเทศก็ทำให้เราตื่นจากหลับ จากชีวิตที่เคยอยู่สบายต้องพบกับความตื่นตระหนก ความสูญเสียอันไม่อาจประมาณได้ ทั้งสูญเสียคนในครอบครัว ทรัพย์สมบัติ แผ่นดินที่ทำมาหากิน คนที่ยังอยู่ก็เผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ไม่รู้ว่าแต่ละวันจะกินอะไร และพรุ่งนี้จะไปอยู่ที่ไหน จะทำมาหากินอย่างไร

ยังดีอยู่บ้างที่คนไทยไม่ทิ้งกัน ความช่วยเหลือหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ทั้งข้าวปลาอาหาร ยารักษาโรค แม้แต่อุปกรณ์ขับถ่ายบรรเทาทุกข์ก็ยังมีคนใส่ใจเอื้ออาทร คนที่ประสบทุกข์คงไม่ถึงกับอดตาย แต่ที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยหลังจากนี้ล่ะจะทำอย่างไร

คงไม่ใช่เรื่องที่คิดกันแค่ระยะสั้น เมื่อบ้านทั้งหลังพังทะลาย ไม่เหลือแม้โต๊ะสักตัว น้ำที่แรง พายุที่พัด ทำลายหมดสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นเปรียบเสมือนการเตือนภัย

ปรากฏการณ์เอลนินโย ลานินโยที่ศึกษากันมาอย่างดี บอกว่ามันจะมีวาตภัย อุทกภัย ซ้ำมาอีก ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คนเราจะอดทนได้แค่ไหน ทั้งจิตใจ และทั้งสภาวะทางกายภาพที่จะต้องเจอสภาพเช่นนี้ซ้ำอีก

ถึงเวลาต้องเตรียมตัวกันแล้วหรือเปล่า

ประเทศที่เป็นต้นแบบในการเผชิญกับปัญหาน้ำก็คือประเทศเนเธอแลนด์ เนื่องจากอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล และต้องคอยระวังเวลาที่น้ำทะเลขึ้นสูง นอกจากนี้ ยังเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กเช่นเดียวกับประเทศไทย

เจอน้ำทีมีสิทธิ์ไปหมดทั้งประเทศ

อย่าลืมว่ากรุงเทพฯ สมุทรปราการเคยเป็นทะเลมาก่อน ไม่ช้าไม่นานวิกฤติโลกร้อนจะทำให้ทั้งสองเมืองนี้กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลได้ หากไม่ป้องกัน



ผู้เขียนจำได้เมื่อครั้งไปเยือนเนเธอร์แลนด์ไม่นานนี้ว่าได้ขับรถไปเที่ยวในบริเวณที่เคยเป็นทะเลมาก่อน บัดนี้ถมแล้วเพื่อเชื่อมแผ่นดินให้ติดกัน

จำได้ว่าไปยืนอยู่บนสะพานสูงลมพัดแรงตรงบริเวณที่เชื่อมแผ่นดินทั้งสอง มองออกไปทุกด้านเป็นน้ำทะเลกว้างใหญ่ รู้สึกหนาวยะเยือกเข้าไปถึงหัวใจ พลางนึกชมความสามารถของมนุษย์ที่สามารถเอาชนะธรรมชาติ

เพื่อนที่นั่นเล่าว่า ทุกอย่างมีดีมีเสีย การถมทะเลก็ทำให้การทำมาหากิน วิถีชีวิตของประชากรในบริเวณนั้นต้องเปลี่ยนไปเหมือนกัน

ในตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์ ประชากรกำลังหาทางใหม่ๆ เพื่ออยู่ร่วมกับภาวะน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ เมืองนี้ชื่อ Maasbommel อยู่ในจังหวัด Gelderland การสัญจรไปที่นี่ใช้เรือเป็นส่วนใหญ่ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เจิ่งไปด้วยน้ำ มีแม่น้ำตัดกันหลายสาย พร้อมทั้งเขื่อนหลายเขื่อนคอยป้องกันบริเวณจากน้ำท่วม

แต่เขื่อนที่มีใช่ว่าจะเพียงพอ ในปี 1993 และปี 1995 หมู่บ้านนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมหนัก เนื่องมาจากภาวะโลกร้อนที่นี่จะต้องเผชิญกับน้ำท่วมหนักขึ้นและบ่อยขึ้น นักวิทยาศาสตร์ดัตช์พยากรณ์ว่าระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอีก 43 นิ้ว หรือ 110 เซ็นติเมตร ภายในปี 2100

ขณะเดียวกันประชากรก็จะต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประเมินว่าภายใน 20 ปีข้างหน้า ประชากรจะต้องการบ้านเพื่มขึ้น 500,000 หลัง ปัญหาก็คือด้วยความเป็นประเทศขนาดเล็ก พื้นที่ในการสร้างบ้านในรูปแบบที่อยู่บนดินแบบเดิม ไม่มีเหลืออีกแล้ว คนดัตช์จะต้องหาแนวความคิดใหม่ๆ

ที่ Maasbommel เราจะเห็นบ้านแบบสะเทิ้นน้ำสะเทินบกเรียงกันเป็นแถวอยู่ริมน้ำ ฐานสร้างด้วยคอนกรีตกลวงเพื่อให้ลอยน้ำได้ มีเสาด้านตั้งยึดกับพื้นดิน ใช้ท่อที่เคลื่อนที่ได้เป็นที่ร้อยสายไฟ และท่อน้ำประปา บ้านชนิดนี้สามารถลอยน้ำได้สูง 4 เมตรหรือ 13 ฟุต ราคาเริ่มต้นที่ 260,000 ยูโร หรือตกประมาณ 10 ล้านบาทไทย

มาถึงตอนนี้ต้องร้อง โห แบบนี้ก็มีแต่คนรวยถึงจะมีสิทธิ์ ทำให้คิดว่าเมื่อไทยจะเริ่มวิจัยพัฒนา จะต้องคิดถึงวัสดุที่ทำเองได้ ซึ่งทำให้มีราคาต่ำ คนไทยไม่น้อยหน้าใครเรื่องการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น



สําหรับคนดัตช์ เขาก็ยอมรับว่ามันแพง แต่เขาบอกว่านี่คือจุดเริ่มต้น ยังต้องพัฒนาไปอีกเรื่อยๆ ที่สำคัญมนุษย์จะต้องคิดอย่างจริงจังในการปรับตัวให้อยู่กับน้ำ เพราะมันกำลังจะมาถึงในเวลาอันใกล้

บ้านแบบนี้กำลังเป็นต้นแบบให้ประเทศต่างๆ ที่มีชะตากรรมคล้ายๆ กันเข้ามาศึกษา เมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกาซึ่งยังไม่ฟื้นเต็มที่จากอุทกภัยเมื่อปี 2005 ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาศึกษาดูงานที่ Maasbommel เพื่อนำไอเดียไปปรับใช้

สำหรับชาวดัตช์ที่ตัดสินใจซื้อบ้านสะเทิ้นน้ำสะเทินบกที่ Maasbommel แล้วชื่อ Cees Westdijk เขาบอกว่าเป็นเพราะเขากับภรรยาต้องการจะอยู่ที่เดิมที่ใกล้ๆ น้ำนี่แหละไม่อยากย้ายไปไหน เขาบอกว่าคิดไม่ผิดที่ซื้อบ้านนี้ เพราะน้ำท่วมทีไรก็ไม่รู้สึกอะไร ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ

นอกจากหมู่บ้านตัวอย่างที่ Maasbommel แล้ว ก็ยังมีหน่วยงานต่างๆ ในเนเธอร์แลนด์ทำการศึกษาวิจัยอย่างขมักเขม้น ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีที่เมือง Delft ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดัง Frits Schoute กำลังทำโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืนชื่อ Ecoboot ร่วมกับนักศึกษาวิศวและสถาปัตย์ที่มหาวิทยาลัยดังกล่าว โครงการนี้จะว่าด้วยการสร้างเมืองทั้งเมืองบนทะเล

เขาบอกว่า "ความคิดจะต่อสู้กับน้ำด้วยการสร้างเขื่อนเป็นเรื่องล้าหลังแล้ว ในยุคต่อไปเราต้องหาวิธีอยู่อาศัยบนน้ำมากกว่า"

"ความเปลี่ยนแปลงต้องมาจากฐานรากขึ้นสู่บน รัฐบาลต้องเป็นผู้สนับสนุน และนี่คือทางเลือกใหม่สำหรับมนุษยชาติ" เขาบอก

หนุ่มดัตช์อีกคนหนึ่งชื่อ Chris Zevenbergen ไม่ได้มองแค่การแก้ปัญหาที่บ้านเมืองของเขา เขาบอกว่าบ้านสะเทินน้ำสะเทิ้นบกนั้นมีอนาคต สำหรับทั่วโลก เขาบอกว่าก็ลองสำรวจดูสิ ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกนั้นมีสามเหลี่ยมปากน้ำเต็มไปหมด

หนุ่มคนนี้ต้องหมายถึงสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่กรุงเทพและสมุทราปราการด้วยแน่ๆ



ผู้เขียนคิดว่าหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนของไทย รวมทั้งสถาบันการศึกษาที่ทำงานด้านวิจัยพัฒนา จะต้องหันมาร่วมมือกันอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะเนเธอร์แลนด์ก็คือต้นแบบของไทย ที่สำคัญเนเธอร์แลนด์มีเพียงปัญหาน้ำทะเลหนุน แต่ไทยเรามีทั้งปัญหาทะเลหนุน และน้ำป่าไหลหลาก

นอกจากจะแก้ปัญหาระบายน้ำป่าแล้วเราต้องหันมาวิจัยเรื่องที่อยู่อาศัยที่สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ภาครัฐศึกษาเรื่องพื้นที่ในการสร้างที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย การโยกย้าย ส่วนเอกชนก็วิจัยพัฒนาเรื่องวัสดุที่ประกอบขึ้นมาเป็นที่อยู่อาศัย เช่น วัสดุน้ำหนักเบาที่ทำให้บ้านลอยน้ำได้ รวมทั้งระบบสุขาภิบาล การกำจัดของเสีย กระทรวงคมนาคมจะมีหน้าที่ใหม่ในการจัดหาการคมนาคมทางน้ำ

ในวงสนทนา มีการพูดถึงบ้านลอยน้ำที่มหาวิทยาลัยนิด้านำเสนอ ราคา 700,000 กว่าบาท ซึ่งเสนอให้ใช้วัสดุราคาถูกคือถังเปล่ามาผูกเป็นแพเป็นฐานรองรับ มีท่อลอยน้ำร้อยระบบประปาไฟฟ้า ส่วนระบบกำจัดของเสียจากส้วมก็ใช้จุลินทรีย์ นับเป็นความคิดที่ชาญฉลาด หากพัฒนาได้สำเร็จ และลองใช้จริงจะเป็นต้นแบบสำหรับประเทศยากจนต่างๆ ได้

แล้วก็มาถึงตอนที่วงสนทนาคุยกันว่าถ้าจะสร้างบ้านอย่างนี้สักหลังจะสร้างที่ไหน ในเมื่อที่ทางก็เต็มหมดแล้ว อันนี้เห็นทีจะเป็นการบ้านใหญ่สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย กทม เทศบาลผังเมือง กรมที่ดิน กระทรวงเกษตร กรมชลประทาน

และคงจะเป็นงานที่ท้าทายรัฐบาล ถัดจากการเยียวยาหลังน้ำลด และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องการทำมาหากินที่ต้องเร่งทำ

รีบๆ สางปัญหาการเมืองกันได้แล้ว ก่อนที่น้ำตาคนไทยจะท่วมทับอุทกภัยกันอีกไม่รู้จบ



.