http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-03-11

นิ้วกลม: กำปั้นที่ใหญ่กว่า/ จอห์น วิญญู: ฮิตเลอร์กับแก้มขวาของคุณ

.

กำปั้นที่ใหญ่กว่า
โดย นิ้วกลม www.facebook.com/Roundfinger.BOOK
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1647 หน้า 51


1

หลบกรุงเทพฯ มาไกลถึงกระบี่ หาดหนึ่งบนเกาะพีพีที่นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นนัก กระนั้นก็ยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยเพื่อเอาใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ

เป็น "โชว์" แบบไทยๆ

ไม่ได้ตั้งใจจะไปดูโชว์ แต่โชว์มาให้ดูถึงที่ ขณะกำลังตักข้าวเข้าปาก พิธีกรก็ประกาศว่าเดี๋ยวจะมีโชว์รำไทย ต่อด้วยโชว์มวยไทย

รำไทยจบไปอย่างอ่อนช้อย ลูกค้าของร้านอาหารดูไปกินไปอย่างรื่นรมย์ หลังจากนั้นพิธีกรก็บอกให้ทุกท่านหันไปกลางลาน-ซึ่งเป็นหาดทราย ศิลปะแม่ไม้มวยไทยกำลังจะเริ่มแสดงให้ประจักษ์แก่สายตาทุกท่าน

ฝ่ายแดงและฝ่ายน้ำเงินยืนอยู่กลางลาน กรรมการหนึ่งคน

แล้วปี่กลองก็ดังขึ้น นักมวยร่ายรำท่วงท่าไหว้ครูอยู่สองสามนาทีก่อนที่ระฆังจะดัง "แก๊ง!"

ยกที่หนึ่งเริ่มขึ้นแล้ว

ทันทีที่นักมวยทั้งสองประเคนหมัดเข้าใส่กัน มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ความเมามันบังเกิด

"เอิ้ว! เอิ้ว!" เสียงเชียร์จากหน้าม้าที่รับจ้างมาส่งเสียงประกอบการแสดงดังกระหึ่ม

แล้ว "มวยโชว์" ก็ดูเป็น "มวยแท้ๆ" ขึ้นมาในวินาทีนั้น

ไม่เพียงสร้างความเมามันให้กับลูกค้าที่ถึงขั้นต้องวางช้อนวางมีดมาดูคนต่อยกัน แต่ยังสร้างความเมามันให้กับนักมวยทั้งสองฝ่ายด้วย

พอมีเสียงเชียร์ก็ได้อารมณ์ ฮอร์โมนหลั่ง ต่อยกันจริงจังขึ้น

นี่ขนาดเป็นการแสดง บนเวทีมวยของจริงเสียงเชียร์ข้างเวทีย่อมมีผลมากต่อกำลังใจและพลังหมัดของนักมวยบนเวที

"เอาเลย! เอาเลย!"

พอยกที่สองเริ่มขึ้น ผมเริ่มได้ยินเสียงเชียร์ "เอิ้ว! เอิ้ว!" เป็นสำเนียงฝรั่ง

นอกจากกระตุ้นนักมวยแล้ว เสียงเชียร์ยังกระตุ้นคนดูให้มีอารมณ์ร่วมจนอดร่วมเชียร์ตามไปด้วยไม่ได้


2

ใกล้สงกรานต์ร้อนๆ อย่างนี้ชวนให้นึกถึงการเต้นร้อนๆ ของน้องๆ สามคนที่สีลมเมื่อปีก่อน

แม้หลายคนไม่ได้ไปยืนอยู่ในสถานที่จริงเวลาจริง แต่เชื่อว่าคงพยายามแหวกฟ้าหาคลิปมาดูกันจนได้

เมื่อได้ชมคลิปก็จะเห็นว่า "ความกล้า" นั้นแปรผันตาม "เสียงเชียร์"

เสียงตะโกนเชียร์ "ถอดเลย! ถอดเลย! ถอดเลย!" ของผู้คนด้านล่างคล้ายเป็น "ใบอนุญาต" ให้เธอทำในสิ่งที่ตอนแรกไม่แน่ใจ

ก็ใช่, อาจทำไปเพราะความเมา แต่ต่อให้เมาเราก็จะเห็นว่าตอนแรกเธอค่อนข้างเขินอาย จนกระทั่งสุดท้ายความอายก็ถูกเบียดหายไปด้วยเสียงเชียร์กระหึ่มจากผู้คนเป็นร้อย

เสียงเชียร์กระชากเสื้อยืดสีดำตัวนั้นออกจนเหลือแค่บราตัวน้อย และยังเชียร์ต่อ "ถอดอีก! ถอดอีก! ถอดอีก!" จนกระทั่งเธอเมามันถึงขั้นเหวี่ยงบราที่ใส่อยู่ทิ้งไป อวดเรือนกายขาวผ่องให้โลกเห็น

นาทีนั้น "สติ" ถูกโยนหายไปพร้อมกับบราและเสื้อผ้าที่เคยสวม มีแต่ "อารมณ์" ที่ควบคุมขับเคลื่อนเขยื้อนกายให้โยกย้ายส่ายสะโพก

กองเชียร์ยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขัน แม้บนเรือนร่างของเธอจะเหลือเพียงกางเกงบางๆ ตัวนั้น กองเชียร์ก็ยังส่งเสียงดังลั่นว่า "ถอดอีก! ถอดอีก! ถอดอีก!"

นาทีนี้ ทั้งคนบนเวทีและคนดูไม่มีใครมีสติมากไปกว่าใคร

"ความเมามัน" มันบังตา เหตุผล ความถูกต้อง ความดีงาม อะไรต่างๆ พักไว้ก่อน ที่แห่งนี้มีเพียงความเมามันเท่านั้น!


3

ทันทีที่มีข่าวว่าอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ถูกชายสองคนทำร้ายร่างกายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระแสตัวหนังสือในเฟซบุ๊กก็ทำงานทันที

ด้านหนึ่งเป็น "เสียงเชียร์" ในทำนองว่าสะใจ บางคนหัวเราะ 555 บางคนอยากเรียกคนร้ายว่าฮีโร่ บางคนยังไม่สะใจบอกว่า "น่าจะเอาน้ำกรดราดจะได้ไม่ต้องเห็นหน้าชั่วๆ ของมันอีก" และเสียงเชียร์ในอีกหลายรูปแบบที่เต็มไปด้วยความเมามันในอารมณ์

เป็นเสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มไม่แพ้ข้างเวทีมวย ไม่แพ้ในงานสงกรานต์วันนั้น ต่างแค่มันเป็นตัวหนังสือ

หากการต่อยครั้งนี้เป็นเพียงยกที่หนึ่ง ยกที่สองย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยาก และอาจจะเมามันหนักขึ้นไปอีกเมื่อมีเสียงเชียร์คอยสร้างบรรยากาศ ให้กำลังใจชวนให้ฮอร์โมนหลั่งกันขนาดนี้

ในหมู่มิตรสหายที่คบหากันอยู่ หลายคนเห็นด้วยกับข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ หลายคนไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย หลายคนเห็นด้วยบ้างในบางหัวข้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงและแลกเปลี่ยนกัน ผลัดกันบอกเล่ามุมมองและความคิดเห็น

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ยังพอเห็นความหวังคือ ในบรรดาเพื่อนพ้องที่คบหากัน ไม่ว่าใครจะคิดเห็นกับข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ยังไง ส่วนใหญ่ล้วนไม่เห็นด้วยกับการทำร้ายร่างกาย


แต่นั่นก็เป็นเพียงเพื่อนกลุ่มเล็กๆ

ผมเองก็คิดเช่นนั้น

ตราบใดที่ความขัดแย้งยังยืนอยู่บนเหตุและผล ยืนอยู่บนการเถียงกันด้วยสติ แลกหมัดทางความคิด อาจจะหลายยกหน่อยก็ไม่เป็นไร บางทีกว่าจะปล่อยหมัดความคิด หมัดเหตุผลจนผู้คนเห็นและให้คะแนนแต่ละฝ่ายได้อาจจะต้องใช้เวลา ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าต้องมาต่อยกันจริงๆ

เมื่อไหร่ที่เราโยนความคิดและเหตุผลทิ้งไป เริ่มใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน เมื่อนั้นความหวังคงริบหรี่

"บ้านเมืองในฝัน" อาจจะไม่ใช่ "ฝัน" ของฉันคนเดียว ไม่ใช่ "ฝัน" ของใครคนใดคนหนึ่ง

"ฝัน" ที่เป็นจริงได้คือฝันที่มีพื้นที่ให้คนอื่นได้ฝันบ้าง

และ "สังคมในฝัน" ของทุกคนอาจยังไม่ต้องสรุปลงเอยกันภายในวันสองวัน ปีสองปีนี้ หรืออาจจะไม่มีทางหาข้อสรุปได้ก็เป็นได้ว่ามันควรมีหน้าตาเป็นเช่นไร เพราะมันอาจไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ขับเคลื่อนไปด้วยการโต้แย้ง ถกเถียง ต่อรอง และผลัดกันสู้ด้วยข้อมูลและเหตุผลไปโดยตลอด

หากเปลี่ยน "หมัด" เป็น "เหตุผล" สิ่งที่ได้มาย่อมเป็นปัญญา มุมมองที่กว้างขึ้น ข้อมูลที่มากขึ้น ความคิดที่สร้างสรรค์ขึ้น มิใช่ได้ "แผล" เพิ่มมากขึ้นทุกปี และนับวันก็ยิ่งจะเหวอะหวะมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมไม่ได้ฝันจะเห็นบ้านเมืองที่ไม่มีความขัดแย้ง แต่ผมฝันอยากเห็นบ้านเมืองที่ไม่มีความรุนแรง หรือความรุนแรงมิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา

มากกว่านั้น-มันยังกลายเป็น "ของโปรด" ของผู้คน

เสียงเชียร์ดังลั่นนั้นเป็น "กำปั้น" ที่ใหญ่กว่า เพราะมันเป็นใบอนุญาตให้ความรุนแรงเกิดขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า

ทั้งยังส่งเสียงเรียกร้องให้รุนแรงขึ้นไปอีก

"เอาอีก! เอาอีก! เอาอีก!"

"เอิ้ว! เอิ้ว! เอิ้ว!"

ยิ่งคนดูเมามัน นักมวยก็ยิ่งเมามัน

นักมวยอาจหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันไป มุมแดง มุมน้ำเงิน มุมเหลือง แต่ก็สู้กันด้วยความรุนแรงท่ามกลางเสียงเชียร์กระหึ่มกึกก้อง

สังคมที่เป็นเหมือนเวทีมวยคงไม่น่าอยู่เท่าไรนัก เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตัวเราเองจะถูกโยนขึ้นเวที ไม่รู้ว่าเผลอๆ จะมีนักมวยอีกฝ่ายวิ่งมาต่อยเราเมื่อไหร่ ที่ไหน

แถมสังคมแบบนี้ยังเพาะบ่มและสร้าง "นักมวยหน้าใหม่" ขึ้นมาจากเสียงเชียร์เหล่านั้นด้วย

คล้ายๆ หญิงสาวที่ปลดเปลื้องเสื้อผ้าและเต้นอย่างไม่อายใคร ทั้งที่ตอนแรกเธอก็ไม่ใช่นักเต้น

เสียงเชียร์นั้นเองที่สร้าง "นักเต้น" ขึ้นมา

ในทางความคิด คนที่สนับสนุนความคิดของกลุ่มนิติราษฎร์ก็ส่งเสียงเชียร์กันได้เต็มที่ คนที่ไม่สนับสนุนก็ส่งเสียงเชียร์ฝ่ายที่คัดค้านให้ดังกระหึ่มได้ เพราะเสียงเชียร์แบบนี้มักมาพร้อมเหตุผล ไม่มีใครเจ็บตัว แถมยังได้ผลัดกันลับคมความคิด

แต่ละคนอาจมีคำตอบของ "สังคมที่ควรจะเป็น" แตกต่างกันไป แต่ผมเชื่อว่าสังคมจะน่าอยู่ถ้าทั้งสองฝ่ายร่วมกันส่งเสียงคัดค้านการทำร้ายร่างกายกัน

ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับฝ่ายใด แต่เราไม่เห็นด้วยกับการทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายหนึ่ง

เราอาจต้องส่งเสียงคัดค้านการใช้ความรุนแรงให้ดังขึ้น เพราะขณะนี้เสียงเชียร์ให้ลงมือต่อยหน้าคนที่ไม่ชอบมันดังจนน่ากลัวเกินไปแล้ว



++

ฮิตเลอร์ กับแก้มขวาของคุณ
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1647 หน้า 79


"เวลาทางตะวันตกเอาเศียรพระพุทธรูปไปทำอย่างอื่นที่ดูไม่ดีบ้างล่ะ ไม่เห็นทางโน้นเขาจะสนใจเราเลย"
"คนอิสราเอล คนอาหรับ อยู่เมืองไทยอย่างมีความสุขทั้งนั้น คนอิสราเอลอย่าเอาเรื่องน่ารำคาญของตัวเองมาจุกจิกกับเมืองไทยเลย เดี๋ยววัยรุ่นก็เปลี่ยนเทรนด์ไปแล้ว"
"ติเติงอะไรกัน ชีวิตใครชีวิตมันสิ เลี้ยงดูเขามาเหรอเขาขอข้าวเองกินหรือ มาสอนว่ามันไม่เหมาะ เป็นผู้ใหญ่ในสังคมแหละดูแลบ้านเมืองไม่ดีเองมาโยนให้เด็ก ไม่ดูงานต่างประเทศมาไม่ใช่เหรอ นี่ไงต่างประเทศอยากรู้จักเลย เขาจะได้มาดูเราบ้าง"
"...freedom of speech, freedom of expression แล้วทีอย่างนี้มาทำเป็นช็อก?!!~ ชักตายไปเลยเมิง"
"ขอโทษที่ผมมองฮิตเลอร์เป็นแค่คนธรรมดาไม่สำคัญอะไรกับชีวิตผมเลย คนคิดมากก็มีแต่พวกทิฐิ"


นี่คือความเห็นท้ายข่าวจากหลายๆ เว็บไซต์ต่อข่าวที่ชาวต่างชาติโดยเฉพาะเอกอัคราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยแสดงความไม่พอใจต่อร้านขายเสื้อยืดที่ Terminal 21 ที่ขายเสื้อยืดสกรีนเป็นรูป โรนัลด์ แมคโดนัลด์ เวอร์ชั่นฮิตเลอร์ แถมหน้าร้านยังมีตุ๊กตาฮิตเลอร์โรนัลด์ยืดทำท่าสลุตแบบนาซีให้ชาวสารขันฑ์ถ่ายรูปอัพขึ้นอินสะตาแกรมกันอย่างหนุกหนาน

ว้าย น่ารักอ่ะ

เฮ่อ ----- มันก็จริงทั้งหมดแหละครับ ฝรั่งชอบเอาเศียรพระพุทธรูปไปตั้งเป็นเครื่องประดับ เราไม่ได้ขอข้าวเค้ากิน มันเป็น "Freedom of Speech" และ คนบางคนก็ไม่ได้เห็นว่าฮิตเลอร์มันจะเลวร้ายอะไรนักหนา

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านที่มีปฏิกิริยาเช่นนี้จะเชื่อในสิ่งที่ท่านพูดอย่างแน่แท้นะครับ เพราะถ้าท่านเชื่อใน Freedom of Speech จริงๆ ล่ะก็ แหะๆๆๆ

ส่วนท่านที่เห็นว่า "คนคิดมากก็มีแต่พวกทิฐิ" เนี่ย ----

ถ้าญาติท่านโดนเอาไปรมแก๊สตายยกครัวหรือโดนริบทรัพย์สิน เอาไปทดลองยา หรือถูกบังคับให้ขุดหลุมใหญ่ๆ เพื่อที่จะโดนยิงกลางหัวแล้วตกลงหลุมนั้นไปเองล่ะก็

ผมก็หวังว่าท่านจะยังสามารถไม่ "ยึดมั่นถือมั่น" กับสิ่งเหล่านั้นได้นะครับ



มันเป็นเรื่องของรสนิยมน่ะ ผมว่า รสนิยมมันเป็นสิ่งที่มาพร้อมๆ กับการศึกษา

การศึกษาที่ถูกต้องอาจจะไม่ทำให้คุณ "เกลียด" ฮิตเลอร์อย่างที่ชาวยิวเค้าเกลียด

เพราะคนเราถ้าไม่โดนเองมันไม่มีทางจะรู้สึกเท่าๆ กันอยู่แล้ว (ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม ทั้งความเกลียด ความรัก ความชื่นชม ด้วยนะครับ) แต่การศึกษาที่ถูกต้องน่าจะมีส่วนช่วยให้เกิดบางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่า Empathy หรือ การ "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" บ้าง

รสนิยมสอนกันโดยตรงไม่ได้ครับ มันเป็นสิ่งที่ต้องสั่งสม คนที่เรียนสูงๆ ไม่จำเป็นว่าจะมีรสนิยมที่ดีเสมอไป เพราะการได้เรียนกับการมีการศึกษาเป็นสิ่งที่ต่างกันมาก

ในโลกการศึกษาไทยในฝัน (ขออนุญาตฝันซักสี่ซ้าห้าบรรทัด) จะมีบทเรียนเรื่องของสงครามโลกครั้งที่สอง
เรื่องจุดเริ่มต้นของสงคราม เรื่องการแบ่งฝ่าย เรื่องใครทำอะไรใครบ้าง เรื่องฮิตเลอร์กับคนยิว
เรื่องทหารญี่ปุ่นที่นานจิง เรื่องทหารญี่ปุ่นที่เกาหลี เรื่องทหารญี่ปุ่นที่ฟิลิปปินส์ เรื่องเพิร์ลฮาร์เบอร์
เรื่องระเบิดปรมาณู เรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
(ถ้าได้เรียนมั่งไรมั่ง อาจจะไม่มีการพลาดเอาสัญลักษณ์ธงพระอาทิตย์มาทำ CG ฉากคอนเสิร์ตในโฆษณาเครื่องดื่มที่ว่ากันว่าดื่มแล้วเป็นอัจฉริยะโดยมีการอ้างไปถึงประเทศเกาหลีซึ่งโดนกองทัพญี่ปุ่นทำอะไรต่อมิอะไรสารพัดภายใต้ธงที่ว่า คือ มีอย่างอื่นตั้งเยอะตั้งแยะทำไมต้องเลือกอันนี้ ??!!)

การศึกษาไทยในฝัน จะมีการสอนเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาโดยเขมรแดง ซึ่งเพิ่งจะผ่านมาเพียง 30 กว่าปีเท่านั้น ในบทเรียนนั้น จะมีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศข้างๆ บ้านเรา และสิ่งที่ประเทศเราทำ (และไม่ทำ) ในช่วงนั้น
เรื่องนี้ถ้าสอนมั่งไรมั่งก็อาจจะไม่มีหนังไทยเรียลลิตี้ล่าผีเขมรในคุกโตนสเลงออกมาให้แสลงใจคนที่ได้รับผลกระทบและแสดงระดับความรู้ความเข้าใจในประวัติศาสตร์ระยะสั้นของภูมิภาคนี้ นี่ข้างบ้านเราเองนะครับ ---
และการอ้างกรณีเขาพระวิหารและความรังเกียจนายกฯ ฮุน เซน ก็ไม่ได้ทำให้จุดที่ท่านยืนอยู่มันสูงขึ้นแต่อย่างใด

เช่นเดียวกัน-ในโลกการศึกษาไทยในฝัน เด็กจะได้ถามครูว่าทำไมฮิตเลอร์ทำกับชาวยิวเช่นนั้น จะเกิดการพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันถึงสาเหตุ ยิวไปทำอะไรให้ฮิตเลอร์เกลียดขนาดนั้น? ฮิตเลอร์มีเหตุผลมั้ย? ยิวสมควรโดนหรือเปล่า? แล้วอันที่จริง "ยิว" คืออะไรกันแน่?

คำถามแรงๆ แบบนี้คือคำถามจริงๆ คำถามที่สมควรถูกนำมาพูดคุยถกเถียง คำถามที่จะนำมาซึ่งการค้นคว้าและการคุยกันอีกและอีกและอีก การศึกษาจริงๆ คือการมีสิทธิที่จะสงสัยเรื่องอะไรก็ได้

การศึกษาคือการหาคำตอบจากความไม่รู้ สู่ความรู้

เด็กทุกคนไม่ได้เกิดมาพร้อมความรู้เรื่องผลงานอันโด่งดังในทางชั่วร้ายของฮิตเลอร์หรอกนะครับ



ผมเชื่อว่าเด็กหลายๆ คนเห็นสัญลักษณ์พรรคนาซี ถ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็อาจจะเห็นว่ามันดูเท่ดีจริงๆ นั่นแหละ และการที่เห็นว่าดีไซน์มันเท่ดีมันก็ไม่ใช่ความผิดแต่การเอามาใช้ในเรื่องของแฟชั่นก็ควรต้องสำเหนียกว่าคนจำนวนมากในโลกนี้จะเห็นว่ามันเป็นรสนิยมที่ต่ำและแสดงการไร้การศึกษาเท่านั้นเอง

คนเรา "ไม่รู้" ได้ครับ แต่พอมีคนเค้ามาบอกให้รู้แล้วยังจะไปแถ ไปด่าเค้ากลับว่า "แล้วทีคนอื่นยังทำหยั่งงั้นหยั่งงี้..."

มันไม่ได้ทำให้สิ่งที่เราทำมันแย่น้อยลงเลยนะครับ มันเหมือนกับว่าเราเห็นคนคนหนึ่งนั่งอึอยู่บนฟุตปาธ แล้วเราก็เลยนั่งลงบนฟุตบาธแล้วอึมั่ง พอมีคนมาบอกว่า เฮ้ย อย่า มันสกปรกแล้วมันก็ดูอุจาดตาด้วย เราก็บอกว่า ก็ทีไอ้นั่นมันยังทำเลย
แล้วมันทำให้ความอุจาดลดน้อยลงมั้ยล่ะเนี่ย?

การที่คุณเห็นคนอื่นทำสิ่งที่ไร้รสนิยม แล้วคุณก็ไปทำบ้าง มันไม่ได้ทำให้คุณดีกว่าเค้าเลยนะครับ

จะว่าไปผมคิดว่าผมเพิ่งจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาโดยเฉียบพลัน ตอนเด็กๆ ผมถูกเลี้ยงมาเป็นคาทอลิกครับ (โตมากลายเป็นอะไรก็ช่างเถอะนะ) มีคำสอนอยู่ข้อหนึ่งที่ผมไม่เคยเข้าใจเลยจนถึงวินาทีนี้ ผมอาจจะยังเข้าใจผิดอยู่นะ แต่เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ เค้าบอกว่าพระเยซูบอกว่า ถ้ามีใครตบแก้มซ้ายของคุณ ให้คุณหันแก้มขวาให้เค้าตบด้วย

จะบ้าเหรอครับ? ตบมาก็ต่อยฟ่ำแล้ว!

ผมเข้าใจแล้วล่ะ มันเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องการอึแข่งกันบนฟุตปาธนี่แหละ คือว่า ถ้าเค้าตบแก้มซ้ายคุณแล้วคุณต่อยกลับล่ะก็ นั่นหมายความว่าคุณก็ไม่ได้มีระดับจิตใจที่สูงกว่าเค้าเลย คือ เป็นเลเวลเดียวกันอ่ะ คือ หมากัดก็กัดตอบแปลว่า มรึงก็หมา กรูก็หมาไงครับ

แต่ถ้าลวกเพี่ยเค้าตบแก้มขวาเรา แล้วเราหันแก้มซ้ายให้เค้าตบอีกซะทีให้สาแกใจแล้วล่ะก็ เอ็งเป็นหมา แต่ข้าก็ยังเป็นคนอยู่ว่ะ

แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ใครอยากเป็นอะไรก็สุดแท้แต่ ของแบบนี้ ตัวใครตัวมันเน้อว์!!!


______________________________________________________________________________________________________

Japan Tsunami Song - Your Help - Photo Tribute
www.youtube.com/watch?v=vbexdpAa6TQ




.