http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-03-23

ยานยนต์ กับการพลิกฟื้น, ลึกแต่ไม่ลับ 23 มี.ค.55

.
รายงานพิเศษ - ดัชนีโผทหาร ดัชนีความเครียด ของ "บิ๊กตู่" กับ แผนต้อนรับ "ทักษิณ" กลับ และ 3 เสธ. 3 สี แห่งโผเมษาฯ
รายงานพิเศษ - "อชิรวิทย์" ตัวแทน ก.ตร.เสื้อสูท วิพากษ์ตั้ง "รอง ผบก.-สว." ประกาศยืนเคียงข้าง "ผบช."

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

อุตสาหกรรมยานยนต์ กับการพลิกฟื้น ขยับปรับตัว หลังวิกฤต "อุทกภัย"
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1649 หน้า 101


ความเชื่อมั่นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ยังวางน้ำหนักให้กับอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ว่าจะปรับตัวฟื้นอย่างรวดเร็วและโดดเด่น

นายยงเกียรติ กิตะพาณิชย์ รองกรรมการผู้อำนวยการบริหาร บริษัทสมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่า ปี 2555 บริษัทจะมีรายได้ที่เติบโตสูงสุด โดยเป็นไปตามตัวเลขยอดผลิตรถยนต์ในประเทศ
ทั้งปี 2555 คาดรายได้จะเติบโตร้อยละ 35 จากปี 2554 ที่มีรายได้ 6,550 ล้านบาท
รายได้หลักจะมาจากค่ายรถยนต์มิตซูบิชิร้อยละ 30 โตโยต้าร้อยละ 25 ทั้ง 2 บริษัทนี้ไม่ได้ประสบปัญหาน้ำท่วม
ยิ่งกว่านั้น ความต้องการใช้รถในประเทศยังสูงและส่งออกยังมีการเติบโต

นายเย็บ ซู ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่ารายได้บริษัทในปี 2555 จะเติบโตร้อยละ 10-20 จากปีก่อน ที่ 1.09 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมีการเติบโตตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์โดยรวม
คาดว่าปี 2555 จะผลิตรถยนต์ได้ 2.1 ล้านคัน เทียบกับปี 2554 ที่ผลิตได้ 1.5 ล้านคัน และปี 2553 ที่ผลิตได้ 1.6 ล้านคัน
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทกลับมาเดินเครื่องกำลังการผลิตเต็มร้อยละ 100 ซึ่งเป็นระดับปกติก่อนน้ำท่วมแล้ว จนปัจจุบันโรงงานเดินเครื่อง 24 ชั่วโมง ส่วนความคืบหน้าเงินประกันภัยจากความเสียหายกรณีน้ำท่วมอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทประกันภัย คาดว่าภายใน 6-7 เดือนนี้จะทยอยได้รับเงินประกันจนครบทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังมั่นใจราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะไม่กระทบกับการชะลอการผลิตรถยนต์หรือความต้องการใช้รถของผู้บริโภคทั้งต่างประเทศและในประเทศ โดยเฉพาะคนไทยที่ยังมีความต้องการใช้รถกระบะอีกมาก

ปีนี้ความเสี่ยงของธุรกิจยังคงให้น้ำหนักกับเรื่องน้ำท่วมต่อ ที่ผู้เกี่ยวข้องต้องพยายามดูแลเขื่อนให้ดี เพราะหากน้ำท่วมครั้งที่ 2 คงสู้ต่อไปไม่ไหว
นี่ย่อมเป็นโจทย์ที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องรับไปเต็มๆ


เจาะลงไปภายในรายละเอียด ยอดผลิตรถยนต์เดือนมกราคม 2555 จำนวน 14,404 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.20 จากเดือนธันวาคม 2554

เอเชียพลัส คาดยอดผลิตในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จะไม่ต่ำกว่า 1.4 แสนคัน
และจากผลของมอเตอร์โชว์ที่จะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นเมื่อผนวกเข้ากับที่เพิ่งออกไปก่อนหน้าเป็นรถกระบะที่มีถึง 4 ยี่ห้อ กล่าวคือ อีซูซุ เชฟโรเลต มาสด้า และฟอร์ด กระตุ้นให้ยอดผลิตรถยนต์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2555 ไม่น้อยกว่า 4 แสนคัน
แนวโน้มตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ไปจนถึงสิ้นปี 2555 คาดว่าจะมีการผลิตกันเต็มที่ โดยเฉพาะฮอนด้าที่จะเริ่มผลิตปลายเดือนกุมภาพันธ์จะเดินกำลังการผลิตเต็มร้อยละ 100 เพื่อชดเชยที่หยุดผลิตไป
ส่งผลให้ทั้งปี 2555 มีปริมาณการผลิตรถยนต์อย่างน้อย 1.9 ล้านคัน เติบโตร้อยละ 30 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อาจกล่าวได้ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอุตสาหกรรมที่ขยับปรับตัวและฟื้นจากแรงสะเทือนของอุทกภัยได้อย่างค่อนข้างรวดเร็ว

รวดเร็วจนนำกระบวนการผลิตทะยานเข้าสู่การแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ



++

คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1649 หน้า 8


บุกเหยียบ "ถ้ำเสือ" ก็ว่าได้ การนำคณะรัฐมนตรีไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดภูเก็ต และพังงา ยึดหัวหาด "อันดามัน" เป็นด่านแรก

เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า ปักษ์ใต้บ้านเรา เป็น "ถิ่นนายหัว" สนามพิมพ์นิยมของพรรคประชาธิปัตย์ ยึดหัวหาดเรียบทั้ง 14 จังหวัด ด้ามขวานทอง จนมีนิยามตามน้ำติดปากกันว่า "เอาเสาไฟฟ้าลงสมัคร" ยังชนะเลือกตั้ง สนามเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทย หรือเครือข่าย "ทักษิณ" ทั้ง ไทยรักไทย-พลังประชาชน ไม่เคยสัมผัสแม้เศษเสี้ยวเดียว

"ปักษ์ใต้บ้านเรา" นอกจากจะประชาธิปัตย์จ๋ามาตลอดกาลนานแล้ว ยัง "เหลืองอ๋อย" กับระบอบทักษิณด้วยแล้ว เผ็ดราวกับ "มัสตาร์ด" จี๊ดจ๊าดกลืนไม่ลงมาตลอด

แต่การนำ ครม. ไปประชุมสัญจรของ "นายกฯ ปู" เมื่อวันที่ 19-20 มีนาคมที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า ลบภาพลักษณ์เก่าๆ ทิ้ง "คนใต้" ต้อนรับขับสู้นายกฯ หญิงอยู่ในเกณฑ์พอประมาณ

ไม่มีการจัดม็อบมาตะโกนด่า หรือไล่ล่า "เสื้อเหลือง" ก็พากันหลบฉาก มิหนำซ้ำมีการระดมแฟนคลับ "คนรักปู" มามอบช่อดอกไม้ สร้างมิตรไมตรีอันดียิ่ง

ว่ากันว่า สาเหตุที่ภาพข่าวออกมาอร่ามงามตาประมาณนี้ เพราะ "อันดามัน" ไม่เหลืองมัสตาร์ด หากพลัดหลงไปสุราษฎร์ธานี-พัทลุง-นครศรีธรรมราช-สงขลา รับประกันซ่อมฟรีว่า "งานเข้า" ร้อยเปอร์เซ็นต์

คุ้มค่า สมราคา กับที่คนภาคใต้ให้การต้อนรับขับสู้ "ยิ่งลักษณ์" ด้วยอัธยาศัยและไมตรีอันดียิ่ง "ครม.ปู" เลย "จัดหนัก" โปรยประชานิยม ระดับต้องบรรทุกด้วยรถสิบล้อ อาทิ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมปรับปรุงเส้นทางหลวงสายหลัก ผุดโครงการรถไฟทางคู่ พัฒนาสนามบิน ใช้งบประมาณ 2 แสนล้านบาท

และเห็นชอบดำเนินการในโครงการ 117 โครงการเฉพาะเจาะจง "อันดามันกรุ๊ป" คือ ภูเก็ต-พังงา-ระนอง-กระบี่-ตรัง วงเงินจิ๊บจ๊อย 84,064 ล้านบาทเท่านั้นเอง

จริงๆ แล้ว พรรคเพื่อไทย หรือรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" มิใช่ "เขตปลอดคนใต้" เสียเลยทีเดียว มี "สิงห์สะตอ" ยืนคลุกวงในอยู่มากหลายคนเช่นเดียวกัน เรียงลำดับไหล่มาจาก "คนเสื้อแดง" หัวหน้าแก๊งผู้ก่อการใหญ่ "วีระ มุสิกพงศ์" ก็คนระโนด จังหวัดสงขลา เป็นเพื่อนเลิฟร่วมรุ่น เรียนหนังสือห้องเดียวกันมา กับ "ถาวร เสนเนียม"

"ธิดา โตจิราการ" ประธานหญิง นปช. เป็นชาวสุราษฎร์ธานี เช่นเดียวกับ "จตุพร พรหมพันธุ์" คนเมืองเงาะอร่อย หอยใหญ่ ถิ่นเดียวกับ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" นายหัวตัวเอ้ของประชาธิปัตย์

กระชับพื้นที่ส่องกล้องดูในแวดวงคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล "ปู" ไม่นับกุนซือขาใหญ่ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" อดีตนายกรัฐมนตรีก็เป็นชาวนครศรีธรรมราช

"ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" หัวหน้าพรรคมือทองที่จับหมายเลขได้เบอร์ 1 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เม็ดแท้ปักษ์ใต้ ชาวกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ฯ ซึ่งว่ากันไปแล้วตระกูล "วิชัยดิษฐ" ก็เทือกเถาเหล่ากอประชาธิปัตย์เก่าทั้งนั้น

"ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บ้านเกิดเก่า จังหวัดนครศรีธรรมราช

หรือ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" นามสกุลก็บอกยี่ห้อ ต้นตระกูลเก่าเป็นเจ้าเมืองระนอง

สรุปแล้ว พรรคเพื่อไทย หรือ ครม.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ไร้ร่างเงาคนปักษ์ใต้เสียเลยทีเดียว มีอยู่พอประมาณ ระดับ "หะร็อมหะแร็ม"



การเมืองฮ็อตสุดสัปดาห์นี้ ต้องยกเครดิตให้กับข่าว "สันติ พร้อมพัฒน์" รัฐมนตรีว่าการ พม. มีคำสั่งปลดฟ้าผ่า "พนิตา กำภู ณ อยุธยา" ออกจาก พม. ไปนั่งตบยุงในตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ

บังเอิญว่า "พนิตา" ไม่ได้ตัวคนเดียวโดดๆ เคี้ยวง่ายคายคล่องเหมือนกับราย "ถวิล เปลี่ยนสี-พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี-วิเชียร ชวลิต" ที่ถูกรัฐบาล "ปู" ผ่องถ่ายไปก่อนหน้านี้

"พนิตา" มีน้องรักสุดเลิฟ ชื่อ "ประวัฒน์ อุตตะโมต" ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย จากจันทบุรี เมื่อ "สันติ" ปลดแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ จึงมีรายการเปิดฉากพะบู๊กันด้วยความเมามัน

เป็นศึกใหญ่ระดับ "ห้าดาว" ขึ้นในพรรคเพื่อไทย

การออกโรงเพื่อปกป้องพี่สาวของ "ประวัฒน์" ช่วยย้อนกระแสให้กลุ่มการเมืองนามว่า "กลุ่ม 16" กลับมาโด่งดังอีกครั้ง

เพราะ "ประวัฒน์" เป็นหนึ่งในหัวแถวของ "กลุ่ม 16" ที่ก่อตั้งมาบดกระดูกกับพรรคประชาธิปัตย์ในกาลอดีตได้ถึงพริกถึงขิง เป้าหมายการก่อตั้งในเบื้องต้นเลย เพื่อทำการปกป้อง "นายบรรหาร ศิลปอาชา" นายกรัฐมนตรี คนที่ 21 ณ ขณะนั้น

สาเหตุที่ใช้ชื่อ "กลุ่ม 16" เพราะก่อตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2535 มี ส.ส. ร่วมก่อตั้งจำนวน 16 คน

ประกอบด้วย 1.นายเนวิน ชิดชอบ ส.ส บุรีรัมย์ 2.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ 3.ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ส.ส.นครราชสีมา 4.นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา 5.นายประวัฒน์ อุตตะโมต ส.ส.จันทบุรี 6.นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ส.ส.ราชบุรี 7.นายวราเทพ รัตนากร ส.ส.กำแพงเพชร 8.นายวิทยา คุณปลื้ม ส.ส.ชลบุรี 9.นายอิทธิ ศิริลัทธิยากร ส.ส.ฉะเชิงเทรา 10.นายยิ่งยศ อรุณเวสสะเศรษฐ ส.ส.ระยอง 11.นายเกษม รุ่งธนเกียรติ ส.ส.สุรินทร์ 12.พ.อ.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา 13.นายเฉลิมชัย อุฬารกุล ส.ส.สกลนคร 13.นายธานี ยี่สาร ส.ส.เพชรบุรี 14.นายจำลอง ครุฑขุนทด ส.ส.นครราชสีมา 15.นายเกษม ทองศรี ส.ส.บุรีรัมย์ 16.นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ ส.ส.ร้อยเอ็ด

"กลุ่ม 16" ในช่วงนั้นถือว่ามีบทบาทและชื่อเสียงโด่งดังเอามากๆ ต่อมามีการขยายแนวร่วม มีสมาชิกเพิ่มเติมอีกหลายคน

โดย "สมพงษ์ อมรวิวัฒน์" ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม

เคยปฏิบัติการล้มรัฐบาล "ชวน หลีกภัย" เมื่อครั้งเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่อง ส.ป.ก. สร้างสตอรี่ กระจงขาหักดังเกรียวกราว

ปัจจุบัน กลุ่ม 16 แยกกันเดินหมดแล้ว แต่ส่วนใหญ่สังกัดพรรคเพื่อไทย มี "เนวิน-สุชาติ-สรอรรถ" แยกตัวไปรวมกลุ่มกันที่พรรคภูมิใจไทย



+++

ดัชนีโผทหาร ดัชนีความเครียด ของ "บิ๊กตู่" กับ แผนต้อนรับ "ทักษิณ" กลับ และ 3 เสธ. 3 สี แห่งโผเมษาฯ
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1649 หน้า 16


การแต่งตั้งโยกย้ายกลางปี 127 ตำแหน่ง ดูเหมือนจะราบรื่นหวานชื่น ไม่ปรากฏความขัดแย้งระหว่างการเมืองกับกองทัพ ไม่ปรากฏเรื่องการล้วงลูก ระหว่างบิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กับ ผบ.เหล่าทัพ ตกลงกันได้ด้วยดี

แต่ทว่า กลับมีเค้าลางแห่งปัญหาปรากฏให้เห็น เป็นการอุ่นเครื่องรอการโยกย้ายปลายปีในเดือนกันยายนปีนี้

ก่อนที่โผจะคลอด ก็ต้องมีทั้งข่าวลือ ข่าวลวง และเรื่องจริง โดยเฉพาะกระแสสะพัดที่ว่า มีการจัดทำ 2 โผ

โผหนึ่ง เป็นของกองทัพ ของ ผบ.เหล่าทัพ ที่บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. รวบรวมจาก ผบ.สามเหล่าทัพ ส่งให้ รมว.กลาโหม

กับอีกโผหนึ่ง เป็นโผที่ พล.อ.อ.สุกำพล ร่วมกับ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม ทำขึ้นเอง โดยใช้โผที่กองทัพส่งมา แต่มีการปรับแก้ในบางตำแหน่งให้เหมาะสม

และให้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร



รํ่าลือกันแรงว่า จะขยับเยอะ เพราะในเบื้องแรกบิ๊กต่าย พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ จเรทหารทั่วไป แกนนำ ตท.10 จะลาออกก่อนเกษียณ เพื่อไปเป็นประธานสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สปท.) ของสำนักปลัดกลาโหม ทำให้เก้าอี้จเรทหารทั่วไปก็จะว่างลง

ถ้าจะให้จบง่ายๆ ก็แค่ให้บิ๊กอ๊อด พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ ประธานที่ปรึกษา รมว.กลาโหม ย้ายมาเป็นจเรทหารทั่วไป เพื่อปิดอัตรานี้เลย ก็ได้แต่กลับมีแนวคิดที่จะดัน พล.อ.โปฎก บุนนาค จาก ผช.ผบ.ทบ. ไปครองอัตราจอมพล นั่งจเรทหารทั่วไปนี้ เพื่อเปิดช่องให้ห้าเสือ ทบ. ว่างลง

บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. สบช่องเพราะอยากจะเปลี่ยนเสนาธิการทหารบก คู่ใจ เลยไม่อยากรอถึงการโยกย้ายปลายปี เพราะ เสธ.บี้ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ไม่เข้าขาไม่เข้าตา และไม่ค่อยถูกโฉลกกับ ตท.12 โดยเฉพาะบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. เพื่อนรักบิ๊กตู่ จากเรื่องการดูแล กอ.รมน. ที่ พล.อ.ศิริชัย ในฐานะเลขาธิการ กอ.รมน. เดินคนละแนวกับเมื่อครั้งที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ คุมอยู่ จนมีความพยายามที่จะเสนอเพิ่มให้ พล.อ.ดาว์พงษ์ เข้ามาเป็น บอร์ด กอ.รมน. แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.รมน. ยังไม่อนุมัติ

พล.อ.ประยุทธ์ นั้น อยากได้บิ๊กนมชง พล.ท.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รอง เสธ.ทบ. หรือบิ๊กยอด พล.ท.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ผบ.นปอ. เพื่อนรัก ตท.12 ขึ้นเป็น เสธ.ทบ.

แต่ทว่า มีพลังพิเศษบางอย่างและเพื่อความไม่ประมาท จึงต้องดันบิ๊กโด่ง พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาค 1 ขึ้นพลเอก ห้าเสือ ทบ. เลย เพื่อจ่อเป็น ผบ.ทบ. คนต่อไป เพื่อไว้เป็น "ผบ.ทบ.อะไหล่" หาก พล.อ.ประยุทธ์ เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง

มีการจับตามองว่า คดี 91 ศพคนเสื้อแดง ได้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลแล้ว เมื่อ 12 มีนาคม ที่ผ่านมา จะมีการไต่สวนกันในเดือนมิถุนายนเรื่อยไป จนคาดกันว่าอาจจะมีการตัดสินกันในช่วงการโยกย้ายทหารปลายปี เดือนสิงหาคม-กันยายน พอดี และเล็งไปที่เก้าอี้ ผบ.ทบ. ของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเมื่อครั้งปราบเสื้อแดง ดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ. แต่ทว่ามีบทบาทยิ่งกว่าบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.เสียอีก

ประมาณว่า จะมีการสร้างแรงกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงสปิริต แอ่นอกรับผิดชอบแทนทหารลูกน้อง ต่อข้อหาทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ มีการใช้กระสุนจริงปราบปรามคนเสื้อแดง โดยที่ในสำนวนมีบางศพที่ถูกทหารยิงจากด้านหลัง หรือมือเปล่า ไม่ได้มีอาวุธต่อสู้

หากเป็นไปเช่นนั้น ก็ต้องมีการย้าย พล.อ.ประยุทธ์ จาก ผบ.ทบ. ไปเป็นปลัดกลาโหม ซึ่งจะว่างลงเพราะ พล.อ.เสถียร เกษียณราชการพอดี เมื่อนั้น พล.ท.อุดมเดช ก็จะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. แทน



แม้ว่า พล.ท.อุดมเดช จะถือเป็นทายาทอำนาจของบูรพาพยัคฆ์และทหารเสือราชินี อยู่แล้วก็ตาม แต่หากสถานการณ์ปกติ พรรคเพื่อไทยไม่แตะต้อง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีเรื่องคดีเสื้อแดง หรือรอดพ้นคดีนี้ไปได้ พล.อ.ประยุทธ์ จะนั่งเป็น ผบ.ทบ. ยาวจนเกษียณกันยายน 2557 เมื่อนั้น พล.ท.อุดมเดช จะได้เป็น ผบ.ทบ. แค่ปีเดียว เพราะเขาจะเกษียณ 2558

รู้กันดีว่า พล.ท.อุดมเดช เป็นที่ถูกชะตากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นทหารเสือราชินีระดับหัวแถว และมีท่าทีที่ดีต่อรัฐบาล และเป็นทหารอาชีพที่เป็นกลไกของรัฐบาล ที่คนใน ทบ. ยอมรับ จึงหนุนให้เป็น ผบ.ทบ.

จะว่าไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่มั่นใจนักว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะเอาอย่างไรกับคดีปราบคนเสื้อแดงแน่ และกลัวว่าจะไม่ทันการ หากมีการตัดสินคดีในช่วงปลายปี จึงดัน พล.ท.อุดมเดช ทายาท ขึ้นห้าเสือ ทบ. ไว้ก่อน เพราะถ้ารอปลายปีตามแผนเดิมจะขึ้น ผบ.ทบ. ไม่ได้

รวมทั้งการจะดันบิ๊กอู๊ด พล.ต.วลิต โรจนภักดี รองแม่ทัพภาค 1 ขึ้นพรวดเป็นแม่ทัพภาค 1 ไว้เลยแบบฟ้าแลบ เพราะเกรงถูกคนเสื้อแดงต่อต้าน เพราะ พล.ต.วลิต ก็เป็นนายทหารที่อยู่ในแบล๊กลิสต์ของคนเสื้อแดง ที่ตอนนั้นบิ๊กต๊อก พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เพื่อน ตท.14 รองแม่ทัพ 1 ก็อาจได้ลุ้น หลังจากที่มีข่าวอดีตบิ๊ก รสช. ต่อสายตรงถึงดูไบกรุยทางให้

นี่เป็นเหตุที่ พล.ต.ไพบูลย์ จะขอสู้ชิงเก้าอี้แม่ทัพภาค 1 ต่อ แม้จะไม่อาจข้ามไปเป็น พลโท ผบ.รร.นายร้อย จปร. ได้ เพราะ พล.ต.พอพล มณีรินทร์ นั้นแรงทั้งความชอบธรรมจากการเป็น รอง ผบ.รร.จปร.มา 4 ปีครึ่ง และเคยเป็น ผบ.กรม นร.นายร้อย จปร. และ ผบ.รร.เตรียมทหาร แถมยังเป็นน้องรักของบิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อีกด้วย แถมเป็น ตท.16 ที่มีอายุราชการถึงปี 2559 ก็อาจแทรกขึ้นมาเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ. คนต่อไปได้ โดยเฉพาะหากเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยนี้ต่อไป

แต่ที่สุดแล้ว พล.อ.ภุชงค์ ก็ถูกขอร้องยังไม่ให้ลาออก เพราะจะเกิดแรงกระเพื่อม เนื่องจากแผนของทาง พล.อ.อ.สุกำพล นั้น จะจัดกองทัพในการโยกย้ายปลายปีเอาแบบไม่ให้ทาง พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งตัวติด ทั้งหมดจึงเป็นแค่ความฝันที่ต้องรอโยกย้ายเดือนกันยายน

แต่เพื่อความไม่ประมาท บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. จึงต้องให้ ผบ.3 เหล่าทัพ ลงลายมือชื่อหรือลายเซ็น ท้ายบัญชีรายชื่อโยกย้ายที่ส่งขึ้นไปทุกหน้า เพื่อป้องกันการสอดไส้หรือแก้ไข โดยที่ ผบ.เหล่าทัพ ไม่ยินยอม

อันเป็นดัชนีหนึ่ง ที่ชี้วัดได้ว่ามีความหวาดระแวงระหว่าง ผบ.เหล่าทัพ กับ รมว.กลาโหม ว่าจะล้วงโผเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นรูปแบบเดียวกับที่ ผบ.เหล่าทัพ เคยทำในการโยกย้ายเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีบิ๊กอ๊อด พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เป็น รมว.กลาโหม เพื่อป้องกันการแก้โผ เนื่องจากตอนนั้นเพิ่งเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยน รมว.กลาโหม ใหม่ๆ

แต่ครั้งนั้นแรงกว่า เพราะมีการปล่อยให้โผโยกย้ายที่ปรากฏลายเซ็น ผบ.เหล่าทัพ นั้นหลุดออกมาทั้งฉบับ

เพื่อตีกันไม่ให้ฝ่ายการเมืองแก้โผ อีกด้วย



แต่สีสันของโผนี้ น่าจะไปอยู่ที่ 3 พันเอก 3 เสธ.สามสี ที่จับตากันว่าใครจะเป็น นายพลใหม่ ติดยศพลตรี

ที่ฮือฮาคือ เสธ.หมู ทหารสีแดงแป๊ด พ.อ.สุเมธ พรหมตรุษ ผอ.กองข่าว หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บก.กองทัพไทย และ นายทหารทีม รปภ. ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ติดยศพลตรี แม้ว่าจะเป็น ตท.28 ที่รุ่นพี่ๆ ยังเป็นพันโท พันเอก กันอยู่ แต่เพราะเขาเป็น Fast Track กรณีพิเศษ เพราะดูแลตระกูลชินวัตรมาตลอด ตั้งแต่ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี จนมายุค นายสมัคร สุนทรเวช

มีข่าวว่างานนี้ "ปูขอมา" เพื่อให้พี่ชาย ที่เป็นเพื่อนและที่ปรึกษาส่วนตัวคนนี้ ได้เป็นนายพลเสียที โดยกระซิบทาง พล.อ.เสถียร ปลัดกลาโหม ซึ่งสนิทสนมซี้ปึ้กกับนายกรัฐมนตรีและเพื่อไทยอยู่แล้ว ให้มาเอาตำแหน่งที่สำนักงานปลัดกลาโหม

ความจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ต้องขอก็ได้ เพราะ พล.อ.เสถียร นั้น สนิทสนมใกล้ชิดกับ พ.อ.สุเมธ อยู่แล้วตั้งแต่อยู่หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา และเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยให้ พล.อ.เสถียร ได้เป็นปลัดกลาโหม จึงเหมือนเป็นการดูแลตอบแทนน้องรักไปด้วยในตัว หากแต่รุ่นเขายังเด็กอยู่เท่านั้น

แต่โผนี้ บรรดาทหารแตงโม และคนเสื้อแดงก็เช็กข่าวกันให้วุ่น เมื่อมีข่าวว่า เสธ.แดง แต่เป็น เสธ.สีเขียว ที่มีความเป็นทหารเต็มตัว พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รอง ผบ.พล.1 รอ. และอดีต ผบ.ร.11 รอ. ที่เคยร่วมทีมปราบเสื้อแดงนั้น ได้เป็นนายพล

แต่ทว่า พล.อ.ประยุทธ์ รู้ดีว่ากระแสแรง จึงให้นั่งที่เดิมและเก็บตัวเงียบๆ ไปก่อน เพราะเขาถูกวางตัวให้เป็น ว่าที่ ผบ.พล.1 รอ. ในอนาคต แม้จะเป็น ตท.20 ที่ติดนายพลได้แล้วก็ตามที เพราะเขาสามารถไปเป็น พลตรี ในตำแหน่งอื่นก่อน เช่น ผบ.มทบ. หรือ ผบ.พล. แล้วค่อยย้ายระนาบกลับมาเป็น ผบ.พล.1 รอ. ทีหลังก็ได้

แต่เส้นทางของ พ.อ.อภิรัชต์ ก็ไม่ง่ายนัก หากยังเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดงยังจ้องตาไม่กะพริบอยู่แบบนี้ แต่ก็ต้องอยู่ที่ความกล้าหาญและความแข็งของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ดาว์พงษ์ ที่จะต้องดูแล ปกป้อง พ.อ.อภิรัชต์ ซึ่งทำงานเพื่อกองทัพ ยอมเป็นหนังหน้าไฟมาตลอด จนกลายเป็นหนึ่งในนายทหารสายอำมาตย์ ที่คนเสื้อแดงหมายหัว

ส่วน เสธ.ไก่อู พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ทบ. ที่แม้เมื่อก่อน ตอนเป็นโฆษก ศอฉ. จะเป็นศัตรูหมายเลขต้นๆ ของคนเสื้อแดง และเป็นเซเล็บขวัญใจคนเสื้อเหลืองและสลิ่ม และกลายเป็นทหารสีเหลืองก็ตาม แต่มาตอนนี้ หลังจากที่เขาถูกมองว่า "เปลี่ยนไป" จากการให้ปากคำในคดีเสื้อแดง และผังล้มเจ้าที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายคนเสื้อแดง และโยนไปที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ แล้ว เขาก็กลับมาได้ใจคนเสื้อแดง

รวมทั้งการเป็นน้องรักของ เสธ.ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต นายทหารผู้กว้างขวางเพื่อนซี้ ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และบิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต หัวหน้าฝ่าย เสธ.ประจำ รมว.กลาโหม ก็ทำให้ถูกมองว่าจะได้เป็น พลตรี หรือยัง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ยอมแต่งตั้ง ทั้งๆ ที่ พ.อ.สรรเสริญ เสียสละตัวเองทำงานเพื่อกองทัพมาเต็มที่ ทั้งในฐานะโฆษก ศอฉ. โฆษก ทบ. และตำแหน่งปกติ ผอ.กองปฏิบัติการจิตวิทยา กรมกิจการพลเรือน ทบ.

แต่ก็ไม่มีข่าวว่า พ.อ.สรรเสริญ จะได้เป็นนายพล ในโผโยกย้ายนี้ แม้ว่าการเป็น ตท.23 จะไม่เด็กเกินไปที่จะเป็น พลตรี ก็ตาม ที่ก็ทำให้ พ.อ.สรรเสริญ น้อยใจไม่น้อย แต่ก็ถือว่าเสียว่า กำลัง Lucky in love กับสาวสวยแห่งวงการจิวเวลลี่ หลังจากที่เป็นโสดมาไม่กี่ปี ก็เลยจะไม่โชคดีในเรื่องการงาน

แต่ก็กลายเป็น เสธ.สีชมพู เพราะแดงเรื่อๆ แถมมีความรัก จนใบหน้าเป็นสีชมพู



ในระยะนี้มีการตั้งข้อสังเกตและซุบซิบกันใน ทบ. แล้ว ว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จึงกลับมาเครียด และมีอารมณ์ฉุนเฉียวอีกครั้ง หลังจากที่ควบคุมอารมณ์และรักษาภาพพจน์มาได้ดีตลอด ทั้งๆ ที่ความสัมพันธ์ของเขากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นสุดแสนหวานชื่น

แต่ข่าววงในระบุว่า เรื่องหนึ่งคือ การที่เขาไม่สามารถดันบิ๊กติ๊ก พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา รองแม่ทัพภาค 3 น้องชายแท้ๆ ขึ้นพลโท ในตำแหน่ง แม่ทัพน้อยที่ 3 ได้ เพราะยังไม่ได้อาวุโส แต่ต้องยอมให้ พล.ต.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รองแม่ทัพภาค 3 (ตท.14) ที่อาวุโสกว่า เพราะเป็นรองแม่ทัพภาค 3 ก่อน ขึ้นเป็นแม่ทัพน้อย 3 ไปก่อน

ที่แรงกว่านั้นคือ พล.ต.สุรเชษฐ์ นั้น อาจถึงขั้นฟ้องศาลปกครอง หาก พล.อ.ประยุทธ์ ตั้ง พล.ต.ปรีชา ข้ามหัวขึ้นเป็นแม่ทัพน้อย 3 เพราะ พล.ต.สุรเชษฐ์ นั้น ถือว่าเป็นขวัญใจของคนเสื้อแดงในพื้นที่ และมีสายสัมพันธ์กับนายทหารแตงโม ที่ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล ก็ท้วงติงตำแหน่งนี้มาด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ เองก็กลัวว่า พล.ต.ปรีชา จะถูกโจมตีและอยู่ในกองทัพภาค 3 จะมีปัญหา เพราะเกิดความแตกแยกแบ่งขั้วแบ่งฝ่าย แบ่งรุ่นกันแล้ว จนเคยคิดจะย้ายให้น้องชายมาเป็นพลโท อยู่ บก.ทบ. ใกล้ๆ กัน ในตำแหน่ง ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกำลังพล เลยทีเดียว แต่ก็ขยับไม่ออก



อีกเรื่องที่ทำให้บิ๊กตู่ อารมณ์ไม่สู้ดี ก็เรื่องคดีเสื้อแดง 16 ศพจาก 91 ศพ ที่เข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้ว ที่ทำให้ต้องมีการเตรียมทีมกฎหมายต่อสู้ในชั้นศาล ที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มไม่มั่นใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะเอายังไงกับกองทัพแน่ จากที่เคยส่งสัญญาณมาว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวแทรกแซงกัน แต่ก็อาจเป็นแค่เกม "กดดัน" และต่อรองให้กองทัพยอมรับแผนปรองดองและการนิรโทษกรรมด้วย

เพราะอีกเรื่องเครียดก็คือ การรุกทางการเมืองในการนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และการประกาศจะกลับประเทศภายในปีนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอง

แม้ว่าในใจลึกๆ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับ หรือการเคลียร์เรื่องคดีต่างๆ ไม่น่าจะง่ายนักก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจหยั่งรู้กลเกมเบื้องหลังที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินอยู่ โดยเฉพาะการ "เคลียร์" กับบุคคลสำคัญๆ ในฝั่งอำมาตย์

แต่ทหารแตงโมใน ทบ. ก็เม้าธ์กันสนั่นว่า ไม่ว่าจะกลับหรือไม่ แต่กองทัพบกก็เตรียมพร้อมที่จะ "ต้อนรับ" พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว

ยิ่งเมื่อมีคำสั่งให้มีการฝึกหน่วยทหารขนาดเล็กอย่างหนัก โดยเฉพาะการใช้อาวุธ ที่ถูกมองว่าไม่น่าจะมีเป้าหมายที่สถานการณ์ชายแดน แต่น่าจะเป็นหน่วยพร้อมรบเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย คล้ายๆ หน่วย รส. แถมหน่วยรบพิเศษที่มี พล.ท.ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ ผบ.นสศ. เพื่อน ตท.12 ของ ผบ.ทบ. คุมอยู่ ก็ถูกจับตามอง เช่นเมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยขอให้ พล.อ.อนุพงษ์ เพื่อน ตท.10 ผบ.ทบ. ในเวลานั้น ช่วยรับรองความปลอดภัยให้ก่อนกลับประเทศมาแล้ว

แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นรู้ดีว่า ในปีนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะกลับประเทศ เพราะแม้ดูว่ารัฐบาลกับกองทัพ นายกรัฐมนตรี น้องสาวจะหวานชื่นกับ พล.อ.ประยุทธ์ และป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ แต่ก็เป็นแค่การแสดงละคร อีกทั้ง อาจมีมือที่สาม มือที่สี่ ที่ต้องการฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์

เพราะ พล.อ.อ.สุกำพล เอง ก็ยังพูดว่า "ถ้ากลับมาแล้วตาย จะกลับมาทำไม" เพราะหวั่นว่าจะมีการลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ หลังจากที่มีรายงานว่าฝ่ายตรงข้าม พูดกันสนุกปากว่า "มาก็ตายคาสนามบิน" หรือ "จะให้เหยียบแผ่นดินไทย อย่างมีลมหายใจ ไม่เกิน 24 ช.ม."

แต่ก็ยิ่งท้าทาย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เขาและทีมงานก็ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะกลับมาในปีหน้าอีก 2 ปีข้างหน้าก็ตาม โดยมีชีวิตของเขาเองเป็นเดิมพัน ถึงขั้นที่ว่า ถ้าจะกลับไทย เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวจะไม่ลงจอดที่สุวรรณภูมิ เพราะรู้ว่าฝ่ายตรงข้าม และมือที่สาม มีแผนต้อนรับเอาไว้

เป้าหมายเขาจึงจะไปลงจอดที่สนามบินเชียงใหม่ บ้านเกิด เพราะเป็นพื้นที่เสื้อแดง ที่น่าจะปลอดภัยมากกว่าสุวรรณภูมิ และมีคนเสื้อแดงที่จะวางกำลังพร้อมปกป้อง และถือเป็นการกลับบ้านอย่างแท้จริง เพื่อที่จะได้กราบแผ่นดินบ้านเกิด แก้เคล็ด กราบแผ่นซีเมนต์ที่สุวรรณภูมิ ที่กลับประเทศเมื่อปี 2551 แต่ก็ต้องลี้ภัยอีก

ความเครียดของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงกลายเป็นดัชนีบ่งบอกความร้อนแรงของการเมืองและอุณหภูมิที่สูงขึ้นในกองทัพได้เป็นอย่างดี

ท่ามกลางความเชื่อว่า มีบางคนมีความคิดที่อยากจะปฏิวัติอยู่ในสมอง ต่อให้เสี่ยงต่อการนองเลือดหรือเป็นกบฏก็ตาม



+++

"อชิรวิทย์" ตัวแทน ก.ตร.เสื้อสูท วิพากษ์ตั้ง "รอง ผบก.-สว." ประกาศยืนเคียงข้าง "ผบช."
คอลัมน์ โล่เงิน ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1649 หน้า 99


การแต่งตั้งต้องมองย้อนอดีต ว่าคนรุ่นเก่า ผู้บังคับบัญชาในอดีต วางรากฐานไว้อย่างไร ดู พล.ต.อ. ตอนนี้ แต่ละท่านไล่ประวัติได้เลย โดดเด่นตั้งแต่เรียน ความรู้ ความสามารถ เด่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นั่นแสดงว่าคนรุ่นเก่าเขามองออก วางตัวเอาไว้ เห็นแวว ให้โอกาสผลักดัน

ดังนั้น ผู้บังคับบัญชารุ่นนี้ก็ต้องทำแบบนั้นเช่นกัน คือ ต้องมองอนาคต มองดูคนรุ่นใหม่ ที่เก่ง มีกึ๋น มีความรู้ ความสามารถ เป็นคนดี ต้องให้โอกาสได้เติบโตเพื่อเป็นอนาคตของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)"

พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช หรือ "อาจารย์ป๋อม" คณะกรรมการข้าราชการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒิ (ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ) หรือ ก.ตร.เสื้อสูท ผู้ "เสียงดัง" และมีบทบาทในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในห้วงปีที่ผ่านมา สะท้อน "ความจริง" การแต่งตั้งตำรวจ และฝากข้อความ "สะกิดใจ" ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจแต่งตั้งระดับรองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ถึงสารวัตร (สว.) วาระ 2554 ที่กำลังดำเนินอยู่



พล.ต.อ.อชิรวิทย์ อธิบายว่า การแต่งตั้งต้องทำความเข้าใจ 2 ประเด็น คือ 1.ข้อกฎหมาย 2.ข้อเท็จจริง

"ต้องดูว่าอำนาจการแต่งตั้งอยู่ที่ใคร ข้อกฎหมายบอกว่าอำนาจการแต่งตั้ง รอง ผบก.-สว. อยู่ที่ผู้บัญชาการ (ผบช.) กฎหมายเขียนองค์ประกอบการพิจารณาแต่งตั้งไว้ชัด ว่า คณะกรรมการคัดเลือกของแต่ละกองบัญชาการ (บช.) ประกอบด้วย รอง ผบช. พิจารณาคัดเลือกตามการนำเสนอบัญชีแต่งตั้งที่ ผบช. เป็นเจ้าของ มีต้นเรื่องมาตั้งแต่ระดับผู้บังคับการ (ผบก.) มีลำดับขั้นตอนตามกฎหมาย แต่อำนาจพิจารณาอยู่ที่ ผบช. จากแง่มุมตรงนี้ กฎหมายต้องการให้การบริหารงานบุคคลตำรวจกระจายอำนาจ แต่ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 56 ระบุว่า ถ้ามีเหตุผลความจำเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สามารถขออนุมัติ ก.ตร. ให้ใช้อำนาจ ผบ.ตร. พิจารณาแต่งตั้ง

"ผมมองว่า ผบ.ตร. สามารถใช้อำนาจนี้ได้ อย่าลืมว่า ผบ.ตร. เป็นผู้บังคับบัญชาของ ผบช. ทุกคน ดังนั้น การขอใช้อำนาจในมาตรา 56 ด้วยเหตุผลจำเป็น ผบ.ตร. ทำได้ แต่ ณ ตอนนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. ยังไม่ขอใช้อำนาจนี้ต่อ ก.ตร. แต่ไม่รู้ว่าการประชุม ก.ตร. ในวันที่ 23 มีนาคม จะขอหรือไม่

"ข้อเท็จจริงการแต่งตั้งครั้งนี้ ครั้งที่แล้ว หรือครั้งไหน ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่มีเรื่องนโยบายสั่งการลงไปให้หน่วยที่เป็นเจ้าของบัญชีต้องคัดสรรบุคลากรตามที่ฝ่ายนโยบายต้องการ เป็นที่รู้และเข้าใจว่า เป็นนโยบายจากใน ตร. เอง และจากในรัฐบาล เรื่องนี้ถ้าพูดในแง่มุมของกฎหมาย ทำไม่ได้ แต่ในแง่ข้อเท็จจริง ต้องยอมรับว่าระบบการบริหารงานบุคคลทั้งโลกเหมือนกันหมด มีทั้งระบบคุณธรรม และระบบอุปถัมภ์

"ปัญหามีอยู่ว่า คุณธรรม กับ อุปถัมภ์ อย่างไหนจะมากกว่ากัน ถ้าระบบคุณธรรมมากกว่า องค์กรก็จะเจริญก้าวหน้า คนมีความรู้ ความสามารถ ประพฤติดี เป็นที่ยอมรับของสังคมและคนในหน่วยเจริญก้าวหน้าก็เป็นโชคดีของบ้านเมืองของประชาชน แต่มีคนที่อยากได้ ใคร่มี อยากเป็น แต่ขาดคุณสมบัติ ก็พยายามวิ่งเข้าหาระบบอุปถัมภ์ ทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถต้องสู้เหมือนกัน เพราะหากปล่อยให้พวกกเฬวรากได้ขึ้นข้ามไป คนดีๆ ก็ท้อกันหมด ระบบอุปถัมภ์ก็อย่าไปเหมาว่าคนใช้ไม่ได้ ต้องวิ่งเต้นนะ คนเก่ง คนดี ก็ต้องวิ่งสู้ รักษาสิทธิไม่ให้ถูกย้ายเพื่อให้มีโอกาสได้ก้าวหน้าเหมือนกัน ระบบราชการที่อยู่ได้เพราะคนดียังมีมากกว่าคนไม่ดีเยอะ" พล.ต.อ.อชิรวิทย์ กะเทาะเปลือก พร้อมย้ำว่า "จุดสำคัญอยู่ที่ผู้มีอำนาจในการแต่งตั้ง วันนี้ถ้า ผบช. ทุกคน ใช้อำนาจของตัวเองอย่างสมเหตุสมผล เป็นธรรม ระบบคุณธรรมจะนำอุปถัมภ์"



พล.ต.อ.อชิรวิทย์ อธิบายถึงสัดส่วนคุณธรรมในการแต่งตั้ง ว่า

"33% สำหรับอาวุโส นี่คือ คุณธรรม บวกด้วยกลุ่มที่ได้รางวัล โรงพักดีเด่น ฯลฯ ตามแนวทางการแต่งตั้ง อันนี้เป็นโควต้าคุณธรรม ยังมีกลุ่มที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งครั้งก่อน ซึ่ง ก.ตร. ให้เยียวยาปีนี้นับ 10 ราย กลุ่มที่ต้องหาคดีอาญาออกจากตำแหน่งไป อันเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่แต่ศาลยกฟ้อง กลุ่มนี้ต้องคืนสู่ตำแหน่งเดิม และกลุ่มนายเวร ผู้ช่วยนายเวร ที่ผู้บังคับบัญชาเกษียณ ซึ่งต้องกลับไปอยู่ในหน่วยเดิมก่อนมาเป็นนายเวร ผมว่าคนพวกนี้เป็นคนคุณภาพนะ ผมเชื่อว่านายที่ฉลาดก็ต้องเลือกคนคุณภาพมาทำงานด้วย แน่นอน มันมีระบบอุปถัมภ์ซ่อนอยู่ตรงนี้ แต่ 90% มีฝีไม้ลายมือ มีคุณวุฒิมากพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นคนเก่ง

"ส่วนสุดท้าย คือขวัญกำลังใจให้คนที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องหมุนเวียนออก ทั้งหมดนี้คือกลุ่มระบบคุณธรรม ซึ่งถูกต้อง แต่อาจไม่ถูกใจคนทั้งหมด บวกลบคูณหารพวกนี้แล้ว ผมว่าระบบคุณธรรมเกือบ 60% ที่เหลือคือหน่วยต้องพิจารณาแต่งตั้งตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

"พูดถึงปีที่แล้วที่สัดส่วนของข้อเท็จจริงมากกว่าข้อกฎหมาย ปีที่แล้วผมเป็นประธานอนุ ก.ตร. ร้องทุกข์ สอบปากคำ ผบช. หลายคน จนทราบว่านอกจากระบบคุณธรรมที่จำเป็นต้องให้แล้ว ผบช. บาง บช. เหลือตำแหน่งให้พิจารณาได้เพียงตำแหน่งเดียว ทั้งที่ความจริงสัดส่วนนี้ควรให้อำนาจ ผบช. ด้วย อย่างน้อยๆ ก็ 40 : 60 ซึ่งผลจากปีที่แล้วทำให้ปีนี้ต้องแก้ไข

"ไม่ปฏิเสธหรอกถ้านโยบายรับได้ เพราะระบบทำให้แข่งขันกันทั้งคนดีมีความรู้ กับคนที่ความรู้ความสามารถไปไม่ได้ แต่ฝ่ายนโยบายสนับสนุน มันก็ต้องสู้กัน ประเด็นอยู่ที่ว่า ผบช. และคณะกรรมการคัดเลือก ต้องสอดประสานกันหมด คือปฏิเสธคนที่ด้อยความรู้ความสามารถที่ถูกคัดสรรมาให้ ไม่ใช่ปฏิเสธไม่ได้นะ เมื่อ บช. ปฏิเสธ ฝ่ายนโยบายไม่ดันทุรัง เขาจะเปลี่ยน เปลี่ยนจนบอร์ดคัดเลือกรับได้"



พล.ต.อ.อชิรวิทย์ เปรียบเทียบกรณีการวิ่งเต้นกับม้าแข่งว่า "มันมีม้าวิ่งแข่งกันเยอะ ในกลุ่มม้าอุปถัมภ์เลือกได้ อย่าปล่อยตามใจหมด อย่าให้ม้าแกลบเข้าวิน บช. รับนโยบายไปต้องคัดกรองจนกว่าจะพอใจ เอาในตะกร้าอุปถัมภ์นี่แหละ พบกันครึ่งทาง ประนีประนอม มันทำได้ อย่าหักหาญกัน เป็นสิทธิที่ ผบช. ต้องพิจารณา ต้องเลือกได้ เอาคนที่เข้าท่าเข้าทาง"

ทั้งนี้ พล.ต.อ.อชิรวิทย์ ฝากถึง ผบช. ผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการแต่งตั้งโยกย้าย รอง ผบก.-สว. ว่า "ผบช. ต้องไปอ่านอำนาจของท่าน ใครไปแตะต้องท่านไม่ได้ ท่านทำให้ถูกต้องตามกฎกติกามารยาท ประนีประนอมโดยเลือกสรรคนดีในตะกร้า มันฝากมาทั้งนั้น เลือกคนที่สอดคล้องกับบัญชีของ บช. ให้เหมาะสม รับได้ แล้วการร้องเรียนจะไม่เกิด อย่าลืม หากเกิดอะไรขึ้น คุณเป็นคนรับผิดชอบ บอร์ดของคุณต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นคนออกคำสั่ง

"คุณทำไม่ดี ออกคำสั่งไม่ดี เขาไม่ตำหนิข้างบนนะ เขาตำหนิพวกคุณว่าไม่มีน้ำยา ถ้าคุณแข็ง แข็งแบบรับได้ อันนี้ไม่ดี ปฏิเสธได้ อยากบอกว่าไม่ต้องกลัว หากคุณทำถูกต้อง ฝ่ายมีอำนาจบีบบังคับ จะโยกย้ายคุณ มันจะวกกลับมาที่ ก.ตร. ผมยืนยันได้เลยว่าจะปกป้องพวกคุณ ก.ตร. ชุดนี้จะช่วยคุณเต็มที่ จะเอาข้อเท็จจริงมาแฉในที่ประชุม"

เป็นมุมมองของ ก.ตร.เสื้อสูท ที่วิพากษ์การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจอย่างตรงประเด็น พร้อมรับปากจะเป็นไม้ค้ำ ยืนเคียงข้าง ผบช. ในวันที่ถูกล้วงลูกแทรกแซง จนไร้อำนาจคะคาน ดังนั้น คงต้องจับตาดูสัดส่วน "คุณธรรม : ข้อเท็จจริง : ข้อกฎหมาย" ว่าสุดท้ายแล้วจะเหมาะสมและสมดุลหรือไม่ !!



.