http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-03-09

..ไม้เด็ด"กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี"/ ลึกแต่ไม่ลับ 9 มี.ค.55

.
- พฤษภาฯ หรรษาของ "ทักษิณ" ทิ้ง" โมบาย" ขยับ "แท่งหฤหรรษ์" "บ้านเลขที่ 111" ลุ้น continue
- โค-ต-ร "หวาน" "บิ๊กตู่" ดราม่า "ปู-โอ๋" เปิดตัว "มอสสาด" ตท.10 "มนัส เปาริก" แม่ทัพต้านปฏิวัติ
- สวรรค์ชั้น 7 กับ ฉี่ฉุน ห้าม"ปู" อ้างหญิง ข่าวร้อนเรื่อยๆ จาก "สตรีไทย"

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

จังหวะก้าว "ยิ่งลักษณ์" "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี" ไม้เด็ด จาก "เพื่อไทย"
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1647 หน้า 8


ระหว่างอยู่ในบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 กรกฎาคม มีผู้ถาม นายบรรหาร ศิลปอาชา ว่ากลัวนโยบายอะไรของพรรคเพื่อไทยมากที่สุด
"แท็บเล็ต"
เป็นคำตอบสั้นๆ จาก นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา มังกรทางการเมือง

เมื่อถามต่อว่าทำไม คำตอบคือ
"เด็กมันอยากได้"
เมื่อเด็กอยากได้แท็บเล็ต ก็เด็กนั่นแหละที่รบกวนและเว้าวอนให้พ่อแม่ ผู้ปกครองเลือกพรรคเพื่อไทย
เป้าหมายอยู่ที่ "แท็บเล็ต"

กระนั้น ระหว่างที่ กระทรวงไอซีที และกระทรวงศึกษาธิการกำลังศึกษารายละเอียดแท็บเล็ตอันเสนอมาจากจีน หากถามว่านโยบายพรรคเพื่อไทยที่สร้างความกังวลให้กับคู่แข่งมากที่สุด

ตอบได้เลย "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี"



ระหว่างที่ บรรดาดาวรุ่งดวงใหม่แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น "นายเทพไท เสนพงศ์ ไม่ว่าจะเป็น "นายศิริโชค โสภา ไม่ว่าจะเป็น นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต กำลังมีความสุขเป็นอย่างมากกับเรื่องราวของ

ว.5 สวรรค์ชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์

ก็ปรากฏโฆษณา 4 สีพรรณรายฉายฉันผ่านสื่อสิ่งพิมพ์อย่าง ไทยรัฐ เดลินิวส์ และแม้กระทั่ง สยามรัฐ

เป็นภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พนมมือไหว้ด้วยอาการแย้มยิ้ม อ่อนหวาน

ด้านขวามือของโปสเตอร์ใหญ่เต็มหน้าเป็นข้อความ "พลัง ผู้หญิง สร้างสรรค์ ประเทศไทย" เรียง 4 บรรทัด

มองลงล่างด้านซ้ายมือก็ปรากฏข้อความ "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี"

อยู่ใต้คำพูดต่างกรรมต่างวาระ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร "ประชาคมโลกได้ตระหนักแล้วว่า การกีดกันผู้หญิงออกจากระบบเศรษฐกิจโลก เท่ากับเป็นการปล่อยให้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าครึ่งหนึ่งสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์"

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็ปรากฏข้อความในเนื้อที่โฆษณาเต็มหน้าตามมาอีก

"ผู้หญิงทุกคนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ เชิญสมัครลงทะเบียนสมาชิก กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีและร่วมเลือกตัวแทนเพื่อบริหารกองทุนของชุมชนท่านได้แล้ววันนี้"

นี่ย่อมต่างไปจาก "กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง" เมื่อปี 2544


ต้องยอมรับว่า กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง อันเป็นนโยบายซึ่งเสนอโดยพรรคไทยรักไทยสามารถจุดติด
จุดติดทั่วประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ หลังรัฐประหาร 2549 ก็สานต่อ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งจัดตั้งในค่ายทหาร โดยกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ เมื่อเดือนธันวาคม 2551 ล้วนสานต่อ

การปรากฏขึ้นของนโยบาย "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี" รับผิดชอบโดย นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็เช่นเดียวกัน

นี่คือการรุกเข้า "หลังบ้าน" ลึกซึ้งรุนแรงยิ่งกว่า "แท็บเล็ต" ด้วยซ้ำ



++

คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ โดย จรัญ พงษ์จีน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1647 หน้า 8


"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าโรดโชว์นำคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ นักธุรกิจ ชุดใหญ่เดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 6-9 มีนาคม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทุกมิติ และขยายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และสร้างความเชื่อมั่นกับภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่น ถึงแผนดำเนินการในการป้องกันปัญหาอุทกภัย อันเป็นข้อวิตก เพื่อให้หลักประกันว่า การลงทุนในประเทศไทยปลอดภัย และจะไม่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำสอง ป้องกันการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น

"ทัวร์ปู" วางโปรแกรม มีวาระสำคัญทุกบริบท อาทิ เปิดหารือระหว่างภาคเอกชนไทยกับเอกชนญี่ปุ่น วันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ พบปะหารือกับนักธุรกิจชั้นนำที่เป็น "ผู้ลงทุนรายใหญ่" ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นซีอีโอ จากโตชิบา คอร์ปอเรชั่น ฮอนด้า โตโยต้า นิสสัน มิตซูบิซิ อีซูซุ ซูซูกิ บริดจสโตน มิตซุย


นับตั้งแต่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 เป็นผู้นำหญิงคนแรกของประเทศไทย เริ่มนับหนึ่งจากวันที่ 5 สิงหาคม ที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติ ให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ
ได้เดินสายเยือนต่างประเทศ โดยเน้นหนักที่ภูมิภาคอาเชียน มาแล้วหลายประเทศ

เริ่มแรกเลยคือ "บรูไนดารุสซาลาม" ถูกบรรจุเป็นประเทศแรก ที่ต้องเดินทางไปเยือน
จนถูกตั้งข้อครหาว่า เป็นเพราะสมเด็จพระราชาธิบดีบรูไน คือ "ฮัจญีฮัสซานัล โบลเกียห์ มู อิซซัดดิน วัดเดาละห์" มีความสนิทสนมกับ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ผู้เป็นพี่ชาย
ช่วงที่ "ทักษิณ" อพยพหลบภัย หนีการตามล่าสมัยรัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" แบบหัวซุกหัวซุน ได้ "บรูไน" เป็นแหล่งกบดาน วันเกิด "ทักษิณ" ทาง "พระราชาธิบดีบรูไนโบลเกียห์" เป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงให้ ในพระราชวังนูรุลอิมาน เลยทีเดียว

แต่ "ยิ่งลักษณ์" อ้างว่า การเลือกเยือน "บรูไน" เป็นประเทศแรก เดินตามลำดับตัวอักษร (ภาษาอังกฤษ) เพราะบรูไน ขึ้นต้นด้วยอักษร "B"
จึงต้องเป็นคิวแรก
ดูเหมือนว่า การทัวร์ต่างประเทศของ "นายกฯ ปู" เจาะจงเอาประเทศที่เป็นสมาชิกอาเซียนเป็นหลัก จากนั้น ในเดือนเดียวกัน ก็เยือนประเทศกัมพูชา คารวะกับ "เพื่อนพี่" คือ "สมเด็จฮุน เซน" และเยี่ยมเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในลำดับถัดมา เวลาไล่เลี่ยกัน นำคณะไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้นำอินโดนีเซีย

เดือนตุลาคม "ยิ่งลักษณ์" มีโปรแกรมเยือนสิงคโปร์ แต่ต้องยกเลิกกะทันหัน ด้วยภารกิจ เร่งแก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำท่วม เลื่อนมาเป็นวันที่ 8 ธันวาคม สืบแทน ก่อนหน้านั้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน ระหว่างที่โหมทำงานหนักแก้ไขน้ำท่วม ต้องเข้าโรงพยาบาล ได้เดินทางไปกรุงฮานอย เวียดนาม ทั้งที่ป่วย

เดือนมกราคม ชีพจรลงเท้า ระหว่างวันที่ 19-21 เดินทางไปเยือน 3 ประเทศติดต่อกัน คือ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ต่อไปมาเลเซีย และแวะไปพม่า พบปะกับผู้นำ "ตานฉ่วย" และ "นางออง ซาน ซูจี"

ปลายเดือนเดียวกันนั้น นำคณะรัฐมนตรี และภาคเอกชนชุดใหญ่ ไปเยือนอินเดีย เข้าคารวะ "นางประติภา เทวีสิงห์ ปาทิล" ประธานาธิบดีหญิง และ "นายมานโมฮัมมัด ซิงห์" นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย

จากนั้นเดินทางต่อไปยังนครซูริก สมาพันธ์รัฐสวิส เพื่อเข้าร่วมประชุม World Economic Forum

กับคิวล่าสุด ในภารกิจเดินสายเยือนต่างประเทศ คือ "ญี่ปุ่น" ที่ถือว่าเป็นการทัวร์สำคัญที่สุด ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งนายกฯ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ญี่ปุ่น เป็นนักลงทุนรายใหญ่สุดในประเทศไทย



เหลือเวลาอีกสองเดือนเศษๆ แล้วจะถึงวันที่ 30 พฤษภาคม อันเป็นวันที่ ประชากรบ้านเลขที่ 111 จากพรรคไทยรักไทย ที่ถูกศาลพิพากษา ให้ยุบพรรคและเว้นวรรคการเมืองคนละ 5 ปี จะก้าวสู่อิสรภาพ เป็นไท

สามารถก้าวสืบสู่ตำแหน่งทางการเมืองได้สมบูรณ์แบบ ไม่ต้องยืนหลบๆ ซ่อนๆ อยู่หลังฉากอีกต่อไป

เป็นที่คาดหมายกันว่า พลันที่ บ้านเลขที่ 111 หลุดวงโคจรออกมาจากกรงขัง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ต้องปรับคณะรัฐมนตรีแบบ "ปรับใหญ่" อีกครั้ง เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนบ้านเลขที่ "ตองหนึ่ง" เข้ามาร่วมปฏิบัติภารกิจ เสริมใยเหล็ก เพราะผู้ที่ถูกเว้นวรรค ล้วนแล้วแต่เป็นจอมยุทธ์มือเซียนแห่งวงการเมืองเกือบทั้งสิ้น

มีการประมาณการกันว่า บุคคลที่จะเข้ามาร่วมแจมในรัฐบาล "ปู 3" น่าจะประกอบด้วย 1.คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 2.พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล 3.วราเทพ รัตนากร 4.สุรนันทน์ เวชชาชีวะ 5.ภูมิธรรม เวชยชัย 6.พงศ์เทพ เทพกาญจนา 7.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ล็อตแรก กระดูกแข็งทั้งนั้น

เก้าอี้รัฐมนตรี ที่จะเป็น "เก้าอี้ดนตรี" มีอยู่แค่ 35 ที่นั่งเต็มพิกัด ต้องมีมหกรรมผ่องถ่ายคนเก่าออกกันมโหฬาร

มีการล็อกโปรแกรมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รัฐมนตรีที่จะถูกถ่ายเลือดออก มีทั้งจาก "ปู 1" และ "ปู 2" ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน

จาก "ปู 1" หลายคนที่เป็นโควต้าของ "เพื่อไทย" และเป็นแกนนำหลัก รับผิดชอบพื้นที่เลือกตั้งในหลายจังหวัด ช่วงเลือกตั้งใหญ่ "พรรค" และ "นายใหญ่" ถือว่า ตอบแทนบุญคุณกันสมน้ำสมเนื้อแล้ว เพราะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาเป็นเวลาเกือบปี

จาก "ปู 2" สัดส่วนที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาขัดตาทัพ รับงานแค่ชั่วคราว ซึ่งส่วนใหญ่ก็รู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว เมื่อครั้งปรับ ครม. 16 ที่นั่งที่ผ่านมา ว่าเป็นแค่ตัวสำรอง เมื่อคนบ้านเลขที่ 111 พ้นโทษ จะต้องหลีกทางให้

ก่อนถึงฤดูปรับใหญ่ ถนนการเมืองสายเพื่อไทย เลยมุ่งหน้าสู่ "นครดูไบ" กันเป็นว่าเล่น

วันสองวันนี้ มีข่าวว่า จะปรับโปรแกรม ไปทัวร์ฮ่องกงกันแทน



+++

พฤษภาฯ หรรษาของ "ทักษิณ" ทิ้ง" โมบาย" ขยับ "แท่งหฤหรรษ์" "บ้านเลขที่ 111" ลุ้น continue
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1647 หน้า 12


เหลือเวลาไม่ถึง 3 เดือน "เกมการเมือง" น่าจะเข้มข้น-ชวนติดตาม เมื่ออดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ออกจากมุมที่ซ่อนอยู่ หลังถูกจองจำทางการเมืองนาน 5 ปี จากคำตัดสินของ "ตุลาการรัฐธรรมนูญ" เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ที่สั่งยุบ ทรท.

พร้อมเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง "คนการเมือง 111 ชีวิต"

เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ "บิ๊กเนม" ที่เป็นเสมือน "ขุนพล" ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี แตกฉานซ่านเซ็น

บ้างก็หายไปจากสารบบการเมืองไทย

บ้างก็ปักหลัก-เปิดหน้าสู้ตั้งแต่วันแรก

บ้างก็ปรับโหมดเพื่อความอยู่รอด โดยแปรพักตร์จากคนกันเองในซีกเดียวกัน ไปเป็นคู่แข่งของพรรคพลังประชาชน (พปช.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคการเมืองแถว 2 และแถว 3 ที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับลูกหาบ "นายใหญ่"

ไม่ว่า 5 ปีที่ผ่านมาใครจะเลือกเดินในเส้นทางไหน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ วันนี้ "คนบ้านเลขที่ 111" ที่ยังฝักใฝ่การเมือง ประสงค์จะกลับมาเป็น "ตัวเล่น" ต่างตบเท้าวิ่งเข้าหา "ศูนย์กลางอำนาจ" ที่ "ดูไบ" โดยไม่ได้นัดหมาย

เพราะหลายเหตุการณ์ที่ปรากฏ สะท้อนว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ" คือผู้บงการหลัก พท. คือคนกดปุ่มรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"


"พท. ถูกยุบมา 2 รอบ บุคลากรทางการเมืองก็ลดน้อยลง ถ้า 111 ออกมา ก็จะมีคนมาช่วยผลักดันนโยบายต่างๆ ให้คล่องขึ้น ต้องยอมรับว่านายกฯ ขยัน จับประเด็นงานเก่ง แต่มือไม้ต้องฟิตด้วย ตอนนี้มือไม้ก็เริ่มฟิตขึ้นบ้างแล้ว"
คือคำให้สัมภาษณ์ของ "พ.ต.ท.ทักษิณ" กับสื่อไทยสำนักหนึ่ง
เป็นที่ชัดเจนว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ" กำลังเตรียมขยับ Joystick ดึง "บางคน" ที่ "มือถึง" กลับมาอยู่ในเกมฝ่ายบริหารอีกครั้ง เพื่อช่วย "น้องนุชสุดรัก"
เพราะหลังทำงานมากว่า 7 เดือน พบว่าผลงานของ "รัฐบาลนารี" ยังไม่เป็นไปตามความคาดหวังของสังคมนัก

"ตัวเล่น" ใน ครม. หลายคนกลายเป็น "รัฐมนตรีโลกลืม" ไม่มีผลงานหลักออกสู่สายตาประชาชน ในขณะที่แรงกดดันทางการเมืองทวีความรุนแรงขึ้น นับตั้งแต่รัฐบาลเปิดเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ
การต่ออายุให้กับ "รัฐบาลน้องสาว" โดยกำจัดจุดอ่อน และเสริม "ตัวจริง" เข้าไปทำหน้าที่ จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
เพียงแต่ "ใคร" จะเป็น "ผู้ถูกเลือก" เท่านั้น!



เป็นที่รู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ" มักใช้ "หัวใจ" มากกว่า "สมอง" ในการเลือกมือไม้มาทำงาน

หลายครั้งที่เขาตัดสินคนจาก "เซนส์" โดยไม่ต้องการคำอธิบาย "เหตุผล"

ยิ่งกลายเป็น "คนไกลบ้าน" ต้องควบคุมสั่งการลูกน้องผ่าน "โทรศัพท์ทางไกล" กลายเป็น "ครม.โมบาย"

ทำให้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่อยู่ในข่าย "ตัวเก็ง" ได้กลับมาเป็น "คนในเกม" หนีไม่พ้นกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงความ "ซื่อสัตย์" ต่อ "นาย" และ "พรรค" ชัดเจน

ชื่อที่เด้งออกมาเป็นอันดับต้นๆ อาทิ "จาตุรนต์ ฉายแสง" "พงศ์เทพ เทพกาญจนา" "วราเทพ รัตนากร" ที่ประกาศตัวเป็น "หัวหอก" ต่อสู้กับ "ศัตรูตัวเอ้" หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ถัดไปเป็นกลุ่มที่เร้นกายอยู่ในที่ลับ แต่มีบทบาทในการกำกับลูกมุ้ง-บงการทิศทางพรรคแบบเงียบๆ มาโดยตลอด อาทิ "พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล" "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" "นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช"

นอกจากนี้ ยังมีบางจำพวกที่ไร่ร่องรอยหลังรัฐประหารเที่ยวล่าสุด ก่อนกลับมาปรากฏตัวโฉ่งฉ่างในวันที่ "พวกทักษิณ" กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น "ภูมิธรรม เวชยชัย" ที่มาช่วยเข็นงานมวลชนให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี หรือ "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" ที่กลับมาทำหน้าที่ "โทรโข่งส่วนตัวนายกฯ"

เหล่านี้คือ "ตัวเลือก" ในตะแกรง พท.


ขณะที่หัวหน้ามุ้งหลายคนเลือกประกาศอิสรภาพ หอบหิ้วคนในก๊วนไปเดินในเส้นทางใหม่ ตั้งพรรคการเมืองเอง ไม่ว่าจะเป็น "ก๊วนวังพญานาค" ของ "พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ" ที่ไปทำพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) ในการเลือกตั้งปี 2550 ก่อนมาเกาะกลุ่มทำพรรคชาติพัฒนา (ชพ.) กับ "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" หัวหน้ามุ้งวังน้ำเขียว

หรือ "กลุ่มบ้านริมน้ำ" ของ "สุชาติ ตันเจริญ-สรอรรถ กลิ่นประทุม" ที่ปันใจไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ตั้งแต่ตั้ง "รัฐบาลเทพประทาน" เมื่อปลายปี 2551

เช่นเดียวกับ "กลุ่มวังน้ำยม" ของ "สมศักดิ์ เทพสุทิน" ที่ออกไปปลุกปั้นทำพรรคมัชฌิมาธิปไตย (มฌ.) ในการเลือกตั้งปี 2550 ก่อนกลายร่างเป็น 1 ในแฟ็กเตอร์ ภท. หลังถูกยุบพรรคพร้อมกับ พปช. และพรรคชาติไทย (ชท.)

แต่ที่กลายเป็น "คู่แข่ง-คู่แค้น" ของ "พรรคทักษิณ" หนีไม่พ้น 2 คู่หูที่ชื่อ "เนวิน ชิดชอบ-อนุทิน ชาญวีรกูล" ผู้ยิ่งใหญ่ ภท. ซึ่งเป็นผู้สร้างตำนาน "แก๊งออฟโฟร์-งูเห่าภาค 2" และสร้างความเจ็บช้ำอย่างหนักให้คนชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ"

ว่ากันว่าชื่อข้างต้น ถูก "คนทางไกล" จัดกลุ่ม-กำหนดราคาไว้ 3 ประเภทคือ

กลุ่มแรก "ลูกน้อง" ที่พร้อมเปิดช่องให้กลับมาเป็น "ผู้เล่นหลัก" อีกครั้ง

กลุ่มที่ 2 "เพื่อนเก่า" ที่แม้ออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ แต่ก็ยังทอดไมตรีเป็น "พันธมิตรการเมือง" ต่อเนื่อง

กลุ่มที่ 3 "ศัตรู" ที่ยากต่อการกลับมาร่วมงานกันอีก

ที่ผ่านมากระแสข่าวหนาหูว่า "อนุทิน-สรอรรถ" ลงทุนบินไปเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อขอพบ "นายเก่า" ถึงบ้านพัก นับตั้งแต่ พท. ชนะเลือกตั้งและได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในเดือนกรกฎาคม 2554

แต่ไม่มีผู้ยืนยันว่า 2 ใน 3 ของแกนนำพรรคสีน้ำเงิน ได้เข้าพบตามความต้องการหรือไม่

ล่าสุดก็มีข่าวเล็ดลอดออกมาอีกว่า "สนธยา คุณปลื้ม" แกนนำพรรคพลังชล (พช.) ที่ประกาศคืนสนามการเมืองหลังพ้นโทษแบน 5 ปี มีคิวไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ

และเชื่อว่าสมาชิกบ้านเลขที่ 111 อีกหลายคน ก็คงจดๆ จ้องๆ รอหาจังหวะเดินทางไปพบ "ผู้นำพเนจร" อยู่เหมือนกัน


แม้ปลายเดือนพฤษภาคม อดีต กก.บห.ทรท. จะสามารถกลับสู่เกมการเมืองได้อย่างไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า "สถานะ" ของคนเหล่านี้ไม่เหมือนก่อน

"เนวิน" ณ วันนี้ ก็ไม่ใช่ "เนวิน" ที่หายใจเข้า-ออกมีแต่การเมือง ทว่าถูกคนส่งเสียง "ยี้" ใส่ เพราะเขามีความสุขสุดๆ ที่มีคนเข้ามากราบไหว้ในฐานะประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์ถึง 5 ถ้วยในปี 2011

ความสนุกของ "เนวิน" อยู่ที่การจัดการ "นักฟุตบอล" ไม่ใช่บงการ "นักการเมือง"

ส่วน "สุชาติ-สรอรรถ-พินิจ-ปรีชา" อดีต "หัวหน้ามุ้ง" ที่เคยควบคุมนักการเมืองหลายสิบชีวิตในวันวาน ก็ไม่เหลือมือ ส.ส. แม้แต่มือเดียว หลังผ่านการเลือกตั้งใหญ่มา 2 ครั้ง

ดังนั้น ต่อให้คนเหล่านี้อยากกลับมาเล่นเต็มตัว ก็ใช่ว่าจะกลับมายืนที่เดิมง่ายๆ เพราะราคาพวกเขาไม่ได้สูงเท่าเก่า

ยิ่งล่าสุด "พ.ต.ท.ทักษิณ" ได้ส่งสัญญาณว่าการจัดทัพ "ครม. ปู 3" น่าจะเป็นการปรับเล็ก-เปลี่ยนเฉพาะ "ชิ้นส่วน" ที่จำเป็นในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเท่านั้น เพื่อบริหารจัดการความรู้สึกของ "คนแถว 3"


ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นักการเมืองหลายคนอาจ "ชิ่ง" หนีจาก "พรรคทักษิณ" เพื่อไปสร้างคน-กำหนดเกมด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ต้องกลับสู่วังวนเก่า-กลับมาอยู่ในเกมที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เป็นผู้กำหนด

ใน "เกมคอมพิวเตอร์" "ผู้เล่น" ต้องใช้ "Joystick" หรือแปลเป็นไทยว่า "แท่งหฤหรรษ์" ควบคุมเกม โดยพวกเขาจะรู้สึกสุขทุกครั้ง เมื่อขยับจอยแล้วมีผลออกมาตามต้องการ

เฉกเช่น "เกมการเมืองไทย" ที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" กลายเป็น "คนกดปุ่มหลัก"

จึงเชื่อว่าในเดือนพฤษภาคม จะเป็นช่วงหรรษาของเขา

เป็นช่วงที่เขาทิ้ง "โมบาย" มาขยับ "แท่งหฤหรรษ์" โดยที่คนบ้านเลขที่ 111 ทำได้แค่รอลุ้นคำสั่ง continue จากชายชื่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เท่านั้น!!!



+++

โค-ต-ร "หวาน" "บิ๊กตู่" ดราม่า "ปู-โอ๋" เปิดตัว "มอสสาด" ตท.10 "มนัส เปาริก" แม่ทัพต้านปฏิวัติ
บทความพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1647 หน้า 14


เสียงซุบซิบจากในกองทัพบกอย่างคลางแคลงสงสัยในตัวแม่ทัพบกอย่างบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มได้ยินหนาหู พร้อมคำถามที่ว่า "ผบ.ทบ. เปลี่ยนไป" หรือเปล่า

หลังจากที่ปรากฏภาพความใกล้ชิดสนิทสนมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิง สวย รวย เก่ง บ่อยขึ้นๆ แถมดูคุ้นเคยกันมากขึ้น แต่ทว่านายกฯ ปู ยังคงมีอาการเขินๆ อยู่บ้าง

พล.อ.ประยุทธ์ เคยยืนยันว่า "ผมยังเป็นคนเดิม จุดยืนไม่เคยเปลี่ยน" มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งร่วมเคียงข้างนายกฯ ปู ทำสงครามกับน้ำท่วม จนทำให้ภาพกองทัพกับรัฐบาลกลมเกลียว ทั้งๆ ที่ต่างขั้วอำนาจ หรืออาจเรียกว่า เป็นศัตรูกันมาก่อนด้วยซ้ำ

แต่คำถามนี้ กลับถูกถามขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งแบบจริงจัง ซีเรียส เพราะกลัวจะเสียภาพพจน์และจุดยืน และวิจารณ์แบบขำๆ ให้กลายเป็นเรื่องหวานแหววของนายกรัฐมนตรีหญิง กับ ผบ.ทบ. ที่แม้จะอายุห่างกันราว 1 รอบ

จนกลายเป็นที่จับตาและสังเกตของทหารใน ทบ. รวมทั้งในกองทัพ ทุกครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ปรากฏกายคู่กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ด้วยเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จะดูใส่ใจในการดูแลต้อนรับนายกฯ ปู อย่างผิดสังเกต และมักจะสั่งการด้วยตัวเองในทุกเรื่อง จากเดิมที่เคยปล่อยให้บิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง ผบ.ทบ. เพื่อนรัก และฝ่ายอำนวยการที่เกี่ยวข้องดูแลตามสายงาน


ต้องเรียกว่า การเตรียมทำสงครามกับน้ำท่วมระลอกสอง ดูจะเป็นใจให้ผู้นำรัฐบาลกับผู้นำทัพบก ได้มาพบปะพูดคุยประชุมหารือกันมากขึ้น ดั่งสวรรค์เป็นใจ แบบที่ว่า "มีปูอยู่ไหน มีตู่อยู่นั่น"

ไม่ว่า นายกฯ ปู จะไปเหยียบเยือนหน่วยใดของ ทบ. เหนือ ใต้ ออก ตก พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะตามไปดูแลต้อนรับขับสู้

ไม่ใช่แค่กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เท่านั้น แต่ภาพที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูดคุยอย่างสนิทสนมกับ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรองนายกรัฐมนตรี ในวันไปตรวจการทำงานของทหารในการขุดลอกคูคลองเพื่อรับน้ำท่วมย่านบางแค เมื่อสัปดาห์ก่อน

รวมทั้งการประชุม กอ.รมน. มาราธอนเกือบ 3 ช.ม. ที่บิ๊กตู่ก็คอยทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ชงและผู้ช่วยให้นายกฯ ปู ผอ.รมน. ดูแลเดินตามจนไปส่งกลับ จนเธอใจอ่อนไม่เปลี่ยนหัวหน้าสำนักงาน ผอ.รมน. ให้ พล.อ.องอาจ พูนศักดิ์ เพื่อน ตท.12 ของบิ๊กตู่ ดูแลต่อไป



ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า เป็นแค่การแสดงละคร ให้ประชาชนสบายใจ ว่าไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งระหว่างกองทัพกับรัฐบาล

อีกทั้งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เองก็ตายใจได้ว่ากองทัพถอดเขี้ยวเล็บ ไม่มีพิษสงใดๆ เพราะเจอความสวยสง่างามของนายกฯ หญิง

แต่บางเสียงก็วิจารณ์ว่าเป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการรักษาความมั่นคงของเก้าอี้ ผบ.ทบ. ที่ถ้าประคับประคองกันไปได้ เขาก็มีสิทธิ์นั่งจนเกษียณในปี 2557

ด้วยเวลานี้ ไม่มีทางเลือกสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ มากนัก ในยามที่เรียกว่า ต่อให้เลือกตั้งอีกกี่ครั้ง พรรคเพื่อไทยก็ชนะและได้มาเป็นรัฐบาล หมดหวังกับพรรคประชาธิปัตย์ และในสภาวการณ์ที่ "อำนาจพิเศษ" สงบนิ่ง เพราะถูกจับจ้อง

ที่สำคัญ การปฏิวัติรัฐประหาร ไม้เด็ดสุดท้ายที่ทำให้รัฐบาลกลัวกองทัพ ก็ถูกถอดสลัก จากการเตรียมพร้อมต่อต้านจากฝ่ายพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นระบบและมีการวางแผน ทั้งการฝึกของคนเสื้อแดง ทั้งการสร้างความแข็งแกร่งและซื้อใจตำรวจมะเขือเทศ และบรรดาทหารแตงโมเอง จนทำให้การปฏิวัติไม่ใช่ง่ายๆ เช่นที่ผ่านมา

แถมกระแสโลกก็ต่อต้านรัฐประหาร ที่อาจจะถูกนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ตามมาอีกด้วย แม้ว่ากองทัพจะมีข้ออ้างเรื่องขบวนการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ รอไว้อยู่ในมือก็ตาม

ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเสี่ยงกับปฏิวัตินองเลือดที่ไม่รู้ว่ากองทัพจะพบจุดจบแบบใด สู้การประคองตน เป็น ผบ.ทบ. ไปจนเกษียณดีกว่า ไม่ต้องเอาเก้าอี้ ผบ.ทบ. ไปเสี่ยง


แต่หากมองในแง่ดี ก็ต้องถือเป็นความอดทนของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะต้องทำดีกับรัฐบาล กับนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประชาชนสบายใจ เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์ แสดงบทขึงขัง หรือห่างเหินรัฐบาล ก็อาจถูกตีความว่าขัดแย้งแตกแยก

รวมทั้งถือเป็นการให้เกียรติ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ที่ทำให้กองทัพต้องมีท่าทีอ่อนนุ่มลง หรืออาจเรียกว่า ใจอ่อน

หรืออีกนัยหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการสะท้อนถึงการเป็น "ทหารมืออาชีพ" ที่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล กองทัพก็ต้องทำงานให้ จนทำให้บิ๊กตู่ มักจะพูดเสมอว่า "กองทัพเป็นของท่าน" ต่อหน้า น.ส.ยิ่งลักษณ์

จนจับตารอเม้าธ์กันด้วยว่า วันเกิด 57 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ 21 มีนาคม นี้ นายกฯ ปู จะส่งดอกไม้ หรือของขวัญพิเศษใดๆ ให้หรือไม่

แต่ที่เม้าธ์กันในบางวงสนทนา อ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ เชื่อหมอดูบางสำนักที่นับถือ ที่กระซิบว่า ดวงชะตาของเขากับนายกฯ ปู นั้น ส่งเสริมและเกื้อหนุนกัน จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำหน้าที่ ผบ.ทบ. คู่บุญให้นายกฯ ปู เช่นนี้


แต่ข่าวลือสุดฮิต คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่แค่มีการ "เคลียร์" กับฝ่ายอำมาตย์แล้ว แต่ยังสื่อสารผ่าน "ตัวกลาง" เพื่อเจรจากับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วด้วย เพื่อส่งสัญญาณให้กองทัพสบายใจ ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ได้มาแก้แค้นล้างบาง แต่แค่ขอให้กองทัพทำหน้าที่ของกองทัพอย่างแท้จริง ในการเป็นกลไกของรัฐ สนับสนุนรัฐในการแก้ปัญหาต่างๆ อย่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

พร้อมประโยคที่ว่า "ผมฝากดูแลน้องสาวผมด้วย" เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ห่วงความปลอดภัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่น้อย หากการเมืองไทยเล่นกันแรง



หากมองย้อนกลับไปในยุคที่ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กลาโหม นั้น บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ก็ถูกเม้าธ์สนั่น เมื่อไปเดินจูงมือ จับมือและใกล้ชิดกับนายสมัคร จนกลายเป็น ผบ.ทบ. คู่บุญของนายสมัคร ที่ไม่ว่าจะไปไหนจะเชิญ พล.อ.อนุพงษ์ ไปด้วยตลอด

จนถูกวิจารณ์เรื่องการวางตัวของ ผบ.ทบ. กับ นายกรัฐมนตรี และฝ่ายการเมือง ให้มี "ระยะห่าง" ที่เหมาะสม และสง่างาม

ในเวลานั้น พล.อ.อนุพงษ์ ถูกมองว่า เพราะเกรงจะถูกเด้งจาก ผบ.ทบ. เพราะเป็นรัฐบาลนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อน ตท.10 ที่กลายเป็นเพื่อนแค้นเพราะการปฏิวัติ

แต่ทว่า เพราะตอนนั้นมีการ "เคลียร์" ใจและเคลียร์ทาง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.อนุพงษ์ เรียบร้อยแล้ว จนนำมาซึ่งการกลับประเทศอย่างปลอดภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ และภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ มาร่วมงานศพมารดา พล.อ.อนุพงษ์ ที่วัดโสมนัสวรวิหาร และภาพ พล.อ.อนุพงษ์ เข้าไปสวัสดีที่ตักของ พ.ต.ท.ทักษิณ

มาตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังถูกจับตามองเรื่องการวางตัวหรือ ระยะห่างระหว่าง ผบ.ทบ. กับ นายกรัฐมนตรี ที่แน่นอนว่าคงไม่สามารถเดินจับจูงมือเพราะเป็นชายกับหญิง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ถูกมองว่ามากเกินไป ซึ่งระยะห่างนี้ ไม่ใช่ระยะความใกล้ชิด แต่หมายถึงการวางตัวและจุดยืน

เพราะหากเปรียบเทียบกับ ผบ.เหล่าทัพคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. หรือบิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. หรือบิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ก็จะเห็นว่าเหมาะสม

แม้แต่บิ๊กเปี๊ยก พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกลาโหม ซึ่งสนิทสนมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มานานแล้ว ก็ยังไม่ถูกเม้าธ์เท่า พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นคู่ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะต่างขั้วอำนาจก็เป็นได้

จนทำให้คำถามที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนไปหรือไม่ กลับมาอีกครั้ง จนทำให้คนรักบิ๊กตู่จำนวนไม่น้อย คลางแคลงใจนั่นเอง


ไม่ใช่แค่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กับบิ๊กโอ๋ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ก็กลายเป็นอีกคู่หวานที่ถูกจับตามอง

จากที่เคยคาดกันว่า จะเป็นไฟกับน้ำมัน ที่อยู่ใกล้กันต้องเผาผลาญให้วอดวาย เพราะเป็นนักบู๊เลือดเดือดด้วยกันทั้งคู่ แต่ก็กลับมีภาพพูดคุยยิ้มหัวให้เห็นมากขึ้น

ฝ่าย พล.อ.อ.สุกำพล นั้น ลดความแรงลงเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อนรักสะกิด ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ก็มีเหตุผลไม่ต่างจากที่เขาปฏิบัติต่อนายกฯ ปู เพราะไม่เช่นนั้นก็จะถูกจับเป็นคู่เกาเหลา ถึงขั้นออกตัวกับบิ๊กโอ๋ ว่า "พี่มีอะไรเรียกผมได้ตลอดเลยนะ"

กระแสสังคมจึงทำให้ทั้งคู่ต้องพยายามทำตัวให้ใกล้ชิดสนิทสนม ชื่นมื่นต่อกัน เพื่อสยบข่าวความขัดแย้ง

แต่แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเล่นฉากดราม่านี้ได้แนบเนียนก็ตาม แต่ พล.อ.อ.สุกำพล ก็รู้ดีว่า นั่นเป็นแค่การแสดง จึงทำให้ระยะหลังๆ นี้ บิ๊กโอ๋เริ่มท่องคาถา "จริงใจ ไม่เสแสร้ง" ในการประชุมเสมอๆ

เพราะแม้จะหวานใส่กัน ใช้รอยยิ้มและภาษาดอกไม้สู้รบกันก็ตามแต่ จนท่าฮิตในกองทัพเมื่อเห็นฉากดราม่า คือ ท่าที่ต่างฝ่ายต่างถือมีดหรือปืนไว้ข้างหลัง พร้อมที่จะฟาดฟันกันตลอด หากใครล้ำเส้นหรือพลาดพลั้ง หรือเล่นงานอีกฝ่ายก่อน

โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล ยังคงกลัวการปฏิวัติรัฐประหาร ต่อให้เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่กล้าทำก็ตาม แต่ก็ต้องเกาะติดและพร้อมรับทุกสถานการณ์ จนทำให้มีข่าวการตั้งวอร์รูมของทหารแตงโม ภายใต้การนำของ ตท.10 อย่าง พล.อ.อ.สุกำพล และบิ๊กโอ๋ พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำ รมว.กลาโหม

โดยมี นายทหารม้า มือข่าวกรองของ ตท.10 อย่างบิ๊กหยอย พล.ท.มนัส เปาริก เป็นแม่ทัพในการต้านปฏิวัติและเกาะติดความเคลื่อนไหวของอำมาตย์ เพราะในหมู่คนที่รู้จัก พล.ท.มนัส คนนี้รู้ดีถึงฉายา "มอสสาดแห่ง ตท.10" ที่คอยกระซิบบอกข่าวต่างๆ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด เรียกว่าสายตรงเลยทีเดียว

จนมีอีกฉายาหนึ่งว่า "กุนซือผมขาว"


ผลงานจากการต่อสู้เคียงข้างคนเสื้อแดงและทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้านการทหาร นอนกลางดินกินข้างถนน ค่ำไหนนอนนั่นกับคนเสื้อแดงมาตลอดหลายปี ทำให้ พล.ท.มนัส ได้ถูกส่งมาเป็นที่ปรึกษา รมช.มหาดไทย ของ นายฐานิสร์ เทียนทอง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้ดูแลช่วยเหลือประชาชน ดูแลปัญหาชายแดน ยาเสพติด และกรมพัฒนาชุมชน หรืออาจเรียกว่า ตามมาดูแลคนเสื้อแดง ด้วยซ้ำไป

แต่ด้วยความรู้ด้านการทหาร และมือข่าวลับ ทำให้ พล.อ.อ.สุกำพล กระซิบให้เขามาช่วยงานกลาโหมด้วย เพิ่มเติมเต็มในส่วนของ ทบ. เนื่องจาก พล.อ.อ.สุกำพล เป็นทหารอากาศ อาจมีช่องโหว่ ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ไม่รู้ใครเป็นใคร

"ไม่มีวอร์รูมอะไร สงสัยพวกอำมาตย์จะหวาดระแวงหรือเปล่า ไม่ต้องไปเกาะติดอะไรหรอก ทหารตอนนี้กล้าปฏิวัติหรือ" พล.ท.มนัส เปรย

"แต่สำหรับทหารแล้ว ต้องมีการเตรียมพร้อม มีแผนเตรียมไว้เสมอ" บิ๊กหยอย กล่าว

ด้วยเพราะตอนนี้ไม่มีใครในโลกยอมรับ แล้วคนเสื้อแดงก็ไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่ ออกมาต่อต้าน ไม่ใช่แค่คนเสื้อแดง แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่เอาด้วยแน่

"ผมไม่ได้เป็นคนฝึกกองกำลังคนเสื้อแดง แต่ทาง ศอฉ. เคยกล่าวหาผมว่าผมจะทำหน้าที่แทน เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ตอนที่เขาถูกยิงตายไปแล้ว ผมไม่เกี่ยว คนเสื้อแดงเขาฝึกกันเอง มีการบอกต่อๆ กันมาว่า จะต้องทำยังไง ในเน็ตหาอ่านได้ ต้องเอาเหล็กเสียบตีนตะขาบรถถัง น้ำมันเครื่องราดจุดไฟเผา ผมไม่ต้องสอนหรอก" บิ๊กหยอย ออกตัว

แต่ตอนนี้ มีความพยายามจะใส่ร้ายหมู่บ้านเสื้อแดงในอีสานและเหนือกว่า 2 พันหมู่บ้าน ว่าต่อต้านสถาบัน และมีการฝึกชาวบ้านให้ต้านปฏิวัติ ไม่มีการฝึก พวกนี้เขามีประสบการณ์จากสี่แยกคอกวัวและราชประสงค์มาแล้ว

"ไม่มีการปลูกฝังอุดมการณ์อะไร เป็นการรวมตัวของชาวบ้านที่คิดเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงทั้งนั้น แต่ถ้ามีปฏิวัติทุกคนพร้อมใจกันไปต่อต้านแน่ ไม่ต้องฝึกอะไรมาหรอก ประชาชนมือเปล่านี่แหละ ดูซิ กองทัพจะสู้ประชาชนได้หรือเปล่า บทเรียนมีอยู่แล้ว" บิ๊กหยอย กล่าว


ทางเลือกของกองทัพในเวลานี้คือ การกลับมาเป็นทหารอาชีพ ทำงานตามที่รัฐบาลสั่งการในการแก้ปัญหาให้ประชาชน ทำหน้าที่ของตัวเอง "อย่าเก่งทุกอย่าง ยกเว้นงานในหน้าที่"

"ทักษิณ เขาไม่ทำอะไรกองทัพหรอก ต่างคนต่างอยู่ ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง อย่าไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร พอแล้ว" เพื่อนซี้ทักษิณ กล่าว

"จะทำอะไรเดี๋ยวนี้ ในกองทัพมันปิดกันไม่ได้หรอก มีทหารรู้เห็นมากมาย ผมไม่ต้องทำอะไรเลย ทหารแตงโม คอยดูแลให้" บิ๊กหยอย เผย

แต่ไม่ว่าระหว่างกองทัพกับรัฐบาลจะเป็นการแสดงละคร หรืออะไรก็ตาม แต่การทำงานร่วมกันไปอย่างนี้ ก็ทำให้บรรยากาศทางการเมืองดีขึ้น ได้รู้จักและใกล้ชิดกันมากขึ้น ข่าวลือต่างๆ จะลดน้อยลงและหมดไป อาจนำไปสู่ความปรองดองจริงๆ ได้ในสักวันหนึ่ง



+++

สวรรค์ชั้น 7 กับ ฉี่ฉุน ห้าม"ปู" อ้างหญิง ข่าวร้อนเรื่อยๆ จาก "สตรีไทย"
โดย แมลงวันในไร่ส้ม ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1647 หน้า 78


ประเด็นความเป็นผู้หญิงของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ ส.ส.หญิง และแวดวงนักสิทธิสตรี ถือเป็นอีกมุมข่าวที่มีการเคลื่อนไหวคึกคักอยู่เสมอ

โดยภาพรวมต้องใช้ศัพท์แสงที่เรียกว่า "ดราม่า"

เห็นได้ชัดว่า เฟมินิสต์ นักสิทธิสตรีบางกลุ่ม นักวิชาการสตรี ที่ชื่นชมปรากฏการณ์ผู้นำหญิงทั่วโลก ออกอาการไม่ยอมรับนายกฯ หญิงของไทย

อาจจะด้วยความไม่ชอบ "ทักษิณ"
ด้วยความชื่นชมมาดผูดีอังกฤษ ของ "มาร์ค- กรณ์"
เรื่องของ "สี" หรือหลายอย่างๆ ฯลฯ

เป็นสภาพที่ค่อยๆ เปิดเผยตัวเองให้ชัดเจนมากขึ้น โดยอาศัยสถานการณ์ต่างๆ

เดือนตุลาคม 2554 หรือประมาณ 2 เดือน หลังจากรัฐบาลใหม่เข้ารับหน้าที่ และเกิดน้ำท่วมใหญ่
หนูดี-วนิษา เรซ เจ้าของกิจการสร้างเด็กให้เป็นอัจฉริยะ ทวีตด่าผู้นำโง่ พวกเราจะตายกันหมด สุดท้ายใครตายพอจะเห็นกันอยู่
อดีตนักร้องอย่าง เอิน-กัลยกร นาคสมภพ ก็ออกมาร่วมวิพากษ์นายกฯ หญิง
เมื่อมีกระแสข่าวที่เกี่ยวพันถึง "สตรี" อาทิ กรณี นายเอกยุทธ อัญชันบุตร เสี่ยแชร์ชาร์เตอร์ ที่ออกมาโจมตีนายกฯ ก่อนลามปามไปถึง "สตรีเหนือ"
ผลคือเงียบเป็นเป่าสาก มีแต่ "แม่หญิงเหนือ" ที่เป็นตัวหลักในการตอบโต้

แม้กระทั่งเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกโจมตีจากพรรคประชาธิปัตย์ เรื่อง "สวรรค์ชั้น 7" ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ แล้ว ส.ส.ชายแห่งประชาธิปัตย์ นำไปขยายต่อผ่านสถานีโทรทัศน์ของพรรค
ก็ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ จากนักสิทธิสตรี ตรงกันข้าม กลับมีเสียงผสมโรงจากกลุ่มเอ็นจีโอสตรีบางกลุ่มด้วยซ้ำไป

ยิ่งเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินหน้านโยบายกองทุนเพื่อสตรี ทุกจังหวัด
ก็มีเสียงโจมตีจาก "สตรี" ว่าทำไมไม่ช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสอื่นๆ ก่อน พร้อมกับกล่าวหาว่า เป็นการหาเสียงกับผู้หญิง
เป็นอาการและสภาพที่น่าค้นหาคำตอบเป็นอย่างยิ่ง


ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือ ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง แนวโน้มความสุขมวลรวม (Gross Domestic Happiness, GDH) ของคนไทย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พบว่า

ความสุขมวลรวมของคนไทยเมื่อค่าคะแนนเต็ม 10 คะแนน ล่าสุดลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 6.66 ในช่วงเดือนมกราคม เหลือ 6.42
ปัจจัยฉุดความสุขเป็นเรื่องของค่าครองชีพ รายจ่ายสูงขึ้น รายได้เท่าเดิมหรือลดลง
รวมถึงความขัดแย้งแตกแยกทางการเมือง

จุดสำคัญ อยู่ที่การพบว่ากลุ่มผู้ชายมีความสุขมากกว่ากลุ่มผู้หญิง
ผู้ชายมีความสุขอยู่ที่ 6.53 ในขณะที่ผู้หญิงมีความสุขอยู่ที่ 6.36

การสำรวจของเอแบค ระบุว่า ในช่วงรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้น ผู้หญิงมีความสุขมากกว่าผู้ชาย
แต่ในช่วงรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ กลับพบว่าผู้หญิงมีความสุขน้อยกว่าผู้ชาย

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ น.ส.ปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา นักวิจัยประจำสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง การลงพื้นที่ป้องกันน้ำท่วม ปัญหาก่อการร้าย ความต้องการให้นายกฯ เดินจ่ายตลาด และความนิยมของสาธารณชนต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สำรวจจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ
พบว่าประชาชนพอใจการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แบบคาบเส้น 5.28 จาก 10 คะแนน ส่วนการลงพื้นที่ได้คะแนนสูง 7.39 จาก 10 คะแนน

คะแนนนิยมของยิ่งลักษณ์ ซึ่งในเดือนมกราคม อยู่ที่ร้อยละ 34.7 พุ่งมาอยู่ที่ 41.8 ในส่วน นายอภิสิทธิ์ วูบไปที่ 15.1
ที่น่าสนใจคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ชายสูงถึงร้อยละ 44.9 ส่วนผู้หญิงที่นิยมชมชอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 39.0

น.ส.ปุณฑรีก์ กล่าวด้วยว่า ผลสัมภาษณ์เจาะลึกพบด้วยว่า ยิ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ถูกโจมตีในเรื่องส่วนตัวกลับไม่มีผลต่อคะแนนนิยม และการทำงานหนัก ลงพื้นที่ป้องกันน้ำท่วม ทำให้คะแนนนิยมของประชาชนต่อนายกฯ เพิ่มสูงขึ้น



การประชุมสภาผู้แทนฯ พิจารณาปัญหากระทู้ถามเรื่องโฟร์ซีซั่นส์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่มี น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ยื่น ได้กลายเป็นเวทีปะทะของเรื่อง "หญิงๆ ชายๆ" ไป

จ.ส.ต.ประสิทธิ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในชุดสูทสีแดง ได้ประท้วงการเสนอกระทู้นี้ พร้อมกับพาดพิง น.ส.รังสิมา ว่า "ฉี่ฉุน"

ผู้ทำหน้าที่ประธานสภา คือ นายเจริญ จรรย์โกมล ขอให้ถอนคำอภิปรายที่ว่าออกไป

วันที่ 3 มีนาคม ส.ส.หญิงพรรคประชาธิปัตย์ จำนวน 9 คน นำโดย นางผุสดี ตามไท ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป. ได้ออกแถลงการณ์ ประณามพฤติกรรมของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย
กรณีลุกขึ้นประท้วง น.ส.รังสิมา และกล่าวว่า "คุณรังสิมาฉี่ฉุน" ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสาระของการอภิปราย
แต่ทำไปเพราะต้องการสกัดกั้นการอภิปรายของ ส.ส.ฝ่ายค้านเท่านั้น อันถือเป็นพฤติกรรมหยาบคาย กักขฬะ ไร้วัฒนธรรม และถือเป็นการคุกคามทางเพศ

"จึงอยากเรียกร้องให้ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เอาจริงเอาจังกับ ส.ส. ที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ อย่าเพียงแค่ให้ถอนคำพูด ให้รวมถึงการตักเตือน ตรวจสอบ ประณาม หรือลงโทษอย่างอื่นตามข้อบังคับ ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่สาธารณชนต่อไป" แถลงการณ์ระบุ

เป็นประเด็นที่ก่อให้เกิด "ความเห็นแย้ง" ตามเว็บไซต์ต่างๆ เปรียบเทียบท่าทีของ ส.ส.หญิงพรรคประชาธิปัตย์ ที่แตกต่างออกไป ในกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์

อาทิ ล็อกอิน ASIRAM แห่งห้องราชดำเนิน เว็บพันทิป เมื่อ 3 มีนาคม
"โธ่ ฉี่ฉุนนี่ทำลาย แต่ รับน้ำ เอาอยู่ ไม่ทำลายเลยนะ ไอ้..."

อีกหนึ่งดอก จากผู้ใช้นาม "นายผอมจอมซ่า" จากห้องราชดำเนินเช่นกัน
"รังสิมาถูกแซว "ฉี่ฉุน" ทำมาเป็นเดือดร้อน...แล้วที ปชป. เอาเรื่อง ว.5 มาพูดสองแง่สองง่าม ทำให้นายกฯ เสียหายล่ะ?"
"ทำไมไม่เตือนพวกเดียวกันเองบ้าง 2 มาตรฐานหรือเปล่า"

และหลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงเปิดกองทุนเพื่อสตรี
ต่อมาวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ก็ปรากฏข่าว ส.ส.หญิงประชาธิปัตย์ นำโดย คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช แถลงข่าวจัดโครงการผู้หญิงชนะหนี้ เพื่อส่งเสริมศักยภาพให้ผู้หญิงมีความสามารถในการจัดการหนี้สิน

ตามมาด้วย "เม้นต์" จาก "น้ำมิตร" ในห้องราชดำเนิน เว็บพันทิป เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ว่า
ถึงจะคิดช้า แต่ก็ดีที่คิดทำ

ถ้าไม่มีโครงการกองทุนสตรีของพรรคเพื่อไทย คนไทยก็อาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นการจัดโครงการผู้หญิงชนะหนี้ของ ส.ส.หญิงพรรคประชาธิปัตย์
ไหนๆ ส.ส.หญิงพรรคประชาธิปัตย์ จะลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อคนเพศหญิงเช่นเดียวกับตัวเองแล้ว

"... ก็อยากจะเรียกร้องให้ ส.ส.หญิงพรรคประชาธิปัตย์ ช่วยเตือน ส.ส.ชายในพรรค ให้เล่นการเมืองแบบแมนๆ หน่อย เพื่อปกป้องสิทธิ์เกียรติยศและชื่อเสียงของผู้หญิงที่มีอาชีพเป็นนักการเมืองเช่นเดียวกับคุณด้วยเหมือนกัน"

เป็นข่าวอีกมุมที่มีสีสันเร้าใจ, "ดราม่า" และคงจะยังไม่จบง่ายๆ



.