http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-03-15

วงค์ ตาวัน: เผาบ้านเผาเมืองตอนไหน, 98ศพ, คดีแรก 91ศพ, ใช้พยานหลักฐาน

.
บทความใหม่ - คดีก้าวร้าวการเมือง โดย วงค์ ตาวัน

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เผาบ้านเผาเมืองตอนไหน
โดย วงค์ ตาวัน ในข่าวสดออนไลน์ วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


คาถาปกป้องตัวเองจากคดี 91 ศพของผู้นำรัฐบาลชุดเกิดเหตุคือ มีการเผาบ้านเผาเมือง จนเกิดคำถามจากญาติพี่น้องของผู้ถูกยิงถูกฆ่าว่า จะเอาภาพเผาบ้านเผาเมืองมาลบล้างภาพคนตาย 91 ศพได้หรือ

ความตาย 91 ศพ โดยส่วนใหญ่นั้นมีพยานหลักฐานชัดเจน มีภาพถ่าย มีคลิปวิดีโอ ปรากฏชัดว่า เกิดจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่รัฐ ภายใต้คำสั่งของ ศอฉ.
โดยเฉพาะ 6 ศพวัดปทุมวนาราม ในคืน วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หลังม็อบถูกสลาย แกนนำถูกจับไปหมดแล้ว
ทั้งมีคนหลายพันในวัดเห็นเหตุการณ์ว่ายิงโดยทหารบนรางรถไฟฟ้า
มีคลิปที่ถ่ายโดยตำรวจจากอาคารสูงฝั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย

เหตุการณ์นี้แทบไม่มีอะไรมาแก้ตัว ก็ยังอ้างอีกว่าเป็นฝีมือชุดดำและพวกเผาบ้านเผาเมือง !


น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หัวหน้าพยาบาลอาสาในวัดปทุมวนาราม เป็นพยานเอกคนล่าสุดที่เข้าให้การกับตำรวจ
หลังจากเก็บตัวด้วยความหวาดกลัวมาเกือบ 2 ปี ก็ตัดสินใจว่าต้องต่อสู้เพื่อคนตาย
ยืนยันชัดเจนว่าทหารนั่นแหละยิง และขอถามต่อด้วยว่า ใครสั่งให้ยิง!?

ทั้งหลายทั้งปวงจึงสรุปได้ว่า โดยส่วนใหญ่ของ 91 ศพ ยิงโดยเจ้าหน้าที่ด้วยคำสั่งของศอฉ.



ทีนี้มาดูเวลาจริงๆ ของการเผาบ้านเมืองที่นำมาอ้างเพื่อลบล้าง 91 ศพ
จริงอยู่มีแกนนำประกาศเรื่องการเผา
แต่พอประกาศปุ๊บมีการเผาบ้านเผาเมืองเกิดขึ้นหรือไม่

ตลอดการชุมนุมของเสื้อแดงนั้น มีแต่การเผายางรถยนต์ ที่ตั้งเป็นบังเกอร์ เพื่อให้เกิดควันป้องกันสไนเปอร์
อาจมีบางครั้งที่เปลวเพลิงจากยางรถยนต์ลุกลามไปติดอาคารสถานที่บ้าง

การเผาบ้านเผาเมืองที่อ้างกันนั้น คือเหตุการณ์เผาเซ็นทรัลเวิลด์และย่านสยาม!
เกิดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
หลังจากม็อบแดงโดนสลาย แกนนำอยู่ในคุกหมดแล้ว

จนป่านนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยืนยันว่าใครเป็นคนเผา
แต่การเผาที่เรียกว่าเผาบ้านเผาเมืองนี้ เกิดหลังจากศอฉ.เข้ายึดพื้นที่แล้วไม่มีม็อบเหลือแล้ว

เผาบ้านเผาเมืองเกิดขึ้นหลังจากมีการฆ่าไปแล้ว

แล้วจะเอาเผาบ้านเผาเมืองมาอ้างเป็นเหตุให้ต้องเกิด 91 ศพได้อย่างไร !?



++

98 ศพ
โดย วงค์ ตาวัน ในข่าวสดออนไลน์ วันศุกร์ที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ครม.ยิ่งลักษณ์ ได้มีมติอนุมัติเงินเยียวยาผู้ได้รับ ผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองทุกสีระหว่างปี 2548-2553 เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ขณะที่ประชาธิปัตย์ก็เดินหน้าขัดขวางทุกวิถีทาง ด้วยการไปยื่นฟ้องศาลปกครองอย่างทันทีทันใด

ตามหลักการที่ผ่านครม.ออกมาเรียบร้อยแล้วนั้น จ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้เสียชีวิต 102 ราย รายละ 7.75 ล้านบาท
แบ่งเป็นผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ปี 2551 จำนวน 2 ราย
เหตุการณ์ปี 2552 จำนวน 2 ราย
เหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 จำนวน 98 ราย


ที่เรียกกันว่าคดี 91 ศพนั้น จริงๆ คือ 98 ศพ!

ในจำนวนนี้รวมช่างภาพชาวญี่ปุ่นและช่างภาพชาวอิตาลีด้วย

นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงผู้บาดเจ็บและพิการอีก 2 พันกว่าราย และผู้ได้รับผลกระทบอื่นๆ อีก 2 พันกว่าราย

เป็นตัวเลขที่สูงพอสมควร แต่จะให้สูงเท่าไรย่อมเทียบไม่ได้กับชีวิตที่สูญเสียไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูญเสียเพราะการเรียกร้องทางการเมือง

ในหลักสากลนั้น ความแตกต่างทางความคิดอุดมการณ์ ต้องไม่ใช้ความรุนแรงเข้าตัดสิน!


ยิ่งถ้าเป็นความรุนแรงที่มาจากมาตรการของรัฐบาล
รัฐบาลยิ่งต้องรับผิดชอบและต้องเยียวยาอย่างถึงที่สุด

ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลขณะเกิดเหตุการณ์ปี 2553 ซึ่งเป็นความตายของประชาชนในขณะชุมนุมทางการเมืองที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
เหนือกว่า 14 ตุลาคม 2516 ยิ่งกว่า 6 ตุลาคม 2519 และมากกว่าพฤษภาคม 2535 ไม่มีครั้งไหนตายมากเท่ากับ ปี 2553

แต่วันนี้ประชาธิปัตย์กำลังยื่นคัดค้านการเยียวยานี้ทุกวิถีทาง ด้วยเหตุผลว่า เป็นการชดเชยคนที่ตายเพื่อทักษิณบ้าง เยียวยาคนเผาบ้านเผาเมืองบ้าง
เอาเฉพาะเรื่องเผาบ้านเผาเมือง ถือเป็นการสร้างถ้อยคำที่บิดเบือนความจริงอย่างที่สุด!!

การเผาบ้านเผาเมือง ซึ่งหมายถึงการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ อาคารใกล้เคียง โรงหนัง
ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงบ่าย-เย็นของวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 หลังจาก ศอฉ.เข้ายึดคืนพื้นที่ทั่ว กทม.ได้หมดแล้ว

แกนนำเสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาว่าสั่งเผานั้น ทุกคนถูกขังอยู่ที่ค่ายตชด.หัวหินหมดแล้ว
สำคัญสุดการเผาเกิดหลังจากปราบเสร็จสิ้น จนตายไปเกือบร้อยศพแล้ว

การเผาบ้านเผาเมืองนั้น เกิดภายหลังแน่นอน

จึงไม่เป็นเหตุผลให้รัฐสั่งใช้มาตรการทหารจนตาย 91 ศพหรือ 98 ศพได้เลย!



++

คดีแรก 91 ศพ
โดย วงค์ ตาวัน ในข่าวสดออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 04:00 น.


หนทางที่จะคลี่คลายความขัดแย้งแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคมอย่างหนึ่ง ไม่มีอะไรดีไปกว่า ทั่วทุกคนต้องยึดมั่นอยู่กับข้อเท็จจริง ก่อนจะมีข้อสรุป โดยก่อนจะปักใจเชื่ออะไร ควรจะต้องค้นหาความจริงของสิ่งนั้นให้แน่ชัดเสียก่อน

เลิกเอาอคติเป็นที่ตั้ง

วันนี้ 12 มีนาคม จะเป็นวันสำคัญ ในการพิสูจน์ความจริงของเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553

เหตุการณ์ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ปฏิเสธความรับผิดชอบมาตลอด ด้วยการโทษผู้ก่อการร้าย ชายชุดดำ

ในวันนี้ด้วยกระบวนการยุติธรรม จากพนักงานสอบสวน สู่อัยการ
คดีไต่สวนชันสูตรพลิกศพจะขึ้นสู่ศาลเป็นสำนวนแรก
ศาลจะไต่สวนว่า คนตายเป็นใคร ตายด้วยอะไร และใครเป็นคนกระทำ!?

สำนวนแรกคือ ความตายของนายชาญณรงค์ พลศรีลา ที่ถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ซอยรางน้ำ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553
แม้โดยข้อเท็จจริงของศพนี้ มีพยานหลักฐานมากมาย ชัดเจนตั้งแต่นาทีเกิดเหตุแล้ว เพราะนายชาญณรงค์ถูกยิงต่อหน้าคนมากมาย
แต่ ศอฉ.ก็ไม่เคยยอมรับ

เอาเป็นว่าเมื่อคดีนำขึ้นไต่สวนในชั้นศาลแล้ว จะเป็นเครื่องยืนยันความจริงของเหตุการณ์นี้ได้ดีที่สุด
จะได้เลิกอ้างอะไรที่เลื่อนลอยกันต่อไปอีก!!


พยานเอกของคดีนี้และจะเรียกว่าเป็นผู้ไม่ปล่อยให้ความจริงสูญหายไปอย่างน่ายกย่อง

เขาคือ นายนิก นอสติทซ์ ช่างภาพชาวเยอรมัน ผู้อยู่ในเหตุการณ์ และจดจำภาพสะเทือนใจนั้นติดตา

หลังเหตุการณ์สงบลงไม่กี่วัน นายนิกเดินทางไปที่สน.พญาไท ท้องที่รับผิดชอบซอยรางน้ำ เพื่อติดตามเรื่องราวของชายคนหนึ่ง

ตำรวจให้ดูแฟ้มภาพคนตายในช่วงดังกล่าว แล้วก็มีภาพชายคนนั้นจริง ชื่อนายชาญณรงค์ พลศรีลา อาชีพขับแท็กซี่

นายนิกจำได้ดีเพราะเขาและช่างภาพจำนวนมาก ถ่ายภาพนายชาญณรงค์เงื้อหนังสติ๊กที่บังเกอร์ยางรถยนต์!

จนกระทั่งเห็นทหารบุกเข้ามารัวยิง ถูกนายชาญณรงค์จมเลือด ทั้งที่ในมือมีแค่หนังสติ๊ก

กลุ่มเสื้อแดงช่วยกันดึงร่างเลือดท่วมนั้นเข้าไปหลบในบ้านหลังหนึ่ง

แต่ทหารก็ตามมาลากนายชาญณรงค์ไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

พยานยืนยันว่าทหารภายใต้คำสั่งศอฉ.เป็นคนยิง



++

ใช้พยานหลักฐานมอง 91 ศพ
โดย วงค์ ตาวัน ในข่าวสดออนไลน์ วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ถัดจากสำนวนการตายของนายชาญณรงค์ พลศรีลา 1 ใน 91 ศพปี 2553 แล้ว จะมีสำนวน อื่นๆ ทยอยขึ้นไต่สวนในศาลไปตามลำดับ เพราะคดีการตายของประชาชนจากการชุมนุมทางการเมืองยุคประชาธิปัตย์ มีความคืบหน้าไปมากในยุครัฐบาลเพื่อไทย

อีกสำนวนที่พร้อมขึ้นศาลแล้ว และเป็นที่สนใจในระดับสากล
คือสำนวน นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ที่ล่าสุดสรุปแล้วว่าตายเพราะปืนทหาร

รัฐบาลญี่ปุ่นและชาวญี่ปุ่นเฝ้ารอคอยอย่างแน่นอน สถานทูตจี้ติดตลอด
ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศของเขา บินมาวางพวง หรีดไว้อาลัยถึงจุดเกิดเหตุแยกคอกวัว

ดังนั้นเมื่อนายกฯยิ่งลักษณ์ไปเยือนญี่ปุ่น พร้อมคดีที่มีข้อสรุปว่าเจ้าหน้าที่ฆ่า มีการชดใช้เยียวยาและสารขอโทษ
จึงได้รับความขอบคุณจากนายกฯญี่ปุ่นและชาวญี่ปุ่น สานสัมพันธ์ได้ทันตา!

ขณะเดียวกันความเป็นสื่อมวลชนสังกัดรอยเตอร์ สำนักข่าวระดับโลก จึงทำให้การเข่นฆ่านายฮิโรยูกิอยู่ในความสนใจอย่างแผ่กว้าง
ในสายตาคนต่างประเทศ ใครจะยอมรับได้ว่าการปราบม็อบการเมือง สามารถใช้ทหารติดอาวุธ มีรถหุ้มเกราะ ปืนกล เอ็ม 16
ผู้ชุมนุมตายมากมาย นักข่าวยังตาย ป่าเถื่อนขนาดไหนในสายตาสากล!?!


ก่อนหน้านี้สถานทูตญี่ปุ่นทวงถามคดีในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์มาตลอด แต่ไม่มีความชัดเจน

จนมายุคเพื่อไทย สำนวนเสร็จเรียบร้อย ตามกระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจ

ส่งถึงอัยการตรวจพิจารณา แล้วขึ้นศาลไต่สวน

อย่าใช้อคติในการมองคดีนี้ ใช้ข้อเท็จจริงเข้ามาจับ

จะเกิดคำถามง่ายๆ ว่า ในเมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์โทษชุดดำ แต่เหตุใดไม่มีสำนวนคดีที่มีพยานหลักฐานชี้เลยว่า มีผู้ก่อการร้ายฆ่า 91 ศพ
ทั้งที่อภิสิทธิ์มีอำนาจอยู่หลังเหตุการณ์นั้นอีกกว่าปี
อำนาจเต็มในมือ ต้องไปหาพยานหลักฐานมาให้ได้ ต้องมีสำนวนที่ชัดเจนชี้ได้ว่าผู้ก่อการร้ายฆ่า ถ้ามันมีจริง!!

แม้แต่สำนวนนักข่าวญี่ปุ่นนี้เอง
ในยุคอภิสิทธิ์มีอำนาจ ดีเอสไอสรุปว่าฮิโรยูกิตายด้วยปืนทหาร ตามหลักฐานที่บ่งชี้

ต่อมาสำนวนส่งตำรวจในยุคประชาธิปัตย์ ไปพลิกคดีใหม่ แก้ได้เพียงแค่ ไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนว่าใครฆ่า

ไหนล่ะชุดดำ ไหนล่ะผู้ก่อการร้าย!??

การพูดจาต้องมีความจริง มีพยานหลักฐาน ไม่เลื่อนลอย!



+++

คดีก้าวร้าวการเมือง
โดย วงค์ ตาวัน ในข่าวสดออนไลน์ วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ในมุมมองของสมาชิกสังคมที่เคารพความคิดเห็นแตกต่าง นิยมแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้ง ด้วยเหตุผล ย่อมรู้สึกยินดีที่กระบวนการยุติธรรมได้ตัดสินลงโทษ ผู้ใช้ความก้าวร้าวรุนแรงทางการเมืองอย่างต่อเนื่องถึง 2 ราย

จาก 2 ฝาแฝดเกรียน ที่ไปลอบทำร้ายอาจารย์นิติราษฎร์ ซึ่งศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญา
มาจนถึงกรณีนายกวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข หนุ่มพันธมิตรเกรียน
ศาลตัดสินจำคุกแต่ให้รอลงอาญาในคดีทุบรถข่าว
ขณะที่คดีจิกผมสาวเสื้อแดงในปี 2552 นั้น ศาลตัดสินกักขังเป็นเวลา 15 วัน

จะหนักเบาอย่างไรก็ตามที
แต่เท่ากับเป็นคำพิพากษาที่ชี้ว่า พฤติกรรมอันธพาล แม้จะเป็นการกระทำผิดสถานเบา แต่ก็ถือว่าผิดและต้องถูกลงโทษ!

ทั้งสองเหตุการณ์เป็นคดีตัวอย่างเพื่อเตือนสติพวกถนัดใช้กำลัง ไม่ชอบใช้ปัญญา
ว่าสังคมนั้นมีกฎกติกา มีกระบวนการยุติธรรมที่ต้องลงโทษคนกระทำผิดกฎหมาย

จะยากอะไร กับการใช้ข้อมูลเหตุผลไปต่อสู้กับคนที่เราไม่เห็นด้วย

ถ้าเหตุผลเราดีกว่า เราก็ต้องได้รับการยอมรับมากกว่า

แต่อย่างว่าบางกลุ่ม บางพวก ที่เคลื่อนไหวในสังคมเวลานี้ เอาเข้าจริงๆ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลย
เอะอะอะไร ก็งัดคาถาเดิมๆ ออกมากล่าวหาผู้อื่น เท่านั้นเอง!


ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ต้องชื่นชมการทำงานของตำรวจ ที่ไม่มองเหตุการณ์เหล่านี้เพียงแค่เป็นเหตุวิวาท ซึ่งวันๆ เกิดเหตุเป็นร้อย

แต่สามารถมองทะลุว่า ถ้าความขัดแย้งทางการเมือง ใช้วิธีการเช่นนี้
จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อบ้านเมือง

ต้องยกนิ้วให้พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. ที่มองคดีนี้ทะลุ

ในรายแฝดเกรียนนั้น รวบรวมคดีเดิมมาบ่งชี้พฤติกรรมให้ศาลเห็นว่าควรจะต้องลงโทษจริงจัง และยังรุกคืบไปถึงการมีอาวุธปืนอีกด้วย

ในรายหนุ่มพันธมิตรเกรียน ก็เร่งตรวจพบการก่อคดีเดิมที่จิกผมสาวเสื้อแดง อย่างไร้ความเป็นสุภาพบุรุษมาอายัดเพิ่มอีกคดี

ส่งผลให้ถูกลงโทษคุมขังดังกล่าว

รวมทั้งยังมีเสียงชื่นชมไปถึงพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง หัวหน้าชุดทำคดีม็อบยึดสนามบิน

ที่ยังเดินหน้าคดีนี้อย่างไม่สนใจแรงเสียดทานใดๆ!



.