http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-11-25

..แกเบรียล กิฟฟอร์ดส์, คนไทย - สุดยอดปรับตัว, จิตสำนึก-ยามภัยพิบัติ, หลังน้ำท่วมฯ โดย พิศณุ นิลกลัด

.



ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ ของ แกเบรียล กิฟฟอร์ดส์
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1632 หน้า 96


วิกฤติน้ำท่วมครั้งนี้สร้างความสูญเสียให้กับคนไทยและประเทศไทยอย่างมหาศาล

แต่ขอให้ผู้ที่สูญเสียไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินอาชีพการงาน ตลอดจนญาติมิตรไปกับอุทกภัยน้ำท่วมคราวนี้ อย่าได้สูญเสียความหวังและกำลังใจ

ผมมีเรื่องราวที่อ่านแล้วเชื่อว่าจะทำให้พวกเราเข้มแข็งและมีกำลังใจอยู่สู้ชีวิตต่อไป

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมดูรายการ 20/20 ทางสถานีช่อง ABC เป็นการสัมภาษณ์พิเศษครั้งแรกของ แกเบรียล กิฟฟอร์ดส์ ส.ส.หญิงของรัฐแอริโซน่า สหรัฐอเมริกาสังกัดพรรคเดโมแครต เป็นการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกหลังจากเธอถูกจ่อยิงเผาขน ระยะห่างไม่ถึงเมตรเข้าที่ศีรษะเมื่อเดือนมกราคม กระสุนเจาะกะโหลกเข้าสมองซีกซ้ายและทะลุออกท้ายทอย

ข่าวการถูกยิงระยะเผาขนของ ส.ส. กิฟฟอร์ดส์ เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกรวมถึงเมืองไทยด้วย เพราะมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตถึง 6 คน และบาดเจ็บอีก 12 คนในคราวเดียวกัน ตอนนั้นสำนักข่าวหลายแห่งรายงานว่า แกเบรียล กิฟฟอร์ดส์ เสียชีวิตแล้ว เพราะโอกาสรอดจากการโดนยิงที่ศีรษะนั้นแทบจะไม่มี

แต่เธอกลับรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์


สิ่งมหัศจรรย์ต่อมาคือ เพียงแค่ 10 เดือนผ่านไป แกเบรียล กิฟฟอร์ดส์ สามารถมานั่งให้สัมภาษณ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มีเสียงหัวเราะ และยังร้องเพลงให้ผู้ชมได้ฟังอีกด้วย

แกเบรียล กิฟฟอร์ดส์ หรือที่เรียกชื่อเล่นว่า แก็บบี้ วัย 41 ปี ดูเป็นปกติทุกอย่าง ยกเว้นการพูด เธอฟังทุกอย่างเข้าใจ แต่ยังต้องใช้เวลาพอสมควรในการนึกคำศัพท์ที่จะพูดออกมา โต้ตอบได้เป็นคำๆ เป็นประโยคสั้นๆ เหมือนกับเราฟังภาษาอังกฤษเข้าใจแต่คิดคำตอบเป็นภาษาอังกฤษไม่ออก

ในวันที่ให้สัมภาษณ์ มาร์ก เคลลี่ สามีของเธอนั่งเคียงข้างให้กำลังใจอยู่ด้วย

แก็บบี้แต่งงานกับมาร์ก เมื่อปี 2007 มาร์กเป็นนักบินอวกาศ ซึ่งเป็นความรักระยะทางไกลของจริง เพราะมาร์กทำงานอยู่บนอวกาศ ส่วนแก็บบี้อยู่บนพื้นโลก

มาร์กเล่าว่าที่หน้าห้องพักรักษาตัวของแก็บบี้ เขาเขียนป้ายบอกคนมาเยี่ยมไว้ว่า No Crying หรือห้ามร้องไห้

ทุกเช้าก่อนไปเยี่ยมแก็บบี้ที่โรงพยาบาล มาร์กบอกตัวเองว่าคำที่ร่วมสาบานในพิธีแต่งงานว่า In sickness or in health หรืออย่างที่คนไทยพูดก็คือ "จะอยู่เคียงข้างกันไม่ว่าในยามทุกข์หรือสุข ในยามป่วยไข้หรือในยามแข็งแรง" นั้นมันเป็นจริง และทุกคืนก่อนนอนเขาจะสวดมนต์ขอพรต่อพระเจ้าว่าแม้แก็บบี้จะไม่สามารถกลับมาเดินได้ แต่ขอให้กลับมาพูดและยิ้มได้อีกครั้งเพียงเท่านี้เขาก็พอใจแล้ว

4 วันหลังจากถูกยิง แก็บบี้ลืมตาได้ สามารถตอบสนองต่อสิ่งรอบข้าง ฟังคนพูดเข้าใจ แต่ยังพูดไม่ได้

2 อาทิตย์ต่อมา มาร์กเริ่มถ่ายวิดีโอบันทึกการฟื้นตัวของแก็บบี้ เพราะเชื่อว่าเธอจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมและเมื่อเริ่มพูดได้ก็จะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ดังนั้น มาร์กจึงตั้งใจถ่ายวิดีโอเก็บไว้ให้แก็บบี้เห็นพัฒนาการในการฟื้นฟูร่างกายของเธอ

20 วันหลังถูกยิง แก็บบี้สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้เป็นครั้งแรก คำแรกที่พูดคือ "What What What What" มาร์กบอกว่าไม่ใช่เป็นการตั้งคำถามว่าอะไร แต่เหมือนกับว่าสมองกำลังปรับระบบใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมทำงาน

และเพียง 33 วันหลังถูกยิง แก็บบี้สามารถลุกขึ้นยืนและเดินได้อีกครั้ง



จากสถิติ มีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ได้รับบาดเจ็บที่สมองจะรอดชีวิต สำหรับวิถีกระสุนที่ทะลุเข้าศีรษะแก็บบี้นั้น หากกระสุนเข้าต่ำกว่านี้จะโดนสมองส่วนกลาง แก็บบี้เสียชีวิตแน่นอน หรือหากแฉลบไปทางซ้ายอีกเพียงนิดเดียว แก็บบี้อาจพูดไม่ได้ หรือหากสูงอีกหน่อยเธอก็อาจเดินไม่ได้

แก็บบี้โชคดีมากที่ทั้งเดินและพูดได้ ซึ่งแพทย์บอกว่ามีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ได้รับอุบัติเหตุทางสมองระดับรุนแรงเท่าเธอ จะสามารถกลับมาพูดได้อีกครั้ง แพทย์ยังบอกอีกว่าการร้องเพลงช่วยได้อย่างมากในการฟื้นฟูการพูด ความจำ คำศัพท์ต่างๆ ตลอดจนการเคลื่อนไหวร่างกาย

แม้จะพูดได้ แต่มาร์กบอกว่าตอนแรกๆ สมองของแก็บบี้ยังสับสนหาคำพูดที่ถูกต้องยังไม่ได้ เหมือนกับเฮอร์ริเคนได้พัดเอาความจำเรื่องคำศัพท์ของเธอออกไปจนหมด จะเรียกช้อนก็บอกว่าเก้าอี้ จะเรียกแกะก็บอกว่าชีสเบอร์เกอร์ เป็นต้น

แก็บบี้จำเหตุการณ์ในวันที่ถูกยิงไม่ได้ หน้ามือปืนก็จำไม่ได้ ตอนแรกเธอสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงบาดเจ็บและต้องนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล แพทย์แนะนำว่าให้บอกเพียงสั้นๆ ว่าเธอถูกยิง

จนกระทั่ง 2 เดือนผ่านไป แก็บบี้ถึงทราบว่ามีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก


ถามแก็บบี้ว่าโกรธแค้นมือปืนซึ่งเป็นชายโรคจิตวัย 22 ปีหรือเปล่า เธอส่ายหัวบอกว่าไม่โกรธ และตอบสั้นๆ ว่า "No, no, no. Life, life."

มาร์กตอบเหมือนกันว่าไม่ได้โกรธแค้น เพียงแต่หวังว่ามือปืนโรคจิตคนนี้ควรจะได้รับการบำบัดทางจิต เพราะหากได้รับการช่วยเหลือ เหตุการณ์เศร้านี้คงไม่เกิดขึ้น

เรื่องราวแห่งการไม่ยอมแพ้และไม่สิ้นหวังนี้ แก็บบี้และมาร์กได้ร่วมกันเขียนเป็นหนังสือชื่อ Gabby : A Story of Courage and Hope หรือ แก็บบี้ : เรื่องราวของความกล้าหาญและความหวัง ซึ่งเพิ่งพิมพ์จำหน่ายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

ทุกวันนี้ แก็บบี้ฟื้นฟูการพูดกับผู้เชี่ยวชาญทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมง โดยตั้งใจว่าหากพูดเป็นประโยคต่อเนื่องได้เมื่อไหร่ จะไปพบกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน เพราะมีความในใจหลายอย่างที่อยากจะพูดออกมา

อายุการเป็น ส.ส. ของแก็บบี้จะสิ้นสุดในเดือนธันวาคมปีหน้า ตอนนี้เธอยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกหรือไม่ ยังเหลือเวลาตัดสินใจอีกหลายเดือน เพราะกำหนดการปิดรับสมัครคือเดือนพฤษภาคมปีหน้า

แต่ถ้าหากการพูดของแก็บบี้กลับมาดีขึ้น เธอก็พร้อมที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง !!



++

คนไทย - สุดยอดแห่งการปรับตัว
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1631 หน้า 96


สํานักข่าวต่างประเทศหลายแห่งรายงานข่าวสถานการณ์น้ำท่วมของเมืองไทยด้วยความทึ่งในความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับปัญหาน้ำท่วมได้อย่างรวดเร็ว

เว็บไซต์สถานีข่าวของอเมริกา ช่องเอ็มเอสเอ็นบีซี (MSNBC) ได้ลงภาพ 5 ภาพของชาวไทยที่ดัดแปลงสิ่งของเครื่องใช้รอบตัว เช่น ถังน้ำ กะละมัง อ่างอาบน้ำ ฟูกนอน ขวดน้ำใช้แล้ว ไม้ไผ่ โฟมมาประยุกต์ใช้เป็นแพเพื่อใช้ในการเดินทางช่วงน้ำท่วม โดยโปรยหัวว่า Thais use improvised rafts to float around in flooded Bangkok หรือคนไทยใช้แพประยุกต์เพื่อลอยน้ำที่ท่วมกรุงเทพฯ

ในช่วงเวลาแห่งยากลำบากแสนสาหัสนั้น ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมเพื่อเอาตัวรอดเป็นสิ่งสำคัญที่สุด


ที่ประเทศอเมริกา มีการเปิดคอร์สอบอบรมเตรียมตัวหากโลกแตกในปี 2012 ตามที่คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า วันที่ 21 เดือนธันวาคม ค.ศ.2012 นั้นเป็นวันเริ่มต้นกระบวนการดับสูญของโลก หรือ "Doomsday-21/12/12" โดยจะเกิดภัยธรรมชาติอย่างรุนแรงบนโลกไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว สึนามิ น้ำท่วม กระทั่งโลกอาจจะดับสูญลงไป

ดังนั้น จึงมีการเปิดอบรมคอร์สการเอาชีวิตรอดเมื่อถึงวันสิ้นโลกที่คนส่วนหนึ่งมีความเชื่อว่ามาถึงแน่นอน คอร์สอบรมที่ว่านี้ชื่อ คอร์ส Survival 2012 หรือการอยู่รอด 2012 ซึ่งมีการอบรมการเอาชีวิตรอดหากความสะดวกสบายทั้งหลายทั้งปวงในโลกยุคปัจจุบันถูกทำลายหายไป

คนต้องกลับไปล่าสัตว์หาอาหารเองเหมือนมนุษย์ถ้ำเมื่อหลายพันปีก่อน ต้องเรียนรู้การเอาตัวรอดด้วยตัวเอง คอร์สนี้จึงสอนการติดไฟด้วยหิน ยิงธนู ตกปลา ดูพืช ผัก ในป่าว่าสิ่งไหนกินได้ กินไม่ได้

สร้างกระท่อมให้เป็น หาสมุนไพรรักษาโรค หาแหล่งน้ำ การใช้เข็มทิศ วิธีการเดินป่า วิธีการหลีกเลี่ยงอันตรายจากสัตว์ หรือประดิษฐ์มีด อาวุธจากหิน วิธีการปฐมพยาบาล ตลอดจนฝึกจิตให้เข้มแข็ง โดยทำการฝึกในธรรมชาติจริงๆ

ตัวอย่างเช่น สถานอบรมการเอาชีวิตรอด ชื่อ Survival Training Course of California



สถานอบรมแห่งนี้เปิดอบรมการเอาชีวิตรอดหากโลกแตก โดยมีคอร์สตั้งแต่เรียนวันเดียวจบ ไปจนถึง 21 วัน โดยคอร์ส 21 วันนี้ มีราคาถึง 3,000 ดอลลาร์ หรือ 90,000 บาท ซึ่งสัปดาห์สุดท้ายของคอร์สการอบรม 21 วันนี้ ผู้เข้าอบรมต้องเข้าป่าจริง มีเพียงมีดพก และกระติกน้ำเปล่าที่ไม่มีน้ำพกติดตัว

และต้องใช้วิชาความรู้ทุกอย่างในการเอาตัวรอดที่เรียนมา หาอาหาร หาน้ำ และสร้างกระท่อม เพื่อเอาชีวิตรอด

ทักษะที่ควรมีติดตัวไว้หากเกิดภัยพิบัติรุนแรง ขาดน้ำ ขาดไฟ ขาดอาหาร มีดังนี้

- ก่อไฟให้ได้ รู้จักการก่อไฟด้วยหิน ฟาง ใบไม้ หรือวัสดุธรรมชาติ เพราะไฟมีประโยชน์มากมายมหาศาล เช่น ให้ความอบอุ่น หุงต้มอาหาร หรือใช้ควันไฟเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ

- สร้างที่พักหลบภัยให้เป็น เพื่อกันฝน ความร้อน ความหนาว ลม แมลง สัตว์ร้าย

- ว่ายน้ำให้เป็น หากเกิดน้ำท่วมจะได้ว่ายเอาตัวรอดได้

- ถีบจักรยานให้เป็น เพราะรถอาจขับไม่ได้ เนื่องจากขาดแคลนน้ำมัน ระบบขนส่งทั้งหมดถูกทำลาย

- พายเรือให้ได้

- รู้วิธีล่าสัตว์ รู้จักวิธียิงธนู และตกปลา ใช้หอก โดยใช้กิ่งไม้ วัสดุจากธรรมชาติ

- รู้จักวิธีปฐมพยาบาล หากเกิดบาดแผล แมลงสัตว์ กัดต่อย และการใช้ยาสมุนไพร

- หมักอาหารให้อยู่นานให้เป็น เพราะไม่มีตู้เย็น ไม่มีไฟฟ้าใช้

- วิธีการกรองน้ำให้สะอาดเพื่อใช้บริโภค อุปโภค

ขอให้คนไทยทุกคนมีหัวใจที่เข้มแข็ง ร่วมกันฟันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้โดยเร็วครับ



++

จิตสำนึกของความเป็นคนยามเกิดภัยพิบัติ
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1630 หน้า 96


เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมเห็นโปสเตอร์ของประเทศญี่ปุ่นที่รณรงค์ไม่ให้คนกักตุนอาหาร และสิ่งจำเป็นเกินความพอดี โดยให้เห็นแก่เพื่อนผู้ทุกข์ยากคนอื่นๆ ด้วย เป็นโพสต์ในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท

เว็บไซต์นี้ได้ทำภาพประกอบ ทำให้เห็นว่าของที่เรากักตุนเผื่อไว้กิน ไว้ใช้ เพียงคนเดียวนั้น สามารถช่วยเหลือคนอีกมากมายในสังคมที่ต้องการอาหารและสิ่งจำเป็นเหมือนกับเรา

เช่น ข้าว 5 กิโลกรัม หุงทำเป็นข้าวปั้นให้คนทานได้ถึง 120 คน หรือ กระดาษชำระ 12 ม้วน สามารถใช้ได้ถึง 1,000 คน


ตอนเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ชาวญี่ปุ่นทุกคนที่อาศัยอยู่ใกล้บริเวณที่เกิดภัยพิบัติ เหนื่อย หิว หวาดกลัวและเป็นห่วงชีวิตเหมือนกันหมดทุกคน แต่ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ยังยืนต่อแถวนาน 2-3 ชั่วโมง เพื่อซื้ออาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งของจำเป็น คนละเพียงไม่กี่ชิ้น ทั้งๆ ที่ร้านไม่ได้จำกัดจำนวนการซื้อว่าแต่ละคนสามารถซื้อสินค้าได้คนละกี่ชิ้น

ผมได้ดูข่าวผู้สื่อข่าว CNN ซึ่งรายงานสดที่เมืองเซ็นได เดินเข้าไปถามผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งต่อแถวซื้อของเสร็จ โดยเธอซื้อของใส่ถุงพลาสติกขนาดปกติทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ตเพียงถุงเดียว

ผู้สื่อข่าว CNN ถามผ่านล่ามว่า ทำไมซื้อของกักตุนเพียงแค่นี้ ซึ่งเธอตอบว่าหากซื้อของกักตุนไว้เองคนเดียวมากๆ ก็จะไม่มีเหลือให้คนอื่นๆ ที่ต่อแถวรอซื้อซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ไม่ต่างกัน

คําตอบของเธอทำเอาผู้สื่อข่าว CNN ถึงกับอึ้ง และหันมาพูดกับผู้ชมทางบ้านว่า ได้ฟังคำตอบแล้ว ทำเอาตัวเขารู้สึกผิดที่เขาถามคำถามนี้ เพราะสำหรับเธอการซื้อของแต่พอดี ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องปกติของคนที่มีสามัญสำนึกและไม่เห็นแก่ตัวพึงปฏิบัติ

ไม่เพียงแต่คนญี่ปุ่นจะไม่กักตุนอาหาร ไม่โหมซื้อสินค้ามากมายเกินความจำเป็น ร้านค้าต่างๆ ยังร่วมใจกันไม่โก่งราคา เพราะช่วงเวลาแห่งความลำบากยากแค้น ทุกคนต้องช่วยเหลือกัน ไม่ใช่ฉกฉวยโอกาสที่จะเอาเปรียบผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากอย่างแสนสาหัส

ร้านขายของหรือบ้านเรือนที่แม้ไม่มีเจ้าของดูแล ก็ไม่มีรายงาน ว่าถูกปล้นถูกขโมยทรัพย์สิน

5 เดือนหลังจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นรายงานว่าประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยกู้ภัย เจอตู้เซฟ 5,700 ตู้ และส่งให้กับตำรวจเพื่อหาเจ้าของ โดยเงินในตู้เซฟรวมแล้วสูงถึง 2,360 ล้านเยน หรือ 923 ล้านบาท ซึ่ง 96 เปอร์เซ็นต์ของตู้เซฟสามารถหาเจ้าของและส่งคืนถึงมือผู้เป็นเจ้าของจนครบ

นอกจากนี้ ยังมีเงินอีก 1,300 ล้านเยน หรือ 508 ล้านบาท ที่เก็บได้จากกระเป๋าถือและตามซากปรักหักพัง โดย 85% ของเงินได้กลับไปอยู่กับเจ้าของเดิม!



หากตัวเลขที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นรายงานนั้นเป็นความจริง ต้องยกย่องในความซื่อสัตย์ของชาวญี่ปุ่นที่ไม่คิดเก็บทรัพย์สมบัติที่ไม่ใช่ของตัว และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ฉ้อฉลเงินของผู้เสียหาย

สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาด้านจิตใจและศีลธรรมอันน่ายกย่องของชาวญี่ปุ่น

แม้แผ่นดินไหวและสึนามิจะคร่าชีวิตคนญี่ปุ่นหลายหมื่นคน ทำลายล้างตึกรามบ้านช่อง แต่ก็ไม่สามารถทำลายความมีระเบียบวินัย ความซื่อสัตย์ ความไม่เห็นแก่ตัวและจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ที่เจริญแล้วของชาวญี่ปุ่น

วิบัติภัยน้ำท่วมประเทศไทยครั้งนี้สร้างความเสียหายมากมายมหาศาลให้กับประเทศและคนไทยอย่างไม่เคยประสบมาก่อน ดังนั้น ขออย่าให้ความมีน้ำใจของชาวไทยที่เคยมีให้แก่กันมาตลอดต้องจมหายไปกับสายน้ำ



++

หลังน้ำท่วม แผ่นดินจะแข็งขึ้น
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1627 หน้า 96


ภาพชายชรานั่งขอทานริมถนนกำลังเทสตังค์ในถ้วยรับบริจาคของตัวเองใส่ฝ่ามือเพื่อใส่ในกล่องรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นภาพซึ้งใจที่ส่งต่อกันอย่างแพร่หลายในเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ของคนไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตอนนี้กลายเป็นภาพที่ดังข้ามประเทศไปยังออสเตรเลีย

สำนักข่าว The Sydney Morning Herald ของประเทศออสเตรเลียได้ลงภาพนี้ประกอบบทความชื่อ Floods bring Thais together as rivals put conflict aside หรือ "น้ำท่วมรวมใจไทย อริยุติความบาดหมางไว้ก่อน" โดยเขียนว่า ความบาดหมางทางการเมืองของเสื้อเหลืองและเสื้อแดงหายไป คนไทยร่วมใจช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยการอุทิศแรงกายและสิ่งของ เงินทอง แม้กระทั่งชายชราที่นั่งขอทานริมถนน

สำนักข่าว CNN และ BBC ก็เสนอภาพและชื่มชมเหล่าอาสาสมัครที่ร่วมแรงกันช่วยบรรจุน้ำดื่ม อาหารกระป๋อง เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย และช่วยกันเรียงกระสอบทรายป้องกันน้ำท่วม


ตอนเกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม คนทั่วโลกก็ยกย่องในความมีระเบียบ มีวินัย ไม่เห็นแก่ตัวของคนญี่ปุ่น

ถึงจะขาดแคลนน้ำ อาหาร คนญี่ปุ่นก็ยังต่อแถวเป็นระเบียบเพื่อซื้อของ และไม่เห็นแก่ตัวกว้านซื้อหมดคนเดียวเพราะคิดถึงคนอื่นที่ต้องการสิ่งจำเป็นเหมือนกัน ไม่มีการปล้นสะดมอย่างในหลายประเทศที่ชาติกำลังประสบภัย

มีสุภาษิตญี่ปุ่นที่มีความหมายลึกซึ้งว่า "หลังฝนตก แผ่นดินจะแข็งขึ้น"

อธิบายความว่า ยามฝนตกแผ่นดินจะอ่อนลง แต่เมื่อฝนหยุด แผ่นดินจะอัดแน่นแข็งขึ้นกว่าเดิม เปรียบได้กับอุปสรรคหรือมรสุมชีวิตที่ซัดเข้ามาถือเป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

สุภาษิตของญี่ปุ่นนี้ใช้ได้กับเมืองนิว ออร์ลีนส์ ในรัฐหลุยส์เซียน่า ที่โดนเฮอร์ริเคนแคทรีน่าถล่มเมื่อปี 2005



เมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา เมืองนิว ออร์ลีนส์ จัดงานรำลึก 6 ปีเฮอร์ริเคนแคทรีน่า ผู้ว่าการเมืองนิว ออร์ลีนส์ ชื่อ มิตช์ แลนดริว กล่าวยกย่องคนในเมืองที่ร่วมแรงร่วมใจกอบกู้เมืองให้กลับมาเหมือนเดิมภายในเวลาอันรวดเร็ว

ผู้ว่าการเมืองนิว ออร์ลีนส์ พูดถึงเฮอร์ริเคนแคทรีน่ากับหน้าที่ของพลเมืองไว้อย่างน่าสนใจว่า เฮอร์ริเคนแคทรีน่าไม่ได้เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาของเมืองนิว ออร์ลีนส์

ปัญหาของเมืองนิว ออร์ลีนส์ ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2005 ซึ่งเป็นวันที่เขื่อนกั้นน้ำแตก แต่สิ่งเดียวที่เฮอร์ริเคนแคทรีน่าทำก็คือ ช่วยปลุกให้คนลุกขึ้นมาทำหน้าที่พลเมือง-ซึ่งสูญหายไปนานเหลือเกินแล้ว


เฮอร์ริเคนแคทรีน่าเปรียบเสมือนแว่นขยายที่ทำให้คนได้เห็นปัญหาที่มีอยู่ก่อนหน้านี้คือการสร้างเขื่อนของเมืองนิว ออร์ลีนส์ที่มีจุดบกพร่องทำให้น้ำไหลทะลักท่วมเมือง

ไม่ใช่เป็นเพราะเฮอร์ริเคนแคทรีน่ารุนแรงมากจนต้านทานไม่ไหว

ซึ่งหลังจากเกิดน้ำท่วมก็ได้มีการเแก้ไขปรับปรุงเขื่อนอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ คุณภาพของโรงพยาบาลและโรงเรียน ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมากหลังจากถูกเฮอร์ริเคนแคทรีน่าทำลาย โดยทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันสร้างโรงพยาบาลและโรงเรียนที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ชีวิตของชาวนิว ออร์ลีนส์ กลับคืนสู่ปกติโดยเร็วและพัฒนาให้ดียิ่งกว่าเดิม

ผมก็ได้แต่หวังว่าปรากฏการณ์ "หลังน้ำท่วม แผ่นดินจะแข็งขึ้น" จะเกิดขึ้นในเมืองไทยของเราเหมือนที่ญี่ปุ่นและนิว ออร์ลีนส์



.