http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-11-13

ความคับแค้นใจอันหาที่สุดมิได้ โดย คำ ผกา

.

มีโพสต์เพิ่ม หลังบทความหลัก
- "แม่ญิงล้านนา"เดือด "เมื่อ "เอกยุทธ"หมิ่น"หญิงเหนือ" กระทบชิ่ง"ยิ่งลักษณ์ "

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ความคับแค้นใจอันหาที่สุดมิได้
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1630 หน้า 89


มีหลายคนบอกว่า ความคิดเห็นของ เอกยุทธ อัญชันบุตร ที่โพสต์ข้อความสั้นๆ ว่าอาชีพที่เหมาะสำหรับผู้หญิงเหนือที่ขี้เกียจ โง่ รักสบายนั้น คืออาชีพขายบริการทางเพศ เป็นความคิดเห็นที่ไม่มีค่าพอที่เราจะให้ความสนใจ

เพราะลำพังตัวตนของเอกยุทธเองก็ไม่มีเครดิตอะไรให้เป็นที่น่าเชื่อถือ แถมยังมีคดีความแต่หนหลังติดตัวมาด่างพร้อย ไม่นับว่าเป็นทัศนคติที่ไม่อาจมีใครจะกล้าสนับสนุนอย่างออกนอกหน้าเพราะแสดงออกซึ่งความเป็น Hate Speech อย่างโจ๋งครึ่ม

สำหรับฉันความคิดเห็นน่าสนใจไม่ใช่เพราะคนพูดเป็นใคร แต่น่าสนใจว่าในกระแสการต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่ชื่อ "ทักษิณ" นั้นได้พยายามขุดเอาทุกอาวุธทางอุดมการณ์เชิงวัฒนธรรมออกมาใช้อย่างไม่บันยะบันยัง

และหลายๆ อย่างนั้นขัดแย้งกับคุณค่าที่คนชั้นกลางมีการศึกษาโดยทั่วไปเชิดชูอีกด้วย

การมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย หากเปลี่ยนจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็น นางสาว ก หรือ นางสาว ข อะไรก็ได้ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับ ทักษิณ ยิ่งเป็นคนแบบ ฐิตินาถ เข็มทิศชีวิต หรือ เป็นแม่ชีศันสนีย์ ชนชั้นกลางที่มีการศึกษาของไทยคงพากันตีปีกดีดหางว่านี่คือแสงสว่างมลังเมลืองของสิทธิสภาพทางเพศของผู้หญิงไทย

เผลอๆ เราอาจตั้งความหวังไปไกลถึงขั้นผู้หญิงจะบวชภิกษุณีได้เสียที

นิตยสารผู้หญิงทุกฉบับจะพากันสัมภาษณ์ จับนายกรัฐมนตรีหญิงถ่ายแบบลงปก ให้เป็นที่เก๋ไก๋ โก้หรู

แต่ในเมื่อ ยิ่งลักษณ์ นามสกุล ชินวัตร สังกัดพรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งมาท่วมท้นด้วยคะแนนเสียงของคนเสื้อแดงและคนต่างจังหวัดที่คนชั้นกลางมีการศึกษาดูถูกว่าโง่ ไร้การศึกษา ขาดไอโอดีนจึงขาดสติปัญญา ไอคิวต่ำ

บรรดาคนชั้นกลางมีการศึกษาทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้หญิงจึงพากันเลี่ยงบาลีไปอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันว่า ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี "หญิง" เพราะนายกรัฐมนตรีตัวจริงเป็นผู้ชาย

ในทางกลับกันหากเรามีนายกรัฐมนตรีหรือผู้นำผู้ชายสักคนที่เป็นเพียงหุ่นเชิดของ "ผู้หญิง" ผู้อยู่เบื้องหลัง เราจะกล้าออกมาพูดหรือไม่ว่า
"โอ้ว...ตอนนี้เรามีนายกฯ เป็นผู้หญิง เพราะแม้ว่านายกฯ คนนี้จะเป็นผู้ชายแต่คนที่อยู่เบื้องหลังเขาเป็นผู้หญิง ?? "


เพราะหากเป็นเช่นนั้น ฉันจะเชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่นายกฯ หญิงคนแรก จริงๆ



น่าแปลกอีกประการหนึ่งว่า ในขณะที่คนชั้นกลางมีการศึกษาที่รังเกียจ "ชินวัตร" นั้นชื่นชมโสมนัสในการเสพอ่าน นิตยสารที่นำเสนอภาพชีวิตของมนุษย์พันธุ์ไฮโซในเมืองไทย

มีความสุข รื่นรมย์กับการอ่านข่าวสังคม ดูว่าลูกใคร เมียใคร ผัวใครออกงานอะไรบ้าง

ชื่นชมกับบทสัมภาษณ์ ภริยาคหบดี นายแบงก์ เจ้าของโรงเบียร์ นักการเมือง ทหาร ฯลฯ ว่าชีวิตของพวกเขาหรูหรา ฟุ่มเฟือย อย่างไร ผ่านการถ่ายรูปบ้าน เครื่องเพชร ถังลายคราม เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าอันหรูหรา ดื่มด่ำไปกับความฝันที่อยากจะมีชีวิตอย่างนั้นบ้าง

นั่นคือ เกิดมาร่ำรวย แต่งงานกับคนร่ำรวย มีลูกที่ร่ำรวย คบเพื่อนที่ร่ำรวย เป็นแม่ที่ร่ำรวย ใช้ชีวิตที่เมืองไทยสลับกับการบินไปดูแลลูกที่เรียนอยู่อังกฤษ

ชนชั้นกลางที่มีการศึกษาไม่เคยตั้งคำถามว่า ผู้หญิงที่ร่ำรวยเหล่านี้ทำไมจึงร่ำรวย

ไม่เคยตั้งคำถามว่าผู้หญิงที่ร่ำรวยเหล่านี้โง่หรือฉลาด และวิถีชีวิตของผู้หญิงเหล่านี้เหมือนหรือต่างกันอย่างไรกับสิ่งที่เอกยุทธใช้อธิบายคุณสมบัติของ "หญิงขายบริการ" ว่า ขี้เกียจ โง่ และรักสบาย

เพราะหากจะมีอะไรแตกต่าง ก็ต่างกันที่ต้นทุนที่ต่างกันทำให้ "ขาย" ได้ในราคาที่ต่างกัน ก็เท่านั้นเอง

สิ่งที่ชวนให้ประหลาดใจก็คือ ในขณะที่เราไม่เคยเห็นยิ่งลักษณ์แม้ก่อนจะเป็นนายกรัฐมนตรีเป็น "ดารา" หรือ "เซเลบฯ" ของสังคมมนุษย์พันธุ์ไฮโซ ที่มีหน้า มีชื่อ มีรูปอยู่ในข่าวงานสังคมของนิตยสารทุกฉบับ

เราไม่เคยเห็นบทสัมภาษณ์ของยิ่งลักษณ์ในรูปแบบเดียวกันกับที่นิตยสารเฮลโหลเคยสัมภาษณ์ วรกร หรือ มาดามผู้หรูหราคนอื่นๆ

ภาพของยิ่งลักษณ์ในสื่อเป็นแค่นักธุรกิจหญิงคนหนึ่ง ไม่มีอะไรแฟนตาซีมากกว่านั้น อาจกล่าวได้ว่า ก่อนหน้าที่ยิ่งลักษณ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นสังคมไทยอาจจะรู้จัก "หญิงแม้น" หรือ "คุณแมงมุม" มากกว่ายิ่งลักษณ์เสียอีก

แต่พลันที่ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี เธอกลับได้รับตำแหน่ง ตุ๊กตาบาร์บี้ ดีแต่สวย หรือ ที่ กัลยากร เขียนถึงยิ่งลักษณ์อย่างบ้องตื้นว่า ถ้ายิ่งลักษณ์ไม่ได้เป็นนายกฯ ป่านนี้ก็เป็นได้แค่ ผู้หญิงสวยๆ ช็อปปิ้ง ไปสปา แต่งตังสวยๆ รอผัวกลับบ้านเท่านั้น



การโจมตีความเป็นผู้หญิงของยิ่งลักษณ์อันเกี่ยวข้องกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเธอนั้นมาถึงจุดสูงสุดเมื่อ เอกยุทธ งัดเอาชุดวาทกรรมโบราณออกมาพร้อมสรรพในการโจมตีว่า ผู้หญิงเหนือนั้นเก่งอยู่อย่างเดียวคือ "ขายบริการ"

ในแง่นี้ เอกยุทธไปไกลกว่าการโจมตีที่ก่อนหน้านี้หยุดอยู่แค่ความเป็น "ชินวัตร" เป็นครั้งแรกที่มีการใช้ "ภูมิลำเนา" ในฐานะที่เป็น "ท้องถิ่น" หรือ "ภูมิภาค" มาลดความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรี ว่า คะแนนเสียงจากการเลือกตั้งนั้นไม่อาจสร้างความชอบธรรมได้เท่ากับ "ถิ่นกำเนิด"

อันชวนให้คิดไปได้ว่า ในอนาคต หากจะมีการแก้รัฐธรรมนูญ เราอาจต้องระบุไปให้ชัดเจนว่าผู้จะดำรงตำแหน่ง ส.ส. หรือ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดก็ตาม นอกจากจะมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีแล้ว ยังห้ามไม่ให้มีภูมิลำเนาอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทยด้วย เพราะคนในภูมิภาคนี้ ขี้เกียจและโง่


การเหยียดหยามอาชีพโสเภณีนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะมีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่จะเชื่อว่าอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพของผู้หญิงที่ขี้เกียจและรักสบาย มิเช่นนั้นฉันต้องขอลองท้าให้คนที่เชื่อเช่นนี้ลองออกไปขายบริการทางเพศดูสักครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่า มันเป็นอาชีพที่สบายจริงๆ หรือไม่

ไม่นับว่า ลองออกไปขายดูแล้วจะขายออกหรือไม่ - อันเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด เพราะไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะสามารถมีทักษะในการส่งตัวเองออกไปขายแล้วมี "คนซื้อ"


ทัศนะการดูถูกผู้หญิง การเหยียดหยาม "ท้องถิ่น" (การเหยียดหยามท้องถิ่นในที่นี้ ไม่เฉพาะแต่การเหยียดหยามผู้หญิงเหนือว่าโง่ และขี้เกียจเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเหยียดหยามคะแนนเสียงจากคนท้องถิ่นที่มีจำนวนมากและคนกรุงเทพฯ ไม่มีวันเอาชนะได้หากวัดกันที่จำนวนล้วนๆ) และการเลือกยกย่องอาชีพบางอาชีพให้มีเกียรติ เลอค่ากว่าอีกบางอาชีพ กำลังฝังตัวเป็นอคติของคนชั้นกลาง

อย่าว่าแต่อาชีพโสเภณี คนชั้นกลางมีการศึกษาจำนวนมาก เหยียดหยามอาชีพเด็กปั๊ม เหยียดหยามอาชีพแม่บ้าน เหยียดหยามคนรับใช้ หลายๆ คนถึงกับจัดประเภทอาชีพเหล่านี้ว่าเป็นอาชีพของพวกคนลาวบ้าง คนอีสานบ้าง เป็นอาชีพของพวกต่างด้าวบ้าง

ไม่นับการไม่เคยให้คุณค่าของคนที่อยู่ อาชีพกรรมกร คนหาเช้ากินค่ำ คนกวาดถนน คนเก็บขยะ



คนชั้นกลางไทยที่มีการศึกษาส่วนใหญ่เชื่อเสียแล้วว่า โลกนี้หมุนอยู่รอบๆ ตัวของพวกเขาและโลกของประเทศกรุงเทพฯ นั้นยิ่งใหญ่ที่สุด

สำคัญที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าความแตกแยกทางอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยืนยันว่าเราต้องการระบอบการเมืองที่อิงอยู่กับเสียงข้างมากกับประชาชนที่สำเหนียก ว่าตนคือคนกลุ่มน้อยที่จะต้องแพ้การเลือกตั้งทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง จึงดิ้นรนที่จะไขว่คว้าหาการปกครองที่ไม่อิงอยู่กับเสียงข้างมาก จะนำไปสู่ความร้าวฉานระหว่าง กรุงเทพฯ กับท้องถิ่น มากถึงเพียงนี้


และมันยิ่งเจ็บปวดยอกแสยงใจมากขึ้น ที่อยู่ๆ เราก็มีนายกรัฐมนตรีที่ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้หญิง

แต่ยังเป็นคน "ท้องถิ่น" จบจากมหาวิทยาลัย "ท้องถิ่น" (ที่แม้แต่ตัวมหาวิทยาลัยเองก็ไม่มีทีท่าภูมิใจแต่อย่างใดที่ศิษย์เก่าจากสถาบันได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญยิ่ง)

พูดภาษาไทยที่เจือกลิ่นอายสำเนียง "ท้องถิ่น" (อันขัดใจบรรดาชาวกรุง ผู้สถาปนาตนเองเป็น "เจ้าของ" ภาษายิ่งนัก)

และสำคัญที่สุด มันยังเป็น "ท้องถิ่น" ที่พ่วงมากับยี่ห้อ "ชินวัตร"



ชนชั้นกลางที่มีการศึกษาของไทย คุ้นชินกับความร่ำรวยและความเป็นผู้ลากมากดีจากละครหลังข่าว และนวนิยายโรมานซ์น้ำเน่า

ชนชั้นกลางที่มีการศึกษาของไทยมีแนวโน้มจะชื่นชมยกย่อง "ผู้ดีเก่า" มากกว่า "เศรษฐีใหม่" หรือหากจะเป็นเศรษฐีใหม่ก็ต้องสามารถสมาทานระบบคุณค่าแบบ "ผู้ดีเก่า" . . ที่แน่ๆ ในละครหลังข่าว และในนวนิยายน้ำเน่าโรมานซ์ของไทยยังไม่เคยมีพื้นที่ให้ตัวละครแบบตระกูล "ชินวัตร" ได้เป็นพระเอก

คุณค่าแบบผู้ดีเก่าในละครและนวนิยายที่คนชั้นกลางไทยถูกหล่อหลอมให้นิยมยกย่องคือ มีความรักในความเป็นไทยแบบประเพณีนิยม เช่นต้องอยู่บ้านแบบไทยๆ มีดอกไม้ไทย กินอาหารไทยสูตรชาววังของต้นตระกูล มีความละเอียดละเมียดละไมในการกินอยู่แบบที่ "คนสมัยนี้ไม่รู้จัก ทำไม่เป็น" (อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ต้องอ่านงานของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์ และ นวนิยายของ ว.วินิจฉัยกุล)

ต้องแสดงอาการดูหมิ่นดูแคลน "เงิน" โดยเฉพาะเงินที่หาได้แบบ "พ่อค้า" หรือ "นักธุรกิจ" เพราะเศรษฐีเก่าคุ้นเคยกับการหาเงินแบบเป็นเสือนอนกิน เก็บค่าเช่า หรือใช้ต้นทุนทางสังคมของตนเองที่สูงกว่าไปขูดรีดมาจากพ่อค้าอีกที

การหาเงินแบบเสือนอนกิน หรือทำเป็นนั่งๆ นอนๆ ร้อยพวงมาลัยอยู่กับบ้านแอบทำธุรกิจแบบยืมมือ หรือยืมชื่อคนอื่นไปทำ ทำให้ ผู้ดีเก่าสามารถดำรงตนเป็นผู้ "ไม่โลภ" "รู้จักพอ" มีศีลธรรม คุณธรรม ไปวัดไปวา ใช้เวลากับการปรุงแต่งจริตอันละเมียดละไมในการใช้ชีวิต เพื่อจะเอาไว้ข่มหรือดูถูกพวกพ่อค้าหรือเศรษฐีใหม่ที่ไร้รสนิยม และเห็นเงินเป็นพระเจ้าได้

ชะรอยตระกูลชินวัตรไม่เคยอ่านนิยายของ ว.วินิจฉัยกุล หรือเรียนรู้จาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช น้อยเกินไป เลยลืมสร้างภาพตระกูลให้ดูเข้าข่ายเป็นผู้ดีเก่าแบบไทยแท้ แต่กลับแสดงความจริงใจของการเป็นกระฎุมพีที่มีความภาคภูมิใจในการสั่งสมต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง

และไม่เคยปิดบังความภูมิใจอันนั้นทั้งพูดถึงมันอย่างโฉ่งฉ่าง ติดดิน และตรงไปตรงมา

ตระกูลชินวัตรนอกจากจะมี "เงิน" อันเป็นสิ่งที่คนชั้นกลางที่มีการศึกษาของไทยรังเกียจ (แต่ถ้าเป็น เงินแบบของคุณ อานันท์ ปันยารชุน กลับไม่ถูกรังเกียจ - นี่คือผลของการบริหารภาพพจน์ของ "เงิน" ที่มีอยู่ออกสู่สายตาของสาธารณชนอย่างเฉลียวฉลาดแตกต่างกัน )

ตระกูลชินวัตรยังไม่เคยปิดบังความเป็น "ท้องถิ่น" ของตนเอง ผ่านภาษา บุคลิกภาพ ต่างจากคหบดีท้องถิ่นร่วมถิ่นอย่าง นิมมานเหมินท์ ที่สามารถยกระดับความเป็น "ท้องถิ่น" ของตนเองขึ้นไปสู่ความเป็น "อีลิต" ระดับประเทศที่มีต้นทุนทางวัฒนธรรมทัดเทียมกันกับ "อีลิต" ของส่วนกลาง เพราะนิมมานเหมินท์สามารถบริหารภาพลักษณ์ของตระกูลให้เข้าข่ายผู้ดีเก่าในจินตนาการของคนชั้นกลางอ่านนิยาย เอ๊ย มีการศึกษาของไทยได้

และที่สุดของความคับข้องใจของคนชั้นกลางที่มีการศึกษาของไทยที่เข้าใจว่าตนเองคือผู้กำหนดรสนิยม สุนทรียศาสตร์ คุณธรรม ศีลธรรม ของประเทศชาติทั้งหมดเอาไว้ ผ่านภาษา การศึกษา และสื่อสารมวลชนที่ผลิตจากส่วนกลางสู่ทุกภูมิภาคของประเทศไทยคือ การที่เศรษฐีใหม่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเถ้าแก่ท้องถิ่นผู้อหังการ เต็มไปด้วยความมั่นใจและภูมิใจในตนเองอย่างไม่เม้ม ได้กระโดดเข้ามาสู่พื้นที่การเมือง และกลายเป็นขวัญใจมหาชน



เสียงข้างมาก ไม่ว่าจะไร้รสนิยม ไร้การศึกษา เสี่ยว ควาย ลาว กะหรี่ - ไม่ว่าจะน่ารังเกียจสักเพียงไหน มันคือเสียงข้างมาก และมันคือเสียงสวรรค์ที่ปิดปากพวกเสียงข้างน้อยที่กู่ก้องร้องตะโกนว่า "พวกกูต่างหากที่เป็นเจ้าของอู่อารยธรรมไทย"

เอกยุทธจึงกล่าว hate speech อันนั้นออกมาด้วยความคับแค้นใจอันหาที่สุดไม่ได้

และฉันทั้งเข้าใจและเห็นใจจริงๆ



+ + + +

โพสต์บทความเกี่ยวกับ 'ชนชั้นกลาง' ที่ผ่านมา

ทางตันและทางออกของชนชั้นนำไทย (1) และ (2) โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/01/1-2.html

..ละครน้ำเน่ากับคนชั้นกลางเอเชีย โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/02/blog-post.html

ชูธงประชาธิปไตยให้สูงเด่น ฯ และ ชนชั้นกลางในการเมืองไทย ฯ โดย สุรชาติ บำรุงสุข
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/05/blog-post_20.html

ทุนไทยกับประชาธิปไตย และ การเมืองเชิงอุดมการณ์ โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/06/blog-post_09.html

..ประวัติศาสตร์ความเป็นไทย โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/08/nithi22aug.html

..+คนชั้นกลาง-หัวหอกหรือด้ามหอก โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/09/n1909f.html



+ + + +

"แม่ญิงล้านนา"เดือด เมื่อ"เอกยุทธ"หมิ่น"หญิงเหนือ" กระทบชิ่ง"ยิ่งลักษณ์"
คอลัมน์ ในประเทศ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1630 หน้า 11


เป็นอีกครั้งที่สถานการณ์น้ำท่วมนำไปสู่วิวาทะร้อนแรงในสังคมไทย เมื่อ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" นักธุรกิจเจ้าของกิจการหลายแห่งในต่างประเทศ และเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ด็อตคอม ซึ่งเคยออกมาแสดงความเห็นโจมตีรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

"ไม่อยากจะกล่าวคำแบบนี้ เพราะจะดูเสมือนดูถูกสตรี...แต่ในความเป็นจริงนั้น...สาวเหนือที่ไร้การศึกษาหรือขี้เกียจ และด้อยปัญญา จะมาทำงานสบายที่หญิงปกติไม่ทำกัน...หลักๆ ก็คือขายบริการ...ฉะนั้น สาวเหนือที่ไร้สติปัญญาและโง่เขลาขนาดหนักแต่หน้าด้านมารับตำแหน่ง ก็ควรจะรู้นะว่าอาชีพอะไรที่เหมาะแก่คุณ ? "

จากนั้น เอกยุทธได้โพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามมา อาทิ

"ตำแหน่งนายกฯ นั้น ไม่ใช่ของครอบครัว...และไม่ใช่ที่ฝึกหัดงาน...หากไร้ปัญญาก็อย่าหน้าด้านมารับตำแหน่ง..." และ "สื่อถามรัฐบาลและผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายว่าต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศเรื่องน้ำท่วมมั้ย? คำตอบที่ได้คือ "เราช่วยตัวเอง" ได้...มิน่าถึงได้ยินบ่อยๆ ว่า "เอาอยู่ค่ะ" "

ต่อมาข้อความดังกล่าวถูกนำไปแบ่งปันในเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นจำนวนมาก โดยมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยอย่างยิ่งยวดและโต้แย้งอย่างรุนแรง


กระทั่งเกิดการรวมตัวจัดตั้งเพจเฟซบุ๊กต่อต้านเอกยุทธขึ้นมา 2 กลุ่ม ได้แก่ "กลุ่มคนรักภาคเหนือ เรียกร้องให้ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" ออกมากราบเท้าสาวเหนือ" และ "มั่นใจคนเหนือไม่พอใจ Akeyuth Anchanbutr กับการดูถูกชาวเหนือเป็นหญิงขายบริการ" ซึ่งมีผู้เข้าไปคลิก "ไลค์" อยู่ราว 4,500 และ 4,000 คนตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน)

ด้าน "เพียงคำ ประดับความ" กวีหญิง ได้แสดงความเห็นต่อทัศนคติของเอกยุทธผ่านหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

"...เอกยุทธดูถูกนายกฯ ด้วยการยกอาชีพ "ขายตัว" มาเปรียบกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บอกให้นายกฯ เลิกเป็นนายกฯ ไปขายตัว -- การขายตัวเป็นอาชีพสุจริต คนขายตัวก็มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทุกอาชีพล้วนต้องอาศัยความเพียร อาศัยทักษะ อาศัยความอดทนวิริยะด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเป็นเทวดา จะนั่งงอมืองอตีนขี้เกียจก็มีแต่จะอดตาย-

"จะเป็นนายกฯ หรือเป็นผู้หญิงขายตัว ก็ล้วนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน เป็นพลเมืองที่มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันในประเทศประชาธิปไตย-"

"...คุณไม่เคยเคารพให้เกียรติผู้หญิง ไม่เคยให้เขาได้เลือกของเขาเองเลย ประชาธิปไตยพื้นฐานเลยคือ "สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง" ที่คนพวกนี้ไม่เคยเข้าใจ ก็เมื่อผู้หญิงคนหนึ่ง เลือกที่จะเป็นผู้หญิงขายตัว นั่นคือ สิ่งที่เธอเลือก และเธอก็ปฏิบัติตามกติกา เรียนรู้สิ่งที่ควรทำควรเป็นในอาชีพที่เธอเลือกทำมาหากินไม่ได้ไปหนักกบาลใคร-

"เช่นเดียวกับผู้หญิงอีกคน ซึ่งเลือกที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี เธอก็ลงสมัครรับเลือกตั้ง เดินสายหาเสียง แล้วก็ชนะการเลือกตั้ง ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มศักดิ์ศรี อย่างที่ใครท้วงติงไม่ได้--- เธอเดินตามกติกา เคารพกติกาของสังคม และแสดงเจตจำนงในการกำหนดชะตากรรมตนเองอย่างเต็มศักดิ์ศรี-

"แต่ดันมีมนุษย์ผู้ชายจำพวกฝักใฝ่เผด็จการ ที่ไม่ยอมรับการกำหนดชะตากรรมตนเองของเธอ ...มาเลือกอาชีพที่เธอไม่ได้เลือกให้"



นอกโลกเฟซบุ๊กกระแสต่อต้านวิพากษ์วิจารณ์ข้อความของเอกยุทธก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่ "กลุ่มพลังผญ๋าแม่ญิงล้านนาเจียงใหม่" ที่ออกมาเรียกร้องให้เอกยุทธออกมาขอโทษผู้หญิงภาคเหนือ ทั้งยังแจ้งความเพื่อดำเนินคดีเขาในข้อหาหมิ่นประมาท เช่นเดียวกันกับการต่อต้านจาก "เครือข่ายแม่ญิงพะเยา"

ส่วน "ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์" ประธานมูลนิธิพัฒนาเยาวสตรีภาคเหนือ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และประธานชมรมเสียงสตรี ก็ปลุกระดมให้สตรีทั่วประเทศต่อต้านและบอยคอตสินค้าของเอกยุทธ พร้อมทั้งจะมีมาตรการกดดันทางสังคมที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกว่าเจ้าตัวจะออกมาแถลงขอโทษอย่างเป็นทางการ

ในฟากการแสดงความเห็นเชิงวิชาการ "ฐิติมา ฉายแสง" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เขียนบทความ "ให้ความเป็นธรรมกับนายกรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" และ "หญิงไทย" บ้าง" ลงในมติชนรายวัน โดยระบุว่าการมุ่งทำลายนายกรัฐมนตรีด้วยมุสาวาจาของเอกยุทธ ถือเป็นการหมิ่นแคลนเหยียดหยามหญิงไทยอย่างรุนแรง ทั้งยังสร้างกระแสเกลียดชังทางการเมือง ด้วยกลยุทธ์การเมืองแบบเก่า ที่รังแต่จะทำร้ายตัวเองและความดีงามของสังคมไทย

"วิระดา สมสวัสดิ์" หัวหน้าศูนย์สตรีศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และประธานมูลนิธิผู้หญิง กฎหมาย และการพัฒนาชนบท กล่าวว่า ข้อความของเอกยุทธเป็นตัวอย่างของการจับแพะชนแกะ เอาการเมืองมาบิดเบือนกับเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม นอกจากนี้ ประเด็นที่วิจารณ์ก็ไม่ใช่ประเด็นของผู้หญิง เพราะคนที่ถูกวิจารณ์ไม่ได้เป็นตัวแทนของผู้หญิงทั้งหมด แต่เป็นการดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นอย่างยัดเยียด มีฐานคิดที่เต็มไปด้วยอคติทางเพศ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอคติทางภูมิภาค

ปิดท้ายด้วย "ลักขณา ปันวิชัย" หรือ "คำ ผกา" ที่ให้สัมภาษณ์ข่าวสดรายวันว่า ข้อความกระฉ่อนเฟซบุ๊กดังกล่าวเป็นการโจมตีทางการเมืองซึ่งสะท้อนความคับข้องใจของชนชั้นกลางไทย ที่รับไม่ได้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยคนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นคนต่างจังหวัด รับไม่ได้ที่มีนายกฯ เป็น ผู้หญิง และยิ่งรับไม่ได้ที่ยิ่งลักษณ์เป็นผู้หญิงต่างจังหวัด

คำ ผกา กล่าวอีกว่า การที่เอกยุทธเอารหัสความคิดแบบนี้มาโจมตีเปรียบเทียบผู้หญิงเหนือกับผู้หญิงขายตัว อาจเป็นเพราะเขาคิดว่า ผู้หญิงเหนือทำอะไรไม่เป็นนอกจากเป็นโสเภณี ให้กลับไปหาความเชี่ยวชาญของตัวเอง ซึ่งสังคมไทยจะต้องระมัดระวังไม่ถอดรหัสให้ตรงกับเอกยุทธ

โดยแทนที่จะบอกว่า ผู้หญิงเหนือขายตัวแล้วเสียศักดิ์ศรี เราควรทำความเข้าใจว่า ถ้าเป็นโสเภณีที่ดี ซื่อสัตย์ มีจรรยาอาชีพ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่คนที่เป็นนักธุรกิจแล้วฉ้อฉล ไม่มีจรรยาอาชีพต่างหาก ซึ่งสมควรถูกประณาม



.