http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-11-06

City of Angel โดย คำ ผกา

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


แสดงคำโปรย-ข้อความของสลิ่ม นักร้องที่บริภาษแสดงตัวตนเมื่อทางการประกาศเขตต่างๆของ กทม.เป็นเขตอพยพ แปลว่า"ปล่อยน้ำให้เข้า กทม." ด่าไปแล้วทำให้เข้าตัวเพื่อนๆนักร้องที่หนีน้ำท่วมไปต่างจังหวัด เลยต้องลบ ..อย่างนี้ต้องลาออก ! ..
อื้อหือ ; "การหนี คือ วิสัย ของ ผู้แพ้ ไอ้การที่รัฐบาลเหี้ยนี่ประกาศให้เรา ทิ้งบ้านทิ้งช่อง โดยประกาศเป็นวันหยุด มึงจะให้คนกรุงเทพหนีไปไหน ที่นี่บ้านกู ถ้าน้ำหน้าอย่างพวกมึง ไม่มีปัญญาปกป้องบ้านกูได้ ก็ไสหัวไปให้ไกลๆ ตีน . . กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น พวกกูไม่เคยหนี แต่พวกมึงมันเหี้ย ไร้สติปัญญา ไร้ความสามารถ มึงจะใช้ด๊อกเตอร์หน้าส้นตีนคนไหนๆ มาพูด เสกสรรปั้นแต่งถ้อยคำยังไง กูก็เห็นว่า พวกมึงมันไร้ความสามารถ "..เข้ม

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

City of Angel
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 04 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1629 หน้า 89


ไม่ปฏิเสธว่ากรุงเทพฯ นั้นสำคัญมาก มากกว่าอุดรฯ ขอนแก่น มากกว่ายะลา ปัตตานี มากกว่าแพร่ น่าน พะเยา ฯลฯ แต่เราได้ประจักษ์ในความสำคัญของกรุงเทพฯ มากขึ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมในปีนี้

รู้ทั้งรู้ว่า น้ำเริ่มท่วมในจังหวัดต่างๆ ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งแล้วด้วยซ้ำไป

ในครานั้นทั้งยิ่งลักษณ์และอภิสิทธ์ต่างก็ออกไปลุยน้ำท่วมที่จังหวัดน่านเพื่อหาเสียง หลังเลือกตั้ง มีน้ำท่วมที่พิษณุโลก สิงห์บุรี ก่อนจะมาที่อยุธยา นครสวรรค์

ในปีอื่นๆ มีน้ำท่วมในอีกหลายจังหวัดทั้งภาคกลางและภาคอีสาน น้ำท่วมในภาคเหนือแม้จะไม่มีการท่วมขังนานเป็นเดือน แต่มีเหตุการณ์ดินถล่ม บ้านพัง คนตายอยู่เนืองๆ

ทว่า การเสพข่าวน้ำท่วมใน "ต่างจังหวัด" "เรื่องราว" และ "เรื่องเล่า" ที่อยู่ใน "สื่อ" ซึ่งมีการรวมศูนย์อยู่ใน "กรุงเทพฯ" ถูกเล่าผ่าน "กรอบ" ของเรื่องเล่าว่าด้วย "ชะตากรรมของชาวบ้าน" และ "พื้นที่ชายขอบ" อันตกอยู่ในอันตรายอันเป็นสามัญ

เพราะเมือง "ชายแดน" รวมทั้งคน "ชายแดน" (เมืองที่มิใช่เมืองหลวงทุกเมืองคือ "ชายแดน" ในจินตนาการของคนที่สังวาสโลกทัศน์แบบที่มีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง นั่นแปลว่า ต่อให้มีกายภาพเป็นคนต่างจังหวัดก็อาจพกพาโลกทัศน์แบบที่กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางได้) นั้นมีชะตากรรมร่วมกันคือ

- เป็นผู้ด้อยพัฒนา และรอคอยการพัฒนา

- มีมูลค่าทางเศรษฐกิจต่ำกว่า เพราะมีการศึกษาน้อยกว่า ฉลาดน้อยกว่า (อ้างจากข้อมูลแบบสาธารณสุขที่ว่าคนบ้านนอกขาดไอโอดีน จึงมีไอคิวต่ำ) มีรายได้น้อยกว่า มีลักษณะทางกายภาพที่ด้อยกว่า เช่น ดำกว่า จมูกแบนกว่า - เมื่อมีมูลค่าทางเศรษฐกิจต่ำกว่า จึงชอบที่จะต้อง "เสียสละผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยเพื่อคนใหญ่"

มาตรวัด คนส่วนน้อยและคนส่วนใหญ่ในที่นี้ ไม่ได้ใช้ปริมาณตาม "จำนวน" คน แต่เชื่อกันว่า ผลประโยชน์ของคนต่างจังหวัดทั้งประเทศไทยคือผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย และคนกรุงเทพฯ คือ "คนส่วนใหญ่"

และในบรรดาคนกรุงเทพฯ ด้วยกัน เขตรอบนอก ขอบๆ ของกรุงเทพฯ ก็มีมูลค่าทางเศรษฐกิจต่ำกว่าเขตดาวน์ทาวน์ หรือที่เรียกกันว่า กรุงเทพฯ "ชั้นใน"

- มีความสามารถในการใช้ภาษาไทยมาตรฐานต่ำกว่าหรือผิดเพี้ยน จึงมีความเป็นไทยที่ไม่สมบูรณ์แบบ

- "ชายแดน" เท่ากับ ป่าเขา ลำเนาไพร การเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาตินั้นเป็นบาปติดตัวมาแต่กำเนิด เป็นเรื่องธรรมดา

ถ้าไม่อยากเจอภัยธรรมชาติก็สั่งสมบุญไว้ในชาตินี้ ชาติหน้าเกิดมาเป็น "คนกรุง" ที่ศิวิไลซ์ จึงไม่เจอน้ำท่วม ฝนแล้ง ดินถล่ม



ในจินตนาการนี้ ต่างจังหวัด (ลำพังคำว่า "ต่างจังหวัด" นั้นมีความน่าสนใจในตัวของมันเองว่า เหตุใด เราจึงเรียกจังหวัดทุกจังหวัดยกเว้น กรุงเทพฯ ว่า "ต่างจังหวัด"? นั่นชี้ให้เห็นว่า กรุงเทพฯ คือ reference หรือ แหล่ง "อ้างอิง" ของทุกสรรพสิ่งจักรวาลในจินตนาการของคนไทย) และคนต่างจังหวัดจึงเปรียบเสมือนเมือง "หน้าด่าน"

ยิ่งมีการเปรียบเทียบน้ำท่วมกรุงเทพฯ เท่ากับการเสียกรุง ยิ่งตอกย้ำว่าเมืองหน้าด่านทั้งหลายถูกกำหนดชะตากรรมเอาไว้อยู่แล้วว่า "พวกมึงคือดินแดนและไพร่พลที่พึงเสียสละชีวิตและทรัพย์สินเพื่อปกป้องเมืองหลวงเอาไว้" เพราะเมื่อไหร่ที่เราสูญเสียเมืองหลวงมันจะเท่ากับว่าเราได้สูญแล้วซึ่งเอกราชของประเทศชาติเท่ากับการสูญชาติ สิ้นแผ่นดิน เสียศักดิ์ศรี เนื่องจากเราถูกสร้างสมองมาด้วยเพลงปลุกใจประเภท "เราจะอยู่ที่นี้ อยู่ตรงนี้ สู้จนตาย ถึงเป็นคนสุดท้ายก็ลองดู ...เราสู้ไม่ถอยจนขาดใจ"

ดูได้จากข้อเขียนของอดีตดารานักร้องคนหนึ่งที่โพสต์ข้อความว่า

"การหนี คือ วิสัย ของ ผู้แพ้ ไอ้การที่รัฐบาลเหี้ยนี่ประกาศให้เรา ทิ้งบ้านทิ้งช่อง โดยประกาศเป็นวันหยุด มึงจะให้คนกรุงเทพหนีไปไหน ที่นี่บ้านกู ถ้าน้ำหน้าอย่างพวกมึง ไม่มีปัญญาปกป้องบ้านกูได้ ก็ไสหัวไปให้ไกลๆ ตีน กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น พวกกูไม่เคยหนี แต่พวกมึงมันเหี้ย ไร้สติปัญญา ไร้ความสามารถ มึงจะใช้ด๊อกเตอร์หน้าส้นตีนคนไหนๆ มาพูด เสกสรรปั้นแต่งถ้อยคำยังไง กูก็เห็นว่า พวกมึงมันไร้ความสามารถ "

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในยามที่จังหวัดต่างๆ ในประเทศไทยประสบภัยน้ำท่วม เสียงที่ดังมาจากกรุงเทพฯ จึงไม่มีการกระหึ่มก่นด่ารัฐบาล ไม่มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำจากองค์กรไหนออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องระบบการจัดการน้ำอย่างอื้ออึง เพราะน้ำท่วมเมืองชายป่าชายเขามันเป็นเรื่องธรรมดา

น้อยคนนักจะออกมาวิเคราะห์ว่าน้ำท่วมเพราะปัญหาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่บกพร่องและไม่เป็นธรรม ไม่มีกราฟิกดีไซเนอร์ออกมาทำมวลน้ำรูปปลาวาฬ ราวกับว่า น้ำไม่เคยกลายเป็น "มวลน้ำ" ตราบเท่าที่มันไม่เคลื่อนตัวมาที่ กทม.

ไม่เพียงเท่านั้น คน "เมือง" ที่ศิวิไลซ์ทั้งหลายยังมองเห็นภัยน้ำท่วมเป็นดั่งภัยหนาวที่จะเป็นโอกาสอันดีซึ่งพวกเราจะได้สำแดงน้ำใจของคนที่ "มีมากกว่า" ไปโอบอุ้ม ช่วยเหลือ เยียวยา บริจาค กอบกู้ ไปให้รู้ว่า "คนไทยไม่ทิ้งกัน" หรือพูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่า

"ถึงกูจะมีมากกว่ามึง ถึงกูจะเห็นพวกมึงเป็นคนที่มีค่าน้อยกว่ากู แต่เวลามึงเดือดร้อน พวกกูยอมสละห้องแอร์ ยอมตากแดด กรำฝน ไปผัดกับข้าว แจกถุงเลี้ยงชีพให้พวกมึงนะเฟ้ย แล้วกูชอบมากเวลาที่กูเอาของไปช่วยพวกมึงแล้วได้เห็นรอยยิ้มใสๆ ไร้เดียงสา และสำนึกในบุญคุณที่ฉายออกมาจากแววตาพวกมึงอ่ะ พวกกูแม่งโคตรซึ้ง โคตรฟิน

กูชอบเวลาเห็นคนบ้านนอกทำตัวเซื่องๆ เชื่องแบบเนี้ยะ น่ารัก น่าเอ็นดูดีออก อย่าเสือกเที่ยวไปทำตัวกร่างเรียกร้องนู่นนั่นนี่ มีปัญหาอะไรไม่ต้องไปประท้วง นั่งเชื่องๆ เลี้ยงง่ายๆ อยู่บ้าน เดี๋ยวพวกกรูนั่ง ฮ. เอาของมาบริจาคให้ถึงที่ เข้าใจป่าว ? "

แต่ทันใดที่คนกรุงได้ข่าวว่าจะมีมวลน้ำเข้ามาท่วมกรุงเทพฯ เท่านั้นเอง มันได้เกิดอาการแพนิคปวดตับปวดประสาทกันอย่างที่เราไม่เคยเห็นมันเกิดขึ้นในเวลาที่คนอยุธยาหรือสิงห์บุรีจมอยู่ในน้ำมานานนับเดือน ทั้ง กทม. รัฐบาล สื่อสารมวลชน ต่างออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "เราจะปกป้อง กทม. ให้ถึงที่สุด" อันเป็นสำนวนที่มาจากมโนทัศน์ที่เห็นว่า กทม. คือที่ที่เราจะชนช้างทำศึกและแพ้ไม่ได้ แพ้ปุ๊บตกเป็นเมืองขึ้นปั๊บ

สภาพน้ำท่วมและกำลังจะท่วมกรุงเทพฯ จึงต่างจากน้ำท่วมในจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่มีความย้อนแย้งระหว่างข้อเท็จจริงกับภาพนำเสนอในจินตนาการ อีกทั้งความคาดหวังของคนในพื้นที่นั้นต่างกันอย่าลิบลับ



คนพิษณุโลก น่าน อยุธยา ลพบุรี สิงห์บุรี ไม่มีใครตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงไม่มีวาทกรรม "เราจะปกป้องอยุธยา" หรือ "เราจะปกป้องน่าน" มีแต่วาทกรรม "เราจะเยียวยาพี่น้องผู้ประสบชะตากรรม" อย่างไร?

ทว่า น้ำที่ท่วมกรุงเทพฯ นั้นมาพร้อมกับวาทกรรมที่ว่า

"คนกรุงเทพฯ อย่างเราไมได้เกิดมาพร้อมกับชะตากรรมที่จะต้องประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติ"

"คนกรุงเทพฯ เกิดมาเพื่อจะเหนือกว่าคนอื่นและช่วยคนอื่น" ดังนั้น น้ำท่วมกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ จักรวาลวิทยาแบบกรุงเทพฯ ที่หมายถึง City of Angel ก็ล่มสลายลงเมื่อนั้น เพราะ Angel ย่อมทนไม่ได้ที่จะต้องเป็นผู้ประสบภัยเหมือนกับที่พวก "คน" ที่อยู่ "ชายแดน" ต้องเจอ

เพียงคำว่าจะมีมวลน้ำก้อนใหญ่เข้ากรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯ ก็พากันกักตุนมาม่า ปลาประป๋อง ข้าวสาร อาหารแห้ง สำลี น้ำดื่ม ทิชชู จนสินค้าขาดจากซูเปอร์มาร์เก็ต ย้ำว่าขาดจากซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ไม่ได้ขาดจากตลาดสด

เพราะผู้บริโภคสื่อที่วาดภาพให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่จมบาดาลมืดมิดเพราะมีรัฐบาลมืดบอดอัน Angel ทั้งหลายมิปลื้มล้วนแต่เป็นผู้เดินตลาดติดแอร์ มิใช่รากหญ้าที่เดินตลาดสด และส่วนใหญ่บ้านก็ยังแห้งผาก มิท่วมจนวันที่ฉันนั่งเขียนต้นฉบับอยู่นี้ "ชั้นใน" ของกรุงเทพฯ ก็ยังแห้ง แต่ข้าวสาร อาหารแห้ง หมดไปจากซูเปอร์มาร์เก็ตแหล่งจ่ายตลาดของบรรดา Angels ตั้งนานแล้ว

ระหว่างที่บ้านที่ตนเองน้ำยังแห้ง ยังมีไฟฟ้าอินเตอร์เน็ตยังทำงานได้ บรรดา Angels ที่มือไม่ต้องพายเรือ ตีนยังไม่ได้ราน้ำ ก็ได้ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่ตนเองมีอยู่ในมือสร้างภาพที่อ่านแล้วรู้สึกว่ากรุงเทพฯ กำลังตกอยู่ในอันตราย

บ้างก็ตัดพ้อว่าปีที่แล้วหนีไฟ (เผาบ้านเผาเมืองจากเสื้อแดง) ปีนี้ต้องมาหนีน้ำ (จากรัฐบาลที่พวกเสื้อแดงเลือกเข้ามา) บ้างก็ว่า การด่ารัฐบาลเป็นทางระบายความเครียดของคน (กรุง) ที่กำลังเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวงของชีวิต

คำถามของฉันคือ น้ำท่วมประเทศที่มีคนตายจริงๆ ไปหลายร้อยศพแล้ว เรายังไม่ได้ยินใครด่าว่าเพราะรัฐบาลเฮงซวยเราจึงตาย จนกระทั่งสิ่งที่เรียกกันว่า "มวลน้ำ" เคลื่อนตัวใกล้กรุงเทพฯ รัฐบาลที่บรรดา Angels เชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากคนเสื้อแดงพลันกลายเป็นตัวซวยเป็นเสนียดจัญไรสำหรับ Angels ขึ้นมาทันที

คำแนะนำจากไพร่ชายแดนจากฉันในวันนี้ถึง Angels ทั้งหลายคือ Angels พึงเลิกมองเห็นสังคมไทยเป็นหอมหัวใหญ่ที่มีใจกลางกรุง เป็นแกนกลางอยู่ในสุด สำคัญที่สุด และส่วนชั้นนอกเรื่อยมาจนถึงเปลือกหัวหอมนั้นคือลำดับชั้นความสำคัญของเมืองและพลเมืองที่เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเชียงราย กรุงเทพฯ หรือสุไหงโก-ลกก็มีสิทธิที่จะได้เจอกับน้ำท่วมได้อย่างเท่าเทียมกัน

เมื่อเข้าใจได้เช่นนี้จะได้ทำใจได้ว่า หากจะมีน้ำท่วมในป่าคอนกรีตก็ไม่ต้องกระตู้วู้โวยวายเราจะต้องกลายเป็นเขมรอพยพในสงครามอินโดจีน หรือ กระตู้วู้ว่า "นี่บ้านกู กูไม่หนี นี่กรุงเทพฯ บ้านกู อย่ามาประกาศให้กูหนี"

ถามหน่อยว่า หากมีแผ่นดินไหว ดินถล่ม ในกรุงเทพฯ จะมีใครหน้าไหนมาบอกว่า "นี่กรุงเทพฯ บ้านกู แผ่นดินอย่าเสือกไหว รัฐบาลอย่าเสือกมาบอกให้กูหนี เพราะนี่กรุงเทพฯบ้านกู กูไม่หนี " ???? หรือเปล่า???



ที่สำคัญ Angels ทั้งหลายอย่าลืมว่าที่สถานการณ์น้ำท่วมของกรุงเทพฯ เลวร้ายกว่าที่มันเป็นเพราะทั้งรัฐบาล ทั้ง กทม. ทั้งคนกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่ง มัวแต่ไปเชื่อว่า City of Angel นั้นน้ำห้ามท่วม เชื่อการกักน้ำ การทำคันกั้นน้ำ การผลักน้ำออกไปท่วมจังหวัดข้างเคียง

การฝืนกระแสน้ำทั้งหมดแทนการวางแผนให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างละมุนละม่อม วางแผนให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างมีการเตรียมความพร้อม การวางแผนให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ โดยคิดไว้ล่วงหน้าว่าท่วมอย่างไรจึงเสียหายน้อย ท่วมกว้างขวาง แต่ไม่ลึก และระบายลงได้

ระหว่างที่น้ำท่วมประกาศวันหยุด ก่อนจะท่วมเตือนให้คนที่มีกำลังทรัพย์อพยพไปต่างจังหวัด เตรียมศูนย์พักพิงสำหรับผู้ไม่มีกำลังทรัพย์ เตรียมที่อยู่อาศัยสำหรับ คนชรา เด็ก หมา และแมว คนป่วย คนท้อง - เตรียมการแบบเผชิญหน้ากับความเป็นจริงว่าถ้ามันจะท่วมก็ต้องท่วม

แต่ความพยายามที่จะฝืนกระแสน้ำกลับเพิ่มความขัดแย้งเพราะการเบี่ยงน้ำจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอย่างจงใจ และเลือกปฏิบัติย่อมทำให้เกิดคำถามว่า

"ลูกเมียน้อยกูก็ไม่ได้เป็น แต่ทำไมบ้านกูต้องมาท่วมแทนบ้านมึง?"

บอก Angels ทั้งหลายกันอีกคราว่า ฝนจะตก น้ำจะท่วม คนจะขี้ เราห้ามไม่ได้ แต่วางแผนรับมือกับมันในระยะยาวได้ คิดได้ ทำได้ว่า ขี้อย่างไร ไม่ให้เลอะเทอะ ขี้อย่างไรไม่ให้เดือดร้อนคนอื่น ดังนั้น เวลาตั้งคำถามกับรัฐบาลโปรดตั้งคำถามว่า จะมีพิมพ์เขียวในการรับมือกับภัยธรรมชาติเช่นนี้ในระยะยาวอย่างไร ไม่ใช่ไปถามว่า นายกฯ คนนี้ รัฐบาลชุดนี้จะทำให้น้ำแห้งได้ภายในกี่วัน?? อีก 3 วัน อีก 7 วัน นายกฯรับรองได้ไหมว่าปัญหาจะหมดไป ??

แบบว่า ถามแบบนี้มัน Angel มากไปอ่ะ



+ + + +

บทความของ คำ ผกา ที่กระแทกความคิดของ "สลิ่ม" ที่มีอารมณ์เลื่อนลอยแต่ละสถานการณ์ แต่เหนียวแน่นที่จะไม่พัฒนาจิตสำนึกยอมรับประชาธิปไตย ไม่เห็นคนเป็นคนเท่าเทียมกัน

ไม่มีข้าวกินก็สวดมนต์สิจ๊ะ และ ความดีเล็กๆ โดย คำ ผกา
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/03/blog-post_16.html

กรณีศึกษาน้ำท่วมกับอาการทางฮีสทีเรีย, +รับไม่ได้ โดย คำ ผกา
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/10/k250htr.html

น้ำ โดย คำ ผกา
http://botkwamdee.blogspot.com/2011/10/kww258.html



.