http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-11-12

วัน"ติดเกาะ", พอที , อยู่"เกาะ"จริงๆเสียเลย, + เมรัยพิฆาต, The Goddess Guide โดย ทราย เจริญปุระ

.

วัน "ติดเกาะ"
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1628 หน้า 80


ฉันกำลังรู้สึกผิดมาก

บ้านฉันยังไม่ท่วม

-ยัง-ไม่ท่วม ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ท่วม

และที่เป็นอยู่ในตอนนี้ฉันก็ไม่มีหน้าจะไปอวดอ้างอะไรกับใครเขาได้

มันรู้สึกแย่ว่าในขณะที่ทุกคนกำลังโกลาหลนั้น ฉันแห้งสนิท

แต่สภาพติดเกาะนี้ก็ไม่ได้ดีไปเสียเท่าไหร่ เพราะฉันยังไม่มีรถใช้ แท็กซี่ก็ไม่มีผ่าน รถเมล์ก็ไม่มีวิ่ง รถเทศบาลออกมาทำงานไม่ได้ ขยะก็ต้องเก็บกองไว้ในบ้าน

คนถามฉันกันทุกวันว่าท่วมหรือยัง ท่วมหรือยัง

ฉันก็บอกได้แต่ว่ายัง, แล้วก็นิ่งไป

มันคล้ายกับฉันไม่ได้มีส่วนร่วมถึงหัวใจของผู้ที่เขากำลังลำบาก ออกไปช่วยใครเขาก็ไม่ได้ ได้แต่หาข่าวและส่งต่อข่าวไปกันวันต่อวัน


แต่ครั้นมาทางสายการข่าวก็เจอแต่เรื่องเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าหัวใจ

ด่ากันไปมาไม่เว้นแต่ละวัน มีแต่คนตั้งหน้าด่า

ด่าอย่างเดียวโดยไม่เสนอหนทางก็มี จ้องแต่จับผิดก็มีโดยไม่สนข้อมูลใดก็มาก

ที่ไม่ด่าก็ถามกันอยู่ไม่รู้แล้วว่าตรงนั้นจะท่วมมั้ย ตรงนี้จะท่วมมั้ย

ครั้นมีท่านผู้ใจกล้าออกมาบอกว่าท่วม

ก็มาโกรธโวยวาย ว่าพูดไม่เข้าท่าทำให้ใจเสีย ไหนวันก่อนว่าไม่ท่วมไง

ครั้นพอท่วมเข้าจริง ก็โกรธว่าทำไมไม่เตือนก่อน



สำหรับฉันและแม่ - สาวอ่างทองซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ประสบภัยระดับมืออาชีพ - ขอเสนอแนะว่าจะท่วมหรือไม่ก็เก็บไปก่อนเถิดข้าวของน่ะ

ถ้าไม่ท่วมก็ถือว่าได้เก็บบ้าน ได้เจอข้าวเจอของที่ไม่รู้ว่ามีอยู่ในบ้าน ได้เตรียมรับมือเหมือนพวกซ้อมรับเหตุไฟไหม้

หรือถ้าท่วมขึ้นจริงก็จะได้เตรียมมาคิดเรื่องอพยพกันไป ไม่ต้องมาห่วงข้าวของ

มานั่งจ้องข่าวอย่างเดียวให้หงุดหงิดระทึกขวัญกันอยู่ทำไม

บอกว่าไม่ท่วม แล้วเกิดท่วมก็โกรธ

ครั้นเขาบอกว่าท่วมแล้วบ้านตัวไม่ท่วมก็ไปว่าเขาโง่

ก็คนเรามันเคยมีความสามารถในการทำนายอนาคตรู้เหตุการณ์ล่วงหน้ากันตั้งแต่เมื่อไหร่

ง่ายๆ อย่างบ้านฉันในเขตจังหวัดนนทบุรีที่เรียกว่าเป็นพื้นที่ท่วมระดับหายนะ

แต่ตรงที่ฉันอยู่มันก็ดันยังไม่ท่วมเสียอย่างนั้น

สละเวลาตัดใจเก็บของซักวันให้มันแล้วไปเสียเลย

จากนั้นก็อยู่ต่อไป สบายน้อยหน่อยก็เป็นเรื่องต้องเข้าใจไม่ใช่หรือ

นาทีนี้มันมีอุทกภัย จะเดินทางสบาย กินสบาย อยู่สบายเหมือนก่อนๆ มันไม่ได้

วันไหนอยู่ไม่ได้ก็ย้ายกันไป น้ำแห้งเมื่อไหร่ก็กลับมาฟื้นฟู


แต่คนอื่นเขาไม่ได้ชินชากับภัยชนิดนี้เช่นแม่กับฉัน

สัญญาณนั้นมาตั้งแต่น้ำเริ่มเข้าประชิดขอบพระนคร

ข้าวของหมดหาซื้อไม่ได้ รถจอดกันเต็มพื้นที่สัญจร ตั้งเครื่องสูบน้ำ กว้านซื้อกระสอบทรายกันพัลวัน

เรียกง่ายๆ ว่าทุกคนหาทางสู้กับมัน โดยไม่ยอมคิดถึงทางแพ้

ครั้นแพ้น้ำเข้าก็โกรธเคืองหวั่นใจ เพราะไม่ได้คิดหาหนทางตั้งรับไว้ เอาแต่จะป้องกันเกลียดกลัวไม่ยอมให้น้ำมาถึง

แม่ฉันไม่ทำอะไรซักอย่างที่ว่ามานั่น บอกว่าเราเป็นใครถึงคิดจะไปสู้กับน้ำ

กั้นข้างนอก น้ำก็มาได้จากข้างใน


ก็บ่นไปตามประสาคนติดน้ำ

ฉันไปว่าคนอื่นว่าเขาบ่น แต่ฉันเองก็ยังบ่นอยู่นี่ เข้าทำนองว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเองแท้ๆ เชียว

ก็อิเหนาเบื่อนี่คะ

อิเหนาติดเกาะ

อิเหนาเลยคุ้ยเอาหนังสือเก่าๆ ของพ่อมาอ่าน


หนังสือที่อ่านสนุกช่วงนี้ก็คือหนังสือเก่าๆ ที่เคยอ่านมาแล้ว (เพราะฉันก็ไม่รู้จะฝ่าออกไปซื้อหนังสือใหม่ได้ยังไง)

แต่พอมาอ่านอีกทีท่ามกลางสถานการณ์รอบตัวที่เปลี่ยนไปพร้อมกับวัยที่โตขึ้นก็ได้อะไรใหม่ๆ มาประดับสมอง

หนังสือเล่มที่ว่านี้คือเรื่อง "ยิว" ของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

หนังสือกล่าวถึงที่มาที่ไปของการเดินทางอันยาวนานของชาวยิวและเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้พวกเขาอยู่ยงฝ่าวิกฤติมาได้ตั้งแต่ครั้งอดีตกาล จนสามารถมาตั้งประเทศอิสราเอลได้

หนังสืออ่านสนุก เข้าใจง่ายตามสไตล์การเขียนของอาจารย์หม่อม ที่มีการอธิบายแทรกการวิจารณ์แสบๆ คันๆ ที่ยังทันสมัยอยู่เสมอ

อ่านๆ ไปจนเกือบจะจบเล่มก็ติดใจเข้ากับย่อหน้าหนึ่ง จึงอยากจะเอามาบอกต่อให้ได้อ่านกันเล่นๆ เนื้อ ความย่อหน้านี้อยู่ในบทที่ว่าด้วยการปฏิวัติของชาวยิว

การพร้อมใจกันลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงถึงสิ่งที่เคยเป็นมากับชะตากรรมของชาวยิว

การลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจเก่าๆ ที่เคยกดหัวพวกเขามาโดยตลอด การเปลี่ยนแปลงความเคยชิน

และการทำให้สิ่งที่ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงมาได้นั้น กลายเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในหัว อยู่ในใจผู้คน และกลายเป็นระเบียบการบริหารแผ่นดินในที่สุด

บทนี้มีชื่อบทว่า "การปฏิวัติเงียบ"

"ในเมืองไทยเรานั้น การปฏิวัติไม่รู้จักเป็นผลสำเร็จสักที

ก็เพราะข้าราชการไม่ยอมรับช่วงต่อจากนักการเมือง

นักการเมืองได้ยึดอำนาจมาจากเจ้านายขุนนางเพื่อให้ประชาชนได้ปกครองตัวเอง

แต่ข้าราชการเมืองไทยไม่ยอมรับช่วงจากนักการเมืองเพื่อดำเนินการต่างๆ ให้ราษฎรปกครองตัวเองได้ คอยแต่รับคำสั่งบังคับบัญชาจากนักการเมือง ทำให้นักการเมืองนั้นเอง กลายเป็นเจ้านายขุนนางไปในที่สุด การปฏิวัติจึงไม่สำเร็จไปได้ตามวัตถุประสงค์ เพราะมีนักการเมืองผลัดกันเป็นขุนนางมาปกครองราษฎร

ผลสุดท้ายก็ไม่มีใครนอนตาหลับสักคนเดียว

นักการเมืองก็นอนตาไม่หลับ เพราะกลัวคนอื่นมาแย่งอำนาจ ข้าราชการก็นอนไม่หลับเพราะกลัวถูกนักการเมืองไล่ออก ราษฎรก็นอนไม่หลับเพราะไม่รู้ว่านักการเมืองและข้าราชการจะทำให้โชคชาตาของ ตนเปลี่ยนแปลงไปในทางใดอีก"**

ไม่ได้จะเปรียบเทียบอะไร

แค่อยากบอกว่าด่าไปก็เท่านั้น อ่านหนังสือกันสนุกกว่า



++

พอที
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 04 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1629 หน้า 80


ยังติดเกาะอยู่ค่ะ, ขอบคุณสำหรับคำถาม นั่งก็แล้ว นอนก็แล้ว ยืนก็แล้ว อ่านหนังสือก็แล้ว ก็ไม่แคล้วต้องหันมาดูโทรทัศน์ เสพข่าวมากๆ ก็ชักจะปวดตา ครั้นหันมาหาโซเชียลเน็ตเวิร์กเลยมีอันต้องปวดใจมากไปกว่าเดิม

บางทีเพจให้ข้อมูลหรือขอความช่วยเหลือเรื่ิองน้ำท่วม ก็กลายเป็นเพจระบายอารมณ์ประกาศเจตนารมณ์จุดยืนของตัวเองไปเสียอย่างนั้น คนที่ติดน้ำเครียดอยู่แล้วเจอเรื่องแบบนี้ก็เครียดยิ่งๆ ขึ้นไปอีก

ใช่, มันควรจะมีคนรับผิดชอบ มันควรจะมีการจัดการที่ดี มันควรจะทำอะไรให้ถูกใจ แต่บางทีนาทีนี้ฉันก็ไม่อยากรู้ บางทีฉันก็อยากรู้แค่ว่าน้ำมันยังจะมาอีกเยอะไหม, จะมาอีกเมื่อไหร่, จะมายังไง ใครจะชอบ จะชัง จะแฉใครฉันยังไม่อยากจะรู้

คนที่ได้รับผลจากน้ำท่วมนั้นก็คงมีในใจอยู่แล้ว ว่าเหตุการณ์น้ำท่วมคราวนี้เกิดขึ้นเพราะใครหรือด้วยเหตุใด ถ้าคำตอบในใจของเขาไม่ตรงกับคนอื่นก็ไม่เห็นจะต้องมาโกรธกัน จะให้ทุกคนคิดเหมือนกัน แล้วถ้าเขาคิดไม่เหมือนจะไม่โกรธเขาไม่ได้ ปัญหาชีวิตไม่ใช่โจทย์คณิตศาสตร์

คิดได้อย่างนี้คนที่ยังวางอารมณ์ได้ไม่นิ่งอย่างฉันเลยปิดคอมพิวเตอร์เอาดื้อๆ แล้วก็บอกตัวเองว่าจะพยายามใช้มันให้น้อยลง



จริงๆ ก่อนหน้าจะมีโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้แม่ฉันบอกว่าชีวิตก็ง่ายดี มันเป็นโลกที่คำว่าปิดทองหลังพระ หรือน้ำลดตอผุดมีให้เห็นอย่างแท้จริง เราต้องทำ ต้องรอ ต้องใช้เวลา และต้องให้เวลากับเรื่องราวหลายๆ อย่างในชีวิตกว่าที่มันจะสุกงอม แม้เราจะไม่ได้รู้ ไม่ได้ตรวจสอบ ไม่ได้แบ่งปันรอเรื่องราวอะไรหลายๆ อย่างที่เราคิดว่าโลกนี้ควรได้รับรู้ แต่มันก็ง่ายดีความไม่รู้ก็เป็นบุญแก่ใจตนในแง่หนึ่ง

แม่ฉันบอกว่าความไม่รู้แม้จะไม่ดี แต่ก็ดีกว่าที่คิดว่ารู้ แต่รู้ไม่หมดมากมายนัก เพราะสิ่งที่เราประกาศออกไปว่ารู้ ว่าแน่ ว่าปักใจไปแล้วนั้นมันจะกลับมาเป็นนายเราในที่สุด แล้วยังเป็นนายแบบกดขี่ข่มเหงเสียด้วย จะมาบอกไม่เชื่อไม่ใช่ทีหลังก็ดิ้นให้หลุดได้ยากเสียแล้ว

ไอ้ที่พูดๆ ไปตอนภัยยังมาไม่ถึงตัว ก็เลยกลายเป็นทำไม่ได้

ไอ้ที่พอจะทำได้ก็กลายเป็นพูดเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง

แก้ตัว แก้ต่าง หาเรื่องประกอบมาอ้างเหตุผลกันอุตลุด



รู้ว่าเราต่างก็มีอารมณ์หงุดหงิด โกรธขึ้งกันได้ทั้งนั้น ชีวิตก่อนหน้านี้เราก็อาจบ่นก่นด่ากันอยู่เฉพาะในเครือญาติและสหายสนิท แต่มาถึงตอนนี้ไอ้คำสบถผ่านแป้นพิมพ์ของเรานั้นมีสิทธิ์ถูกนำไปแพร่กระจาย ถูกนำไปดัดแปลง ถูกนำไปจัดวางในบริบทของอารมณ์และสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปจากตอนมันหลุดออก มาตามอารมณ์ในครั้งแรกยิ่งนัก

และตัวกระตุ้นอารมณ์อันรุนแรงนั้นก็คือเรื่องของข้อมูลอันล้นเกินที่เราเสพมันเข้าไปนั่นเอง

หนังสือชื่อ "Enough-หยุดให้เป็น-" นำเสนอเรื่องราวของสิ่งที่เรียกว่า "นิเวศส่วนบุคคล" ที่ใคร หลายๆ คนกำลังจัดการให้ได้กลับคืนมา ผู้เขียนสรรหาข้อมูลมาพิสูจน์กันทีละเรื่องว่าเรามีทุกอย่างมากเกินไปขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร สมบัติ เทคโนโลยี รวมไปถึงข้อมูลข่าวสารที่เราทั้งหลายกำลังกระหายใคร่รู้กันอยู่ในเวลานี้

เขาเสนอทั้งคำถามและคำตอบว่าทำไมคนเราต้องรู้จักพอ และที่ยังไม่รู้จักพอกันอยู่นั้นอาจเพราะสมองมนุษย์ยังทำงานแบบสมัยก่อนที่ ต้องรีบกินทันทีที่มีเพื่อการอยู่รอด ต้องรีบคว้าทุกอย่างไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าแหล่งน้ำต่อไปจะอยู่ตรงไหน

ผ่านมาหลายร้อยหลายพันปี กลไกสมองเราอาจยังทำงานเหมือนเดิม แต่ลัทธิบริโภคนิยมและธุรกิจฉลาดกว่า จึงบุกโจมตีสมองซีกสัญชาตญาณดิบของเราที่มักจะชนะซีกเหตุผลเสมอ จึงทำให้เราออกอาการอย่างที่เป็นกันอยู่คือ

ไม่รู้จักพอ


แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้เพ้อพกกับอุดมคติ ข้อเท็จจริงก็คือ การจะใช้ชีวิตอย่างพอเพียงนั้นต้องมีต้นทุนและทุนทรัพย์อยู่ประมาณหนึ่งก่อนกระมัง ถึงจะตั้งสติรู้เท่าทันว่า กินข้าวได้ทีละอิ่ม ใส่รองเท้าได้ทีละคู่ ใส่เสื้อผ้าได้ครั้งละชุด แล้วจะต้องมีมากมายขนาดไหนกัน

จอห์น แนช สัมภาษณ์ผู้รู้ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ พฤติกรรม การตลาด (อะไรที่กระตุ้นความอยากได้ใคร่มี สมองคนตอบสนองอย่างไร) พร้อมกับประมวลบรรดางานวิจัยทางวิชาการจากแหล่งต่างๆ มาเสริมภาพใหญ่

เขาสัมภาษณ์ผู้ปฏิบัติวิถี (รวมทั้งตัวเขาเอง) ร่วมการทดลองต่างๆ ในเรื่องนี้ คุยกับกลุ่มที่ต้องแบกรับภาระของความไม่พอเพียงเช่นป้าๆ ที่ทำงานอาสาสมัคร ตามร้านค้าขององค์กรการกุศล

(การที่คุณเอาของที่ซื้อมาทั้งที่ไม่จำเป็นไปบริจาคหรือรีไซเคิล ไม่ใช่เป็นการทำบุญหรือทำให้โลกสีเขียวเสมอไป) *



ฉันชอบหนังสือเล่มนี้มาก เนื้อหาของมันถูกเวลา และมันพิมพ์ออกมาได้ถูกจังหวะ ทุกคนพูดกันแต่เรื่องพอเพียง แต่ก็ไม่เห็นใครจะพอจริงๆ ไม่พอกับเรื่องกิน เรื่องอยู่ ก็ไปติดกับเรื่องของข้อมูลข่าวสารหรือจริตอะไรบางอย่างที่เราได้สร้างขึ้นมา

ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่พอเป็นอย่างยิ่ง

เราต่างก็เป็นคนที่มีความโลภลึกๆ ติดอยู่ในเครื่องพันธนาการรุงรังนุงนังของชีวิตและภาพพจน์ แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า เราก็ยังไปสร้างพิธีกรรมมาห่อหุ้มธรรมที่เป็นประเด็นหลักของสิ่งที่ท่านปวารณาตนรับใช้

เอาเถิด, แม้ฉันจะไม่พอเพียง แต่ฉันก็มีความพอใจอยู่พอประมาณ แล้วก็ยังเป็นตัวของตัวเองมากพอที่ในบางครั้งบางคราว จะสามารถบอกกับตัวเองและใครๆ ได้อย่างเต็มปากว่า

พอที

.......................................................

* ข้อความจากบท -ความในใจของผู้แปล-
" หยุดให้เป็น " เขียนโดย John Nash แปลโดย สุภาภรณ์ กาญจน์วีระโยธิน ฉบับพิมพ์ครั้งแรก สนพ.มติชน กันยายน, 2554




++

อยู่ "เกาะ" จริงๆ เสียเลย
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1630 หน้า 80


ขณะนี้ฉันอยู่ภูเก็ตค่ะ

จะว่าหนีน้ำท่วมก็ไม่เชิง แต่เป็นการหนีจากสภาพเสมือนติดเกาะ มาอยู่เกาะเสียจริงๆ เลยมากกว่า

ฉันอยู่กรุงไปก็ไม่ได้ช่วยให้น้ำมันลดลงได้ บ้านฉันมันก็ปริ่มๆ จะท่วม จะท่วม แต่ก็ไม่ท่วม แต่ต่อให้ไม่ท่วมก็ใช่ว่าจะไปไหนมาไหนได้สะดวกดาย งานการอะไรที่ทำๆ อยู่เป็นยกเลิกกันเหี้ยนเตียนด้วยได้รับผลกระทบจากอุทกภัยกันถ้วนหน้า

อย่ากระนั้นเลย

เผ่นดีกว่า


มาอยู่นี่ฉันก็เดินลอยไปลอยมา ดูเป็นคนกรุงเทพฯ เสียนี่กระไร

และจากการได้คุยกับใครหลายๆ คนก็พบว่าหัวเมืองใหญ่รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ

ตอนนี้กำลังเต็มแน่นอื้ออึงไปด้วยนกขมิ้นผลัดถิ่นจากกรุงเทพฯ ที่อพยพย้ายมาหาแหล่งพักพิงใหม่ๆ

ซึ่งนกขมิ้นหลายตัวก็ได้ไปทำให้ระบบระบอบวิถีชาวบ้านปั่นป่วนกันไปบ้างพองามทั้งเรื่องการขับรถ เรื่องกิน เรื่องเล่น

ตามประสานกเมืองที่ไม่คุ้นกับการปรับตัว

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องหลักๆ ที่ฉันกำลังคิดถึง

ฉันกำลังคิดถึงผู้ที่ไม่ได้มามากกว่า


ขณะนี้ที่น้ำ (หรือที่ใครหลายคนเรียกอย่างเอื้อเอ็นดูว่า "น้องน้ำ" ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ ทุกทีที่ได้ฟัง เพราะปกติน้ำจะเป็นแม่ อย่าง "แม่น้ำ" นั่นไง ไปลดยศเรียกว่าน้องอย่างนั้น น้องอย่างนี้ ฉันว่าออกจะแปลกและดูปีนเกลียวอยู่หน่อยๆ) กำลังสาละวนหาทางออกสู่อ่าวไทย และมนุษย์เราก็พยายามบีบ บิด บังคับ ไม่ให้สายน้ำอันเกรี้ยวกราดมาแผ้วพานบ้าน รถ และสินทรัพย์ต่างๆ ของเราด้วยวิธีมากมายหลายหลากสารพัดสารเพนั้น น้ำผู้ดื้อดึงและเคยชินกับการได้รับการเชื้อเชิญและต้อนรับอย่างดี จึงไม่ยอมจะเดินทางไปตามสิ่งที่เรากำหนดเอาไว้ง่ายๆ หากผุดล้นไปในทุกที่ทุกแหล่ง ด้วยอารมณ์ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ

และในขณะที่หลายแห่งจมน้ำไปแล้ว แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อยที่ยังรอลุ้นกันอยู่แบบชวนให้อกสั่นขวัญหาย ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป

ห้างร้านและส่วนราชการหลายแห่งจึงยังคงเปิดทำการอยู่

เวลาดูข่าวแล้วเห็นว่ามีการบรรเทาความเดือดร้อนด้วยการทำสะพานไม้และจัดรถคอยรับส่งแล้วก็รู้สึกน่าเอ็นดูปนเครียดนิดๆ

เพราะในขณะที่หลายๆ คนไม่มีทางเลือกจึงต้องย้ายออกจากบ้านทั้งที่ไม่เต็มใจ หรือใครที่มีแรงมีกำลังก็ลี้ภัยไปไหนๆ ได้ กระทั่งต่ำชั้นที่สุดเช่นตัวฉันเองที่ไม่ได้มีแรงหรือกำลังเงินเหลือเฟืออะไร อาศัยแต่ว่ามีเพื่อนดี เลยกัดฟันจ่ายแต่ค่าเดินทาง แล้วมาแปะอาศัยกิน นอนซุกอยู่กับเขา ก็พอจะตัดเรื่องค่าใช้จ่ายไปได้หลายอยู่

แต่ฉันมาได้ก็เพราะไม่ต้องห่วงเรื่องงาน

อาชีพอิสระอย่างฉันนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องการตอกบัตร เข้างานตรงเวลา ไม่ต้องทำจดหมายลากิจ ลาป่วยอะไรกับใครเขา ไม่ต้องห่วงว่าจะใช้วันลาหมดไปแล้วและเดี๋ยวจะไม่มีวันหยุดไว้ใช้ยามจำเป็น

จะมีแย่ก็ตรงงานอะไรๆ ก็ยกเลิกกันหมดสิ้นนี่แหละ

แต่ใช่ว่าฉันโดนอยู่คนเดียวเสียเมื่อไหร่ ใครๆ เขาก็โดนกันทั้งนั้น ตอนนี้เลยเห็นข้อดีของการมีเงินออมไว้บ้างอย่างที่สุด อย่างน้อยแม้จะไม่มีงานทำในช่วงนี้ ฉันและครอบครัวก็ยังอยู่ได้ไม่ขัดสนอะไรนัก

แล้วคนที่เขาหยุดไม่ได้ล่ะ



หลายคนรุมกระหน่ำด่ารัฐบาลว่าช่างผิดจังหวะและไม่เป็นงานเสียนี่กระไร มาสั่งให้หยุดเอาตอนน้ำยังไม่มา แต่พอน้ำมาดันไม่หยุดเสียอย่างนั้น

จะว่าไปมันก็ยากอยู่เหมือนกัน เพราะรัฐบาลก็สั่งให้หยุดได้เฉพาะงานทางฝั่งราชการหรือหน่วยงานของภาครัฐเอง แต่ทางภาคเอกชนหรือธุรกิจส่วนตัวทั้งขนาดเล็กและใหญ่นั้นให้พิจารณากันเอง

ปัญหาก็คือ, ใครจะยอมหยุดงานกันดื้อๆ โดยไม่พยายามเสียก่อน

มองในแง่ธุรกิจแบบไม่ต้องคิดถึงภาคจิตใจ การที่คนอื่นจำต้องหยุดงาน หยุดการผลิต แต่เรายังพอมีกำลังจะทำได้นั้น ก็เป็นช่องทางเพิ่มพูนรายได้แบบเห็นได้ง่ายๆ และชัดเจน

แต่คราวนี้คนทำงานนั้นก็มีหลายระดับ

ระดับเจ้าของนั้นสามารถสั่งงานจากที่ไหนในโลกก็ได้ จะเอาที่แห้งผากอย่างกลางทะเลทรายหรือฉ่ำน้ำฉ่ำฝนอย่างเวนิสก็ไม่มีปัญหา ขอเพียงให้มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ตก็เป็นอันทำงานได้

ถัดลงมาคือคนทำงานระดับหัวหน้างาน ก็พอจะอพยพย้ายตัวไปตามเมืองต่างๆ อย่างเชียงใหม่ หัวหินได้อย่างไม่ทุรนทุรายมากนัก รถก็ยังมีใช้ เรียกว่าถึงจะเดือดร้อนต้องล้มลุกคลุกคลาน ก็ยังเป็นการล้มบนฟูก จะฟูกหนาฟูกบางก็ขึ้นชื่อว่าฟูก ยังไงก็ดีกว่าล้มลงบนพื้นแข็งๆ (หรือในที่นี้คือ, ล้มลงในมวลน้ำก้อนใหญ่) มากนัก

สุดท้ายคือลูกจ้างที่ต้องทำงานกันไปวันต่อวัน

นายจ้างเขายังไม่สั่งหยุดแล้วจะให้ทำอย่างไรได้

ต่อให้บ้านน้ำท่วมมิดชั้นสอง ไฟฟ้าถูกตัด แต่สำนักงานไม่ให้หยุด ก็ต้องพยายามลากสังขารมาทำงานกันจนได้

ไม่อย่างนั้นก็ต้องมาเสี่ยงกับการโดนหักทั้งเงิน ทั้งวันหยุด หมดโอกาสลุ้นโบนัสสิ้นปี

ดีไม่ดีจะโดนเพ่งเล็งให้ออกจากงานอะไรไปนั่นเลย


เรื่องการพิจารณาให้หยุดของภาคเอกชนนี้ จริงๆ แล้วรัฐไม่มีสิทธิ์จะไปยุ่มย่ามก้าวก่ายใดๆ

กฎหมายแรงงานก็มีกำหนดไว้เพียงหลวมๆ ไม่ได้ครอบคลุมกรณีเช่นนี้ในทุกรายละเอียด

ก็ต้องปล่อยให้ขึ้นอยู่กับจริยธรรมและสายป่านแห่งเงินทุนของเจ้าของธุรกิจว่าจะผ่อนหรือจะตึงได้แค่ไหน

แต่ถึงแม้รัฐจะสั่งงานภาคเอกชนโดยตรงไม่ได้ ก็สามารถหามาตรงานมารองรับให้คนทำงานเหล่านี้ได้

อาจเป็นการชดเชยให้ในส่วนของประกันสังคม ที่จะจ่ายทดแทนให้เป็นเวลาสามเดือน หากตัดสินใจว่าต้องหยุดงาน หรือจะอะไรก็ตาม

แต่หากรัฐตัดสินใจประกาศให้ธนาคารและตลาดหุ้น (ซึ่งรัฐพอจะมีอำนาจสั่งได้ เพราะไม่ใช่หน่วยงานภาคเอกชนอิสระอย่างแท้จริง) หยุดลงเมื่อไหร่ เราคงได้เห็นหายนะของประเทศกันอย่างแท้จริงในช่วงเวลาเพียงสัปดาห์เดียว

ที่หลายคนไม่ยอมอพยพทั้งที่อยู่ก็ลำบาก คนจะเข้าไปช่วยก็ลำบาก ก็เพราะต้องไปทำงานกันอยู่นี่เอง ยังต้องห่วงว่าพรุ่งนี้จะไปทำงานกันอย่างไร จะรถใหญ่หรือจะเรือรับจ้างแสนขูดรีด

ถ้าหยุด, มันก็คงช่วยให้คนทำงานสบายใจขึ้นได้บ้างที่ไม่ต้องทิ้งบ้านทิ้งครอบครัวหาทางฝ่าน้ำไปทำงาน

แต่ประเทศคงชะงักงันกันไปหมด ด้วยทุกอย่างนั้นถูกรวมศูนย์อยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีการกระจายออกไปรอบนอกตั้งแต่แรก เมื่อกรุงเทพฯ จม จะประกาศหยุดงานเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูจึงยากเสียแล้ว เพราะฐานเศรษกิจและอำนาจของประเทศจะพลอยล่มไปด้วย

นาทีนี้คงต้องคิดถึงแผนฟื้นฟูหลังน้ำลดกันอย่างหนักหน่วงและรอบคอบไม่ใช่น้อย

เพราะมาถึงนาทีนี้ การที่รัฐประกาศให้ภาคเอกชนใช้ดุลพินิจพิจารณากันเอาเองว่าควรจะหยุดงานหรือไม่ โดยไม่มีอะไรมารองรับให้คนทำงานตัวเล็กๆ เขามีอำนาจต่อรองชั่งใจอะไรบ้างนั้น ก็เท่ากับรัฐไม่ทำอะไรเลยนั่นเอง



เอ๊ะ จริงๆ คอลัมน์ของฉันมันเกี่ยวกับเรื่องของการอ่านหนังสือนี่นา

ฉันจะมาเขียนเรื่องการบ้านการเมืองกันทำไมนี่

ช่างไม่เข้าท่าเสียจริงๆ เลยอินทิรา

เรื่องก็ไม่ใช่เรื่องของตัว ความรู้อะไร ตัวก็ไม่มี บ้านตัวก็ไม่ท่วม ช่างถือวิสาสะเสียจริง

ถ้าอย่างนั้นฉันพูดถึงหนังสือที่ฉันแบกมาภูเก็ตด้วยแล้วกัน

ฉันพยายามเลือกหนังสือที่สนุก มีความหนาพอสมควร และอ่านได้โดยไม่ต้องเครียดมากนัก

ขนมา 4 เล่ม แต่ขอแนะนำเล่มที่มีชื่อว่าThe Girl With The Dragon Tattoo หรือขบถสาวกับรอยสักมังกร

คือสาวนักสืบเจ้าของรอยสักที่เป็นชื่อเรื่องนี้เธอเป็นพวกโดดเดี่ยว ปฏิเสธสังคม และมีวิธีตามล่าหาความจริงที่แฝงเร้นอยู่

เอามาประมวลหาความจริงในแบบของเธอเอง โดยพยายามมองทะลุภาพที่ทุกคนยอมรับและเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น

สิ่งที่ถูกเคลือบไว้บนพื้นผิวที่ดูเหมือนจะถูกต้อง หรือเป็นที่ยอมรับนั้นก็เป็นเพียงสิ่งที่ฉาบอยู่

สิ่งที่ควรทำคือมองให้ลึกลงไปว่าเหนือวัสดุที่ฉาบเอาไว้ ไม่ว่ามันจะดูงดงามแวววาวหรือโสโครกเน่าหนอนเพียงใด มันก็มักจะมีบางสิ่งซ่อนอยู่

บางสิ่งที่เราต้องคิดเอง ประมวลเอง เก็บข้อมูลเอง โดยตัดอารมณ์ต่างๆ ออกไป ไม่ว่าจะเป็นการยกยอปอปั้น ความซาบซึ้ง หรือการดูหมิ่นเหยียดหยามอันเปี่ยมด้วยอคติ

เมื่อนั้น, เราก็จะเริ่มก้าวใกล้ความจริง

นี่ฉันพูดเรื่องหนังสือล้วนๆ จริงๆ นะเออ

.......................................................

*" ขบถสาวกับรอยสักมังกร " ( The Girl With The Dragon Tattoo ) เขียนโดย Stieg Larsson แปลโดย โรจนา นาเจริญ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 เดือนกันยายน 2554



+ + + +

บทความปีที่แล้ว ( 2553 )

เมรัยพิฆาต
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 08 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1573 หน้า 79


คุณดื่มเหล้ามั้ยคะ?

ถ้าไม่ดื่ม ก็อ่านผ่านๆ ไปก็ได้ แต่ถ้าดื่ม, คุณลองสำรวจตัวเองด้วยใจเป็นธรรมว่า คุณกำลังมีอาการแบบนี้อยู่หรือเปล่า

คุณดื่มเพื่อคลายเครียดหรือแก้ปัญหาทุกข์ใจต่างๆ, ดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าเริ่มเมาหรือครึ้มอกครึ้มใจเท่ากับการดื่มครั้งที่แล้ว, หากรู้สึกเมาค้าง คุณก็เลือกวิธีดื่มเข้าไปอีกเพื่อแก้อาการ, รู้สึกร่างกายขาดน้ำอยู่เสมอ, ดื่มเหล้าแทนการกินข้าว, มือสั่น เหงื่อออกเวลากลางคืน, ทั้งที่คิดว่าเมาจนน่าจะหลับได้สนิทแล้วกลับตื่นขึ้นมากลางดึก, มีปัญหาในการควบคุมการดื่ม แม้ตัดสินใจกำหนดปริมาณที่เหมาะสมให้กับตัวเองแล้วก็ตาม, พบว่าตัวเองหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่การดื่ม เช่น คราวหน้าจะไปดื่มเมื่อไหร่ ที่ไหน และกับใคร

ถ้าคุณมีอาการตามที่ระบุไว้นี้มากกว่า5รายการขึ้นไปก็ขอแสดงความยินดีด้วย

เรากำลังจะได้เป็นเพื่อนกัน.

และเรามีเพื่อนร่วมโลกที่เป็นเหมือนๆ กับฉันและคุณอีกหลายคน มีไม่น้อยเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งในอดีตและปัจจุบัน.

ไล่มาตั้งแต่กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ผู้เกรียงไกร ยอดนักวางแผนการรบและการทหาร, เอดการ์ แอลลัน โป นักเขียนกวี และนิยายที่ผลงานของเขายังถูกส่งต่อผ่านกาลเวลามาถึงทุกวันนี้แม้ตัวเขาจะ ตายไปนานแล้ว, โจเซฟ สตาลิน บุรุษผู้เคยถูกเรียกว่าเป็นบิดาของชาวรัสเซียทั้งปวง ชายผู้ปกครองโซเวียตด้วยกฏเหล็ก, เออเนสต์ เฮมมิงเวย์ นักเขียนที่ทั้งชีวิตและผลงานของเขาเข้าขั้นคลาสสิค, โกวเล้ง ผู้เปิดดินแดนใหม่ให้กับวงการนวนิยายกำลังภายใน, อีริก แคลปตัน นักกีตาร์ชื่อก้องโลก, สตีเฟน คิง ราชาแห่งนวนิยายแนวระทึกขวัญ

ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหมเพื่อนๆ ของพวกเรา

พวกเขาทั้งหมด, รวมถึงฉัน และอาจรวมถึงคุณด้วยเป็นพวกเดียวกัน มีประสบการณ์เหมือนกัน

นั่นก็คือ, เราเป็นคนติดเหล้า.


นี่ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจ แถมยังเกินระดับความน่าสงสารไปแตะชั้นความน่าสมเพชเข้าแล้วด้วยซ้ำ เพราะฉันนั้นถึงขั้นที่ว่าต้องคำนวณเวลางานและเวลาออกจากบ้านให้พอดีกับเวลาที่ทางราชการอนุญาตให้ร้านค้าขายเหล้าได้

ซึ่งเวลานั้นเริ่มที่ 11 โมงเช้า, พระสงฆ์กำลังฉันข้าวมือที่สองที่เป็นมื้อสุดท้ายของวัน, แต่ฉันกำลังกินเหล้า

ก่อนหน้านี้ฉันเรียกได้ว่าเป็นคนไม่กินเหล้า

การกินเหล้าแบบจิบๆ ในปริมาณสองแก้วต่อเดือนหรือบางทีก็ไม่ได้กินเลยนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนกินเหล้า

แต่ชีวิตช่วงนั้นมันผ่านไปนานแล้ว

การกินเหล้าเป็นความมั่นคงอย่างเดียวที่ชีวิตเหลือไว้ให้ฉัน, คือถ้ากินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันจะต้องเมาแน่ๆ

ในขณะที่ความรักนั้นรับประกันอะไรไม่ได้เลยสักนิด.

ฉันก็ไม่รู้ว่าคนอกหักคนอื่นเขาทำอย่างไร เขาหลับและตื่นได้ปกติไหม ชีวิตเขาดำเนินไปเช่นไร แล้วมันมีวันหายหรือเปล่า- -

- -ก็ได้, มันคงต้องมีวันหาย เพียงแต่วันนั้นยังมาไม่ถึงฉันเท่านั้นเอง แล้วฉันจะทำอย่างไรให้ผ่านความเจ็บปวดวันนี้ไปได้ จนกว่าจะถึงวันนั้น


อาชีพการแสดงทำให้ฉันเคยชินกับการรู้สึกว่าตัวเองสามารถควบคุมอะไรต่างๆ ได้ เพราะฉันจะมีบทบาทบุคลิกของตัวละครนั้นอยู่ในใจและถ้อยคำประโยคสนทนาก็จะถูก ฉันท่องจำเก็บเอาไว้ในหัว เมื่ออยู่หน้ากล้องฉันจะรู้ว่าฉันจะต้องทำอะไร ในเวลาไหน และทำไปเพื่ออะไร

แต่กับเรื่องในชีวิตจริงนั้นเราควบคุมมันไม่ได้ มันจึงส่งผลกับฉันอย่างมหาศาล และกับบางเรื่อง, ฉันก็ยังทำใจให้รู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันไม่ได้เสียที, ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็น

สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันมันน่าตกใจเกินกว่าที่ฉันจะรับมือได้อย่างสุขุม ฉันรู้สึกไร้ค่า เริ่มมองความรักเป็นเรื่องลี้ลับน่าหวาดหวั่น เพราะสิ่งที่ฉันได้รับกลับคืนจากมันคือความเจ็บปวดที่ฉันจะต้องผจญกับมัน ซ้ำๆ ซากๆ เพราะฉันไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไม

ประโยคที่ฉันได้ยินและยังคงก้องกังวานอยู่ในหูนั้น, อาจเคยมีคนกล่าวมาแล้วเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง แต่นอกจากคนที่เคยได้รับฟังมันแล้ว, ก็ไม่อาจมีใครคิดได้ ว่าการได้ยินเรื่องนั้นจะสามารถทำให้เราเจ็บปวดได้ถึงขนาดไหน

โลกนี้มันยาก ชีวิตเป็นเรื่องน่ากลัว ปัญหานั้นเป็นเรื่องจริง แล้วบางทีเราก็ไม่รู้จะรับมือกับมันยังไง การฝันทั้งที่ตื่นนอนนั้นเป็นไปได้ แต่ถ้าฝันตอนที่ตื่นนอนโดยที่ยังไม่เมาก็ดูเป็นเพียงแค่ฝัน เป็นเรื่องเพ้อเจ้อไม่มีวันเป็นจริง แต่เหล้าจะทำให้ฝันนั้นสมจริงจนเราสามารถฝันได้จนจบ โดยไม่ถูกโลกแห่งความจริงสะกิดไหล่ให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน

เราจะรู้สึกว่าเวลากินเหล้านี่ชีวิตมันช่างง่าย งานก็ทำได้แบบสบายๆ เขียนเรื่อง เขียนรูป แต่งเพลงได้แบบไม่จำกัด

แต่พอไม่ได้กิน, ทุกอย่างช่างตรงข้ามกันจากหน้ามือเป็นหลังมือ แทนที่จะสมองแจ่มใสเพราะปลอดจากสารมึนเมาอย่างสุรา กลับทึบตันตื้อ หงุดหงิดพาลรีพาลขวางอย่างที่สุด

หลายๆ คนในรายชื่อเพื่อนของเรานั้นสร้างผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตถึงขั้นเป็น ผลงานอมตะขึ้นมาได้ในช่วงเวลาติดเหล้า ซึ่งฉันไม่แปลกใจเลย

ในเมื่อชีวิตมันแสนง่ายและโลกก็อยู่ในกำมือยามที่เรากินเหล้า



เอมิล โซลาเขียนเรื่อง "เมรัยพิฆาต" (L"Assommoir) ในปี ค.ศ.1877 ด้วยต้องการจี้ลงบนบาดแผลของสังคมยุคหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในโลกตะวันตก ว่าด้วยชนชั้นกรรมาชีพผู้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมชายขอบที่ต้องเผจญกับความแออัด ความเสื่อมโทรมที่ส่งผลทั้งกายและใจ สิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายนั้นสามารถกระตุ้นให้มนุษย์เกิดพฤติกรรมในทางเลวร้าย ตามไปด้วย และจากความเลวร้ายนั้นก็สามารถกลายเป็นความเสื่อมทรามทางศีลธรรมไปได้ง่ายๆ การหลีกลี้หนีความทุกข์ที่ง่ายที่สุดของคนเหล่านี้ก็คือ การหันเข้าหาเมรัย

ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบ่วงกรรมที่ผูกล่ามคอพวกเขาต่อไปชั่วชีวิต

แต่ฉันว่ามันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้น

ฉันเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน สิ่งแวดล้อมนั้นอาจวางตำแหน่งแห่งที่ให้เรายืน แต่ตัวเราภายในนั้นไม่ต่างกัน เราทุกคนจึงมีสิทธิ์ถูกทำร้าย เจ็บปวด รู้สึกอับจนได้เหมือนๆ กัน

และบางคนเช่นฉันก็เลือกประคองชีวิตผ่านเรื่องราวและวันเหล่านั้นไปด้วยเหล้า

ฉันมันคนขี้ขลาด ไม่ถนัดรับมือกับปัญหาอยู่แล้ว ถ้าเป็นปัญหาของคนอื่นฉันจะสามารถคิดและให้กำลังใจได้เต็มที่อย่าง คล่องแคล่ว เพราะรู้ดีว่าคนที่ต้องไปเผชิญกับเรื่องเหล่านั้นก็ต้องเป็นเจ้าของปัญหา, ไม่ใช่ฉัน ต่อให้ต้องไปเป็นเพื่อน ฉันก็ยังไม่ต้องรับผิดชอบมากไปกว่าการสนับสนุนช่วยเหลือ

แต่พอเป็นปัญหาของตัวเอง ฉันจะออกอาการหัวหด ไปไม่เป็นขึ้นมาทันที.

ยิ่งถ้าเป็นปัญหาที่หากจะแก้ไขให้สำเร็จได้แล้วจะต้องพูดหรือเปิดเผยเรื่อง ส่วนตัวหรือความเป็นฉันขึ้นมาล่ะก็ยิ่งแล้วใหญ่ ถ้าเป็นสิ่งที่มีใครมาถามฉันก็จะเดินหนีไปดื้อๆ

แต่นี่มันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต ฉันไม่รู้จะเดินหนีชีวิตได้ยังไง ฉันเลยพยายามเบี่ยงเบนมัน ทำให้มันดูรื่นรมย์มากขึ้นแทน ทำให้ประสาทรับรู้มันชา กล่อมตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ขนาดเล่นหนังฉันยังไม่ใส่แว่นทั้งที่สายตาสั้น ซ่อนตัวอยู่หลังความพร่าเลือนไม่คมชัดเพื่อจะได้ไม่ต้องรู้ว่าใครมองฉันอยู่บ้าง

ทั้งที่การแสดงนั่นมันคืออาชีพฉันแท้ๆ นะ.

พอมาถึงปัญหาชีวิตฉันเลยเลือกซ่อนตัวอยู่หลังเหล้าแทน

แต่มาถึงวันนี้, อย่างหนึ่งซึ่งฉันยังมีอยู่ให้พอใจชื้นก็คือ, การรู้ตัว

และฉันไม่มีความต้องการสารมึนเมาอื่นใดมากไปกว่าแอลกอฮอลล์.

ฉันรู้ว่าฉันเริ่มมีอาการติดเหล้า และฉันพยายามลดให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้ ฉันคงได้ไปสมาคมกับโปและโกวเล้ง หรือดื่มวอดก้าร่วมกับสตาลินในเร็วๆ นี้เป็นแน่

ฉันไม่กล้าบอกว่าจะเลิกขาด เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสัญญาในสิ่งที่ฉันรู้ว่าฉันทำไม่ได้

แต่ลดก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร

มันคงยาก, ฉันสามารถรู้ได้เลย

เพราะชีวิตฉันมันไม่เคยง่ายอยู่แล้ว.

..................................................

*"เมรัยพิฆาต" เขียนโดย เอมิล โซลา แปลโดย ทัศนีย์ นาควัชระ (แปลจากต้นฉบับฝรั่งเศส L"Assommoir ของ Emile Zola) ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 ปี2552 โดยสำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



++

The Goddess Guide
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 30 ฉบับที่ 1567 หน้า 79


ฉันอ้วน

ไม่จำเป็นต้องทำเสียงสูงใส่ว่า "โฮ้ยยยย...ไม่อ้วนหรอก" "ก็ไม่เห็นจะอ้วนตรงไหน" ฯลฯ อีกสารพัดคำ ประโลมใจให้ฉันได้ฟังก็ได้ ฉันรู้ตัวของฉันดี ว่าอ้วน

ที่จริงก็คืออ้วนขึ้นนั่นเอง ไม่ใช่ว่าอ้วนใหญ่ใส่ชุดเดิมไม่ได้แม้แต่ชุดเดียว (คือ...บางชุดมันก็ไม่ได้แล้วเหมือนกัน) แต่ฉันก็ไม่ใช่หญิงผอมแห้งมาแต่ไหนแต่ไร อาศัยว่าสูงเกินค่าเฉลี่ยหญิงไทยมาหน่อย เลยพอกล้อมแกล้มได้ว่าดูเพรียว แต่ก็ไม่ได้บางแบนให้สะดือแนบติดกับไขสันหลังอย่างนางแบบนั่นหรอก

ในเวลานั้นฉันก็โดนออกความเห็นใส่หน้าอยู่เนืองๆ นั่นล่ะว่าตัวใหญ่ แต่ฉันก็กินตามปกติอย่างสบายใจ กินดึกดื่นค่ำคืนยังไงก็ได้ ไปเข้าฉากวิ่งวุ่นวายซักพักก็เหลือตัวเท่าเดิม

แต่ตอนนี้มันไม่อย่างนั้นน่ะสิ

มีบางคนว่าฉันมีอาการของโรคซึมเศร้าและทำร้ายตัวเอง คล้ายๆ วงจรอุบาทว์แห่งความเครียดที่ว่ายิ่งเครียด ก็ยิ่งกิน แล้วพอยิ่งกิน ก็ยิ่งเครียด (ทั้งที่โดยส่วนตัวแล้ว ความเครียดเดียวที่เกี่ยวเนื่องกับความกินของฉันก็คือ, กินได้น้อยเกินไป)

ยอมรับก็ได้ว่า สาเหตุส่วนหนึ่งของการที่ทำให้ฉันน้ำหนักพุ่งพรวดขนาดนี้ ก็เพราะกินเหล้าตั้งแต่วันที่อกหักดังเป๊าะเมื่อครั้งกระนู้น

พอเริ่มๆ กินไปแล้ว ก็เหมือนค้นพบตัวเองว่า เออ, สุราก็สุนทรีย์ดีไม่น้อย และไว้ใจได้มากกว่ามนุษย์ คือกินมันเข้าไปมากๆ มันย่อมเมาแน่ๆ ในขณะที่มนุษย์นั้นเราดูแลใส่ใจจนปานจะกลืนกินก็อาจจะหลบลี้หนีหายไปดื้อๆ ได้ในวันหนึ่ง

นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดอย่างภาคภูมิใจ แต่เป็นการสางตัวเองออกมาเป็นชิ้นๆ ว่าที่มาที่ไปมันคืออะไรกัน

สำหรับคุณผู้หญิงส่วนใหญ่ที่คิดว่าตัวเองมีปัญหาในการเข้าสังคมยามที่คุณเป็นผู้มีน้ำหนักเกิน (ไม่ว่าจะเกินจริงๆ หรือเกินในความคิดของตัวเองก็ตาม) แล้วล่ะก็ กรุณาเอาความรู้สึกนั้นคูณด้วย 10 เข้าไป หากคุณประกอบอาชีพนักแสดงเช่นฉัน

ไม่ได้พูดเกินเลยแต่อย่างใด, เพราะสำหรับคุณคนทั่วไปนั้น ให้อ้วนเท่าอ้วน น้ำหนักพุ่งพรวดทะลุตาชั่งอย่างไร ก็ยังเป็นเรื่องวนเวียนอยู่ในคนรอบๆ ตัวคุณ


แต่ทันทีที่ฉันอ้วน มันกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์บันเทิง

ไปทำงานทุกคนก็รุมถามว่าไปทำอะไรมาตัวใหญ่จัง, โอ๊ย...ไม่ไหวนะ ตัวขนาดนี้, จะเอาอะไรใส่ล่ะเนี่ย, หน้าล้นจอแล้ว ฯลฯ

สรุป, ยังไม่ทันเริ่มงานก็โดนตัดสินซะแล้ว

แย่จัง

ถามว่าฉันเครียดไหม

คำตอบก็คือ ไม่เครียดเท่าไหร่, ก็ในเมื่อฉันรู้ว่าฉันกิน มันก็ย่อมต้องอ้วนเป็นธรรมดา ไม่ใช่ว่าวันๆ กินแต่น้ำแล้วยังอ้วนเอา อ้วนเอา อันนั้นเห็นทีจะอาการหนัก

ไอ้ที่ว่าไม่เครียดเท่าไหร่ ก็คือยังมีอาการแกว่งๆ ปนปลงๆ บ้างว่า, เออ ตัวเรานี่หนอ อายุมาถึงขนาดนี้ระบบระเบียบอะไรในร่างกายมันก็ไม่คึกคักรวดเร็วอย่างตอนสาวๆ

มันก็เท่านั้น

"เป็นคัมภีร์ไบเบิ้ลของหญิงสาวทุกคน ที่ปรารถนาจะใช้ชีวิตอย่างเริดหรูอลังการ"*



ถามว่าฉันอยากสวยไหม? ในเมื่อฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ฉันก็ย่อมอยากสวย

แต่สวยด้วย ตัวใหญ่ด้วยไม่ได้หรือยังไง?

ทำไมพออ้วนแล้วเราจะถูกมองไปว่า ไม่มีวินัย ขี้เกียจ เห็นแก่กิน

และมีความเป็นตัวตลกมากกว่าความเป็นผู้หญิง

ทำไมฉันจะเป็นแบบที่ฉันเป็นไม่ได้ ทำไมฉันถึงต้องไม่ภูมิใจในตัวเอง ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้ไปขอข้าวใครกิน งานการฉันก็ทำเป็น ไม่ได้งอมืองอเท้า ไม่ได้ขี้เกียจหยิบโหย่ง

และฉันเชื่อว่าคุณภาพการทำงานฉันก็ดีกว่าสาวผอมอีกหลายคน

ไม่ได้โกรธเกลียดอะไรสาวร่างบาง ไม่ได้ทำตัวเป็นองุ่นเปรี้ยว แต่ฉันคิดอย่างนี้มานานนักหนาแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ มันยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมาเปรียบเทียบให้เห็นเหมือนเช่นทุกวันนี้เท่านั้นเอง

ทำไมทุกคนต้องผอมตามกัน

หรือว่าเสื้อสมัยนี้ตัดมาเพื่อคนที่ผอมเท่านั้น เมื่อคุณไม่อยากคิดอะไรใหม่ๆ คุณจึงต้องทำตัวให้ผอมพอจะบรรจุตัวเองลงไปในเสื้อผ้าเหล่านั้นได้?

นี่ขนาดฉันไม่ได้อ้วนมะลั่กกั้ก ไปถึงไหนๆ ยังสัมผัสได้ถึงสายตาตัดสินจากคนรอบตัวขนาดนี้ ผู้ที่อ้วนกว่าฉันจะโดนขนาดไหน

ทำไมเราไม่มองคนที่มีความเป็นคน

ฉันจะสนใจการเป็นเทพธิดาไปทำไม ในเมื่อทุกๆ หนังสือแนะนำผู้หญิงก็ยังบอกให้เราแต่งตัว-เพื่อพรางข้อบกพร่อง- หรือแต่งหน้า-เพื่อปิดริ้วรอย-

เราจะแต่งตัวให้เหมาะกับกาละเทศะเฉยเฉย หรือแต่งหน้าเพื่อให้ดูสดใสไม่ได้หรือ?

ใครใครก็บอกว่า ให้เป็นตัวของตัวเอง ให้พอใจที่เราเป็นเรา ให้มั่นใจกับสิ่งที่เราเป็น

ก็ถ้าเราพอใจในตัวเองแล้ว เราจะหยุดหาสิ่งเติมเต็มในชีวิตหรือเปล่า? ดราจะชอบตัวเองได้โดยไม่ต้องซื้อรองเท้าแพงๆ มาใส่ หรือมีกระเป๋าไว้ใช้เยอะๆ อย่างนั้นหรือ?

ก็ถ้ามั่นใจแล้ว มันอยู่บนโลกใบนี้ยากเหลือเกินเล่า?

แล้วเราจะเป็นตัวเองไปเพื่ออะไร

...............................................

* จากข้อความแนะนำบนปกหนังสือ
"The Goddess Guide" เขียนโดย Gisele Scanlon แปลโดย รสวรรณ พึ่งสุจริต ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 มิถุนายน 2553 สำนักพิมพ์วงกลม



.