http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-12-10

"ครูบาศรีวิชัย" จาก ร.ศ.121 ถึง ม.112 โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์

.
มีโพสต์เกี่ยวกับ ม.112 - กาพย์ฉบัง 16 ของ เพ็ญ ภัคตะ : ปล่อยโคม... ปล่อยอากง

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

"ครูบาศรีวิชัย" จาก ร.ศ.121 ถึง ม.112
โดย ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ คอลัมน์ ปริศนาโบราณคดี
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1634 หน้า 76


ครบรอบหนึ่งศตวรรษ จาก 2453 ถึงปัจจุบัน เป็นร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวของชาวบ้าน ที่ถูกสยามกดขี่ข่มเหง เหยื่อผู้บริสุทธิ์เดินแถวเข้าคุกตะราง ถูกทำร้ายทารุณ และโดนสังหารไปถึง 11,135 ราย ภายใต้เงื้อมมือของอำมาตย์สยาม เพียงเพื่อจะข่มขู่ บังคับขับไสให้ชาวบ้านเกรงกลัว

ดังเช่นกรณีคลาสสิคของ "ครูบาศรีวิชัย "

ที่ร้อยปีแห่งความเสื่อมของสถาบันหลัก จนความยุติธรรมไม่หลงเหลืออีกต่อไป นอกเหนือจากความหมายใหม่ที่ว่า "ความเป็นธรรมได้ยุติลงสิ้นแล้ว"

ย้อนหลังกลับไปมองห้วงเวลาแห่งยุคมืดเมื่อร้อยปีก่อน มันคือจุดเริ่มต้นของ "ยุทธการล่าแม่มด ปราบขบถผีบุญ" ในขณะเดียวกันก็คือฉากอวสานแห่งเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ ในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ยุครัฐราชาชาตินิยม

เหยื่อรายสำคัญที่ถูกสั่งให้จับผิดทุกเม็ดทุกฝีก้าว ชนิดอย่าให้มีโอกาสได้เชิดหน้าชูคอ หวนกลับมาทำหน้าที่ "แกนนำ" ปลุกผู้คนในสังคมให้ตาสว่างได้ ก็คือ "ครูบาเจ้าศรีวิชัย"



ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างกบฏกับต๋นบุญ

แม้ภาพลักษณ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยในสายตาของชาวล้านนานั้นท่านเปรียบเสมือน "นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองเหนือ"

แต่ทว่าในมุมมองของชนชั้นนำชาวสยาม กลับเห็นว่าท่านเป็น "กบฏผีบุญ " หรือหัวโจกอันตราย ที่บังอาจเหิมเกริมสร้างอำนาจต่อรอง ปลุกระดม เรียกร้อง ให้พระสงฆ์ทั่วล้านนาเกิดอาการกระด้างกระเดื่องต่อคณะสงฆ์ที่สังกัดมหาเถรสมาคม

ความขัดแย้งระหว่างล้านนาและสยามเริ่มก่อตัวขึ้นตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 5 สภาพของล้านนาถูกปรับเปลี่ยนใหม่ จาก "รัฐประเทศราช" ที่เคยมีอิสระในการปกครอง แต่ละเมืองมีเจ้านายเป็นของตนเอง ต้องกลายมา "มณฑลพายัพ" หัวเมืองหนึ่งของระบบเทศาภิบาล

รัฐบาลกลางประกาศให้ยกเลิกการเรียกชื่อราษฎรว่า "ลาว" ให้เป็น "ไทย" ยกสถานะของข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑลที่ส่งตรงมาจากกรุงเทพฯ ให้มีอำนาจเหนือกว่าเจ้าผู้ครองนครเดิม เจ้าผู้ครองนครล้านนาต้องแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์สยาม กระทั่งได้ยกเลิกการสืบทอดตำแหน่งของเจ้าล้านนาในที่สุด

จุดเริ่มต้นของความไม่พอใจและรู้สึกต่อต้านรัฐบาลกรุงเทพฯ ได้คุกรุ่นขึ้นในกลุ่มชนชั้นเจ้านายฝ่ายเหนือ จากนั้นจึงค่อยๆ แพร่กระจายไปสู่การรับรู้ของประชาชน

กระทั่งอำนาจของสยามได้แผ่ครอบคลุมไปถึงเรื่องการปฏิรูปการศึกษาแผนใหม่ มีการสั่งให้เผาทำลายคัมภีร์อักษรธรรมล้านนาตามวัดต่างๆ

ยกเลิกการเขียนตั๋วเมือง บังคับให้ครูและเด็กนักเรียนพูดภาษาไทยกลาง

เหตุที่ "วัด" คือศูนย์กลางในการถ่ายทอดความรู้ รัฐบาลจึงขอพ่วงเข้ามาจัดระเบียบวงการสงฆ์ด้วย เพราะเห็นว่าเป็นสถาบันที่เข้าถึงราษฎรง่ายที่สุด

เกิดการตราพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 ขึ้นให้เป็นแบบแผนเดียวกันทั่วประเทศ ส่งผลต่อจารีตสงฆ์ดั้งเดิมของท้องถิ่นที่เคยปกครองกันเองโดยอิสระ ต้องถูกบังคับให้มารวมศูนย์อำนาจขึ้นตรงต่อมหาเถรสมาคม ทั้งคำสั่งของกรรมการเถรสมาคมนั้นถือเป็นสิทธิ์ขาดผู้ใดจะอุทธรณ์หรือโต้แย้งไม่ได้

มหาเถรสมาคมใช้วิธี "แบ่งแยกแล้วปกครอง" นับแต่หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา พระสงฆ์ล้านนาบางกลุ่มถูกดึงเข้าไปรับการศึกษาพระปริยัติธรรมที่กรุงเทพฯ ปูนบำเหน็จสมณศักดิ์สูงให้มีหน้ามีตา แล้วส่งกลับมาในฐานะผู้ปกครองสงฆ์ท้องถิ่นที่ต่อสายตรงถึงอำมาตย์ พระสงฆ์กลุ่มนี้มีหน้าที่คอยควบคุมรายงานความเคลื่อนไหวของ "พระบ้านนอก" ให้ซ้ายหันขวาหันเคารพเชื่อฟังองค์กรสงฆ์ส่วนกลาง



มารบ่มีบารมีบ่เกิด ขังได้ก็ขังไป

ข้อหาแรกที่ครูบาโดนยัดเยียดให้ยอมรับผิดคือ เป็นพระเถื่อนที่ไร้อุปัชฌาย์ แท้จริงแล้วพระอุปัชฌาย์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยมีชื่อว่าครูบาแข้งแคระ เป็นพระป่าธุดงค์ที่ไม่มีใบสุทธิจากวัดใดๆ ส่งผลให้ตัวครูบาศรีวิชัยเองก็ไม่มีใบสุทธิโดยปริยาย

สองตัวตั้งตัวตีหลักที่คอยเล่นงานครูบาชนิดกัดไม่ปล่อย คนแรกคือพระมหาอินทร์ เจ้าคณะแขวงลี้ วัดลี้หลวง อีกคนคือหนานบุญเติง นายอำเภอลี้ ทั้งคู่สั่งให้ตำรวจกุมตัวครูบาศรีวิชัยจากวัดบ้านปาง อ.ลี้ จ.ลำพูน ไปกักขังไว้ที่วัดเจ้าคณะแขวงลี้เป็นเวลา 4 คืน ข้อหาส้องสุมพระเณรเถื่อน ถือเป็นกบฏต่อบ้านเมือง

ครูบาศรีวิชัยให้การว่า แต่โบราณมาประเพณีการบวชพระเณรของชาวเหนือมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับนายอำเภอหรือพระอุปัชฌาย์

หากพ่อแม่อนุญาตก็ถือว่าบวชได้ ไม่ผิดจารีตวินัยข้อใด ในขณะที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยมองทะลุถึงเนื้อแท้ของ "การบวช" แต่พวกอำมาตย์กลับยึดติดแค่ "เปลือกนอก"

ปี พ.ศ.2453 มีการสถาปนา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ทรงมีการริเริ่มการปกครองคณะสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล

ในปีเดียวกันนั้นเอง คู่หูดูโอ้ เจ้าคณะแขวงลี้-นายอำเภอลี้ เห็นว่าครูบาเจ้าศรีวิชัยยังไม่ยอมหยุดยั้งพฤติกรรมการเดินสายบวชให้แก่กุลบุตรทั่วล้านนา นำไปสู่การต้องอธิกรณ์ครั้ง 2 ด้วยข้อกล่าวหาใหม่ที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิมว่าเป็น "กบฏในพุทธจักร "

โดยอ้างว่าได้มีหมายเรียกให้ครูบาศรีวิชัยนำพระลูกวัดเข้าร่วมประชุมเพื่อรับทราบกฎระเบียบใหม่ ณ วัดลี้หลวง หลายหนแล้วแต่ครูบาศรีวิชัยไม่เคยยอมเข้าร่วมรับฟังแม้แต่หนเดียว ทั้งๆ ที่วัดบ้านปางก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดลี้หลวง (อันที่จริงเป็นระยะทางไกลกว่า 40 ก.ม.)

คราวนี้ครูบาอ้างว่าท่านอยู่ในระหว่างการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ไม่สะดวกเดินทาง ครั้งที่สองนี้เจ้าคณะแขวงลี้ไม่เล่นงานโดยตรง แต่ส่งให้เจ้าคณะจังหวัดลำพูนไต่สวนแทน ครูบาศรีวิชัยถูกกักขังอยู่ ณ วัดชัยมงคล ใจกลางเมืองลำพูน 23 วัน กว่าจะได้รับการปล่อยตัว

ยัง ยังตามราวีไม่เลิก ครูบาโดนต้องอธิกรณ์ครั้งที่ 3 ด้วยข้อหาใหม่ "ผู้ก่อการกระด้างกระเดื่อง " เจ้าคณะแขวงลี้ได้สั่งให้ครูบาศรีวิชัยนำเอาลูกวัด เจ้าอธิการหัววัด ในตำบลบ้านปางทุกรูป ไปร่วมประชุมที่วัดลี้หลวงอีกครั้ง คือคอยแต่จะหาเรื่องแหย่ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าครูบาศรีวิชัยย่อมแข็งข้อเช่นเดิม

คราวนี้ครูบาถูกนำตัวเข้ามาให้พระครูญาณมงคล วัดมหาวัน เจ้าคณะจังหวัดลำพูน เป็นผู้ไต่สวน ครูบาถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งหัวหมวดวัดบ้านปาง ขีดเส้นตายขั้นเด็ดขาดมิให้มีสิทธิ์เป็นพระอุปัชฌาย์อีกต่อไป พร้อมถูกกักขังที่บริเวณคณะอัฏฐารส วัดพระธาตุหริภุญไชย 1 ปี

เป็นหนึ่งปีที่คณะศรัทธาคนชายขอบหลากหลายชาติพันธุ์ทั้งกะเหรี่ยง ลัวะ โยน ยอง ลื้อ ขึน ชาวเขาเผ่าต่างๆ ขนส้มสูกลูกไม้เข้าออกวัดหลวงกันอย่างคึกคัก

ครูบาต้องอธิกรณ์ครั้งที่ 4 ในข้อหากบฏผีบุญวางแผน "ล้มเจ้า " มาอีกแล้วคู่หูดูโอ้เจ้าเก่า เจ้าคณะแขวงลี้และนายอำเภอกล่าวหาว่า วัดบ้านปางไม่ยอมจัดทำซุ้มถวายพระพรที่ประตูรั้ว ปฏิเสธการตีฆ้องลั่นกลอง ตามประทีปโคมไฟ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช รัชกาลที่ 6

ครูบาศรีวิชัยอ้างว่า วัดคือสถานที่ปฏิบัติธรรม ไม่มีหน้าที่รับใช้คำบัญชาจากส่วนราชการ แม้ภายนอกวัดของท่านจะดูเงียบสงบไม่ตกแต่งโคมประทีปหรือลั่นเภรีมหรสพ แต่ในความเป็นจริงนั้นตัวท่านพร้อมด้วยพระลูกวัดกำลังนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมแผ่เมตตาถวายแด่พระมหาบพิตรรัชกาลที่ 6 เช่นกัน

เมื่อเล่นงานเรื่องไม่แสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์รัชกาลใหม่ที่เพิ่งเสวยราชย์ไม่ได้ จึงต้องงัดแผนสองมาจู่โจมอีก นั่นคือการใส่ร้ายป้ายสี ฝ่ายอำมาตย์ได้ปล่อยข่าวลือบอกต่อๆ กันไปทั่วว่า ครูบาเพี้ยนถึงขนาดอ้างว่าเป็นต๋นบุญ กวัดแกว่งดาบวิเศษจากสวรรค์ให้มาปราบยุคเข็ญ ชาวล้านนาเรียกว่า "ดาบสะหลีกัญไจย" ประหนึ่งผู้มีบุญญาธิการ เป็นนัยว่าตนไม่จำเป็นต้องเคารพพระมหากษัตริย์แห่งสยาม



จาก ร.ศ.121 ถึง ม.112

นับว่าครั้งที่ 4 นี้ครูบาศรีวิชัยโดนจัดหนักกว่า 3 ครั้งแรก คือข้อกล่าวหาที่ว่าตั้งตนเป็นผู้วิเศษเพื่อวางแผน "ล้มเจ้า" ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรและพุทธจักรสยาม จึงถูกกักขังพร้อมกับศิษยานุศิษย์ที่เป็นบรรพชิตอีกราว 300 รูป เป็นเวลา 2 เดือน

ก่อนที่พลโทหม่อมเจ้าบวรเดช (อำมาตย์ขาใหญ่) อุปราชมณฑลพายัพ ให้นำตัวท่านมากักขังต่อที่วัดศรีดอนชัย อำเภอเมืองเชียงใหม่

ข่าวนี้ได้กระจายไปทั่ว จนหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์นำไปเขียนเป็นบทความ ข่าวแพร่หลายไปถึงชาวต่างประเทศที่ตั้งรกรากในเชียงใหม่

ทางมณฑลพายัพ มอบหมายให้หลวงประสานคดีชนคุมตัวท่านลงมากรุงเทพฯ เพื่อไต่สวนความผิดร้ายแรง 8 ข้อ สืบสวนไปสืบสวนมากลับไม่พบความผิด มีแต่เรื่องขี้ฮิดขี้หุย ดาบสะหลีกัญไจยก็คือเรื่องบ้าบอที่กุขึ้นมาคล้ายกับผังล้มเจ้าของปี 2553

แต่แล้วปฏิบัติการล่าแม่มดยังไม่สุดสิ้น ปี พ.ศ.2478 ครูบาถูกนำตัวลงไปกุมขังที่วัดเบญจมบพิตรสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ อยู่นานถึง 1 ปี ต้องอธิกรณ์อีกครั้ง ด้วยข้อหาเดิมๆ คือยังไม่หยุดยั้งการเดินหน้าเป็นพระอุปัชฌาย์ และยังดื้อด้านบวชให้ "พระอภิชัยขาวปี" ศิษย์เอกอีกรอบทั้งๆ ที่เคยถูกจับสึกไปแล้ว

ซ้ำการต้องอธิกรณ์ครั้งสุดท้ายนี้ยังพ่วงข้อหาใหม่เพิ่มอีกว่า อุตริก่อสร้างบูรณะวัดวาอารามต่างๆ โดยไม่มีใบอนุญาตจากกรมศิลปากร

จากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ.121 สู่กฎหมายมาตรา 112 ยุคปัจจุบันล้วนแต่เปิดช่องโหว่ให้เกิดการรังแก "ผู้บริสุทธิ์ "

ครูบาศรีวิชัยติดคุกตั้ง 4-5 ครั้ง รวมแล้ว 3 ปี ความเครียดส่งผลให้มรณภาพเร็วก่อนอายุขัยอันควรด้วยวัยเพียง 60



* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เพ็ญ ภัคตะ : ปล่อยโคม... ปล่อยอากง
จาก www.prachatai.com/journal/2011/12/38353 . . Fri, 2011-12-16 16:32


(กาพย์ฉบัง 16)
ปล่อยโคม... ปล่อยอากง


โคมลอยปล่อยฝันพันธนา สองมือไหว้สา
พระธาตุจุฬามณีสรวง

ไขแขแลเด่นเต็มดวง สาดไฟในทรวง
เผาห้วงเหมันต์ตัณหา

โคมเคลื่อนครืนครั่นสวรรคา สู่ดาวดึงสา
วันทาสัมมาพุทธองค์

ก่อเจดีย์ทรายทลายกรง เย้ยโลภโกรธหลง
ปลดปล่อย "อากง" ชั่วกาล

คืนเสรีภาพทาบผ่าน ทางช้างเผือกสาน
ตำนานกบฏครูบา

พญาผาบปราบยักษ์สยามา ผีบุญผีฟ้า
กดขี่ล้านนานานนม

คือคนชายขอบอกขม ระบอบระบม
โค่นล้มสมบูรณาญา

ปล่อยโคมโอม! เปล่งปณิธาน์ จบห้วงเวหา
ดินฟ้าคุ้มครองคนดี

ขอพรสถูปเกศี จุฬาโมฬี
โลกธาตุธาตรีแดนไตร

ปกปักรักษาธรรมไฉน ยุดเล่ห์เวไนย
คืนไทสู่ไทยเที่ยงธรรม

อ่านโองการแช่งความริยำ ป้ายขาวเป็นดำ
ปรักปรำแปดเปื้อนอัประมาณ

ดาบยื่นคืนดาบสนองศาล ปักอกประจาน
อหังการกองศพพิพากษา

นรกยื่นคืนนรกอมาตยา ตรวนแส้มุสา
ควรค่าโลกันตร์อวิจี

เปลวโคมโหมควันค่ำนี้ ย้ำถ้อยวาที
แผดเผาเหล่ากลีชั่วกาล....

เปลวโคมโหมควันค่ำนี้ ตอกย้ำปณิธี
ปลดปล่อยคนดีชั่วกาล....


หมายเหตุ : การปล่อยโคมลอยของชาวล้านนานั้่นมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ไปกราบสักการะพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ณ เจดีย์จุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์



.