ข้อเท็จจริงที่ต้องรู้ก่อนออกไป "ต่อสู้กับอเมริกาและองค์กรสหประชาชาติ"
โดย ปกป้อง เลาวัณย์ศิริ
ในมติชน ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 19:00:00 น.
หมายเหตุ ปกป้อง เลาวัณย์ศิริ ส่งบทความผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มาร่วมสนทนากับบทความ "ต้องต่อสู้แม้กับอเมริกาและองค์กรสหประชาชาติ" ของวสิษฐ เดชกุญชร ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์มติชนเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม เพื่อหวังจะกระตุ้นให้เกิดความงอกเงยทางความคิดผ่านการถกเถียงแลกเปลี่ยนความเห็นอย่างสันติและมีเหตุผล มติชนออนไลน์จึงตัดสินใจนำบทความดังกล่าวมาเผยแพร่ ดังนี้
ผมได้อ่านบทความ "ต้องต่อสู้แม้กับอเมริกาและองค์กรสหประชาชาติ" ของคุณวสิษฐ เดชกุญชร ที่เผยแพร่ลงมติชนออนไลน์ ในวันที่ 20 ธันวาคม 2554 และเห็นว่ามีความคลาดเคลื่อนหลายส่วน ทั้งในส่วนของข้อเท็จจริงและประเด็นอื่นๆ ในบทความ จึงขอแลกเปลี่ยนมาเป็นประเด็นเหล่านี้ (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1324391460&grpid=no&catid=02&subcatid=0207)
ประเด็นที่หนึ่ง นางคริสตี้ เคนนีย์ (Kristie Kenney) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และนางสาวราวีนา ชัมดาซานี (Ravina Shamdasani) รักษาการโฆษกข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ไม่ได้แสดงความเห็นในกรณีของนายอำพล ...(หรือที่รู้จักกันว่า อากง) ที่ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี ตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) ตามที่คุณวสิษฐเขียนไว้ในบทความ
นางคริสตี้ เคนนีย์ให้ความเห็นใน Twitter เกี่ยวกับกรณีการตัดสินคดีของนายโจ กอร์ดอน ซึ่งเป็นพลเมืองสัญชาติไทย-อเมริกา ส่วนนางสาวราวีนาได้พูดถึงปัญหาของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในภาพรวม
การแสดงความคิดเห็นของนางคริสตี้เป็นไปอย่างสั้นๆ ตามข้อจำกัดของ Twitter ที่สามารถพิมพ์ได้แค่ 140 คำ โดยมีข้อความเป็นภาษาอังกฤษโดยสามารถแปลเป็นภาษาไทยคร่าวๆ ได้ว่า "สถานทูตอเมริกามีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นอย่างสูงสุด แต่รู้สึกเป็นกังวลต่อการตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในด้านเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น" และ "กรณีคดีนายโจ กอร์ดอน สหรัฐฯ จะสนับสนุนเขาต่อไป โดยจะไปเยี่ยมและให้ความช่วยเหลือ"
ส่วนการแสดงความคิดเห็นของนาวีย์ พิเลย์ (Navi Pillay) ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ผ่านนางสาวราวีนามีข้อความดังนี้ "บทลงโทษที่ร้ายแรงที่เป็นอยู่ เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและเกินกว่าเหตุ (neither neccessary nor proportionate) อีกทั้งเป็นการละเมิดละเมิดพันธกรณีทางด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี เราขอเรียกร้องให้ทางการไทยแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และในระหว่างนี้ ควรมีการกำหนดแนวทางการดำเนินการให้แก่ตำรวจและอัยการ เพื่อยุติการจับกุมและดำเนินคดีบุคคลด้วยกฎหมายดังกล่าวที่มีความคลุมเครือ นอกจากนี้เรายังมีความกังวลต่อการลงโทษที่อย่างเกินกว่าเหตุโดยศาล และการคุมขังผู้ต้องหาซึ่งมีระยะเวลานานต่อเนื่องในช่วงก่อนการไต่สวนคดีด้วย"
ดังนั้นการที่คุณวสิษฐไม่ได้อ่านความคิดเห็นของนางคริสตี้ใน Twitter และใบแถลงข่าว (press briefing) ของสำนักข้าหลวงเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ทำให้เหตุผลของบทความมีความคลาดเคลื่อนไปเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเหมารวมว่าสถานทูตสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้มีการแก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งๆ ที่นางคริสตี้เพียงแต่แสดงความเป็นห่วงต่อการตัดสินคดีนายโจ การ์ดอน
ประเด็นที่สอง คุณวสิษฐอ้างถึงหน้าที่ของประชาชนไทยไปพร้อมกับสิทธิเช่นเดียวกันประเทศไทยในฐานะเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและเป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน (Human Rights Council) ก็มีหน้าที่ในการเคารพและปกป้องสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกัน สมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนควรที่จะมี "การส่งเสริมและเคารพสิทธิมนุษยชนในระดับที่สูงที่สุด"
ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) โดยมีการพูดถึงสิทธิในการ "ปล่อยตัวชั่วคราว" และ "การไม่คุมขังบุคคลระหว่างพิจารณาคดี" (ตามข้อ 9) และ "สิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออก" (ตามข้อ 19) ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
ประเด็นที่สาม การตื่นตัวเรื่องการนำกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อประหัตประหารฝ่ายตรงกันข้ามไม่ได้เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ข้อกังวลกับการบังคับใช้กฎหมายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงกับบุคคลสองท่านนี้เท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในระดับสากลและในระดับประเทศในหมู่นักวิชาการ นักกฎหมาย และนักสิทธิมนุษยชน
ในการประชุมการตรวจสอบสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย (Universal Periodic Review) โดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตัวแทนจากรัฐบาลกว่ายี่สิบประเทศ เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตและมีสถาบันกษัตริย์อย่างมั่นคงและยาวนานอย่าง สหราชอาณาจักร นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ และสวีเดนต่างก็แสดงความกังวลถึงการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นอย่างมากและได้เสนอคำแนะนำต่อประเทศไทยให้ปฏิรูปกฎหมายนี้ให้เป็นไปตามกติกาสิทธิมนุษยชนสากลเพื่อไม่ให้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ฯพณฯ ทจาโก ทีโอ วาน เดน เฮาท์ (Tjaco Theo van den Hout) อดีตเอกอัคราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ก็เคยเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ลงบางกอกโพสต์โดยความเห็นส่วนตัวในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย โดย ฯพณฯ ได้ให้ความเห็นว่าในกรณีประเทศเนเธอร์แลนด์ นักวิชาการทางกฎหมายได้แลกเปลี่ยนว่าการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะเป็นผลดีต่อสถาบันหรือไม่ โดยในความเห็นของเอกอัครราชทูตฯ การบังคับใช้กฎหมายหมิ่นในประเทศเนเธอร์แลนด์ "อาจจะมีผลลบที่รุนแรงต่อสถาบันที่กฎหมายนั้นต้องการจะปกป้องเอง"
เช่นเดียวกัน ฯพณฯ มิริท เจล บรัดเทสเต็ด (Merete Fjeld Brattested) อดีตเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทยก็เคยให้ความเห็นใน "การประชุมว่าด้วยประสบการณ์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ: กรณีศึกษาในทวีปยุโรปและประเทศญี่ปุ่น" ที่จัดโดยสถาบันยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี 2552 ว่าในประเทศนอร์เวย์ ประชาชน "ไม่สามารถแจ้งความกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้เอง" ซึ่งมีความแตกต่างจากกรณีประเทศไทยโดยสิ้นเชิง คือ ใครจะแจ้งความกับตำรวจต่อกับอีกคนหนึ่งก็ได้
องค์กรหลายส่วนไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นในการเป็นห่วงการบังคับใช้กฎหมายเช่นเดียวกัน ซึ่งกสม. ได้มีการตั้งคณะทำงานออกมาศึกษาปัญหากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเนื่องจากคดีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้มีจำนวนสูงขึ้นเป็นจำนวนมากในระดับหลายร้อยคดีในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังรัฐประหารในปี 2549 ตามข้อมูลของ ดร.เดวิด สเตร็คฟัส (David Streckfuss) นักวิชาการทางไทยศึกษาด้านกฎหมายหมิ่น
ประเด็นที่สี่ การที่บุคคลมีความเห็นว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีปัญหาในการละเมิดสิทธิแสดงออกและต้องมีการแก้ไข ไม่สามารถใช้ในการตีความแบบกำปั้นทุบดินว่าบุคคลหรือองค์กรเหล่านั้น "พยายามทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" หรือมีเจตนาเช่นนั้น
แม้แต่บุคคลอย่างอาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ หรืออดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน ที่มีความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างสูงอย่างปฏิเสธไม่ได้ ก็ได้แสดงความคิดเห็นถึงปัญหาของตัวบทกฎหมาย โดยกรณีหลังอดีตนายกฯ อานันท์ได้แสดงความเห็นที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่าเขาเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายมีความรุนแรงเกินไป โดยเฉพาะการฟ้องร้องที่เปิดโอกาสให้ใครกล่าวโทษก็ได้ และเสนอว่าอาจมีการตั้งหน่วยงานในการทำหน้าที่สั่งฟ้องโดยเฉพาะ และพิจารณาลดบทลงโทษให้ผ่านคลายกว่าเดิม
ที่สำคัญ บุคคลและองค์กรเหล่านี้กำลังวิจารณ์ตัวบทกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายที่มีความขัดแย้งต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ที่ผู้ต้องหาคดีควรมีสิทธิในการประกันตัว ควรได้รับโทษที่มีความพอดี สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนในสังคมโลกสามารถทำได้
และที่สำคัญที่สุด ในสังคมที่มีความเติบโตทางประชาธิปไตยและยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง เราคงไม่ถึงต้องทำการต่อสู้กับบุคคลหรือองค์กรที่เราไม่เห็นด้วยทุกครั้งไปหรอกครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถอ่านบทความนี้ที่มีโพสต์ความคิดเห็นตอนท้าย ได้ที่ www.prachatai.com/journal/2011/12/38417
++
อนันตริยกรรม: พุทธศีลธรรมกับการไล่คนออกจากบ้าน
โดย วิจักขณ์ พานิช
ในเวปไวต์ ประชาไท . . Wed, 2011-12-21 19:59
อนันตริยกรรมคืออะไร ?
อนันตริยกรรม หมายถึง กรรมหนักที่สุด หรือ ครุกรรม ที่ให้ผลต่อผู้กระทำกรรมในทันที ไม่มีระหว่างคั่น ในทางพุทธศาสนามีอยู่ด้วยกัน 5 อย่าง ได้แก่
1.มาตุฆาต - ฆ่ามารดา
2.ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา
3.อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์
4.โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงขั้นเลือดตกยางออก
5.สังฆเภท - ทำให้ชุมชนสงฆ์แตกแยก
ซึ่งจะว่าไปแล้ว อนันตริยกรรมทั้งห้าข้อเป็นเพียงการขยายความจากข้อประพฤติปฏิบัติโดยทั่วไปของชาวพุทธ ทั้งของพระและฆราวาส กล่าวคือ ละเว้นจากการฆ่า การปองร้ายบุคคลอื่น ทว่าเพิ่มลักษณะการชี้เฉพาะให้เห็นถึงความรุนแรงของผล อันจะเกิดต่อจิตใจของผู้กระทำเองอย่างหนัก หากผู้ถูกกระทำเป็นบุคคลซึ่งผูกพันกับตนในทางสายเลือด (พ่อ-แม่) และในทางจิตใจอันตื่นรู้และเปิดกว้างของตน (พุทธะ) อย่าง พระอรหันต์ และพระพุทธเจ้า
ส่วนสังฆเภทนั้นเป็นอนันตริยกรรมข้อเดียวที่จัดว่าไม่เป็นสาธารณะ (อสาธารณอนันตริยกรรม) กล่าวคือไม่ถือเป็นข้อปฏิบัติโดยทั่วไป ภิกษุคือบรรพชิตเท่านั้น จึงจะสามารถกระทำสังฆเภทอนันตริยกรรมในชุมชนสงฆ์ที่ตนอยู่
หลักอนันตริยกรรม แม้จะพูดถึงการกระทำที่ถูกมองว่าร้ายแรงห้าประการในความสัมพันธ์เชิงบุคคล แต่ก็ไม่ได้กำหนดขึ้นเพื่อแสดงถึง “สถานะความเป็นที่เคารพสักการะ และล่วงละเมิดไม่ได้” ของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือบุพการีผู้ให้กำเนิด “ในทางสังคม” แต่อย่างใด
การแก้ไขกฏหมายมาตรา ๑๑๒ เป็นอนันตริยกรรม ?
ในบทความ “ต้องต่อสู้แม้กับอเมริกาและองค์กรสหประชาชาติ” โดย วสิษฐ เดชกุญชร มีเนื้อความตอนหนึ่งเปรียบข้อเสนอให้แก้ไขกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๒ หรือกฏหมายหมิ่นฯ ว่าเป็น “อนันตริยกรรม ที่คนไทยไม่อาจให้อภัยได้ ” หากลองวิเคราะห์บทสรุปดังกล่าว อาจพอมองเห็นได้ว่า อนันตริยกรรมในทัศนะของผู้เขียนบทความดังกล่าว ตั้งอยู่บนสมมติฐานดังต่อไปนี้
1. การตีความหลักศีลธรรมทางสังคม รวมถึงหลักกฏหมายที่ถูกต้อง ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักคำสอนทางพุทธศาสนา
2. คำสอนทางพุทธศาสนาเป็นความจริงสูงสุด
3. นัยของการตีความหลักศีลธรรมทางสังคมผ่านคำสอนทางพุทธศาสนา (ในที่นี้ คือ หลักอนันตริยกรรม)
3.1 สะท้อนการมองสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นดั่งพ่อและแม่จริงๆ ในแง่ตัวบุคคลที่ผูกพันกันทางสายเลือด ไม่ใช่ในเชิงสัญลักษณ์ หรือสถาบันทางสังคม
3.2 สะท้อนการมองว่าการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะและล่วงละเมิดมิได้ เท่ากับกับการฆ่า
3.3 สะท้อนการเทิดทูนความบริสุทธิ์และสูงส่งของพระมหากษัตริย์ ดั่งพระอริยเจ้า พระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า
3.4 สะท้อนการมองราชอาณาจักรที่ประกอบด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรม และศาสนา ดั่งชุมชนสงฆ์ และมองกฏหมายเป็นดั่งวินัยสงฆ์ ที่หากใครละเมิด หรือมีความคิดเห็นที่แตกต่าง จะถูกมองว่าทำให้สงฆ์แตกแยก (สังฆเภท) อันถือเป็นอนันตริยกรรมอย่างหนึ่ง
3.5 สะท้อนการมองอนันตริยกรรม ว่าเป็นเรื่องเดียวกับการละเมิดอาบัติปาราชิกของสงฆ์ ผลคือ “ไม่สามารถให้อภัยได้” ต้องถูกลงโทษสถานเดียว นั่นคือการถูกขับออกไปจากสังฆมณฑล (ซึ่งในที่นี้คือราชอาณาจักรไทย)
ในทางพุทธศาสนา หลักอนันตริยกรรมเป็นเพียงการชี้ให้เห็นถึงประเภทของกรรม ที่หากกระทำต่อผู้มีความผูกพันใกล้ชิดต่อจิตใจของตน (ในแง่ปัจเจกบุคคล) ย่อมส่งผลเป็นกรรมหนักในทันทีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อนันตริยกรรมเป็นเพียงการสะท้อน “เหตุและผล” ตามประสบการณ์การลองผิดลองถูกของปุถุชนตามที่เป็นจริง โดยปราศจากนัยของการข่มขู่ การลงโทษ หรือการพิพากษาตัดสินความดี-เลวของบุคคลในทางสังคมเลยแม้แต่น้อย แตกต่างจากกรณีการบังคับใช้กฏหมายมาตรา ๑๑๒ ในสังคมไทย อันประกอบด้วยนัยดังกล่าวอย่างครบถ้วน
นอกจากนั้นบทความของวสิษฐ ยังเป็นการพยายามนำเอาคำสอนทางศาสนามาอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ในลักษณะ “ขู่ให้กลัว ” โดยเปรียบกลุ่มคนที่ออกมาเสนอให้ทบทวนแก้ไขกฏหมายมาตรา ๑๑๒ ตามวิถีทางประชาธิปไตย ว่ากำลังก่ออนันตริยกรรม ซึ่งถือเป็นตัวอย่างของการนำคำสอนทางศาสนา มารับใช้อุดมการณ์ทางการเมืองแบบราชาชาตินิยมล้นเกิน (Hyper-Royalism) จนทำให้คำสอนทางศาสนากลายเป็นส่วนหนึ่งของคำสาปและอาวุธสงครามที่ใช้ปราบปราม ประชาชนที่เห็นต่าง จนพวกเขาถูกประณามว่าเป็น “คนไทยอกตัญญูเนรคุณจำนวนหนึ่งที่กำลังพยายามทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตามคำของวสิษฐ ซึ่งก็ดูจะเป็นประชาชนกลุ่มเดียวกันกับที่ “หากคิดว่ากฏหมายไทยไม่เท่าเทียม ก็ให้ไปอยู่ต่างประเทศ” ตามคำสัมภาษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก นั่นเอง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อ่านบทความและความคิดเห็นตอนท้าย ได้ที่ www.prachatai.com/journal/2011/12/38417
.