http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-12-24

ทราย:คิม จอง อิล, ณรงค์: คืนวัง, นพ.ประเสริฐ: คัฟคา/คดีความ

.
มีโพสต์เป็นบทความที่ 4 อัลบั้มคริสต์มาส Frank Sinatra-Dave Koz และอันดับ 1 จาก Michael Buble โดย วารี วิไล

_______________________________________________________________________________________________________



ฯลฯ


.................................

"ลายมือไม่สวยก็ชนะเลือกตั้งได้ สู้ๆ ครับนายกฯ เด็กเขาก็ไม่มีปัญหาอะไร มีแต่พวกผู้ใหญ่นี้แหละ ตินั่นนี้ ไม่ไปฆ่าใครก็ทำไปเถอะครับ ไม่ผิด กฎหมาย"

"เนี่ยละนะคนไทย นั่งขี้ผิดท่า มันคงมาด่ากันในเฟสด้วยมั้ง"

"พวกอกหัก แค่ชนะยังไม่มีวันเลย อิอิ"

_______________________________________________________________________________________________________


"รัก" และ "ตาย" คิม จอง อิล
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1636 หน้า 80


คิม จอง อิล ตายแล้ว
ผู้นำสูงสุด ทายาทของ คิม อิล ซุง ผู้สร้างความเป็นเกาหลีเหนือตายแล้ว
แม้การตายของเขาจะไม่ถือเป็นการตายสำหรับประเทศของเขา แต่เป็นการเปลี่ยนสภาพไปสู่สิ่งที่สูงส่งกว่า จาก "ท่านผู้นำที่รัก" (หรือ Dear Leader) ไปสู่ความเป็น "ท่านผู้นำซึ่งเป็นอมตะตลอดกาล" (หรือ Eternal Leader)
แม้ร่างของเขาจะถูกคงสภาพเก็บรักษาไว้ตามความเชื่อที่มีต่อผู้นำในลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่เขาก็ตายแล้ว
จากไปจริงๆ
ไม่มีวันหวนคืน


"นับแต่จุดเริ่มต้นแห่งกาลเวลา ความลับที่มีอยู่เสมอคือจะตายอย่างไร"*

ต่อให้เป็นสัญลักษณ์หนักแน่นขนาดไหน

ต่อให้ผู้คนของท่านจะรักท่านเพียงใด

ต่อให้สร้างภาพพจน์ของท่านจนวิเศษเลิศลอยอย่างไร

ท่านก็ต้องตาย

เหมือนใครๆ



ฉันเคยนั่งดูสารคดีว่าด้วยเกาหลีเหนือภายใต้การปกครองเผด็จการเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของตระกูลคิม

มันมีความรักแบบคลุ้มคลั่งอยู่อย่างไม่น่าเชื่อ

มันเป็นประเทศที่แป้นพิมพ์เครื่องหมายปรัศนีคงถูกถอดทิ้ง

ความสงสัยคงผิดกฎหมาย และคำว่า "ถ้า" หรือ "ทำไม" นั้นผิดบาปและหยาบคายอย่างที่สุด

เราอ้างความรักความศรัทธาเพื่อพลังอำนาจอันรุนแรง
ความรักนั้นจะเลวร้ายได้อย่างไร
มันสวยงาม มันทำให้โลกสดใส มันทำให้เรามีกำลังใจ
ความศรัทธานั้นเล่าก็คือความรักที่ลึกซึ้งยิ่งไปเสียกว่า
รักและยินดียอมตามโดยไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไข
มันเหนือกว่าความเชื่อใดๆ และใช่ว่าจะทำได้ทุกคน
โดยปราศจากการโฆษณาชวนเชื่อ


แต่สำหรับคนที่เคยอกหักคงจะรู้ดีว่าความรักนั้นทำร้ายเราได้อย่างสาหัส

เราจะมืดมัว ตาบอดเป็นใบ้ เราจะลำเอียงเข้าข้างคนที่เรารักอย่างสุดใจ เราจะไม่สนเหตุผลอะไรใดๆ ที่คนอื่นพูด หากมันจะเป็นการให้ร้ายต่อคนรักและความรักของเรา

ฉันอยากถามคนที่เกาหลีเหนือจริงๆ คนที่เขารัก เขาบูชา เทิดทูน เคารพ เชื่อฟังผู้นำของเขา

ฉันอยากถามว่าเขารักจริงๆ ใช่ไหม? ทำไมถึงรักคลั่งไคล้ได้เพียงนั้น? เขามาทำอะไรให้ หรือเพราะใครๆ ก็รัก และบอกให้รักเลยรักไปกับเขาด้วย

หรือว่ากลัว

กลัวว่าถ้าไม่รักแล้วจะโดนทำร้าย?


ในขณะที่ความรักมีอานุภาพจนกำหนดทิศทางและชีวิตคนเกาหลีเหนือได้ขนาดนั้น

การปฏิเสธไม่รับรักหรือไม่รักตอบดูจะร้ายแรงยิ่งกว่า

บทลงโทษนั้นเกินเลยจนไม่ธรรมดา มันแทบจะกลายเป็นความป่าเถื่อนที่ได้รับความเห็นชอบจากคนอื่นๆ ที่หลงรักด้วยซ้ำ และกลายเป็นว่าคนไม่รักนั้นผิด

ทำไมหนอ...ในเมื่อเราต่างก็รู้กันดีว่าความรักนั้นบังคับไม่ได้ ฝืนใจก็ไม่ดี

ไอ้ประเภทถึงร้ายก็รักและทำตัวร้ายๆ ใส่แต่สุดท้ายก็รักกัน มันควรจะมีแต่ในละครเท่านั้นไม่ใช่หรือ



สําหรับคนทั่วไป ความตายก็คือความตาย

ภาพของเขาอาจจะยังอยู่ในความทรงจำของใครบางคน

หากเขาทำสิ่งยิ่งใหญ่

ชื่อของเขาและสิ่งที่เขาทำจะยังอยู่ในใจใครหลายๆ คน

แล้วก็อาจจะลืมเลือนกันไป กลายเป็นเพียงชื่อที่เอาไว้อ้างถึงเวลาเกิดเหตุการณ์หรือถึงวันสำคัญ

แต่สำหรับผู้นำเกาหลีเหนือนั้น ภาวะผู้นำและความนับถือจะคงอยู่ไปตลอดกาล

ต่อให้ในสายตาของเราๆ ชาวโลกจะไม่ได้เห็นว่าเขาทำประโยชน์อะไร นอกจากบังคับความรักของคนในประเทศ

และสร้างภาพให้การแสดงความจงรักภักดีจากผู้คนของเขานั้น ออกมาทำให้เรารู้สึกถึงความคลั่งไคล้ในระดับผิดปกติ เขาก็จะยังได้รับการพูดถึง ความเคารพ ความรัก ความนับถือสูงสุดเช่นเดิมไปตลอดกาล

"นับจากสงครามครูเสดมาถึงระบบศาลศาสนาไปจนถึงระบบการเมืองอเมริกัน พระนามแห่งพระเยซูได้ถูกปล้นไปใช้เป็นดั่งพันธมิตรในการต่อสู้เพื่ออำนาจทุกประเภท ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกาลเวลา ผู้โง่เขลามักจะร้องเสียงดังที่สุดเสมอ กวาดต้อนกลุ่มชนผู้พาซื่อและบีบบังคับให้ทำตามคำสั่งของพวกตน ปกป้องความปรารถนาทางโลกของตนโดยอ้างพระนามของพระองค์"*

การสืบอำนาจในเกาหลีเหนือนั้น

ดูเหมือนจะเลือกเอาแต่ความสุดขั้วจากระบอบการปกครองทั้งแบบเผด็จการและราชวงศ์มาผสมกัน

การส่งต่ออำนาจจากพ่อถึงลูก การเอื้อประโยชน์แต่ในพรรคพวก การมีนโยบายสุดขั้วและไม่สนับสนุนเสรีภาพหรือสิทธิมนุษยชน การรวมศูนย์อำนาจ การยกตนขึ้นเป็นสมมติเทพ

นี่มันเกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจได้ และเป็นโชคร้ายอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องอาศัยอยู่ภายใต้การปกครองแบบนี้ ประเทศที่แค่คิดก็ผิดแล้ว และความอยุติธรรมนั้นไม่ได้จบลงที่ความตายของใครคนใดคนหนึ่ง ความบ้าคลั่งยังดำเนินต่อไป

แต่ใครจะรู้, ผู้คนในประเทศนั้นอาจจะสบายดีก็ได้

และเขาอาจไม่เข้าใจว่าเราจะไปเดือดร้อนอะไรกับเขานักหนา

มันก็มักจะเป็นเช่นนั้น คนเรามักจะเห็นคนอื่นชัดกว่าตัวเอง

"สิ่งที่เราทำเพียงเพื่อตัวเราย่อมตายไปกับเรา สิ่งที่เราทำเพื่อผู้อื่นและเพื่อโลกนี้ จะยืนยงและเป็นอมตะ" *


* * * * * * * * * * * * * * *
*ข้อความจากในหนังสือ
"สาส์นลับที่สาบสูญ" (The Lost Symbol) เขียนโดย แดน บราวน์ แปลโดย อรดี สุวรรณโกมล ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยแพรวสำนักพิมพ์ มีนาคม, 2553



++

คืนวัง
โดย ณรงค์ จันทร์เรือง คอลัมน์ ศุกร์สราญ
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1632 หน้า 60


ลงรถทัวร์ที่สถานีขนส่งหมอชิต จูงมือลูกชายกำพร้าแม่ขึ้นแท็กซี่ มีจุดหมายปลายทางใกล้ๆ ที่ซอย 5 ถนนวิภาวดีรังสิต ท่ามกลางรถราคับคั่ง เสียงอึกทึกครึกโครมดังลอดกระจกเข้ามา น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเราจนเหลียวซ้ายแลขวาแทบไม่หยุดหย่อน

ภาพเก่าๆ หวนคืนเข้ามาในความทรงจำเหมือนเพิ่งเคยอุบัติขึ้นเร็วๆ นี้เอง

สมัยเด็กๆ เท่ากับลูกชายตอนนี้ ผมเคยวิ่งเล่นแทบทุกซอกทุกซอยของหมู่บ้าน โรงงานยาสูบ 1 นานๆ ถึงจะได้ข้ามถนนที่ยังชื่อซูเปอร์ไฮเวย์ไปซอยยาสูบ 2 เมื่อแม่พาไปบ้านเพื่อน ตนนั้นยังมีช่องว่างกลางเกาะทั้งสองฝั่ง ป้ายรถเมล์ลุ่นๆ ไร้หลังคาและเก้าอี้โดดเด่นอยู่ที่ริมคูตรงปากซอย

รถราแล่นผ่านรวดเร็ว นานๆ ถึงจะมีรถเข้ามาในหมู่บ้าน หรือไม่เก็เลยไปสุดซอยแล้วเลี้ยวขวาผ่านพงหญ้ารกทึบ มีเพิงคนงานก่อสร้าง 2-3 หลัง เกิดเรื่องร้ายๆ ให้ตำรวจจาก สน.บางซื่อต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไม่หยุดหย่อน

ขี้ยาหลบมุมเข้าไปสูบเฮโรอีน คนร้ายดักจี้กับวิ่งราว สาวๆ ผ่านมาคนเดียวยามค่ำคืนมักถูกลากเข้าไปข้างในข่มขืนจนถึงฆ่าทิ้ง วัยรุ่นยกพวกตีกับคนงานก่อสร้าง บางครั้งมีพนักงานจากรถขนส่งเข้าร่วมวงไพบูลย์ด้วย ตำรวจค้นได้อาวุธทั้งดาบ พร้า มีดปลายแหลม เหล็กขูดชาร์ฟ แม้แต่ปืนไทยประดิษฐ์ที่เรียกคอร์ลตราควาย เรียงรายให้เห็นเต็มจอและหนังสือพิมพ์

จากที่นั่น ถ้าไม่เลี้ยวขวาเข้าทีวีช่อง 7 ก็เข้าสถานีขนส่งหมอชิตเดิม

ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แม้แต่เส้นทางที่กำลังผ่านสวนจตุจักรไปสู่ถิ่นเดิมก็เช่นกัน!


ตะวันลอยสูงขึ้นทุกที รถรากับผู้คนไม่รู้ว่าหลั่งไหลมาจากไหน แท็กซี่เลี้ยวซ้าย ยูเทิร์นนิดหน่อยที่ใต้สะพานลอย เลี้ยวเข้าทางแคบๆ ริมรั้วตลาด อ.ต.ก. ตรงหัวมุมเคยมีร้านสุกี้โอ่อ่า แต่เกิดอุบัติเหตุกลางดึกเมื่อรถผสมปูนแล่นขึ้นจากถนนพหลโยธิน หลุดโค้งกลางสะพานที่จะเลี้ยวขวาลง พุ่งทะยานเข้าใส่ชั้นสองของร้านสุกี้ คนงานที่นอนหลับอุตุตายคาที่ เด็กรถคอขาดลงไปนอนละเลงเลือดรวมสองศพด้วยกัน

ร้านข้าวต้มปลานายสนั่นเคยขวางหน้าอยู่นั่น แต่กลายเป็นอดีตไปแล้ว แท็กซี่เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง หาทางเบียดเข้าเลนในเพื่อเลยทางยูเทิร์นไปสะพานควาย...เขาได้ไฟเขียวเลี้ยวขวาเข้าพหลโยธินซอย 18 ที่อยู่ติดกับกำแพงกรมขนส่งทางบก เลยไปคือโรงเรียนปัญจทรัพย์ เรียกกันว่า "ซอยปัญจะ" กันจนติดปาก

ที่ริมรั้วนั่นมีต้นโพธิ์ใหญ่สองต้นมาหลายสิบปีแล้ว บางคนก็เรียก "ซอยเจ้าพ่อโพธิ์"

กาลเวลาทำให้ดูใหญ่โต สูงทะมึน แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม มีผ้าเหลืองผ้าแดงคาดอยู่แพรวพราว ธูปเทียนกับตุ๊กตาดินเผาเกลื่อนกลาด ต้นโพธิ์ล้ำเข้าไปในเขตกรมขนส่งฯ นิดหน่อย แต่เวลาสร้างกำแพงไม่มีใครกล้าโค่นทิ้ง ต้องทำรั้วสังกะสีเว้าเอาไว้ทั้งสองต้น... ตอนนี้กลายเป็นกำแพงถาวรแล้ว เพราะเกรงฤทธิ์เดชเจ้าพ่อโพธิ์

ลูกชายผมชะเง้อมองจนเหลียวหลัง ก่อนจะหันมาถามว่า "ผีดุใช่มั้ยฮะ?" ผมยกนิ้วจุ๊ย์ปากห้ามลูก ใจกำลังระทึกเมื่อใกล้จุดหมายเข้าไปทุกที!


สุดทางที่เป็นสามแยก ทางขวาคือสุทธิสารซอย 15 ทางซ้ายดูเผินๆ ก็เหมือนเดิม แต่ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนนั้นเคยมีศาลพระภูมิแปลกๆ อยู่ที่นั่นนี่นา...ถ้าใครเห็นว่ามีศาลพระภูมิสองหลังตั้งเด่นอยู่ติดๆ กันในซากตึกไม่ใช่เรื่องประหลาดก็แล้วไป

มีโรงเรียนของกรมขนส่งอยู่ทางขวา ดูใหม่เอี่ยมเรี่ยมเร้น่ามอง ก่อนจะผ่านทางแยกที่เคยชื่อซอยร่วมศิริมิตร เดี๋ยวนี้กลายเป็นซอย 3 ยาวเหยียดไปออกถนนวิภาวดีตรงข้ามกับซอยโชคชัยร่วมมิตรในอดีตพอดี

ว่าแต่มีอะไรบางอย่างที่เคยคุ้นตามาเนิ่นนานนะ ค่อนข้างใหญ่โต โอ่อ่าตั้งแต่ผมยังเด็ก จนเป็นหนุ่มฉกรรจ์ด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับสูญหายไปไม่เหลือร่องรอยให้เห็นเลย?

อาการหลงๆ ลืมๆ ของคนวัยใกล้จะห้าสิบไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรหรอกน่า ถ้านึกไม่ออกก็แล้วไป ทำใจเสียว่ามันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรที่สมองก้อนเล็กๆ จะต้องเจียดเนื้อที่เพื่อจดำใส่ใจ แต่บางเรื่องจู่ๆ มันก็ผุดวาบขึ้นมาเองดื้อๆ

เมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้ข้างสระบัว พี่สาวของพ่อวัย 70 ก็เดินมาเกาะประตูรั้ว เรียกชื่อแล้วร้องถามว่า...บ้านป้าไปทางไหน? ผมรีบลุกไปหบอกให้ป้าเดินตรงไปทางซอยใหญ่ เลยสี่แยกแล้วคอยมองดูบ้านที่มีกล้วยไม้เยอะๆ นั่นแหละบ้านป้าละครับ

ผมขนลุกขนชันเมื่อนึกถึงวัยชราโหดเหี้ยมที่มันย่ำยีมนุษย์เราไม่มีปรานีปราศัยหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะความทรงจำเสื่อมที่อยู่ๆ มันก็เกิดขึ้น จู่ๆ ก็กลับมาหากะทันหัน...อย่างนี้ตอนนี้ปะไร!

โรงแรมซูเปอร์ไฮเวย์ไง ที่สาบสูญไปราว 10 ปีมาแล้วน่ะ

ชั้นบนเป็นที่พักแรมของคนเดินทาง ส่วนชั้นล่างที่มีทั้งอาคารใหญ่กับตึกแถวยาวเหยียดชั้นเดียว เป็นห้องเช่ารายชั่วโมง หรือที่รู้จักกันในชื่อ "โรงแรมม่านรูด"

สมัยที่ยังรุ่งเรืองเฟื่องฟูเมื่อ 20-30 ปีก่อน มีเพื่อนฝูงจากต่างจังหวัดมาเช่าห้องคราวละ 2-3 คืน เราก็นัดพบกันในคอฟฟี่ช็อปที่เป็นอาคารเล็กๆ ด้านหน้า แขกส่วนมากมักพักอยู่ที่นั่น บางครั้งมีหนุ่มสาวมาซดเบียร์อุ่นเครื่องกัน บางคราวก็มีสาวมาดูดน้ำส้มอ่อยเหยื่ออยู่เดียวดาย...แต่เราชอบชวนกันไปท่องราตรีแถวพัฒน์พงศ์หรือสุขุมวิทมากกว่า

อพาร์ตเม้นต์หรูหรา 5-6 ชั้นดูเหมือนจะแปลงโฉมไปแล้ว...ถนนค่อนข้างโล่งว่างจนผมมองแทบไม่ทัน!



ใกล้จะถึงปลายทางเต็มทีแล้ว...

แสงแดดจัดจ้านของฤดูหนาวทำให้สรรพสิ่งดูสว่างไสว มีชีวิตชีวาน่าผาสุกนักราวกับไม่เคยมีเรื่องร้ายกาจอุบัติขึ้นที่ละแวกนี้มาก่อน...ซอยขวามือข้างหน้าดูเหมือนจะทะลุไปถึงจุดหมายได้ แต่ผมก็ไม่คุ้นเคยกับมันมาก่อน

ถ้าไม่ออกทางวิภาวดีก็ทางช่อง 7 สี ผมเลยนั่งนิ่งๆ จนคนขับเงยหน้ามองทางกระจกถึงได้บอกให้เลี้ยวขวาตรงที่คิดว่าสุดเขตสถานีทีวี มุ่งหน้าไปตามซอยยาสูบ 1 ในอดีตจนมองเห็นป้ายซอย 5/5 ถึงได้บอกแท็กซี่ให้เลี้ยวขวาไปตามทางนั้น

แทบจะอึดใจต่อมาผมก็มาถึงบ้านประตูสีฟ้าขวามือ ลูกชายผลักประตูรถวิ่งถลาเข้าไปก่อน เสียงหมาเห่าขรมขณะที่ผมจ่ายค่าแท็กซี่แล้วหิ้วกระเป๋าเดินทางตามลงไป

ทั้งๆ ที่หนีภัยน้ำท่วมใหญ่ไปเช่าโรงแรมอยู่เชียงรายแค่ 2 อาทิตย์ ทำไมผมถึงได้รู้สึกเหมือนนกหลงรังไปเนิ่นนานถึง 20 ปีก็ไม่รู้เหมือนกัน!



++

ครั้งสุดท้ายกับคัฟคา : คดีความ
โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ คอลัมน์ การ์ตูนที่รัก
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 09 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1634 หน้า 79


หนังสือการ์ตูน KAFKA ผลงานของ Robert Crumb และ David Zane Mairowitz เล่าประวัติของคัฟคาสลับกับนวนิยายบางเรื่องของเขาอย่างน่าสนใจ

เป็นที่ทราบกันว่าคัฟคาเขียนบันทึกทุกวัน เขียนจดหมายถึงผู้หญิงที่รักในแต่ละห้วงเวลาจำนวนมาก และเขียนนวนิยายจากแรงบันดาลใจของชีวิตจริง

"งานของคาฟคาส่วนใหญ่จะสะท้อนปัญหาชีวิตส่วนตัวซึ่งเกาะกินใจเขาตลอดเวลา คาฟคาต้องต่อสู้กับปัญหาอันเกิดจากความขัดแย้งซึ่งเขาหาทางออกอื่นใดไม่ได้นอกจากการประพันธ์" จากหนังสือ ฟรันซ์ คาฟคา : ชีวิตและวรรณกรรม เขียนโดย ถนอมนวล โอเจริญ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2533

ครั้งสุดท้ายของการ์ตูนที่รักกับคัฟคาขอยกตัวอย่างเรื่อง The Trial จากชื่อภาษาเยอรมันว่า Der Prozess ซึ่งแปลว่า trial ก็ได้หรือ process ก็ได้


นวนิยายเริ่มเรื่องคล้ายกับเรื่อง The Metamorphosis ที่ เกรเกอร์ แซมซา ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งพบว่าตนเองเป็นแมลง เรื่องนี้ โยเซฟ คา ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งพบว่ามีชายสองคนมาจับกุมเขา
"คุณเป็นใคร" คาลุกนั่งถาม
"คุณถูกจับแล้ว" ชายสองคนว่า
"ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น แต่ทำไม?" คาถามต่อ
"ผมไม่ได้รับอนุญาตให้บอกคุณ กระบวนการจัดการคุณจะเริ่มขึ้นแล้วคุณจะได้รับการบอกกล่าวทุกอย่างระหว่างนั้นเอง" ชายสองคนตอบ

แต่เหตุการณ์จะไม่เป็นเช่นนั้น โยเซฟ คา เป็นเหมือนเกรเกอร์ แซมซา นั่นคือพยายามจะปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เขาพยายามหาว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างลำบากยากเย็นซึ่งลงเอยด้วยความไม่รู้อะไรอยู่ดี

การ์ตูนใช้เนื้อที่เพียงหนึ่งหน้าสำหรับการเริ่มเรื่อง ขณะที่บทที่หนึ่งในนวนิยายกินความยาวหลายหน้าและยอกย้อนซ่อนเงื่อนอย่างมาก กว่าชายแปลกหน้าสองคนจะตอบตรงคำถามไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ยากยิ่งกว่านั้นคือพวกเขาตอบไม่ตรงคำถามเท่าไรนักอยู่ดี

นวนิยายจะเล่าเรื่อง โยเซฟ คา พยายามหาข้อมูลและช่วยเหลือตนเองอย่างไรระหว่างที่เขาถูกป้อนข้อหาอะไรบางอย่างซึ่งทั้งเขาและคนอ่านก็ไม่ชัดเจนนักว่าคืออะไร เขาจะได้พบตัวละครจำนวนมากมายทั้งแม่บ้าน สาวใช้ เพื่อนร่วมบ้าน คุณลุง ทนาย ผู้อำนวยการสำนักทนาย หัวหน้างาน ฯลฯ ซึ่งดูเหมือนน่าจะง่ายๆ แต่สุดท้ายเขาไม่ได้รับความกระจ่างอะไร หรือมีหนทางต่อสู้กับ "การถูกกระทำ" ทั้งหมดนี้อย่างไร นวนิยายเขียนเรื่องทั้งหมดนี้ยาวเก้าบท

แต่การ์ตูนจะข้ามไปทั้งหมดแล้วไปเริ่มที่ตอนท้ายของบทที่ 9 ซึ่งเป็นตอนสำคัญที่อ่านยากอย่างยิ่งครั้งที่เป็นนวนิยาย อ่านง่ายขึ้นมากเมื่อเป็นการ์ตูน แม้ว่าจะขาดการตีความและสนทนาอันลุ่มลึกในตอนท้ายบทแต่ก็ยังได้อะไรบ้างพอสมควร


โยเซฟ คา ไปพบบาทหลวง บาทหลวงเล่าเรื่องชายบ้านนอกและชายเฝ้าประตูกฎหมายให้เขาฟัง การ์ตูนใช้เนื้อที่ 3 หน้าเล่าเรื่องตอนนี้ รายละเอียดช่วงนี้ขอใช้สำนวนแปลจากหนังสือแปลเรื่อง คดีความ แปลจากต้นฉบับภาษาเยอรมันโดย ดวงพร พงษ์โสภาวิจิตร ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2546 ซึ่งแปลไว้อย่างยอดเยี่ยม

"เรื่องเกี่ยวกับศาล ในหนังสือกฎหมายมีบทนำอยู่บทหนึ่งพูดถึงเรื่องการหลอกตัวเองไว้ว่า

ที่หน้าประตูกฎหมายมีชายเฝ้าประตูอยู่คนหนึ่ง วันหนึ่งมีชายบ้านนอกมาพบเขาและขอเข้าไปข้างใน แต่คนเฝ้าประตูบอกว่าเขายังอนุญาตให้เข้าไปตอนนี้ไม่ได้ ชายคนนั้นชั่งใจดูและถามว่าวันหนึ่งข้างหน้าเขาจะเข้าไปได้ไหม ชายเฝ้าประตูตอบว่าเป็นไปได้แต่ยังไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เนื่องจากประตูเปิดอยู่ตลอดเวลา และคนเฝ้าประตูก็เดินไปด้านข้าง ชายบ้านนอกจึงก้มมองผ่านประตูเข้าไป เมื่อคนเฝ้าประตูเห็นกิริยาท่าทางเช่นนี้เขาก็หัวเราะและบอกว่า ถ้าอยากเข้าไปจริงๆ ก็ลองเข้าไปสิทั้งๆ ที่ฉันห้ามแล้ว แต่รู้ไว้ด้วยว่าฉันนั้นมีอำนาจมากและฉันก็เป็นเพียงคนเฝ้าประตูชั้นปลายแถว ถ้าเจ้าเข้าไป เจ้าจะพบคนเฝ้าประตูคนอื่นๆ อีก ซึ่งมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงคนที่สาม แม้แต่สายตาที่เขามองมา ฉันยังทนไม่ได้ ชายบ้านนอกไม่คิดว่าจะเจอปัญหายุ่งยากเช่นนี้ กฎหมายควรจะง่าย ให้ทุกคนเข้าถึงได้ เมื่อพิจารณารูปร่างของคนเฝ้าประตูแล้ว เขาตัดสินใจคอย คอยจนกว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปดีกว่า ชายคนนี้สวมเสื้อคลุมผ้าขนสัตว์ มีจมูกใหญ่แหลม ไว้หนวดเรียวบางสีดำเหมือนพวกทาร์ทาร์ เขาเอาม้านั่งเตี้ยให้ชายบ้านนอกนั่งคอยข้างๆ ประตู

เขาคอยอยู่เช่นนั้นเป็นปีๆ พยายามทุกทางที่จะให้คนเฝ้าประตูอนุญาตให้เขาผ่านเข้าไป เขาอ้อนวอนซ้ำซากอยู่นั่นแหละ บ่อยครั้งที่คนเฝ้าประตูยอมคุยกับเขา ถามว่าเขามาจากไหนและถามทั่วๆ ไปเช่นเดียวกับที่คนใหญ่โตชอบทำ แต่ก็ลงท้ายด้วยการไม่อนุญาตให้ผ่านประตู ชายบ้านนอกได้ใช้ของทุกอย่างที่นำติดตัวมาจนหมด ติดสินบนคนเฝ้าประตูด้วย คนเฝ้าประตูรับไว้แต่พูดว่า ฉันรับไว้เพื่อที่เจ้าจะได้สบายใจ ชายคนนี้เฝ้ามองคนเฝ้าประตูตลอดมา ลืมไปว่ายังมีคนเฝ้าประตูคนอื่นๆ อีก เขาคิดว่าคนเฝ้าประตูนี้แหละเป็นอุปสรรคต่อเขา

ตอนแรกๆ เขาสาปแช่งเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยเสียงอันดัง แต่ต่อมาเมื่อเริ่มชราลงเขาก็ได้แต่บ่นงึมงำกับตัวเอง เขาทำตัวเหมือนเด็ก เนื่องจากอยู่กับคนเฝ้าประตูมานาน เขาคุ้นเคยแม้แต่กับตัวหมัดที่คอเสื้อขนสัตว์ของคนเฝ้าประตู เขาขอร้องให้ตัวหมัดช่วยอ้อนวอนให้เขาด้วย ในที่สุดดวงตาเขาก็ฝ้าฟาง เขาไม่ทราบว่าเพราะรอบๆ ตัวเขามืดหรือเขาคิดเอาเอง อย่างไรก็ตาม เขามองเห็นแสงสว่างในความมืด แสงสว่างนี้พุ่งออกมาจากประตูกฎหมาย

เขารู้ตัวว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นาน ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป เขารวบรวมประสบการณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อจะถามคนเฝ้าประตูในสิ่งที่ไม่เคยถามมาก่อน เขากวักมือเรียกคนเฝ้าประตูเพราะเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อีกแล้ว คนเฝ้าประตูต้องก้มตัวลงต่ำ เพราะความแตกต่างของรูปร่างของคนทั้งสองซึ่งเป็นข้อเสียเปรียบของชายบ้านนอก "เจ้าอยากรู้อะไรอีกหรือ เจ้าไม่รู้จักพอ" "คนทุกคนต้องการเข้าถึงกฎหมาย แต่ทำไมในระยะหลายปีมานี้ ถึงไม่มีใครเรียกร้องสิทธินี้นอกจากผม" คนเฝ้าประตูรู้ว่าชายคนนี้กำลังจะถึงจุดจบของชีวิต เขาจึงตะโกนดังๆ เพื่อให้ชายชราได้ยิน เพราะหูตึงไปแล้ว "ไม่มีใครอื่นสามารถผ่านประตูนี้เข้าไปได้หรอก เพราะประตูนี้มีไว้สำหรับแกคนเดียวเท่านั้น ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ และจะปิดประตูด้วย"..."

"แสดงว่าคนเฝ้าประตูหลอกชายบ้านนอกคนนั้น" คากล่าวขึ้นทันที

นับจากนี้ไปจะกินความยาวหลายสิบหน้าเมื่อบาทหลวงและคาถกกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายสองคนนี้กันแน่ และที่แท้แล้ว โยเซฟ คา กำลังหลอกตัวเองในเรื่องอะไร สะท้อนถึงคนทุกคนในสังคมที่ถูกกระทำโดยทั่วไปว่ากำลังหลอกตัวเองเรื่องอะไร

บทสนทนาระหว่างบาทหลวงและ โยเซฟ คา เป็นบทสนทนาที่ชวนสนุกพอๆ กับมึนงงมากที่สุดบทหนึ่งในโลกวรรณกรรม

ผู้สนใจควรไปหาอ่านด้วยตนเองสักครั้งแล้วยอมรับว่าไม่รู้เรื่องเลย การ์ตูนสรุปด้วยคำพูดที่ซ่อนเงื่อนอย่างยิ่งของชายเฝ้าประตูว่า

"ไม่มีใครอื่นสามารถผ่านประตูนี้เข้าไปได้หรอก เพราะประตูนี้มีไว้สำหรับแกคนเดียวเท่านั้น ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ และจะปิดประตูด้วย..."



การ์ตูนตัดไปที่บทที่สิบซึ่งเป็นตอนอวสานโดยให้เนื้อที่มากถึง 4 หน้า เพชฌฆาตสองคนเดินพาตัวคาออกไป จังหวะการเดินของคนทั้งสามประสานกันเสมือนหนึ่งเดียวกัน แม้ใกล้ถึงวาระสุดท้ายแล้วคาก็ไม่สามารถดิ้นรนไปจากการรัดรึงของกฎหมายได้

ก่อนตายเขาเหลียวไปเห็นเงาคนหนึ่งที่หน้าต่างในที่ห่างไกลจุดประกายความหวังอันแสนริบหรี่ของเขาอีก แต่ก็เพียงเท่านั้น เขาไม่เคยได้พบผู้พิพากษา คดีของเขาไม่เคยได้ไปถึงศาลชั้นสูง จากนั้นมีดแหลมคมก็ปักลงกลางหัวใจของเขาแล้วบิดสองครั้ง

"เหมือนหมาตัวหนึ่ง" คาพูดราวกับว่ายังละอายต่อไป

เป็นนวนิยายที่แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังทั้งปวงของมนุษย์ มนุษย์ถูกควบคุมและคุกคามโดยระเบียบที่มองไม่เห็น และพร้อมจะริบเอาความเป็นมนุษย์ไปจนหมดสิ้น

ซึ่งเป็นความจริง



++++

อัลบั้มคริสต์มาส Frank Sinatra-Dave Koz และอันดับ 1 จาก Michael Buble
โดย วารี วิไล คอลัมน์ ดนตรี
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1636 หน้า 84


ก่อนปีใหม่ ก็ต้องผ่านคริสต์มาส วาระสำคัญของชาวคริสต์ เทศกาลของการสร้างสรรค์เพลงดีๆ ด้วยกำลังศรัทธาและเพื่อคืนกำไรตอบแทนแก่นักฟังเพลงผู้มีอุปการคุณ

เพลงคริสต์มาส ระดับขึ้นหิ้ง ที่คอเพลงมักจะมีไว้ประจำบ้าน ก็น่าจะเป็นของ แฟรงก์ สินาตรา เดอะ วอยซ์ ผู้ล่วงลับ

A Jolly Christmas from Frank Sinatra ชุดนี้ออกครั้งแรกเมื่อ 1957 หรือ พ.ศ.2500 โดยแคปปิตอล เร็กคอร์ดส์ และนำมาออกใหม่หลายครั้ง ฉลองครบ 50 ปี ไปเมื่อปี 2007

และเมื่อปี 2010 ยังออกเป็นแผ่นไวนิล เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี นักฟังแผ่นบ้านเราคงมีไว้ในครอบครองแล้ว

เป็นอัลบั้มคริสต์มาสแบบเต็มชุดแรกของสินาตรา วงออร์เคสตร้า ที่อำนวยเพลงโดย กอร์ดอน เจนกินส์

เพลงในชุดนี้ มี 10 เพลง กับโบนัสแทร็ก 2 เพลง เริ่มต้นจาก Jingle Bells, The Christmas Song, Mistletoe and Holly, I"ll Be Home for Christmas, The Christmas Waltz, Have Yourself a Merry Little Christmas, The First Noel, Silent Night ฯลฯ สองเพลงสุดท้าย White Christmas กับ The Christmas Waltz (alternate version) เรียบเรียงและควบคุมวงโดย เนลสิน ริดเดิ้ล


อีกชุดที่พลาดไม่ได้ ก็ต้อง Dave Koz : Ultimate Christmas ผลงานของ เดฟ คอซ แซ็กโซโฟนนิสต์ สายสมูธแจ๊ซ ชาวอเมริกัน

คอซ เป็นนักดนตรีที่มีความสามารถรอบตัว เกิด 1963 ที่แคลิฟอร์เนีย เล่นแซ็กฯ ในวงแจ๊ซของโรงเรียน จบจาก UCLA ทางด้านสื่อสารมวลชนในปี 1986 ตัดสินใจเล่นดนตรีอาชีพทันที ร่วมในวงทัวร์ของ บ็อบบี้ คอลด์เวล รับจ้างเล่นกับหลายวง รวมถึงวงเจฟ ลอร์เบอร์, ริชาร์ด มาร์กซ์, วงในโชว์ทางโทรทัศน์ซีบีเอส ที่มี ทอม สก็อต เป็นหัวหน้าวง

20 ปีในการทำงาน ผลงานกว่า 10 ชุด และงานรับเชิญหลากหลายแนว รับเสนอชื่อชิงแกรมมี่มา 6 ครั้งพิสูจน์ฝีมือของหนุ่ม 40 กว่าที่ประกาศตัวเป็นเกย์ไปแล้วเป็นอย่างดี

18 เพลงในชุดนี้ 16 เพลง นำมาจากอัลบั้มคริสต์มาส 3 ชุดด้วยกัน คือ December Makes Me Feel This Way ปี 1997, A Smooth Jazz Christmas ปี 2001, Memories of a Winter"s Night ปี 2007

แปะหัวท้ายด้วยเพลงใหม่ คือ Welcoming the Season (Prelude) และ Welcoming the New Year (Coda)

จากนั้นคือ Santa Claus Is Comin" To Town, The Christmas Song ฟีเจอริ่ง ปีเตอร์ ไวต์ นักกีตาร์, เดวิด เบนัวต์ มือเปียโน, ริก เบราน์ ทรัมเป็ต และเสียงร้องของ เบรนดา รัสเซล, ลีลาแบบสะวิงใน Sleigh Ride, White Christmas เสียงร้องของ เคลลี่ สวีต, สะวิงอีกเพลงใน Winter Wonderland, Hark! The Herald Angels Sing ฟีเจอริ่ง ไบรอัน คัลเบิร์ตสัน,

Little Drummer Boy มี ริก เบราน์, ปีเตอร์ ไวต์, เดวิด เบนัวต์ มาร่วมเล่น, Please Come Home for Christmas มี คิมเบอร์ลี ล็อก รับเชิญมาร้อง

Silver Bells, Eight Candles (A Song For Hanukkah), Deck The Halls, Have Yourself A Merry Little Christmas ฟีเจอริ่ง ปีเตอร์ ไวต์

O Tannenbaum (O Christmas Tree), Silent Night feat ปีเตอร์ ไวต์, ริก เบราน์ และ เบรนดา รัสเซล จากนั้นคือ I"ll Be Home For Christmas และ Auld Lang Syne


อีกชุด คือ อัลบั้มคริสต์มาส ที่ติดอันดับ 1 ในชาร์ตอัลบั้มบิลบอร์ด เมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้เอง โดยเริ่มไต่จากอันดับสาม และยังไปอยู่ในตำแหน่งท็อปในหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย ฯลฯ อีกด้วย ตัวเลขขายทั่วโลกถึงกลางเดือน ทะลุไปที่ 4 ล้านชุดแล้ว และยังมีเวลาขายอีกหลายวัน

Christmas เป็นผลงานชุดที่ห้าของ ไมเคิล บูเบล ยอดนักร้องแคนาดา ทำสถิติเป็นงานท็อปชาร์ตชุดที่สามของบูเบล หลังจาก Call Me Irresponsible ปี 2007 และ Crazy Love ปี 2009

ก่อนหน้านี้ บูเบล เคยออกแผ่นอีพี Let It Snow ในปี 2003 มีอยู่ 5 เพลงด้วยกัน และบางเพลงมารวมอยู่ในอัลบั้มคริสต์มาสแบบเต็มแผ่นครั้งแรกของบูเบล

15 เพลงในชุดนี้ มีอาทิ It"s Beginning to Look a Lot Like Christmas, Santa Claus Is Coming to Town, Jingle Bells ฟีเจอริ่ง The Puppini Sisters

ดูเอ็ตกับ ชาไน ทเวน ใน White Christmas, คัฟเวอร์เพลงของ มารายห์ แครีย์ All I Want for Christmas Is You เป็นซิงเกิลแรก

นอกจากนี้ ยังมี Holly Jolly Christmas, Santa Baby, Have Yourself a Merry Little Christmas, Christmas (Baby Please Come Home), Silent Night, Blue Christmas, Cold December Night เพลงใหม่ ที่บูเบลร่วมแต่ง และเป็นซิงเกิลที่สอง, I"ll Be Home for Christmas, Ave Maria, ปิดท้ายด้วยเพลงภาษาสเปน Mis Deseos/Feliz Navidad ดูเอ็ตกับนักร้องสาวเม็กซิกัน Thalia

3 อัลบั้มคริสต์มาสที่เพลงคล้ายๆ กัน ต่างยุคต่างเวลากัน แต่ให้ความบันเทิงสบายๆ ไม่ต่างกันนัก



.