http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2554-12-11

สาวตรี:ฯยุติธรรมแบบไทยๆ(?)..สู่ “อากง”, +คำ ผกา:Insects in the Backyard

.

หลักกฎหมายสากล สู่หลักความยุติธรรมแบบไทยๆ(?) จาก “Insects in the Backyard” สู่ “อากงsms”
ในประชาชาติ ออนไลน์ วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14:22:34 น.


การเฉลิมฉลอง “วันรัฐธรรมนูญ” 10ธันวาคม แทบจะไม่อยู่ในความทรงจำของ พ.ศ.นี้ ยังไม่นับรวมอีกวาระเดียวกันก็เป็น“วันสิทธิมนุษยชนสากล” หรือถ้านับไปอีกก็ยังเป็น “วันธรรมศาสตร์

อาจเป็นเพราะปีนี้มีเหตุการณ์มหาอุทกภัย แต่แม้ว่าระดับน้ำจะลดลงไปแล้ว เช่นเดียวกับการลดลงของกิจกรรมรำลึกถึงวาระแห่งการปกครองด้วยกฎหมายไม่ใช่การปกครองด้วยตัวบุคคล กระนั้น ความเข้มข้นของการตัดสินจำคุกในคดีอาญา ที่ส่งผลต่อความรู้สึกทางการเมืองก็ไม่ได้ลดลงไปด้วย ไล่มาตั้งแต่คดี “อากงSMS” “นักปรัชญาชายขอบ-จากเว็บไซต์ประชาไท” และ “โจ กอร์ดอน

ขณะที่ปีที่แล้ว การรณรงค์ในเรื่องเสรีภาพ ก็มีการต่อสู่ในประเด็นการแบนด์ภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการจำกัดเสรีภาพ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นทำให้ใครถูกจำกัดเสรี “ทางกายภาพ” แตกต่างจากปีนี้ปรากฏหลายภาพข่าวเป็นภาพผู้ต้องขังหลังซี่ลูกกงและภาพผู้ต้องขังกำลังถูกควบคุมตัว ในฤดูกาลแห่งวันรัฐธรรมนูญปีนี้ จึงมีคดีที่กระทำต่อเสรีภาพอย่างเข้มข้น

ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “สาวตรี สุขศรีอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักกฎหมายหญิงแห่ง “กลุ่มนิติราษฎร์” ตั้งแต่กรณี“Insects in the Backyard” สู่ “อากงsms

* * * * * * * * *
สัมภาษณ์โดย ฟ้ารุ่ง ศรีขาว ผู้สื่อข่าว นสพ.ประชาชาติธุรกิจ


@บรรยากาศวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวา ปีนี้ มีคดีความ ที่เกี่ยวกับเสรีภาพมากขึ้นยิ่งกว่าปีที่แล้วหรือไม่อาจารย์มองอย่างไร ?

มากขึ้นอย่างมาก ๆ ค่ะ และไม่ใช่แค่กรณีที่เป็นคดีความเท่านั้น เพราะการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นก็ดูเหมือนไม่ได้ลดน้อยลงเลย ดูอย่างการแถลงข่าวล่าสุดของกระทรวงไอซีที เพื่อโชว์ความสามารถในการปิดเว็บไซต์ และเพจในเฟซบุ๊กจำนวนมาก ในที่สุด รัฐมนตรีไอซีทีทุกคนไม่ว่าจะในยุครัฐบาลไหน ๆ ก็มองว่าการปิดเว็บจำนวนมากเป็นผลงานที่ควรอวดโชว์

เรื่องวันที่ 10 ธ.ค. นั้น โดยส่วนตัวไม่ได้มองเป็นวันสำคัญอะไรมานานแล้วค่ะ สาเหตุมี 2 อย่าง คือ หนึ่ง เอาเข้าจริงแล้ว วันที่ประชาชนควรระลึกถึงการได้มาซึ่งอำนาจ การได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ มันไม่ใช่วันนี้ แต่มันคือ วันที่ 27 มิถุนายน (2475) ต่างหาก กับสอง ต่อให้เรายกให้วันที่ 10 ธ.ค. เป็นวันสำคัญจริง ๆ แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังเกตให้ดีเราไม่เคยได้เฉลิมฉลอง หรือยินดีปรีดากับรัฐธรรมนูญ หรือระบอบประชาธิปไตยกันจริงจังเลย

ปีที่แล้ว ภาพยนตร์ “Insects in the Backyard” โดนแบนด์ ไม่ได้ฉาย โดยคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ คนทั้งในและนอกวงการก็ต้องออกมาทำแคมเปญประท้วง จัดสัมมนา เผาแผ่นหนัง ใส่ชุดดำไว้อาลัยให้เสรีภาพ ให้รัฐธรรมนูญ ให้ประชาธิปไตย นอกจากนี้ ถ้ายังจำกันได้ นิติราษฎร์ก็จัดงานสัมมนาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเชิญอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล มาพูด ซึ่งหลังจากงานนั้นมาสัญญาณแห่งการคุกคามเสรีภาพนักวิชาการก็ถูกปล่อยออกมาจากทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาล ทั้งทหาร

พอมาวันที่ 10 ธ.ค. ปีนี้ แทนที่เราจะได้เฉลิมฉลองวันรัฐธรรมนูญบ้าง ภายหลังได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เราฉลองกันไม่ลงอยู่ดี เพราะเกิดทั้ง กรณีอากง โจ กอร์ดอน ไหนจะมีใครต่อใครถูกฟ้องมาตรา 112 อีกจำนวนมาก ไอซีทีโชว์ผลงานปิดเว็บ ซึ่งทั้งหมดนี้มีประเด็นร่วมกัน ก็คือ รัฐคุกคามเสรีภาพ

พูดถึงปัญหาเสรีภาพในการเสพสื่อ อย่างภาพยนตร์ ก่อน ก่อนหน้าปี 2550 บ้านเราใช้ระบบเซนเซอร์ ใช้มานานมากจนมีกลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องไม่เอาระบบเซนเซอร์ และให้เปลี่ยนมาใช้วิธีการ “จัดระดับความเหมาะสม” ตามอายุแทน จนมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายจริง แต่ก็ปรากฏว่ามีการ “ซ่อนรูป” สอดไส้ เอาระบบเซนเซอร์มาใส่ไว้ใน “เรตห้ามฉาย” อีก ทั้งที่ความจริงแล้วถ้าตกลงร่วมกันแล้วว่าจะใช้วิธีการจัดเรตภาพยนตร์ “การห้ามฉาย” ก็ควรจะหายไป แต่กฎหมายแบบไทย ๆ ก็กลายเป็นลูกผสม เลยยิ่งแย่กันเข้าไปใหญ่ เพราะไอ้ที่ฉายได้ก็ต้องเอาไปให้เขาดู แล้วก็กำหนดกลุ่มอายุคนดู ในขณะที่บางเรื่องอุตส่าห์ยื่นให้จัดเรตสูง ๆ แล้ว (อายุ 20 ปีเท่านั้นที่ดูได้) ก็อาจถูกคณะกรรมการสั่งตัดสั่งเฉือน ไม่งั้นไม่ให้ฉาย

สรุปรัฐจะเอายังไง ? ตอนนี้ผู้กำกับหนังเค้าก็ฟ้องศาลปกครองว่ากฎหมายฉบับใหม่ ในส่วนที่ว่าด้วยการห้ามฉาย ขัดรัฐธรรมนูญ เข้าใจว่าอยู่ในชั้นอุทธรณ์ค่ะ คงต้องรอดูว่าผลจะออกมาอย่างไร

การห้าม ก็คือ การมองว่าประชาชนไม่มีวิจารณญาณ คิดเองไม่เป็น ต้องให้รัฐคิดให้ ดูแล้วทำอะไรไม่ได้เลย แยกแยะไม่ได้ว่าอะไรในหนังที่มันดีหรือไม่ดี ดูเสร็จต้องเลียนแบบอย่างเดียว แต่คำถาม ก็คือ คนอายุ 20 ปีแล้ว กฎหมายก็บอกว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว มันยังมีเรื่องอะไรอีกหรือที่ต้องห้ามดู ห้ามฟัง ตกลงประชาชนคนไทยไม่เคยเป็นผู้ใหญ่ ไม่เคยเติบโต ต้องคอยให้รัฐมาทำตัวเป็นพ่อแม่ชี้ให้ทำ เลือกให้ดู กำหนดให้อ่าน

แน่นอนว่า มีบางเรื่องเหมือนกัน ที่ทั่วโลกเขาห้ามกัน ยกตัวอย่างก็คือ ภาพลามกเด็กและเยาวชน แต่สาเหตุที่เขาห้ามไม่ใช่เหตุผลด้านศีลธรรม จริยธรรมอะไร แต่ห้ามเพื่อคุ้มครองเด็ก คุ้มครองคนที่ยังไม่มีศักยภาพพอที่จะปกป้องตัวเอง ตัดตอนการล่วงละมิดทางเพศเด็ก แต่บ้านเราไม่ใช่ บ้านเราอ้างความดี อ้างศีลธรรม ใช้นโยบายในการควบคุมพฤติกรรมคนดู แต่ลองไปดูสิที่บ้านคนที่ห้ามสิอาจมีหนังสือ หรือซีดีจำพวกนี้เต็มบ้านก็ได้


@ ประเทศไทยดูหนังโป๊ได้ หรือครอบครองสื่อลามกในสถานที่ส่วนตัวได้ แต่ห้ามซื้อขาย แบบนี้จริงๆ แล้วถ้าไม่มีการซื้อขายกันแล้วจะมีไว้ในครอบครองได้อย่างไร ?

นั่นไงคะ บ้านเราชอบอ้างว่า รัฐให้เสรีภาพกับคุณแล้ว คุณครอบครอง คุณดูเอง หรือดูในหมู่เพื่อนและญาติมิตรได้กฎหมายไม่ว่า แต่ห้ามเผยแพร่ต่อสาธารณะนะ ผิดเลย คำถามก็คือ อ้าวถ้าห้ามขาย แล้ว คนที่อยากดูจะใช้ “เสรีภาพ” ของเขา หรือจะหามาดูจากที่ไหน ? มันเป็นการให้เสรีภาพแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ครึ่งผีครึ่งคน สุดท้าย ของพวกนี้ก็ต้องลักลอบขาย กลายเป็นของเถื่อน


@ทำไมมองว่ารัฐบาลชุดนี้ จัดการสิ่งที่เกิดขึ้นใน มาตรา 112 ได้ไม่ต่างจากรัฐบาลชุดอื่น ?

ก็ดูจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นค่ะ คดีความ สื่อที่ถูกปิด ในที่สุดทุก ๆ รัฐบาลก็เหมือนกันหมด คือ ไม่กล้าทำอะไรกับมาตรา 112 มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถจัดการได้ ทั้งที่รู้ว่าการใช้การตีความมีปัญหา คำสัญญาว่าจะทำให้สถานการณ์มันดีขึ้น หรือการมองปัญหาเรื่องนี้ในสมัยที่ตัวเองเป็นฝ่ายค้าน จะเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเกมการเมืองมันพลิกและตัวเองเป็นฝ่ายกุมอำนาจ จะเริ่มกลัวไปหมด กลัวคนด่า กลัวหาว่าไม่จงรักภักดี ทุกรัฐบาลต่างแย่งกันโชว์ผลงาน แย่งกันแสดงความจงรักภักดีด้วยการใช้ มาตรา 112 ทำร้ายประชาชน แต่ปัญหาก็คือ ทั้งรัฐบาล ทั้งคนไทยจำนวนมาก แยกแยะไม่ออกว่า มาตรา 112 ไม่ใช่ตัวสถาบันฯ การทำอะไรกับมาตรา 112 ไม่ใช่เรื่องต้องห้ามตามกฎหมาย ตรงกันข้าม การดำเนินการให้บทบัญญัติก็ดี การใช้การตีความมาตรา 112 ก็ดี อยู่กับร่องกับรอยมากกว่านี้ นั่นต่างหากคือการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้


@ ปีนี้มีคดี “อากงSMS” มีประเด็นทางกฎหมายซับซ้อนอย่างไร ?

คดีนี้สร้างแรงสะเทือนหลายอย่างค่ะ ถ้าคิดกันแบบดราม่า ๆ ตามสไตลล์สังคมไทย คดีนี้สะเทือนขวัญพอดู ดูจาก อายุ 61 ปี ของอากง ไหนจะมีโรคประจำตัว ต้องเลี้ยงดูหลาน ๆ แต่กลับถูกตัดสินจำคุก 20 ปี แบบไม่มีเหตุอันควรปราณีใด ๆ หรือรอลงอาญาเพียงเพราะการส่งข้อความสั้น 4 ข้อความผ่านมือถือ คุณคะนี่มันเป็นโทษที่หนักกว่าคดีฆ่าคน หรือทำร้ายร่างกายสาหัสบางคดีเสียอีก แม้วันนี้คำพิพากษาฉบับเต็มจะยังไม่ออก แต่หลายคนย่อมรู้สึกตกใจ และมันเป็นกับคนทุกฝ่ายไม่ว่าจะคนเสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อสีอะไร ก็รู้สึกได้ โดยผลของคดีนี้ตรรกะประเภท ถ้าไม่คิดทำผิดแล้วจะกลัว 112 ทำไม จะเงียบไปเลย เพราะแม้คุณไม่ได้คิดทำผิด หรือเขาพิสูจน์ไม่ได้ว่าคุณไม่ได้ทำ คุณก็อาจติดคุก 20 ปีได้เหมือนกัน

ถ้ามองกันในแง่มุมกฎหมาย แบบไม่ดราม่า เรื่องนี้จำเป็นต้องถูกตั้งคำถาม ไม่ใช่คำถามว่า “อากงทำหรือไม่ได้ทำ” เพราะ ณ วันนี้ ไม่มีใครตอบได้นะคะ ไม่ว่าฝ่ายที่เชียร์หรือไม่เชียร์อากง ว่าอากงทำหรือเปล่า หรือว่าใครทำ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ หลักการต้องพิสูจน์จนสิ้นสงสัย การยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หรือหลักการในเรื่องภาระการพิสูจน์ของโจทย์ในคดีอาญา ถ้าอ่านจากข่าวที่ลง พอสรุปความได้ว่า แม้จะไม่สิ้นสงสัยว่าอากงเป็นคนกดส่ง sms เอง แต่เมื่อมีข้อเท็จจริงทางเทคนิคว่า ข้อความ SMS ถูกส่งจากโทรศัพท์มือถือที่น่าจะมีเลขหมายประจำเครื่อง (เลข IMEI) เดียวกันกับมือถือที่อากงใช้อยู่ และส่งออกมาจากย่านที่อยู่อาศัยของอากง ก็ฟังว่าอากงผิด แต่ปัญหาก็คือ เหตุประกอบเพียงเท่านี้ เพียงพอหรือที่จะลงโทษจำเลยให้จำคุกถึง 20 ปี ยิ่งถ้าพิจารณาจากเหตุแวดล้อมอื่น ๆ เช่น พฤติกรรมจำเลย ก็กลับปรากฏว่า อากงเคยพาลูกพาหลานไปลงนามถวายพระพร


@ ส่วนหนึ่งที่เป็นข่าวถึงคำพิพากษา ดูเหมือนว่า ภาระการพิสูจน์ความผิดไม่ได้ขึ้นอยู่กับโจทก์เท่านั้น เป็นความสอดคล้องกับหลักสากลและหลักกฎหมายที่บัญญัติไว้หรือไม่ ?

ก่อนจะไปถึงประเด็นนั้น ต้องขอเล่าทั้งกระบวนการพิจารณาก่อนว่า อันที่จริงแล้วคดีนี้น่าจะถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่ชั้นของการร้องขอประกันตัวแล้วค่ะ สิทธิการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวหรือได้รับประกันตัวนี้เป็นสิทธิของผู้ต้องหาและจำเลย ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 40 (7) หากจะไม่ปล่อยก็ต้องมีเหตุพิเศษมาก ๆ เช่น กลัวหลบหนี คดีร้ายแรง เกรงจะไปยุ่งเหยิงกับพยาน กรณีอากง คนแก่อายุ 61 มีโรคประจำตัว มีหลานต้องเลี้ยง เคยได้รับประกันตัวในชั้นตำรวจมาครั้งหนึ่งแล้วก็ยังกลับมาขึ้นศาล แต่ทำไมในชั้นศาลอากงกลับไม่ได้ประกันตัว ?

ถ้าใครติดตามสถิติคดีมาตรา 112 มา จะเห็นเลยว่า ถ้าผู้ถูกกล่าวหาไม่ใช่คนมีชื่อเสียง คดีเกือบ 90% จำเลยไม่ได้รับการประกันตัว ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ กลัวหลบหนี กับเป็นคดีที่มีโทษสูง ไม่ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยแต่ละรายจะมีบริบทที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม ซึ่งตรงนี้ต้องถือว่าไม่สอดคล้องกับ หลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยยังบริสุทธิ์อยู่ จนกว่าศาลจะพิพากษาถึงที่สุดว่าบุคคลนั้นกระทำผิด ซึ่งรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 39 ปัญหาก็คือ ถ้าเราถือหลักแค่ว่าเป็นคดีที่มีโทษสูงจึงไม่ควรปล่อย ทั้งที่ลักษณะของจำเลยคงหลบหนี หรือยุ่งกับพยานไม่ได้ สิทธิของคนเหล่านี้ก็คงไม่ได้รับการประกันอย่างจริงจัง และย่อมเกิดคำถามต่อไปด้วยว่า เหตุใดคดีที่ร้ายแรงกว่านี้เช่นฆ่าคนตาย หรือคดีที่จำเลยเป็นผู้มีอิทธิพลบางคดี

จำเลยจึงได้รับการประกันตัว

พอมาถึงคำพิพากษา กรณีอากง ก็เกิดคำถามอีกว่า อย่างนี้ขัดกับหลัก “พิสูจน์จนสิ้นสงสัย” หรือ ไม่ ซึ่งเรื่องนี้นอกจากรัฐธรรมนูญแล้ว ยังบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ด้วย โดยวางหลักไว้ทำนองว่า แม้ศาลจะมีดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานก็จริงอยู่ แต่ก็ต้องอยู่กรอบว่าการจะตัดสินว่าจำเลยทำผิดหรือไม่นั้น ต้องมีการพิสูจน์พยานหลักฐานจนสิ้นสงสัย “ถ้าสงสัย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย” คงเคยได้ยินภาษิตกฎหมายนะคะ ที่บอกว่า “ปล่อยคนผิด 10 คน ดีกว่าลงโทษคนบริสุทธิ์เพียงคนเดียว


@ อาจารย์มีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีนี้บ้าง ?

ส่วนตัวมีข้อสงสัย 2 ข้อ ค่ะ คือ 1) ข้อความนั้น ส่งจากมือถืออากง จริงหรือไม่ เพราะในวงการไอที ก็ยังโต้เถียงกันเรื่องจำนวนเลขหมายประจำเครื่อง หรือเลขอีมี่ว่าต้องใช้เลข 14 หรือ 15 หลักกันแน่ ซึ่งคดีอากงนั้น มีเลขที่ตรงกันเพียง 14 ตัว แต่ประเด็นนี้ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับข้อเท็จจริงที่ว่า เลขหมายประจำเครื่องนี้เป็นสิ่งที่ปลอมแปลงกันได้ ดังนั้น มีพยานหลักฐานอะไรที่ชี้ว่า เลขอีมี่ที่ปรากฏตามสำนวนคดีนี้ ไม่ใช่เลขของเครื่องโทรศัพท์เครื่องอื่นที่ผ่านการปลอมแปลงเลขอีมี่และมาตรงกับของอากงพอดี นี่คือ ความยังไม่สิ้นสงสัย ข้อแรก

2) เอาล่ะ แม้จะชัดเจนว่าข้อความมาจากเครื่องโทรศัพท์ของอากงแน่ ๆ แต่อะไรคือ พยานหลักฐานที่ชี้ได้ว่า อากง คือ คนกดส่งข้อความนั้น ถ้าถามนักกฎหมายไอทีอย่างเรา เราก็ต้องบอกว่า พยานแวดล้อมแค่เพียงว่า ข้อความส่งมาจากย่านที่อากงอาศัยอยู่ หรือข้อเท็จจริงที่ว่า อากงเป็นเจ้าของเครื่องโทรศัพท์ เท่านี้ ยังไม่อาจเพียงพอค่ะ ที่จะบอกว่า อากง เป็นคนส่งเองหรือเป็นคนทำผิด เปรียบเหมือน เรามีปืน ที่จดทะเบียน ต่อมามีคนเอาปืนเราไปยิงคนตาย ตำรวจยึดปืนได้ มาสืบดูพบว่าเราเป็นเจ้าของปืน กรณีนี้จะมาฟันธงว่าเจ้าของปืนทำผิดไม่ได้สืบได้ถึงความเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ตัวชี้โดยอัตโนมัติ ว่าเจ้าของเป็นผู้กระทำความผิด

แน่นอน คดีนี้มีความซับซ้อนยุ่งยาก เพราะมีประเด็นที่เกี่ยวพันกับเทคโนโลยี ที่แทบจะหา “ประจักษ์พยาน” ไม่ได้เลย จึงต้องใช้พยานแวดล้อมในทางกฎหมายเองก็ยอมให้ศาลฟังพยานแวดล้อมลงโทษจำเลยได้ แต่พยานแวดล้อมเหล่านั้นก็ควรต้องแน่นหนาพอสมควรเช่นกัน หรือก็ยังอยู่ภายใต้หลักต้องฟังจนสิ้นสงสัย ไม่ใช่พยานเบื้องต้นที่ชี้วัดอะไรไม่ได้ ที่สำคัญคดีนี้มีโทษจำคุก ไม่ใช่แค่เพียงโทษปรับเล็ก ๆ น้อย ๆ


@ ตามหลักกฎหมายอาญานั้น กำหนดให้ใครรับภาระพิสูจน์ความผิด ?

ในทางอาญานั้นโจทก์หรือผู้กล่าวโทษ เป็นผู้มีภาระพิสูจน์ว่าจำเลยกระทำผิด ค่ะ ซึ่งต่างจากคดีแพ่ง ที่ใครจะมีภาระหน้าการพิสูจน์ศาลจะต้องมากำหนดให้อีกทีหนึ่งตามข้อเท็จจริงที่คู่ความแต่ละฝ่ายเป็นคนกล่าวอ้าง เช่น ในคดีแพ่งหากโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำผิดสัญญา โจทก์ก็หาหลักฐานมาบอกว่าจำเลยผิดสัญญา ส่วนฝ่ายจำเลยก็ต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ผิดสัญญา หรือว่าได้เคยทำตามสัญญาไปแล้ว แต่มีข้อผิดพลาดอะไรก็ว่ากันไป

แต่ในคดีอาญานั้น “ภาระการพิสูจน์จะตกอยู่ที่โจทก์เป็นหลัก” หมายความว่า ถ้าจำเลยปฏิเสธเสียแล้วว่าตนไม่ได้กระทำตามที่โจทก์กล่าวหา แม้จำเลยไม่ได้ลงมือสืบแก้ต่างอะไรให้ตัวเองเลย หรือไม่ต้องหาอะไรมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองเลย โจทก์ก็มีหน้าที่หาพยานหลักฐานมาสืบให้ศาล “สิ้นสงสัย” ให้ได้ว่าจำเลยทำผิดจริง ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ศาลก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ โจทก์มีภาระหนักหน่วงแน่นหนา ในทางหลักการเป็นอย่างนี้ แต่แน่นอนว่าในทางปฏิบัติทนายฝ่ายจำเลยเองก็ต้องหาพยานมาหักล้างโจทก์ แต่จะหักล้างได้แค่ไหนไม่สำคัญเท่าฝ่ายโจทก์สืบได้สิ้นสงสัยหรือไม่

ซึ่งจากเรื่องนี้ ถ้าเราโยงกลับมาที่คดีอากง ก็อาจเกิดความฉงนฉงายได้เหมือนกัน เพราะดูเหมือนจะมีประโยคหนึ่งทำนองว่า เมื่อจำเลย (อากง) ไม่สามารถแสดงความบริสุทธิ์ ให้ศาลเห็นได้ ก็ต้องมีความผิด ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตรงนี้ไม่เหมือนกับหลักภาระการพิสูจน์ที่เราเรียน ๆ สอน ๆ กัน


@ แล้วหลักกฎหมายไทย ยอมรับหลักกฎหมายสากลหรือไม่ ?

หลักกฎหมายไทยก็อิงอยู่กับหลักสากลค่ะ ไม่มี “กฎหมายอาญาแบบไทยๆ” ยิ่งระบบกฎหมายเราเป็นแบบ ซีวิลลอว์ ที่ไม่ได้ถือว่าคำพิพากษาเป็นกฎหมาย เราก็ต้องยึดถือตามหลักการแห่งกฎหมาย


@ ถ้าศาลวินิจฉัยผิดหลักการแล้วใครจะเป็นผู้ตรวจสอบศาล ?

นี่เป็นประเด็นที่ประเทศไทย และอาจจะอีกหลาย ๆ ประเทศยังถกเถียงกันอยู่ว่า ในที่สุดใครจะเป็นคนตรวจสอบศาล จะว่าไปแล้ว ปัจจุบันก็มีองค์กรที่ตรวจสอบศาลอยู่ค่ะ เพียงแต่โดยกลไกนั้นไม่ได้เอื้อให้มีการตรวจสอบการใช้อำนาจตุลาการโดยองค์กรภายนอก เพราะศาลต้องการความเป็นอิสระสูง อิสระจากทุกสิ่ง ฉะนั้น คนที่จะตรวจสอบ คือ กรรมการตุลาการ (กต.) นั่นหมายความว่าต้องมีคนไปร้องเรียน ซึ่งในยุคหนึ่งกระบวนการอย่างนี้เพียงพอ แต่ในยุคต่อมา ก็เริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้นว่าควรมีระบบอื่นมาตรวจสอบ หรือกระทั่งถ่วงดุลการใช้ดุลพินิจของศาลหรือไม่ ซึ่งคงต้องศึกษาอีก เช่น บางประเทศ ในคดีที่มีโทษสูงมาก ๆ ก็จะให้ประชาชนไปเป็นผู้พิพากษาสมทบนั่งร่วมพิพากษาด้วย เป็นต้น บางคนก็เรียกร้องว่าศาลต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนเหมือนกับ ฝ่ายนิติบัญญัติ และบริหาร แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งได้อีกว่า จะทำให้เกิดความไม่เป็นกลาง หรือตัดสินคดีเพื่อเอาใจฐานเสียงขึ้นได้ สรุปก็คือ ณ วันนี้ เรายังไม่ถึงจุดที่องค์กรตุลาการจะมาจากการเลือกตั้ง


@ ถ้าผู้พิพากษาตัดสินโดยไม่ถูกตรวจสอบว่าถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่ แล้วเราจะยอมรับได้หรือไม่ว่าเราปกครองด้วยบุคคลมากกว่าปกครองด้วยกฎหมาย ?

เราว่าเรื่องพวกนี้ถกเถียงกันได้ค่ะ แต่ถ้าจะถามไปยังสถาบันตุลาการ เขาก็จะบอกว่า เขามีระบบตรวจสอบ กลั่นกรองของเขาอยู่แล้ว ระบบเช็คแรกเลย คือ ศาลมี 3 ชั้น คือ ชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา ถ้าไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินก็อุทธรณ์ขึ้นไปยังศาลสูงได้ ในขณะที่หากมีกรณีการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ชอบธรรมก็ร้องเรียนไปที่ กต. ให้ตรวจสอบ


@ แบบนี้คนที่รณรงค์ให้ปล่อยตัวอากง เป็นพวกเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า เพราะเดี๋ยวเขาก็อุทธรณ์ ?

จะบอกว่าคนรณรงค์เรื่องนี้ ข้ามขั้นตอน หรือมีความผิดก็คงไม่ได้ค่ะ เพราะในที่สุดแล้ว ในระบอบประชาธิปไตย แม้จะเป็นคำพิพากษา ก็ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้เหมือนกัน เพียงแต่ก็ต้องว่ากันในกรอบของกฎหมาย ตั้งคำถามในเรื่องหลักการที่ควรจะเป็น คำตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมาย ย่อมอาจถูกตีความไปได้ว่าเป็นคำตัดสินที่ไม่ยุติธรรม (ถ้าเราตั้งสมมติฐานว่า กฎหมายคือเครื่องมือที่นำไปสู่ความยุติธรรม) แต่แน่นอน หากผู้ประท้วงไปชี้ชัด ๆ เลยว่า ผู้พิพากษาคนนั้นคนนี้มีอคติ ไม่เป็นกลาง อะไรแบบนี้ก็อาจเข้าข่ายไปดูหมิ่นการทำหน้าที่ของศาลได้ ตรงนี้ก็ถือว่าแม้จะมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ก็จะวิพากษ์อย่างไรให้ไม่ผิดกฎหมาย ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ในที่สุด สังคมเราก็อาจต้องมีการถกเถียงถึงปัญหาเรื่องการตรวจสอบศาล


@ หลายคนรู้สึกว่า คดีอากง sms ได้รับโทษหนักเกินไป ?

ถ้าเราตัดประเด็นปัญหาเรื่อง “สิ้นสงสัย” หรือไม่ไปออกไป แล้วยอมรับว่าอากงกระทำผิดจริง ก็ต้องถือว่าโทษหนักมาก ๆ ค่ะ สำหรับการเขียนข้อความแล้วส่ง sms ให้บุคคลที่สามเพียงคนเดียว อันนี้พิจารณาพื้น ๆ ก่อนจาก อายุของจำเลย เป็นการกระทำความผิดครั้งแรก เหล่านี้ก็น่าจะมีเหตุบรรเทาหรือลดหย่อนให้ได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ก็คงแยกไม่ออกจากปัญหาเรื่องอัตราโทษที่กำหนดไว้สูงเกินไป จนไม่เป็นไปตามหลักความพอสมควรแก่เหตุของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ค่ะ เพราะก็น่าสนใจเหมือนกันว่า ถ้าคดีนี้ไม่ใช่ความผิดมาตรานี้อัตราโทษ และการกำหนดโทษจะออกมาแบบนี้หรือไม่


@องค์ประกอบความผิดในมาตรา 112 เป็นอย่างไรและการใช้การตีความกว้างไปหรือไม่ ?

องค์ประกอบความผิดตามมาตรานี้ ก็มีการกระทำที่ถือเป็นความผิดอยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย ในส่วนของอาฆาตมาดร้าย ก็ไม่ค่อยมีปัญหาในการตีความ เพราะโดยถ้อยคำก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าหมายถึงการกระทำในลักษณะใด ปัญหาจะอยู่ที่คำว่าดูหมิ่น และหมิ่นประมาท ซึ่งอันที่จริงแล้ว ก็มีความหมายเช่นเดียวกับการ ดูหมิ่น (มาตรา 393) และหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไป (มาตรา 326) ถ้าดูหมิ่น ก็หมายถึง การด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายไม่สุภาพ หรือเป็นความคิดเห็นของผู้ด่าลอย ๆ ที่พิสูจน์อะไรในทางข้อเท็จจริงไม่ได้ เช่น บอกว่า นาย ก เป็น คนเลว คนชั่ว แบบนี้ คนฟังจะไม่รู้ว่า เลยอย่างไร ชั่วอย่างไร กฎหมายบอกว่าเป็นแค่ “ดูหมิ่น” (ซึ่งปกติ ถ้าทำกับคนธรรมดา จะมีโทษน้อยกว่าเป็นลหุโทษ)

แต่ถ้า “หมิ่นประมาท” ก็วิเคราะห์ยากขึ้นกว่านิดหน่อย เพราะจะเข้าองค์ประกอบความผิดนี้ได้ ผู้พูดต้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงด้วย ไม่ใช่ความคิดเห็นลอย ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อใส่ความให้คนอื่นที่ได้ฟังได้รู้ รู้สึกเกลียดชังคนที่ถูกใส่ความ เช่น เราบอกว่า นายก. ทุกจริต โกงกิน คบชู้สู่ชาย เป็นต้น คือ สังเกตนะคะว่า ลักษณะของถ้อยคำ และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกระทำมันจะคนละระดับกัน หมิ่นประมาทจะมีโทษสูงกว่าดูหมิ่น เพราะทำให้เขาเสียชื่อเสียงด้วย อย่างไรก็ตาม พอมาบัญญัติอยู่ในมาตรา 112 การกระทำทั้งสองแบบนี้มีโทษเท่ากัน ซึ่งปัญหาก็คือ โทษสูงเกินไป และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การใช้การตีความภายใต้ มาตรา 112 กว้างขวางมาก จนเกินความหมาย หรือแตกต่างไปจากการดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาทคนธรรมดา ทั้ง ๆ ที่ใช้ถ้อยคำเดียวกัน

สำหรับมาตรา 112 แล้ว ทุกวันนี้ หลายคดีที่ฟ้อง ๆ กันอยู่ พบว่าคนฟ้องเอง (ซึ่งเป็นปัญหาเช่นกัน เพราะให้ใครฟ้องก็ได้) ก็ไม่รู้ความหมายของการกระทำ บางกรณีมีการตีความไปถึง ส่วนอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องขอเกียรติยศชื่อเสียงของสถาบันฯ เช่น ไปตีว่าการกระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์ก็ผิดด้วย หรือแค่เพียงการไม่ยืนในโรงภาพยนตร์เมื่อเปิดเพลงสรรเสริญก็ผิด กระทั่งเดี๋ยวนี้ แค่เพียงการกด like ความผิดเห็น หรือรูปภาพของคนอื่น ก็ยังไม่หาว่าเขาผิด ตรงนี้คือ ปัญหาใหญ่มาก ๆ ของ มาตรา 112 ใช้กันพร่ำเพรื่อ


@คิดยังไง ที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์เรื่องมาตรา 112 ก็ต้องเจอข้อหาว่าไม่จงรักภักดี ?

ต้องตอบให้ได้ก่อนว่า ทุกคนเห็นปัญหามาตรา 112 นี้ร่วมกันหรือไม่ เห็นตรงกันหรือไม่ว่า การที่ มาตรา 112 กำหนดว่าใครเป็นผู้ฟ้องก็ได้ อัตราโทษที่สูงเกินไปจนน่ากลัว ประกอบกับการใช้การตีความอย่างกว้างขวางเกินขอบเขต มันเป็นผลให้มาตรา 112 ถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อเกินไป ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปิดปากฝ่ายตรงข้าม เป็นเครื่องมือทางการเมือง มีการพยายามดึงเอาสถาบันฯ มาเกี่ยวข้อง ต่างฝ่ายต่างก็ต้องอ้างว่าอีกฝ่ายพูดถึงสถาบันฯ ในทางไม่ดีอย่างไรบ้าง ถ้าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ามันมีปัญหาแบบนี้ เราบอกได้หรือไม่ว่า มาตรา 112 แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่มาตราที่ใช้คุ้มครองสถาบันฯ หรอก หากแต่เป็นมาตราที่ใช้บั่นทอนพระเกียรติของสถาบันฯ เองต่างหาก ถ้ากลุ่มนิติราษฎร์เคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการแก้ไขมาตรา 112 อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเหตุผลเบื้องหลังเพื่อแก้ไขปัญหาของมาตรา 112 ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น แล้วใครจะมาชี้หน้าหาว่า พวกเราไม่จงรักภักดีอีก เราก็ไม่รู้ว่าจะตอบโต้ว่าอะไรค่ะ


@ ขั้นตอนและเนื้อหาที่ควรแก้ ?

จริง ๆ พวกเราเคยเสนอ “พระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112” ไปแล้วเมื่อต้นปี มีรายละเอียดในเว็บไซท์ค่ะ แต่คร่าว ๆ ก็คือ เราเปิดฉากว่าต้องยกเลิกมาตรา 112 นี้ก่อน เพื่อแสดงใน “เชิงสัญลักษณ์” ว่าเราไม่ยอมรับกฎหมาย หรือบทบัญญัติใด ๆ ที่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เพราะต้องทราบนะคะว่ามาตรา 112 ปัจจุบันมีที่มาจากการรัฐประหาร ปี 2519 แล้วมีโทษหนักมาก จากนั้นเสนอว่าบัญญัติมาตราใหม่ จะมาตราอะไรก็ว่ากัน โดยดึงเรื่องนี้ออกจากหมวดความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร แล้วไปบัญญัติอยู่ในลักษณะอื่นของประมวลกฎหมายอาญาแทน ซึ่งเราเสนอว่าให้เป็นลักษณะความผิดเฉพาะสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อบัญญัติแล้วต้องดูโทษ ต้องกำหนดให้พอสมควรกว่าเหตุ เพราะปัจจุบัน โทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี นี้สูงเกินไปมาก แม้แต่โทษสำหรับเรื่องเดียวกันนี้ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ยังไม่สูงเท่าโทษในมาตรา 112 ปัจจุบัน ที่สำคัญคือ ต้องกำหนดคนที่ควรมีอำนาจฟ้องไว้เป็นองค์กรเดียว ซึ่งเราเสนอให้เป็นสำนักราชเลขาธิการ เนื่องจากเป็นของรัฐและทำงานเลขานุการในพระองค์

นอกจากนี้ต้องเพิ่มมาตราที่เกี่ยวกับ “เหตุยกเว้นความผิด” เช่น หากวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ด้วยความเป็นธรรมเพื่อดำรงไว้ซึ่งระบอบรัฐธรรมนูญ ผู้นั้นก็ไม่ควรมีความผิด เป็นต้น และปิดท้ายด้วยการเพิ่ม “เหตุยกเว้นโทษเพื่อให้ผู้กระทำมีโอกาสพิสูจน์ว่า สิ่งที่ตนพูดนั้นเป็นความจริงและทั้งเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ถ้าพิสูจน์ได้ แม้ผู้กระทำจะมีความผิด แต่ก็ไม่สมควรได้รับโทษ ทั้งนี้ ต้องห้ามมิให้พิสูจน์ความจริงถ้าเรื่องที่พูดนั้น เป็นเรื่อง “ส่วนพระองค์โดยแท้” เหล่านี้ค่ะที่เราต้องการเสนอแก้ไข


@ ในความเป็น “รัฐ” อำนาจรัฐย่อมเด็ดขาด ถ้าไปตรวจสอบมากจะเป็นไปได้หรือ ?

ปกติ “รัฐสมัยใหม่” อำนาจรัฐต้องถูกจำกัดมากที่สุดค่ะ ระบบนิติรัฐมีขึ้นมาก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ปกครองรัฐใช้อำนาจตามอำเภอใจ โดยหลักที่ถูกต้องแล้ว รัฐจะไม่มีอำนาจอะไรได้เลย เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้อย่างชัดเจนเท่านั้น ซึ่งจะตรงข้ามกับอำนาจของประชาชน โดยหลักแล้ว ประชาชนทำอะไรก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้าม แต่ในทางปฏิบัติ หลายกรณีในบ้านเราหลักการนี้มันถูกใช้สลับกัน



+ + + +

บทความเดือน ธ.ค.2553


Insects in the Backyard
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1585 หน้า 89


มันควรเป็นเรื่องน่าแปลกใจไหมที่สังคมไทยเฉยชากับการ "ห้ามฉาย" หนังสักเรื่องหนึ่ง

ศิลปะ ภาพยนตร์ วรรณกรรม ดนตรี นั้นเป็นควรจะเป็นแก้วตาดวงใจของเหล่ากระฏุมพี จะว่าไปแล้วฉันก็เข้าใจอาการของกระฎุมพีที่ออกมารักใคร่โหยหาฟูมฟายโศกศัลย์ร้าวรานไม่ว่าจะเป็นเรื่องตึกสูง สถาปัตยกรรมร่วมสมัยของเมืองฟ้ามหานครถูกเผา หรือโรงหนังสยามเหลือแต่กองขี้เถ้า ด้วยเห็นว่าพื้นที่ทางศิลปะและสุนทรียะนั้นย่อมมีความหมายดั่งเครื่องรางประจำชนชั้นของพวกเขา

ทว่า ตอนนี้ชักไม่แน่ใจว่า กระฎุมพีไทยให้ความสำคัญกับอะไรกันแน่ เพราะโรงหนังถูกเผาก็สร้างใหม่ได้ แต่เสรีภาพของการสร้างงานศิลปะถูกอำนาจรัฐใช้อำนาจผ่านกรรมการที่มาจากไหน เป็นใครไม่รู้ มาชี้เป็นชี้ตาย ชี้ว่าหนังเรื่องไหนควรอยู่หนังเรื่องไหนควรตาย กระฎุมพีไทยกลับเกิดอาการด้านชา ไม่รู้สึกรู้สา ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องผิดปกติ และฉันคิดว่าพวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรมเสียด้วยซ้ำ

(แต่ก็อย่างว่า ถ้าเราอยู่ในประเทศที่กระฎุมพีชื่นชมโสมนัสยามทหารออกมารัฐประหารถึงขั้นออกไปมอบดอกไม้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะเห็นว่าการ "ห้ามฉาย" หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างปราศจากเหตุผลที่เป็นรูปธรรมฟังขึ้นนั้นเป็นเรื่องสามัญ)

ข้อหาที่หนังเรื่อง Insects in the Backyard ถูกแบนก็คือ "ขัดต่อศีลธรรมอันดี" และดูเหมือนว่านอกจากตัวผู้กำกับ นักวิชาการสอง-สามคน กลุ่มคนทำหนังอีกไม่กี่คน กลุ่มนักวิจารณ์หนังอีกนิด คอลัมนิสต์อีกสักสี่-ห้าคนที่ออกมาตั้งคำถามกับการ "แบน" หนังเรื่องนี้แล้ว สังคมไทยโดยรวมไม่ได้รู้สึกรู้สาอยากจะตั้งคำถามกับกระทรวงวัฒนธรรมว่า เหตุใดกรรมการ หก- เจ็ดท่านนั้นจึงมีสิทธิ์ตัดสินแทนคนไทยทั้งประเทศว่า เป็นหนังที่ควรฉายหรือไม่ควรฉาย



ในขณะที่กระฎุมพีไทยสุขสันต์หรรษาด้วยเชื่อว่าตนเองอยู่ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและไม่มีการปิดกั้นกีดกันประชาชนออกจากข้อมูลข่าวสาร เนื่องจากกระฎุมพีของเรามักเปรียบเทียบระดับเสรีภาพของประเทศเรากับซาอุดิอาระเบียบ้าง กับพม่าบ้าง กับจีนบ้าง เกาหลีเหนือบ้าง แล้วก็หันมาบอกกันเอง เออกันเองว่า

"ดูสิ มาใส่ร้ายว่ารัฐบาลปิดนู่นปิดนี่ คนพวกนี้ ไปอยู่เกาหลีเหนือ ไปอยู่ประเทศจีนแล้วจะรู้สึก จะเห็นคุณค่าว่าเมืองไทยเปิดกว้างและปล่อยให้มีสื่อเสรีมากแค่ไหน และออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ หนังฝรั่งกอด จูบลูบคลำกันไปถึงไหนๆ ก็ได้ดูหมด ลองไปอยู่ประเทศมุสลิมสิ จะได้ดูเหรอ แล้วจะให้ดี รัฐบาลเราน่าจะเซ็นเซอร์ฉากเลิฟซีนโล่งโจ้งในหนังฮอลลิวู้ดด้วย น่าเกลียดจะตาย ปล่อยให้วัฒนธรรมตะวันตกเหล่านี้มาปู้ยี่ปู้ยำเยาวชน และวัฒนธรรมไทยอันดีงามของเรา"

ชนชั้นกระฎุมพีไทยอาจจะรังเกียจฉากร่วมเพศในภาพยนตร์ รับไม่ได้ที่พระเล่นกีตาร์ แต่กระฎุมพีไทยพร้อมจะอ้าขาผวาปีกต้อนรับแม่ชีผู้หยั่งรู้กรรมเก่าเข้าสู่อ้อมอก โดยดูจากหนังสือที่เขียนโดยแม่ชีติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ในเกือบทุกร้านหนังสือ แถมยังได้ออกรายการโทรทัศน์สำแดงปาฏิหาริย์ให้เป็นที่ประจักษ์

และโดยที่กรรมการผู้เชี่ยวชาญในศีลธรรมของกระทรวงวัฒนธรรมไม่เคยออกมาท้วงติงการล้างสมองคนไทยให้ดักดานอยู่ในเรื่องกรรมๆ เวรๆ แต่อย่างใด

ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังพบว่าความรู้พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ของกระฎุมพีไทยนั้นน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะแม่ชีทักกรรมแก่สตรีนางหนึ่งว่า ชาติที่แล้วเธอไปเปิดประตูให้พม่าเข้าเมือง ชาตินี้จึงโดนผู้ชายทะลวงประตูไม่ยั้ง กระฎุมพีไม่เคยสังหรณ์ใจว่า ชาติไทย ชาติพม่า มันมีแต่ในชาตินี้เพราะสิ่งที่เรียกว่า "ชาติ" มันเป็นประดิษฐกรรมของศตวรรษที่ 19 ชาติที่แล้วพม่าไม่เคยรบกับไทย ไทยไม่เคยรบกับพม่าในฐานะที่เป็น "ชาติ"

นี่ยังไม่นับว่า "ประตู" นั้นเป็นบุคลาธิษฐานของช่องทางแห่งการ เช็ด เม็ด โดยการสถาปนาของแม่ชีมาแต่ชาติปางไหน?

กระฎุมพีไทยจนซึ่งปัญญาถึงเพียงนี้จึงไม่ประหลาดใจว่าทำไมถึงโดนหลอกง่ายดายให้ไปทวงเขาพระวิหารคืนกันจนโลกลือ และกระฎุมพีจึงไม่เคยตั้งคำถามว่ากรรมการเหล่านั้นมีระดับศีลธรรมในเลือดสูงมากกว่าคนไทยอีกเจ็ดสิบกว่าล้านคนใช่หรือไร จึงมีความสามารถในการขึ้นป้ายให้กับหนังเรื่องหนึ่งว่ามีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมอันดีของประเทศชาติโดยปราศจากสักขีพยาน ไม่มีเวทีไต่สวน ชี้แจง ถกเถียง ไม่ให้ฉายก็คือไม่ให้ฉาย จะเอาไปฉายเพื่อการศึกษา ตีความ หรืออื่นใดก็ไม่ได้ทั้งนั้น

เราไม่เคยเอะใจว่าเขาเอากรรมการมาจากไหน? ไปสร้างสมความดีที่ไหนมา? มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดบ้าง? มีใครเห็นชอบต่อการเลือก? มีตัวแทนจากวงการหนังไหม? ถ้ามีเลือกกันมาอย่างไร? ในกรรมการมีความหลากหลายทางความคิด สาขาอาชีพ การศึกษาหรือไม่? คนขายส้มตำที่ก็เป็นประชาชน ชอบดูหนังเหมือนกันมีสิทธิ์เป็นกรรมการหรือเปล่า? นักเรียนมัธยมที่รักหนังเป็นชีวิตจิตใจมีสิทธิไปสมัครเป็นกรรมการกับเขาได้หรือไม่?

เรารับรู้ว่าหนังเรื่องหนึ่งถูก "ห้ามฉาย" โดยคณะกรรมการที่ไม่รู้ว่าเอาคุณสมบัติใดมานั่งเป็นกรรมการโดยผ่านความเห็นชอบของมะเขือที่ไหนไม่ทราบ ทั้งไม่ได้ชี้แจงเหตุผลของการแบนที่ซับซ้อนไปกว่าฉากการร่วมเพศและความฝันของลูกที่อยากจะฆ่าพ่อ

และพวกเราทุกคนที่ไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ก็ไม่มีสิทธิไปตั้งคำถามว่า การร่วมเพศนั้นขัดต่อศีลธรรมอันดีอย่างไร เพราะเราทุกคนก็ล้วนเกิดมาจากการร่วมเพศของใครสักคนทั้งนั้น แล้วเราจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ตระหนักถึงการร่วมเพศของมวลมนุษยชาติกระไรได้

และต่อให้มันเป็นการร่วมเพศที่พิสดารพันลึกแค่ไหน เราจะชอบ ไม่ชอบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ยอมรับว่ามันไม่มีอยู่

และฉันถามจริงๆ ว่า ถ้าเรายอมรับการร่วมเพศระหว่างพระอภัยมณีกับนางผีเสื้อสมุทรหรือนางเงือกที่เป็นกึ่งสัตว์กึ่งมนุษย์ได้แล้วใยเราจะยอมรับการร่วมเพศของผู้ชายกับกะเทยไม่ได้??



ส่วนเรื่องการฆ่าพ่อนั้นเป็นปมทางจิตวิทยาที่รู้กันทั่วไปทั้งปรากฏในนิทาน ในตำนาน ของทุกท้องถิ่น และหากจะแบนเรื่องปมลูกฆ่าพ่ออาจจะต้องไปแบนตำนานพญากงพญาพานขององค์พระปฐมเจดีย์ด้วยเพราะเป็นเรื่องของลูกที่ฆ่าพ่อเช่นกัน จากนั้น ก็ช่วยแบน ซิกมันน์ ฟรอยด์ออกไปจากจักรวาลวงศาวิทยาความรู้ไทยด้วยเพราะอีตานี่พูดเรื่องปมลูกฆ่าพ่อเป็นวรรคเป็นเวรทีเดียว

อ้อ กระทรวงวัฒนธรรมอาจต้องแบนนิทานเรื่องก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ด้วย เพราะนั่นเป็นเรื่องลูกชายที่ฆ่าแม่เพียงแค่หิวข้าวเท่านั้นเอง

เอ๊ะ หรืออาจจะต้องแบนนิทานเรื่องนางสิบสองด้วย เพราะพี่น้องสิบสองสาวนั้นแล่เนื้อเถือหนังกินกันและกันยังกะยักษ์มาร แถมมีควักลูกกะตากันมากินกันด้วย น่ากลัวโคตรๆ ขอบอก

หรือฉากที่ศรีธนญชัยจับน้องไปผ่าท้อง ควักไส้ ล้างท้องอย่างหมดจดทั้งข้างนอกข้างในนั้นไม่หวาดเสียว โหดร้าย ขัดต่อศีลธรรมอันดี?

โอ้...แล้วที่ขุนแผนผ่าท้องนางบัวคลี่ ควักลูกในท้องมาทำลูกกรอกอีกล่ะ อึ๋ยยยยส์

แต่ที่เราไม่เคยแบนนางสิบสองหรือศรีธนญชัยหรือขุนช้างขุนแผนก็เพราะเรารู้กันดีไม่ใช่หรือว่า ฉากหนึ่งฉาก นวนิยายหนึ่งตอน หรือแม้การ "ฆ่า" ในศิลปะวรรณกรรมประเภทใดก็ตาม ลำพังโดยตัวของมันเองไม่มีความหมายใดๆ และความหมายที่อยู่ใน "ตัวบท" ของวรรณกรรมใดๆ ก็ตามถูกกำกับโดยความหมายชุดหนึ่งที่รับรู้ร่วมกันของสังคมหนึ่งๆ วัฒนธรรมหนึ่งๆ หาได้มีความหมายโดดเดี่ยวเดียวดายด้วยตัวของมันเองไม่

ฉากจูบด้วยลิ้นพัลวันพัลเกจะไม่อาจกระตุ้นกำหนัดของใครในสังคมนักรบเผ่ามาไซได้เลยเพราะคนเหล่านั้นรังเกียจการเอาปากมาชนแลบลิ้นแลกน้ำลายกันอย่างยิ่ง นอกจากจะไม่กระตุ้นกำหนัดแล้วยังอาจจะอาเจียนออกมาเสียด้วยซ้ำไป

มากไปกว่านั้นก็คือ สังคมไทยในปัจจุบันซับซ้อนกว่าสังคมของนักรบเผ่ามาไซค่อนข้างมาก (แม้จะมีขบวนการพยายามทำให้มันเรียบง่ายเหมือนเผ่ามาไซอยู่ทุกวี่ทุกวันและกระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ถือเป็นหัวขบวน) ดังนั้น การเข้ารหัส ใส่ความหมาย จากสังคมลงไปทำความเข้าใจ "ตัวบท" ย่อมไม่มีหนึ่งเดียว หนังเรื่องเดียวกัน หากให้ฉันดู ฉันบอกว่า หนังเรื่องนี้ส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว แต่เพื่อนอีกคนดูบอกว่าทำให้สถาบันครอบครัวเสื่อมก็เป็นไปได้

ฉากขุนแผนแหวกท้องนางบัวคลี่ที่เท่ากับฆ่าทั้งเป็นชิงลูกในท้องมาทำลูกกรอก อาจใส่ความหมายได้อีกร้อยๆ ความหมายขึ้นอยู่กับปูมหลังของชีวิต ประสบการณ์ วัฒนธรรม ศาสนา และอีกสารพัดเงื่อนไขจากผู้อ่านหรือผู้ดู

ตั้งแต่บอกว่า ขุนแผนเป็นชายโฉด หรือในอีกวัฒนธรรมหนึ่งอาจบอกว่าขุนแผนคือต้นแบบของนักเลงแท้ ส่วนนักวรรณคดีศึกษาอาจวิเคราะห์เชิงสัญลักษณ์อย่างพิสดารจนสามารถช่วยทำให้เราเข้าใจลักษณะทางสังคมก่อนสมัยใหม่ในภูมิภาคนี้ได้ดียิ่งขึ้น หรือจิตแพทย์อาจศึกษามันได้อีกในเชิงจิตวิเคราะห์ เป็นต้น

นี่ยังไม่นับว่า ศิลปะ วรรณกรรม ภาพยนตร์ไม่ใช่คู่มือสอนศีลธรรม ไม่ใช่ทั้งเครื่องมือผดุงศีลธรรม แต่มันจะกลายเป็นอะไรสำหรับผู้ชมย่อมเป็นอำนาจการกำกับของผู้ชมไม่มีใครมาชี้นำใครได้โดยหมดจด เว้นแต่เรานับเนื่องตัวผู้ชมในฐานะที่เป็นผลผลิตทาง "ความหมายร่วม" เชิงวัฒนธรรมของสังคมหนึ่งๆ

เช่น เรารับรู้ร่วมกันว่า เมื่อเห็นโลงศพ เราย่อมนึกถึงความตาย แต่สิ่งที่อยู่แวดล้อมโลงศพ เช่น ดอกไม้ เสื้อผ้าของตัวละคร บทสนทนา สีของท้องฟ้า เหล่านี้อาจจะไม่มีความหมายใดความหมายหนึ่งผูกขาดครอบงำเอาไว้ และเป็นพื้นที่อิสระที่เราจะถอดความหมายนั้นจากประสบการณ์ของเราในฐานะที่เป็นปัจเจก

เพราะฉะนั้น สิ่งที่น่ากลัวของศิลปะคือพลังที่ปลดปล่อยผู้คนออกจากอำนาจครอบงำ ในพื้นที่ทางความหมายอันพร่าเลือนที่ยังมิได้ถูกใครคนใดคนหนึ่งครอบครองอันปัจเจกบุคคลแต่ละคนจะสามารถฉวยเอาพื้นที่นั้นมาเป็น "พื้นที่ส่วนบุคคล อำนาจรัฐห้ามเข้า"



ไม่ว่าจะเป็นอำนาจของรัฐ อำนาจของศาสนา อำนาจของศีลธรรมที่มาจากอำนาจรัฐต่างก็เป็นอำนาจที่ปรารถนาจะล่ามโซ่ตรวนให้ผู้คนไม่สามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองเพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ประชาชนสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่หวังพึ่งพาสิ่งยึดเหนี่ยวใดๆ อีก ศาสนาและรัฐก็จะหมดหน้าที่หมดความสำคัญพากันตกงานกันไปเสียเฉยๆ

แน่นอนว่าไม่มีงานศิลปะใดที่จะทะลายอำนาจครอบงำนั้นได้โดยสิ้นเชิง แต่หน้าที่ของศิลปะคือการเฝ้าสั่นคลอนอำนาจนั้นมิให้มั่นคงหนักแน่นจนเกินไปนัก

พูดให้ง่ายก็คือ ศิลปะย่อมเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เราใช้ควบคุม ท้าทาย หยอกล้อ ตักเตือนให้อำนาจครอบงำตระหนักอยู่เสมอว่า ตนมิได้ครองอำนาจนำสูงสุดเด็ดขาดอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว

เมื่อเขียนมาถึงบรรทัดนี้ ฉันก็ได้ตระหนักว่า ในดินแดนที่เรียกว่าประเทศไทยอันเป็นที่สิงสู่หลับนอนของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนไทยนั้น ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า "ศิลปะ" เกิดขึ้นทั้งในอดีต ปัจจุบัน และรวมไปถึงในอนาคต เพราะหากจะมี มันจะถูกห้าม ถูกตัดตอน ถูกทำลาย ถูกป้ายสีของว่าของต่ำช้า ขัดต่อศีลธรรม

ส่วนสิ่งที่คนไทยเข้าใจและเรียกกันไปเองว่า "ศิลปะ" และได้รับการอนุญาตจากอำนาจรัฐให้ดำรงอยู่ในฐานะที่เป็น "ศิลปะ" นั้นเป็นสิ่งตรงกันข้ามเพราะนอกจากจะไม่สั่นคลอนอำนาจครอบงำใดๆ แล้วกลับทำหน้าที่หนุนนำเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่อำนาจนำนั้นอย่างล้นปรี่

และเสียใจด้วยถ้าฉันจะบอกว่าในประเทศนี้จะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ศิลปิน"



.