http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-11-29

ชายเซ็กซี่ที่สุดแห่งปี 2012, +การให้อภัย โดย พิศณุ นิลกลัด

.

ชายเซ็กซี่ที่สุดแห่งปี 2012
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1684 หน้า 96


ราวๆ เดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคมของทุกปีหนุ่มสาวอเมริกันรอฟังข่าวว่าใครจะได้ตำแหน่ง "ผู้ชายเซ็กซี่ที่สุดแห่งปี" ของนิตยสารรายสัปดาห์พีเพิ่ล (people) ซึ่งเริ่มจัดอันดับมาตั้งแต่ปี 1985 
นิตยสารพีเพิ่ลได้รับความเชื่อถือในเรื่องนี้เพราะอายุของหนังสือยาวนาน 38 ปี นอกจากนั้น ยังได้รับการยกย่องให้เป็น "นิตยสารยอดเยี่ยมแห่งปี" จากหนังสือที่เสนอข่าวสารข้อมูลสถิติและบทวิเคราะห์ทางด้านการตลาดและสื่อสารมวลชนชื่อ Advertising Age เมื่อปี 2005 ด้วยเหตุผลว่าเนื้อหาดีเยี่ยมยอดขายหนังสือและยอดโฆษณาสูงเริ่ด
ปี 2011 พีเพิ่ลเป็นนิตยสารที่มียอดขายสูงที่สุดในอเมริกา (3.6 ล้านฉบับต่อสัปดาห์) ยอดผู้อ่านที่อายุ 18 ปีขึ้นไปสูงที่สุด (46.6 ล้านคนต่อสัปดาห์) และยอดขายหน้าโฆษณาทั้งปี 997 ล้านดอลลาร์!
นี่ขนาดอเมริกาเศรษฐกิจตกต่ำนะครับ
ช่วงก่อนเจอวิกฤติซับไพรม์ยอดขายปี 2006 ต่อสัปดาห์สูงถึง 3,750,000 ฉบับ รายรับเบ็ดเสร็จทั้งปี 1,500 ล้านดอลลาร์

ด้วยความที่สถิติดีทั้งยอดขาย ยอดคนอ่าน และยอดโฆษณา ผู้คนจึงเชื่อถือหนังสือเล่มนี้ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนดัง ข่าวตามกระแส สารคดีที่เป็นประโยชน์และสัมภาษณ์ที่มีทั้งคนดัง หรือประเด็นน่าสนใจ 
สำหรับปีนี้เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นิตยสารพีเพิ่ลมอบตำแหน่ง Sexiest Man Alive ให้กับ แชนนิ่ง เททั่ม (Channing Tatum) ดาราหนุ่มกล้ามใหญ่วัย 32 ปี ฮอตจัดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา


คําตอบตามสูตรสำเร็จของดาราชายฮอลลีวู้ดหลังจากทราบว่าตัวเองครองตำแหน่ง Sexiest Man Alive คือขำ นึกว่าตัวเองถูกอำ ซึ่ง แชนนิ่ง เททั่ม ก็ไม่ได้ตอบนอกเหนือไปจากนี้ ทำนองเดียวกับดาราสาวไทยของเราที่เวลามีคนบอกว่าเซ็กซี่ที่สุด ก็มักออกตัวว่าตัวจริงของพวกเธอนั้นล้วนแต่เป็นคนง่ายๆ สบายๆ ลุยๆ แก่นแก้วเหมือนเด็กผู้ชาย 

ขั้นตอนการเลือกผู้ชายเซ็กซี่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น (Sexiest Man Alive) ทางกองบรรณาธิการของนิตยสารพีเพิ่ลจะเสนอชื่อดาราที่มาแรงในปีนั้นๆ และร่วมกันโหวตว่าดาราชายคนไหนควรได้ครองตำแหน่งนี้ ไม่ได้ทำโพลสำรวจความเห็นจากผู้อ่านหรือคนทั่วไป

สำหรับปีนี้ ทางนิตยสาร พีเพิ่ล บอกว่า แชนนิ่ง เททั่ม ชนะขาดลอยแบบไม่มีคู่แข่ง



หลังการเลือกทุกปี จะมีกลุ่มสาวๆ หงุดหงิดกับผลตัดสินชายเซ็กซี่ที่สุดแห่งปีของนิตยสาร พีเพิ่ลโดยพวกเธอบอกว่าชายหนุ่มที่พีเพิ่ลเลือกนั้น ไม่เห็นจะหล่อ หรือเซ็กซี่ตรงไหน ไม่ใช่สเป๊กของพวกเธอเอาซะเลย 
เรื่องความหล่อ ความสวย ว่าไปแล้วขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน อย่างที่คำกล่าวของฝรั่งว่า "Beauty is in the eye of the beholder." หรือความงามอยู่ที่สายตาของผู้มอง 
ความเซ็กซี่ไม่ได้อยู่ที่รูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้น แต่นิสัยใจคอ ความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ชายหน้าตาธรรมดาๆ กลายเป็นคนดูดี มีเสน่ห์ เซ็กซี่ในสายตาผู้หญิง
อย่าง เมล กิ๊บสัน ซึ่งครองตำแหน่ง Sexiest Man Alive คนแรกในปี 1985 เป็นตัวอย่าง
หลังจากมีคลิปเสียงของ เมล กิ๊บสัน ด่าทออดีตแฟนสาวของตนอย่างรุนแรงเมื่อสองปีก่อนเผยแพร่ออกมา
ทำให้ผู้หญิงหลายคนออกมาบอกว่าควรทวงตำแหน่งสุดยอดผู้ชายเซ็กซี่คืน


จากการทำโพลสำรวจของหลายสถาบันพบว่าผู้ชายที่ดูเซ็กซี่ในสายตาของผู้หญิงนั้น ผู้หญิงให้ความสำคัญที่จิตใจมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก
คุณสมบัติของผู้ชายที่ทำให้ผู้หญิงเห็นว่ามีเสน่ห์ และเซ็กซี่ มีดังนี้

มีความซื่อสัตย์ จริงใจ
สมัยนี้ความซื่อสัตย์เป็นคุณสมบัติที่หาได้ยาก ผู้หญิงต้องการผู้ชายที่จริงใจตรงไปตรงมา เชื่อใจได้ ซึ่งความเชื่อใจเป็นสิ่งที่ใช้ระยะเวลานานในการสั่งสม แต่สามารถถูกทำลายลงภายในพริบตาเดียว

อารมณ์ขัน
คนที่มีอารมณ์ขัน ใครก็อยากอยู่ใกล้ ยิ่งผู้หญิงเป็นเพศที่มักจะน้อยใจง่าย ดังนั้น การทำให้เธอหัวเราะได้ นับเป็นเสน่ห์อย่างยิ่ง เพราะทำให้เธอหายโกรธกลับมาอารมณ์ดีอย่างเดิม

ฉลาดหลักแหลม
ผู้ชายฉลาดทำให้ผู้หญิงรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย มีความมั่นใจว่าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เขาคนนั้นจะใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้ลุล่วงผ่านพ้นไปได้

จิตใจดี
ผู้ชายที่มีจิตใจดี โอบอ้อมอารีกับคนรอบข้าง ทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่าเธอจะได้รับการปฏิบัติอย่างนั้นด้วยเช่นกัน

ความมั่นใจ
ผู้ชายที่มีความมั่นใจในตัวเอง ทำให้ผู้หญิงรู้สึกอบอุ่น มั่นใจว่าสามารถปกป้องเธอได้ในทุกสถานการณ์

ความมุ่งมั่น
ผู้ชายที่มีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายในชีวิต ทำให้ผู้หญิงเกิดความมั่นใจว่าเธอและเขาจะมีอนาคตที่ดีร่วมกันรออยู่ข้างหน้า

เป็นผู้รับฟังที่ดี
ผู้ชายที่พร้อมจะรับฟังยามที่ผู้หญิงมีเรื่องไม่สบายใจ ต้องการใครสักคนเพื่อปรับทุกข์ ผู้ชายลักษณะนี้จะทำให้ผู้หญิงอุ่นใจว่าเธอจะมีคู่คิดเคียงข้างเธอเสมอ

โรแมนติค
ผู้ชายที่โรแมนติก อ่อนหวาน ดูแลเอาใจใส่หญิงคนรักของตัว คือผู้ชายในฝันของผู้หญิงทุกคนในโลก

ผู้ชายไทยเราเข้าข่ายข้อไหนบ้างครับ



+++
บทความของปี 2554

การให้อภัย
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1628 หน้า 96


วันเสาร์สุดท้ายของเดือนตุลาคมของทุกปีถือเป็น "วันให้อภัยแห่งชาติ" หรือ National Forgiveness Day ของประเทศอเมริกาซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 29 ตุลาคม 2554
จุดประสงค์ของการจัดให้มีวันให้อภัยแห่งชาติก็เพื่อปลุกให้คนได้คิดว่า ความโกรธ ความเคียดแค้น ไม่ให้อภัยผู้อื่น เป็นอันตรายต่อสุขภาพและเป็นตัวขัดขวางความสุข 
คนเราทุกคนล้วนเคยทำในสิ่งที่ทำให้คนอื่นโมโห เสียใจ และโกรธเคือง ในชีวิตมีเรื่องที่ทั้งเขาและเราทำในสิ่งที่ก่อให้ต่างฝ่ายต่างไม่พอใจเกิดขึ้นอยู่เสมอ
หากไม่รู้จักการให้อภัย ชีวิตก็จะมีแต่ความโกรธ เกลียด เคียดแค้น ที่สุดแล้วคนที่ทุกข์ก็คือตัวเรา


เรื่องการให้อภัยมีผลดีต่อสุขภาพ มีการศึกษาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนโดยคณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดของสหรัฐอเมริกา ภายใต้โครงการชื่อ Stanford Forgiveness Project 
คณะผู้วิจัยสุ่มกลุ่มสำรวจผู้ใหญ่ 259 คน อายุระหว่าง 25-50 ปี และให้เข้ารับการอบรมวิธีให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเคือง มีการอบรม 6 ครั้ง ครั้งละ 90 นาที หลังจากนั้น ก็ทำการสำรวจสภาพจิตใจ ระดับความโกรธ ความเครียด และสุขภาพกาย
ผลออกมาว่าหลังจากฝึกอบรมการรู้จักให้อภัย ระดับความเครียดของคนที่เข้าอบรมส่วนใหญ่ลดลง โกรธน้อยลง มองโลกในแง่บวกมากขึ้น สุขภาพแข็งแรงขึ้น 
หลังจากนั้น อีก 10 สัปดาห์ก็ได้ประเมินสุขภาพจิตอีกครั้ง พบว่า ระดับสุขภาพจิตยังดีเหมือนกับเมื่อตอนเสร็จการอบรมการรู้จักให้อภัยใหม่ๆ



การให้อภัยอาจเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นธรรมดาที่เมื่อมีใครมาทำไม่ดีกะเรา เราก็จะคิดทันทีว่าในเมื่อคนคนนั้นทำผิดคิดไม่ดีกะเรา เราจะยกโทษให้ทำไม เพราะถ้าเรายกโทษให้แต่เขาไม่สำนึกแล้วทำผิดซ้ำๆ อีกเรื่อยไป เราจะกลายเป็นผู้รับเคราะห์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด 
วิธีให้อภัย ผู้รู้บอกว่าแม้เราจะเป็นผู้เสียหาย แต่ขอให้คิดว่าเราไม่ได้เป็นผู้พ่ายแพ้ เพราะคนที่รู้จักให้อภัยนั้นแท้จริงแล้วเป็นผู้ชนะ ถึงจะถูกทำให้โมโหไม่พอใจ แต่ตัวเองก็เข้มแข็งที่จะให้อภัยคนคนนั้น ไม่เก็บมาคิดแค้น เอาชนะใจตัวเองได้ 
การให้อภัยช่วยลดความดันโลหิต ลดความโกรธ ลดความซึมเศร้า ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีหวัง ทำให้รู้สึกว่าแม้ชีวิตจะลำบาก แต่ตัวเองก็ยังมีพลังที่จะรับมือ 
ต่างจากคนที่ไม่รู้จักการให้อภัยที่มักจะรู้สึกสิ้นหวัง โกรธแค้น กินไม่ได้นอนไม่หลับ ที่สุดแล้วก็ส่งผลร้ายต่อสุขภาพตัวเอง


การรู้จักให้อภัยเป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ โดยเริ่มจากคนใกล้ตัวคือให้อภัยสมาชิกในครอบครัว แล้วค่อยๆ ขยายวงไปยังการให้อภัยเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงานไปจนถึง "คนที่สวมเสื้อคนละสี" 
เมื่อพร้อมที่จะให้อภัยแล้วขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมยอมรับผิดเมื่อทำผิด การยอมรับผิดไม่ใช่สิ่งน่าอาย ที่น่าละอายก็คือทำผิดแล้วไม่ขอโทษ แถมยังป้ายความผิดให้ผู้อื่นด้วย
คนที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับ ไม่รู้จักเรียนรู้จากความผิดของตัวเอง ทำให้ไม่สามารถพัฒนาตัวเองในทางที่ถูกที่ควร

นักจิตวิทยาบอกว่าการโทษคนอื่นนั้นเหมือนเป็นโรคติดต่อ เวลาเห็นคนอื่นโยนความผิด เราก็จะมีแนวโน้มที่จะซึมซับพฤติกรรมป้ายความผิดให้ผู้อื่น ซึ่งส่งผลเสียให้กับการแก้ปัญหาโดยรวม เพราะแทนที่จะใช้เวลาไปกับการร่วมมือกันแก้ข้อผิดพลาด กลับใช้เวลาไปกับการโจมตีกัน
ช่วงเวลาที่บ้านเมืองกำลังประสบปัญหารุนแรงอย่างในขณะนี้ ผู้นำที่ดีไม่ควรเสียเวลาไปกับการโยนความผิดให้คนอื่น


John C. Maxwell นักเขียนหนังสือด้านภาวะผู้นำที่โด่งดังทั่วโลก และหนังสือหลายเล่มของเขาได้รับการแปลเป็นภาษาไทย เคยพูดคุณสมบัติของผู้นำที่ดีไว้ได้น่าคิดว่า
"A good leader takes a little more than his share of the blame, a little less than his share of the credit."

"ผู้นำที่ดีคือคนที่ยอมรับการตำหนิมากกว่าที่ตัวเองสมควรได้รับ และรับความดีความชอบน้อยกว่าที่ตัวเองสมควรได้รับ"



.