http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-11-04

สรกล อดุลยานนท์ : แก่ แช่แข็ง เผด็จการ

.
เพิ่ม - พิมพ์เขียว การเมือง "แช่แข็ง" ประเทศไทย เรื่องเก่า คนหน้าเดิม

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

แก่ แช่แข็ง เผด็จการ
โดย สรกล อดุลยานนท์  คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12
ในมติชน ออนไลน์  วันเสาร์ที่ 03 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 20:20:20 น.
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 3 พ.ย. 2555 )


จะว่าตำรวจประเมินผิดพลาดก็คงไม่ได้ 
เพราะสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยก็ประเมิน "ม็อบ" ที่สนามม้านางเลิ้งต่ำกว่าความเป็นจริง 
คนที่มาชุมนุมไม่ต้องถึง 26,000 คนตามจำนวนที่นั่งในสนามตามที่ "แกนนำ" คุยหรอกครับ
แค่เกิน 10,000 คนก็ถือว่าเหนือความคาดหมายแล้ว

ใครจะบอกว่ามีบ่อนการพนัน หรือพรรคการเมืองขนคนมาชุมนุม
ฟังได้ แต่อย่าเชื่อทั้งหมด 
เพราะต้องไม่ลืมความจริงว่า "เชื้อ" ของความเกลียดชัง "ทักษิณ ชินวัตร" และพรรคเพื่อไทยมีอยู่จริง 
ไม่ได้มอดดับลงตามชัยชนะของพรรคเพื่อไทย

"เชื้อ" ความเกลียดชังนี้ ไม่จำเป็นต้องอาศัยบรรยากาศที่เอื้ออำนวยหรือเงื่อนไขอะไรพิเศษ 
ขอให้แจ้งข่าวให้รู้ ก็พร้อมจะมาแล้ว
ยิ่งถ้าไปเช้า-เย็นกลับ
แบบนี้ตัดสินใจไม่ยากนัก

ในอีกมุมหนึ่ง "ม็อบการเมือง" วันนี้ก็ไม่ใช่จะบริสุทธิ์สะอาด 100% 
พรรคการเมืองเข้ามาช่วยขับเคลื่อนด้วยอย่างแน่นอน 
ยิ่งมีสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม 3-4 สถานี ช่วยกันประชาสัมพันธ์ 
"ม็อบเสธ.อ้าย" จึงแจ้งเกิดได้ไม่ยาก


แม้ใครจะพอใจหรือไม่พอใจ "ม็อบเสธ.อ้าย" ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือการชุมนุมแสดงความไม่พอใจรัฐบาลเป็นสิทธิของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
"ม็อบเสธ.อ้าย" จะชุมนุมกี่ครั้งก็ได้

แต่เมื่อใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องไม่ละเมิดหลักการประชาธิปไตย 
การชุมนุมเป็นเรื่องปกติ แต่การเรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหาร หรือข้อเสนอแช่แข็งประชาธิปไตยต่างหากที่ทำให้ "ม็อบเสธ.อ้าย" มีตำหนิ
เพราะแสดงให้เห็นว่าไม่เคารพเสียงของประชาชน
ไม่เคารพหลักการประชาธิปไตย

นี่คือ ประเด็นที่ผู้มาชุมนุมต้องสังวรให้จงหนัก 
อย่าให้ "ความเกลียดชัง" มาบังตา จนลืมหลักการประชาธิปไตย
เราจะชุมนุมไล่รัฐบาลเป็นสิทธิของเรา 
แต่อย่าลืมเหลือบตามอง "แกนนำ" การชุมนุมด้วยว่าเขามี "ธง" อย่างไร
ประชาธิปไตย หรือเผด็จการ

"เสธ.อ้าย" ซึ่งเป็น "ผู้นำ" การชุมนุมบอกว่าถ้าวันนี้มีกำลังทหาร
"ผมปฏิวัติไปแล้ว"
เมื่อ "ผู้นำ" ปักธงความคิดไว้ที่การรัฐประหาร ใช้อำนาจนอกระบบฉีกรัฐธรรมนูญ 
การชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นแค่ "เครื่องมือ" เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย


แช่แข็งประเทศ
หลักคิดแบบนี้อันตรายอย่างยิ่งสำหรับระบอบประชาธิปไตย
ในแวดวงโซเชียลมีเดียมีประโยคหนึ่งที่ฮิตภายในชั่วข้ามคืน
"แก่ ใจดี สปอร์ต กทม."

เป็นคำจำกัดความของ "คนแก่" คนหนึ่งที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ
แต่ในแวดวงการเมือง กำลังจะเกิดคำจำกัดความใหม่

"แก่ แช่แข็ง เผด็จการ นางเลิ้ง"



+++

พิมพ์เขียว การเมือง "แช่แข็ง" ประเทศไทย เรื่องเก่า คนหน้าเดิม
ในมติชน ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 02 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 11:01:31 น.


ข้อเสนอ "แช่แข็ง" ประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี อันมาจาก พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม (อพส.)
ท้าทายอย่างยิ่ง
ท้าทายไม่เพียงเพราะเมื่อ 35 ปีก่อน พ.ท.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เคยมีส่วนร่วมในการยึดอำนาจแต่ล้มเหลวกลายเป็นขบถ 26 มีนาคม
กระทั่ง พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ ต้องตาย

ท้าทายไม่เพียงเพราะเป็นการเสนอพร้อมกับความสำเร็จในการจัดชุมนุมใหญ่ทางการเมือง ณ สนามม้านางเลิ้ง เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม
เป็นบันไดขั้นที่ 1 ก้าวไปสู่ขั้นที่ 2 ในการไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

คล้ายกับการขับเคลื่อนขององค์กรพิทักษ์สยาม และเครือข่ายจะใช้บทเรียน "อาหรับสปริง" เพื่อสร้างปรากฏการณ์ "ไทยสปริง" ให้บังเกิดขึ้น
เรียกอย่างหรูๆ ว่าเป็นการปฏิวัติโดยประชาชน 
แต่ความหมายในทางเป็นจริงก็อีหรอบเดียวกับปรากฏการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2549 นั่นก็คือ ปูทางสร้างเงื่อนไข
สร้างเงื่อนไข "รัฐประหาร"


ลักษณะย้อนแย้งเป็นอย่างยิ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่ปรากฏการณ์ "ไทยสปริง" ครั้งใหม่เท่ากับเป็นการสารภาพ 
สารภาพอันพจนานุกรม ฉบับมติชน นิยามอย่างรวบรัดที่หน้า 868 
สารภาพ (สา-ระ-พาบ) ก.รับผิดตามความเป็นจริง 1 ยอมรับ 1
ไม่ว่าจะเป็นวาทกรรมว่าด้วย "แช่แข็ง" ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นวาทกรรม "ถ้าผมมีกำลังอยู่ในมือผมปฏิวัติไปแล้ว"

ทาง 1 เท่ากับเป็นการยอมรับในความผิดพลาดล้มเหลวของรัฐประหารเมื่อปี 2549
ขณะเดียวกัน ทาง 1 หากมิได้เป็นการยอมรับแล้วเหตุใดจะต้องเรียกร้องให้มีการยึดอำนาจโดยทหารประสานกันไปกับการขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เล่า


หากมองเพียง พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ อาจเป็นคนหน้าใหม่
แต่หากมองไปยัง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ หากมองไปยัง นายปราโมทย์ นาครทรรพ หากมองไปยัง นายไพศาล พืชมงคล 
ล้วนเป็นคนหน้าเดิม
เป็นคนหน้าเดิมที่เคยออกโรงในการโค่นล้มระบอบทักษิณ เมื่อก่อนและหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 และวันนี้พวกเขาออกโรงอีกเพื่อโค่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
6 ปีที่ผ่านมาจึงเป็น 6 ปีแห่งความล้มเหลว  
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ขบวนการรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 มีส่วนอย่างสำคัญในการสร้างปัญหาในลักษณะแช่แข็งประเทศไทยมากระทั่ง ณ วันนี้ 
เป็นเวลาร่วม 6 ปีแล้ว

เป็น 6 ปีที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งทั่วไปมาแล้ว 3 ครั้งในเดือนธันวาคม 2550 ครั้งหนึ่ง ในเดือนกรกฎาคม 2554 ครั้งหนึ่ง
ทั้ง 2 ครั้ง พันธมิตรแห่งขบวนการรัฐประหารพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง 
มีความพยายามใช้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ประสานกับการชุมนุมใหญ่โค่นล้มรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จในเดือนธันวาคม 2551 แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 2554 ยิ่งพ่ายแพ้อย่างหนักหนาสาหัส 
ก็ยังไม่เข็ด ก็ยังไม่หลาบจำ

ทั้งๆ ที่กระบวนการเลือกตั้งโดยประชาชนเพิ่งผ่านพ้นมาเพียง 1 ปีและประชาชนส่วนข้างมากเกือบ 15 ล้านเสียง มอบฉันทาทุมัติให้กับพรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 
ก็ไม่ยอมรับฟัง ก็ไม่ยอมให้ความเคารพ 
ยังประกาศจะ "แช่แข็ง" ประเทศไทยต่อไป ยังออกบัตรเชิญให้ทหารออกมาทำรัฐประหารอีกเหมือนกับที่เคยทำมาแล้วเมื่อ 6 ปีก่อน
ไม่เข็ด ไม่หลาบจำ

เนื้อหาการโจมตีต่อรัฐบาลก็เหมือนกับเนื้อหาโจมตีระหว่างเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 
เพียงแต่ตอนนั้นออกจากปาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะที่ในตอนนี้ออกจากปาก พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ

ผลการเลือกตั้งเป็นอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ย่อมรู้ดีที่สุด



.