http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-11-30

ผิดหลงอีกแล้ว, ป้องกันพื้นที่ละเอียดอ่อน, จบเห่, ความรับผิดชอบของนายกฯ, อภิปรายไม่ไว้วางใจทักษิณ โดย วงค์ ตาวัน

.
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง - จุดแข็ง จุดอ่อน ของ ประสงค์ สุ่นศิริ จุดของ “ป๋า”
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง - กลเกม การเมือง ของ พรรคประชาธิปัตย์ ไล่จับเงา ทักษิณ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ผิดหลงอีกแล้ว
โดย วงค์ ตาวัน 
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


เห็นข่าว พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร.และเลขาธิการป.ป.ส. เข้าตรวจยึดทรัพย์สินเครือข่าย ยาเสพติดนายหน่อคำและลุงหนวดคนสนิท โดยจู่โจมถึง 50 จุด ยึดทรัพย์ได้ถึง 500 ล้านบาท
ไม่ว่าใครก็ต้องตกใจ แสดงว่าธุรกิจมืดของแก๊งนี้ ทำกันมานานจนมีรายได้มหาศาล
พร้อมกับดีใจที่หน่วยปราบยาเสพติดทำงานกันจริงจัง ผลงานชิ้นนี้เหมือนตัดเส้นเลือดใหญ่อย่างได้ผล

การไล่ล้างแก๊งหน่อคำ เป็นผลมาจากการสะสางคดียิงลูกเรือจีน 13 ศพที่เชียงแสน ของทีมตำรวจไทยนั่นเอง
ล่าสุดหน่อคำเพิ่งถูกศาลจีนตัดสินประหารชีวิตในคดีดังกล่าว 
ขณะที่ป.ป.ส.ยุค พล.ต.อ.พงศพัศ ขยายผลต่อ ตามไปยึดทรัพย์ได้มากมาย
นี่แค่แก๊งเดียว คงต้องเร่งขุดรากถอนโคนแก๊งอื่นๆ ต่อไปอีก


เชื่อว่ารัฐบาลนี้ และหน่วยปราบยาเสพติดยุคนี้ ตระหนักดีว่า สังคมไทยฝากความหวังเอาไว้มาก
ไม่รู้ลูกหลานเดินออกจากบ้าน จะไปเป็นเหยื่อหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ปล่อยให้ระบาดมานาน 

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ในยุคก่อนไม่เห็นว่าเน้นงานด้านนี้ คงเน้นไปจับผิดทักษิณตอนสงครามยาเสพติดมากกว่า
พอเป็นยุคเพื่อไทยผู้คนก็มั่นใจ เพราะเห็น ผลงานมาแล้วสมัยไทยรักไทย เพียงแต่ต้องรัดกุมขึ้น อย่ามีศพมากเกินไป
ปีเศษที่รัฐบาลปูเข้ามาทำงาน จึงได้เห็นการทุ่มเททั้งตำรวจและป.ป.ส.
แค่ไม่กี่เดือน มีผลงานมากกว่าบางรัฐบาลทำ 2 ปีเสียอีก!


ล่าสุด ได้ยินนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกปชป. ออกมาวิจารณ์พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวหาทุ่มโฆษณาหาเสียงว่ามีผลงานการปราบยาเสพติด
ใครได้ยินก็ส่ายหน้า เอาอีกแล้วปลาบู่
ต้องแยกให้ออกระหว่างดีแต่พูด กับการทำงานจริงแล้วเป็นที่รู้จักชื่นชมของชาวบ้าน! 
เดี๋ยวประชาชนได้ยินได้ฟัง เลยยิ่งนึกย้อนเทียบ 2 รัฐบาล ยิ่งหนักหนาสาหัส 
แต่เรื่องเห็นอะไรนิดก็รีบพูดทันที มีแทบทุกวัน
พลาดอยู่เป็นประจำ

จะด่ารัฐบาลว่าของแพง แต่ไปฉะห้องอาหารรัฐสภา ที่คนพรรคเดียวกันเป็นนายกสโมสร จนเป็นเรื่องขำกลิ้งมาแล้ว
จะโจมตีเอกสารคำสั่งกลาโหม ก็ไม่รู้จักตรวจสอบข้อมูลง่ายๆ

หลงผิดเรื่องผิดหลง อย่างน่าอับอายขายหน้าที่สุด



++

ป้องกันพื้นที่ละเอียดอ่อน
โดย วงค์ ตาวัน 
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


มี ข่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประสานไปยังกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อขอให้มีการใช้ดาวเทียมของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ซึ่งปกติใช้ในการสำรวจพื้นที่ต่างๆ ของประเทศเราอยู่แล้ว
ให้เอามาใช้จับภาพการชุมนุมของม็อบแช่แข็ง 
ด้วยเหตุผลที่ว่า ความสามารถของดาวเทียมซึ่งจับภาพในพื้นที่กว้างหลายกิโลเมตรได้อย่างชัดเจน
น่าจะจับภาพการชุมนุมได้ทุกซอกมุม 
เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานหากเกิดการใช้ความรุนแรงเพื่อสร้างสถานการณ์
จะได้เห็นชัดว่า เป็นฝีมือใคร กลุ่มไหน!
ถือเป็นความพยายามใช้เครื่องมือไฮเทคเพื่อควบคุมสถานการณ์อย่างน่าสนใจทีเดียว

คงเพราะเคยเป็นรัฐมนตรีสำนักนายกฯ คุมช่อง 9 แล้วใช้เทคโนโลยีของทีวีในภารกิจหลายๆ เรื่อง
จนเป็นที่มาของฉายา เหลิม ดาวเทียม 
อาจเป็นเพราะความเชี่ยวชาญเก่าๆ ดังกล่าว ทำให้เกิดไอเดียนี้

ถ้าประสิทธิภาพของดาวเทียม เก็บความเคลื่อนไหวของคนบนภาคพื้นดินได้ชัดเจน แล้วหากเกิดสถานการณ์อันไม่พึงประสงค์ขึ้นมาจริง
ภาพดาวเทียมอาจช่วยคลี่คลายความจริงได้อย่างเป็นหลักเป็นฐาน 
ไม่ใช่เมื่อเกิดเหตุบานปลาย แล้วโทษกันไปมา ด้วยข้ออ้างเลื่อนลอย!


ยุครัฐบาลนี้ ต้องชี้ผิดถูกอย่างมีหลักฐาน และมีความรับผิดชอบ อย่าใช้นิสัยโยนให้ชายชุดดำเป็นอันขาด 
ฝ่ายแกนนำม็อบเองก็น่าจะสบายใจ หากมีเจตนารมณ์ชุมนุมด้วยความสงบจริงๆ 
สุดท้ายหากมือที่ 3 เข้ามาสร้างความปั่นป่วน จะมีหลักฐานชี้ชัด

เหนืออื่นใด ไม่ว่าใครก็ตามคิดเล่นสกปรก ต้องหยุด ต้องรู้ว่ามีดาวเทียมจับตาอยู่!


ส่วนกรณีการใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงเข้ามาควบคุมบางพื้นที่นั้น
ฟังว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่ได้คิดถึงขั้นปราบหนักนองเลือดแต่อย่างใด 
แต่น่าจะเป็นมาตรการควบคุมพื้นที่หวงห้าม ไม่ให้มีการสร้างเรื่องบีบคั้นให้ทหารต้องออกมาเคลื่อนไหว

คงได้ยินข่าวที่ว่า หากมีการทำร้ายผู้ชุมนุม ให้แกนนำม็อบนำมวลชนหลบหนีไปยังพื้นที่ 3 แห่ง 
1 ใน 3 คือ สถานที่สำคัญของบ้านเมือง พื้นที่อันละเอียดอ่อน
ถ้าเจ้าหน้าที่คุมพื้นที่นี้ได้ ก็ตัดเงื่อนไขดึงรถถังออกมาได้!



++

จบเห่
โดย วงค์ ตาวัน
  คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


น่าเสียดายที่เกิดเหตุปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมม็อบแช่แข็งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนมีผู้บาดเจ็บไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิด แต่ขณะเดียวกันปฏิบัติการของตำรวจโดยรวม ยังถือว่าอยู่ในกรอบ เมื่อเห็นว่าเริ่มมีการลงไม้ลงมือกันก็ใช้แก๊สน้ำตาแก้ไขสถานการณ์ 

ปฏิบัติการของตำรวจเมื่อเช้าวันเสาร์ คงพูดยากว่ารุนแรงเกินไป เพราะยังอยู่ในกติกาสากล 
ที่สำคัญรัฐบาลยุคนี้ ไม่ได้ใช้หน่วยรบติดอาวุธจริงเข้าปราบม็อบ! 
ใช้เพียงตำรวจปราบจลาจล โล่ กระบอง แก๊สน้ำตา ตามหลักทุกประการ 
จึงต้องขบขันอย่างยิ่ง ที่ประชาธิปัตย์และเครือข่าย กล่าวประณามตำรวจว่ารุนแรงเกินเหตุ
ดีแต่พูด โดยไม่นึกถึงภาพ 99 ศพบ้างเลยหรือ!?

ขณะเดียวกัน การตัดสินใจเลิกม็อบเอาดื้อๆ หลังจากชุมนุมได้ไม่กี่ชั่วโมงของเสธ.อ้ายนั้น 
ข้ออ้างเรื่องตำรวจรุนแรงเกินเหตุ หวั่นเกรงชีวิตของประชาชนผู้ชุมนุม แม้เป็นเหตุผลที่น่าชื่นชม แต่ความจริง เหตุที่ต้องเลิกม็อบ ก็เพราะตัวเลขคนมาร่วมไม่ถึงเป้า 
ที่เสธ.อ้ายอุตส่าห์อ้างว่า คนมาแค่ 5 หมื่นไม่ถึงล้านนั้น
ความจริงมาแค่หมื่นห้ามากกว่า ตัวเลขผู้ชุมนุมในวันเสาร์นั้นสูงสุดไม่เกิน 2 หมื่นคน

อีกอย่าง มาตรการปิดกั้นพื้นที่สำคัญ ป้องกันม็อบเคลื่อนไป ถึงขั้นส่งหน่วยหน้าเข้าปะทะแต่ต้องล่าถอยฝ่าไปไม่สำเร็จ 
เป็นอีกจุดตายของม็อบแช่แข็ง เพราะเท่ากับการชุมนุมก็ต้องว่ากันเฉพาะในพื้นที่ลานพระบรมรูปฯ 
ไม่สามารถฮือไปพื้นที่อื่นเพื่อจุดชนวนให้บานปลายได้!


แต่สิ่งชี้ขาดก็คือ จำนวนคนน้อยนั่นแหละ 
ไม่ควรไปอ้างว่าฝ่ายรัฐสกัดกั้นจนคนไม่มา 
จริงๆ ที่คนไม่มายอมรับเถอะว่า เพราะเหตุผลการจัดชุมนุมไม่เพียงพอ ข้ออ้าง 3 ข้อนั้นกว้างเป็นมหาสมุทร

ยิ่งกว่านั้น ข้อเสนอล้มเลือกตั้ง จับประเทศแช่แข็ง คนส่วนใหญ่ใครจะเอาด้วย!  
ม็อบเสธ.อ้ายคือพวกประกาศตัวเป็นผู้วิเศษ ริบอำนาจจากมือประชาชน เพื่อเอาอำนาจไปใช้เอง ไปจัดระเบียบการเมืองใหม่กันเอง
นี่คือข้อเสนอที่ขัดแย้งกับคนเกือบทั้งประเทศ 
ยกเว้นเฉพาะกลุ่มแนวคิดล้าหลังขวาจัดเท่านั้น ที่เอาด้วย


แค่หัวหน้าม็อบออกมาบอกว่าจะไล่รัฐบาลเลือกตั้ง เพื่อแช่แข็ง
เท่ากับม็อบนี้จบตั้งแต่เริ่มแล้ว!



++

ความรับผิดชอบของนายกฯ
โดย วงค์ ตาวัน
  คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น. 


เราได้ยินคำพูดจาของสมาชิกพรรคฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯยิ่งลักษณ์ มากที่สุดอยู่คำหนึ่งก็คือ คนเป็นนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ดีใจที่ฝ่ายค้านเน้นย้ำคำนี้ เพื่อให้สังคมไทยได้ตระหนักว่า รัฐบาลไหนก็ตาม ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีความรับผิดชอบ 

อีกทั้งพอดิบพอดี ที่ขณะกำลังอภิปรายไม่ไว้วางใจกันนั้น 
ศาลได้มีคำสั่ง ในสำนวนไต่สวนชันสูตรศพ นายชาญณรงค์ พลศรีลา แท็กซี่เสื้อแดงที่ถูกยิงตายในซอยรางน้ำ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553
โดยชี้ว่า ตายด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง จาก เจ้าหน้าที่รัฐที่มาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ ศอฉ.
นี่จึงเป็นรายที่ 2 ใน 99 ศพ
ต่อจากนายพัน คำกอง ที่ศาลมีคำสั่งว่า ตายโดย เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปฏิบัติการตามคำสั่งศอฉ.ในช่วงเหตุการณ์ สลายม็อบเสื้อแดงปี 2553

2 ศพแล้ว ที่พิสูจน์ด้วยพยานหลักฐาน การเบิกความของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในชั้นศาล
ไม่ใช่แค่คำพูดอันเลื่อนลอย
เป็น 2 ศพที่ชี้ด้วยคำสั่งของศาล


จากนี้ยังมีอีกหลายสำนวนหลายศพ ที่อยู่ระหว่างการไต่สวนในชั้นศาล ซึ่งจะมีคำสั่งทยอยออกมาเป็นลำดับ
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์!! 
มาจากการชุมนุมของเสื้อแดงที่เรียกร้องให้ยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจเลือกตั้งใหม่
เนื่องจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ขึ้นเป็นรัฐบาลโดยมีข้อครหา เพราะไม่ใช่ผู้ชนะในการเลือกตั้ง

สุดท้ายเห็นได้ว่า รัฐบาลเลือกจะใช้วิธีแข็งกร้าว ใช้เจ้าหน้าที่หน่วยรบพร้อมอาวุธจริงเข้าปฏิบัติการ โดยอ้างว่ามีผู้ก่อการร้าย 
ขณะที่นายพัน คำกอง คือผู้ที่ยืนดูเหตุการณ์ และนายชาญณรงค์ พลศรีลา คือผู้ใช้หนังสติ๊กยิงสู้กับเจ้าหน้าที่ หาใช่ผู้ก่อการร้ายไม่!?
อีกทั้งสาระของการชุมนุมประท้วง เป็นการเรียกร้องให้ใช้การเลือกตั้งมาตัดสินข้อเคลือบแคลง
ไม่ใช่ม็อบเรียกหาอำนาจนอกระบบและการแช่แข็ง


หลังเกิดเหตุมีคนตายร่วมร้อย รัฐบาลขณะนั้นโทษชายชุดดำ 
แต่แค่คำพูดลอยๆ ไม่มีหลักฐานมาชี้ได้ว่าชายชุดดำที่เห็นผลุบๆ โผล่ๆ นั้นเป็นใคร

วันนี้ศาลชี้แล้ว 2 รายว่าตายด้วยชุดเขียว ไม่ใช่ ชุดดำ 

แล้วความรับผิดชอบล่ะ!



++

อภิปรายไม่ไว้วางใจทักษิณ
โดย วงค์ ตาวัน 
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
ในข่าวสดออนไลน์  วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


ไปๆ มาๆ วิจารณ์กันไปทั้งเมืองว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี้ คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจทักษิณมากกว่า ไม่ว่าบรรดาขุนพลฝ่ายค้านคนไหนหยิบแตะเรื่องใด ยังวนเวียนอยู่กับคนชื่อทักษิณ ยังหลีกหนีไม่พ้น 
จะอภิปรายนายกฯหญิง หรือรองนายกฯ หรือรัฐมนตรี ก็โยงเข้าหาทักษิณอยู่นั่นแหละ 
อาจจะเพื่อเน้นย้ำให้เห็นว่า เป็นรัฐบาลหุ่นของทักษิณ  
แต่เมื่อพูดเหมือนกันเช่นนี้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายวาระใด ย่อมเข้าข่ายซ้ำไปซ้ำมา
ความเบื่อหน่ายในความรู้สึกชาวบ้านจึงเกิดขึ้น ทั้งที่การอภิปรายหนนี้มีความพยายามตรวจสอบนโยบายสำคัญจำนำข้าวอย่างเอาจริง เอาจังอยู่ไม่น้อย 
เรื่องดีๆ เลยโดนกลบด้วยบรรยากาศอภิปรายไม่ไว้วางใจทักษิณเสียหมด!


จะว่าไปแล้วการที่ฝ่ายค้านทุ่มโถมในเรื่องจำนำข้าว มองอีกด้านหนึ่งน่าสนใจ 
เพราะในยุคประชาธิปัตย์นั้นประกันราคาข้าว มาในยุคนี้เป็นจำนำข้าว

วันนี้ฝ่ายค้านโจมตีอย่างหนักหน่วงว่า เป็นนโยบายที่ปล่อยให้เกิดการทุจริตอย่างมโหฬารที่สุด 
ขณะที่รัฐบาลก็ยืนกรานว่า ทำให้เงินไปถึงมือชาวนามากที่สุด 
มองให้ดีนี่เป็นมิติใหม่ทางการเมือง เมื่อพรรคการเมืองขั้วตรงข้าม มีนโยบายที่แตกต่างกันชัดเจน 
มีอะไรแตกต่างให้ชาวบ้านตัดสินใจในตอนเลือกตั้ง!

ไม่ใช่การเมืองที่นโยบายเหมือนๆ กัน แค่ต่างตัวบุคคล แต่คราวนี้จะได้มาพิสูจน์กันว่าเพื่อไทยใช้การจำนำข้าว ยุคก่อนหน้านี้ประชาธิปัตย์ใช้ประกันราคา  
ถึงเลือกตั้งหนต่อไป ชาวบ้านจะได้นำไปตัดสินใจ หลังผ่านการเปรียบเทียบในทางปฏิบัติให้เห็นชัดๆ แล้ว


ถูกต้องแล้วที่ประชาธิปัตย์ใช้วิธีเปิดโปงให้ประชาชนเห็น เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ชัดเจนแล้วหากสร้างปัญหามากมายให้ประเทศชาติจริง 
ยิ่งเป็นประโยชน์ในทางการเมือง คราวหน้าประชาชนจะได้ไม่เลือกเพื่อไทยอีก! 
เมื่อรวมกับนโยบายอื่นๆ ที่ต่างกัน เช่นฝ่ายหนึ่งอนุรักษนิยมทางการเมือง อีกพรรคเสรีประชาธิปไตย

ให้สังคมได้ตัดสินในตอนเลือกตั้ง โอกาสไม่ต่างกันหรอก ขึ้นกับประชาชน 
เลิกไปพึ่งอำนาจนอกระบบได้แล้ว


อีกนั่นแหละ ว่ากันว่าการซักฟอกที่ผ่านมา บางคนออกลีลาอภิปรายแนวปลุกเร้ามากกว่าเนื้อหา
น่าสงสัยเตรียมรับกับม็อบแช่แข็ง
แต่บังเอิญม้วนเดียวจอดเสียก่อน เลยกลับตัวไม่ทัน!



+++

จุดแข็ง จุดอ่อน ของ ประสงค์ สุ่นศิริ จุดของ “ป๋า”
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ในข่าวสดออนไลน์  วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 15:53 น.


หากคำสั่งปลด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากราชการ คือ "เส้นแบ่ง" อย่างมีนัยสำคัญที่จะชี้ขาดอนาคตทางการเมืองต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
การชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ก็เป็นอีก "เส้นแบ่ง" 1
มิได้เป็นเส้นแบ่งอันชี้ขาดอนาคตต่อ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เท่านั้น หากแต่ยังเป็นเส้นแบ่งต่อจังหวะก้าวต่อไปของสิ่งที่เรียกว่า
องค์การพิทักษ์สยาม หรือ "อพส." อย่างมิอาจปฏิเสธได้

มีความพยายามจาก น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่จะขับเคลื่อนอพส.ต่อไป โดยได้รับการหนุนเสริมอย่างอบอุ่นยิ่งไม่ว่าจะมาจาก นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายหลากสี ไม่ว่าจะมาจาก ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ แกนนำกองทัพธรรม
กระนั้น ก็มิได้หมายความว่าการขับเคลื่อนองค์การพิทักษ์สยาม หรือ "อพส." ที่นำโดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ จะดำเนินไปด้วยความคึกคักเหมือนที่เคยเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ณ สนามม้านางเลิ้ง


บทสรุปเช่นนี้มิได้เริ่มต้นด้วยการหยามหมิ่นฝีมือและความสามารถของบุคคลระดับ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นใคร
แน่นอน สมญานาม "ซีไอเอ" ย่อมมิได้มาเพราะว่าโชคช่วย หากแต่พื้นฐาน 1 คือการเป็นเลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
พื้นฐาน 1 คือ การเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ขณะเดียวกัน พื้นฐานการเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีก็มากด้วยความละเอียดอ่อนอันอาจกลายเป็นจุดเปราะบางขึ้นมาได้ เพราะนายกรัฐมนตรีที่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นเลขาธิการก็คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ใกล้เกินไป ชัดเกินไป 

จุดแข็งอันกลายเป็นจุดอ่อนของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ในฐานะประธานอพส.คือการเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 1
นั่นก็คือ การเป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารกับ พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์
นั่นก็คือ การที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ชื่อว่าเป็น "ลูกป๋า" ในลักษณาการเดียวกันกับที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ดำรงอยู่ 
จุดแข็งนี้กลับกลายเป็นจุดอ่อนอันมากด้วยความอ่อนไหว

เมื่อเทียบ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ คั่นกลางยังอ่วมอรทัยแล้ว น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ซึ่งต่อสายตรงในสถานะแห่ง "ลูกป๋า" จะไม่ยิ่งหนักหนากว่าละหรือ 
หนักหนาไปถึง "ป๋า"

ในห้วงที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เปี่ยมด้วยความระมัดระวังในจังหวะก้าวทางการเมือง
การโยง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้าไปเกี่ยวกับ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ก็หนักหนาสาหัสยิ่งแล้ว หาก น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ กระโจนเข้ามาแทน พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์

"ป๋า" คงต้องรับไปเต็ม-เต็ม



+++

กลเกม การเมือง ของ พรรคประชาธิปัตย์ ไล่จับเงา ทักษิณ
คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ในข่าวสดออนไลน์  วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น.


 ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เสนอกรณีฆ่าตัดตอนในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) 
 แต่เมื่อกระทรวงการต่างประเทศนำเอาเรื่องการยอมรับต่อขอบเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) เข้ามาพิจารณา
 พรรคประชาธิปัตย์กลับหงุดหงิด 

 ไม่เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์จะหงุดหงิด ไม่พอใจ หากพันธมิตรในแนวร่วมพรรคประชาธิปัตย์อย่างเช่นกลุ่ม 40 ส.ว.
 ก็ออกโรงคัดค้าน ต่อต้าน อย่างเอาแท้ เอาว่า

 ทั้งๆ ที่หากกระทรวงการต่างประเทศประกาศยอมรับต่อขอบเขตและอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ก็สามารถนำเอากรณีฆ่าตัดตอนจำนวน 2,500 ศพระหว่างสงครามยาเสพติดเข้าสู่การพิจารณา
 แปลกอย่างประหลาดยิ่ง

 อาจเป็นเพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) พิจารณาเฉพาะกรณีฆ่าตัดตอน 2,500 ศพในสงครามยาเสพติด
 แต่ไม่เห็นด้วยกับกรณีสังหารประชาชนในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 
 เพราะว่ากรณีสังหารประชาชนในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 เกิดขึ้นในห้วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
 นี่คือลักษณะแห่งความเป็น 2 มาตรฐานอย่างเด่นชัดยิ่ง



 ทั้งๆ ที่ไม่ว่ากรณีฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด ไม่ว่ากรณีการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 ล้วนมีการตาย ล้วนมีการสูญเสีย และเป็นการสูญเสียอันสะท้อนลักษณะการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมทั้งสิ้น 
 แปลกอย่างประหลาดยิ่ง

 จึงเป็นอะไรไปไม่ได้ว่า กลยุทธ์การเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันกรณีฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติดของพรรคประชาธิปัตย์มิได้จริงจังอะไร
 หวังผลเพียงดิสเครดิต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น 
 เป็นการดิสเครดิตเหมือนกับการยัดข้อกล่าวหาในเรื่องก่อการร้ายเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดพาสปอร์ต
 เพื่อโหมประโคมในเรื่องบัญชีดำของตำรวจสากล
 ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ไม่เคยปรากฏชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในบัญชีดำของตำรวจสากล ทั้งๆ ที่ไม่สามารถจับกุมแม้กระทั่งรอยเท้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
 แปลกอย่างประหลาดยิ่ง


 รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จึงใช้เวลา 2 ปี 8 เดือนสูญเปล่าไปกับการไล่จับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
 ไล่จับจนพรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งทั้งในเดือนธันวาคม 2550 และทั้งในเดือนกรกฎาคม 2554 และมีแนวโน้มว่าอาจจะต้องแพ้อีกในการเลือกตั้งเดือนสิงหาคม 2558

 แปลกอย่างประหลาดยิ่ง



.