http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-11-27

จอห์น เกรียน ยู ยูจะซ้ายยูจะขวา โดย จอห์น วิญญู

.

จอห์น เกรียน ยู ยูจะซ้ายยูจะขวา 
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1684 หน้า 79


โยเลฮือฮือ จำกันได้ป่ะครับ ที่ผมหายไปสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ช่วงงานหนังสืออ่ะ ผมไปญี่ปุ่นมาครับ ไปกับพ่อหมอนั่นแหละ ที่พี่แกช่วยเขียนจดหมายลาป่วนให้ผมอ่ะครับ จำกันได้บ่ 
ต้องกราบขอโทษพี่ๆ น้องๆ ที่งานหนังสือรอบนี้ผมไปเขียนลายเซ็นหนังสือเล่มใหม่ "จอห์น เกรียน ยู" ได้แค่วันเดียว เพราะตอนแรกจริงๆ ทางพี่ๆ มติชนอยากได้สองวัน แต่ที่ทำให้ไปได้แค่วันเดียวก็เพราะผมดันไปจองทริปล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ต้นปี แล้วดันลืม!!!
เอาหัวโขกกำแพงชดใช้ความผิด โป๊กป๊ากโป๊กป๊าก


คือที่ไปญี่ปุ่นนี่อ่ะเพราะผมเล็งเห็นว่าพ่อหมอ (พี่เขย) กับพี่สาวผมเค้าทำงานหนักเกินไป อยากให้แกได้พักผ่อนกันบ้าง (คริคริ เอาดีเข้าตัว) ทั้งคู่เล่นนั่งหน้าดำผลิตรายการไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน พอบอกว่าจะพาไปเที่ยว พ่อหมอแกก็ชอบแหละครับ ยิ่งพอบอกจะพาไปเที่ยวญี่ปุ่น แกก็ตื่นเต้นเพราะแกเป็นคอหนังสุขศึกษาตั้งแต่วัยขบเผาะ กรั่กๆๆ แต่อย่างว่าแหละทำเป็นซ่า พอไปถึงที่จริงก็เจี๋ยมเจี้ยม อุอุ 

ญี่ปุ่นคราวนี้แทบจะเป็นครั้งแรกที่ผมไปโดยไม่ต้องทำงาน ไปแบบเดินชิวๆ มีเวลาไปมอง ไปดู ไปเห็น ไปคิดวิเคราะห์เยิ่นเย้อ ยุ่บยับ ตามอัธยาศัย
ผ่อนคลายแบบสุดๆ ครับ


พูดถึงเรื่องผ่อนคลาย คนไทยอย่างผมที่ชอบเดินทอดน่อง เหม่อลอย อ้อยอิ่ง ไปที่ญี่ปุ่นนี่พี่แกซิ่งกันทั้งประเทศครับ เป็นตั้งแต่คนเดิน ยันรถจักรยาน แถมเป็นตั้งแต่เด็กเล็กยันคนแก่เลยด้วย เป็นประเทศที่กระฉับกระเฉงมากจริงๆ คนก็เดินเร็ว จักรยานก็ขี่เร็ว ไทยแมนอย่างผมเกือบโดนทับตายไปสิบแปดรอบ แต่จริงๆ ผมชอบนะครับ มันทำให้ผมยิ่งทึ่งในประเทศของเขาแล้วอดไม่ได้ที่จะมาเปรียบเทียบกับประเทศของเรา ฮิฮิ

หลายๆ อย่างที่เห็นที่ญี่ปุ่นโดยเฉพาะในเรื่องระเบียบวินัยในสังคม การคิดถึงผู้อื่นในสังคม มันเริ่มอย่างเรื่องพื้นๆ อย่างเช่นการที่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้
เช่น ขณะที่เราเดินอยู่ตรงนี้ มีคนเดินตามหลังอยู่อีกกี่สิบคนที่เขามีความจำเป็นที่ต้องรีบกว่าเรา ที่เขาจำเป็นต้องใช้ทางเพื่อเดินไปข้างหน้ามากกว่าเรา ณ ขณะนั้น มันทำให้เรามีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอด
ผู้ชายคนข้างหลังเขามีธุระด่วนหรือเปล่านะ
ผู้หญิงคนถัดไปปวดตดมากไหม จะไปถึงบ้านทันขี้พุ่งหรือเปล่า 
วัยรุ่นคนถัดไป กำลังจะรีบไปดูพ่อที่เกิดอุบัติเหตุ เขาจะทันรถไฟขบวนนี้ไหม

ผมควรเดินช้าลงแล้วชิดทางเดินข้างใดข้างหนึ่งเพื่อให้คนด้านหลังรีบผ่านไปทำภารกิจของเขาดีกว่ามั้ง



ในเรื่องดีก็มีความประสาทซ่อนตัวอยู่ ในบางพื้นที่ที่ผู้คนเร่งรีบกันมากๆ มันก็เกือบทำให้ผมแทบบ้า เพราะคนจ่อตูดจี้ตูดมันเยอะจนทะลักดันหลังผมอยู่นั่น ซึ่งในบางพื้นที่มันเป็นพื้นที่เสี่ยงตายเช่นริมขอบชานชาลารถไฟ ซึ่งบ้านเขาไม่มีคนมาคอยดูว่าใครเดินล้ำเส้นเหลืองหรือไม่แบบบ้านเรานะครับ ทุกคนดูแลตัวเอง แล้วไงล่ะผมจะขวางทางให้คนเดินเบียดผมตกรางรถไฟเหรอ ไม่หรอก ... ผมก็กลัวตายเหมือนกัน หลบสิคร้าบบบบบบ
พอแหงนหน้าไปเห็นป้ายที่ตั้งอยู่สูงเหนือหัวในบริเวณนั้นเขียนว่า "Don"t rush!!!" ซึ่งแปลว่า "อย่ารีบ!!!"

ฮาแทบตกรางรถไฟ อีป้ายบ้าเอ๊ย ไม่เห็นมีใครเชื่อมึงเระ

คิดถึงเมืองไทยที่มีแต่คนเดินเอื่อยๆ จังหวะโดยรวมเหมือนคนถ่านหมดเต็มเมือง (ถ้าเทียบกับญี่ปุ่น ฮ่าๆๆ) แล้วอีป้ายเมื่อกี้ถ้าอยู่ในไทยก็จะกลายเป็นป้าย "Rush!!! Quick!!! Hurry up!!!"  
มึงช่วยรีบกันหน่อยได้ไหมครับ คริคริคริ 
มันเป็นเรื่องของสังคมโดยรวมจริงๆ นะครับ ซึ่งมันต้องพร้อมใจกันทำจริงๆ ไม่งั้นมันไม่สำเร็จ


ผมสังเกตว่าที่โอซาก้าเวลาขึ้นบันไดเลื่อน ทุกคนจะยืนชิดขวา เหลือทางซ้ายให้โล่งสำหรับคนรีบๆ จะได้เดินผ่านได้ฉลุย แต่ที่โตเกียวจะกลับกันถ้าขึ้นบันไดเลื่อน ทุกคนจะยืนชิดซ้าย เหลือทางขวาไว้เป็นทางด่วนสำหรับคนรีบ ถึงแม้จะต่างฝั่งกัน แต่จุดประสงค์เหมือนกัน คือใครรีบ ... "ไปก่อนเลย!!!"

ซึ่งมันต่างกับบ้านเรา เพราะผมกับพ่อหมอเคยลองทำแล้วมันไม่เวิร์ค เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ยอมชิดด้านเดียวกับผม หรือผมไม่ชิดด้านเดียวกับเขา อะไรสักอย่างนี่แหละ 
กล่าวคือทุกคนยืนชิดริมซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ด้านที่ตัวเองพอใจ 
ผลก็คือ คนที่รีบไม่สามารถเดินผ่านไปได้อย่างฉลุย เพราะถ้าเจอคนที่ชิดขวากับคนที่ชิดซ้ายยืนอยู่ในขั้นบันไดที่ติดกัน
ก็จบข่าว
เดินหน้าต่อไปไหนไม่ได้ ฮิฮิ

ผมถึงบอกไงครับว่ามันเป็นเรื่องของสังคมโดยรวม ทุกคนที่อยู่บนบันไดเลื่อนขณะนั้นต้องยืนชิดไปด้านใดด้านหนึ่ง 
เพื่อให้มีที่ว่างเดินหน้าต่อไปได้ 
เราไม่รู้หรอกครับว่าใครชอบยืนชิดฝั่งไหน 
อาจจะฝั่งซ้าย หรือฝั่งขวา
แล้วเราก็ไม่รู้อีกเหมือนกันแหละครับว่า เราควรยืนฝั่งไหนถึงจะถูกต้อง และทำให้อะไรๆ มันไปต่อได้ 

ถ้าคนทั้งหมดยืนชิดขวา แล้วคุณยืนชิดซ้าย ทุกคนอาจจะมองว่าคุณผิด
คุณอาจยืนยันที่จะยืนฝั่งซ้าย ไม่แน่สักวันอาจมีคนจากฝั่งขวามาร่วมยืนด้วย  
หรือไม่แน่คุณก็อาจโดนกดดันจากสังคมให้ยืนฝั่งขวา ทั้งที่อยากจะยืนชิดซ้าย

ในทางกลับกันถ้าคุณชอบยืนชิดขวา แล้วคนส่วนใหญ่ยืนชิดแต่ด้านซ้าย 
คุณก็คงรู้สึกโดนกดดันและอึดอัดไม่ต่างกัน เพราะขวางทางเดินของคนส่วนรวม และอาจโดนถีบตกบันได 
เราไม่รู้หรอกครับว่าจริงๆ แล้วน่ะ ใครมีใจที่จะยืนฝั่งไหน



ในแง่ของอุดมการณ์ ถ้าคุณคิดว่าฝั่งไหนถูก ก็ยืนต่อไป อย่าไปสนใจใคร 

ในแง่ของความอยู่รอด คุณก็คงทำได้แค่หวังว่า เมื่อบันไดเลื่อนหยุดลง  
คุณจะไม่ยืนอยู่โดดเดี่ยว
ในฝั่งที่ไม่มีใครยืน ?

ชิมิฮัฟว์? หึหึ



.