http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-25

ภาษาพูด-ภาษากาย ของคนระดับผู้นำ โดย พิศณุ นิลกลัด

.
บทความก่อนหน้า - ควรแต่งตัวอย่างไรไปทำงาน โดย พิศณุ นิลกลัด

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ภาษาพูด-ภาษากาย ของคนระดับผู้นำ
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1679 หน้า 96


การโต้วิสัยทัศน์ (debate) ระหว่างประธานาธิบดี บารัค โอบามา กับ มิตต์ รอมนีย์ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งของภาษาพูดและภาษากายของคนระดับผู้นำ 
จากที่ก่อนหน้าดีเบตครั้งที่ 1 โอบามามีคะแนนโพลนำรอมนีย์อยู่หลายแต้ม แต่หลังดีเบตครั้งแรกจบ รอมนีย์ทำคะแนนนิยมตีตื้นขึ้นมาในระดับที่เสมอกับโอบามา แถมบางโพลคะแนนของรอมนีย์แซงหน้าโอบามาซะด้วย 
สาเหตุสำคัญก็เพราะในวันนั้น รอมนีย์พูดโจมตีและตอบโต้ได้อย่างหนักแน่น จริงจัง จ้องกล้องเพื่อสื่อสารกับผู้ชมทางบ้าน และกล้าสบตากับโอบามา
ในขณะที่โอบามาพูดจาด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย ไร้อารมณ์ ไม่มองกล้องเพื่อสบตากับผู้ชมทางบ้าน

หลังจากจบดีเบตครั้งแรก Smart politics ซึ่งเป็นหน่วยงานเป็นกลางที่เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเมืองของอเมริกา ได้ศึกษากิริยาท่าทางของโอบามาและรอมนีย์อย่างละเอียดยิบ สังเกตแม้กระทั่งตลอดการดีเบต 90 นาที ทั้งสองคนกะพริบตาคนละกี่ครั้ง! 
ถามว่าการกะพริบตา เกี่ยวข้องอย่างไรกับการดีเบต 
คำตอบก็คือการกะพริบตาถี่แสดงว่ากำลังประหม่าและเครียด




นับตั้งแต่ปี 1980 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีการเก็บสถิติเรื่องการกะพริบตาระหว่างการดีเบตของคู่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี พบว่าใครกะพริบตาถี่กว่าจะเป็นผู้แพ้การเลือกตั้งทุกครั้ง 
ยกเว้นปี 2000 แม้ จอร์จ ดับเบิลยู บุช จะกะพริบตาถี่กว่า อัล กอร์ แต่ว่า จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เป็นผู้ชนะ 
สำหรับการดีเบตครั้งแรก ผลการนับจำนวนการกะพริบตาออกมาว่าโอบามากะพริบตาถี่กว่ารอมนีย์เกิน 1,000 ครั้ง 
กล่าวคือโอบามาใช้เวลาพูดรวม 42:40 นาที กะพริบตา 3,020 ครั้ง เฉลี่ย 70.8 ครั้งต่อนาที
รอมนีย์ใช้เวลาพูดรวม 38:14 นาที กะพริบตา 2,018 ครั้ง เฉลี่ย 52.8 ครั้งต่อนาที 
ในขณะที่คนปกติกะพริบตานาทีละ 20-25 ครั้ง ซึ่งทั้งโอบามาและรอมนี่ย์กะพริบตาถี่กว่าคนทั่วไปเป็นเท่าตัว โดยโอบามาถี่กว่าคนปกติถึง 3 เท่า 
ซึ่งต่างจากเมื่อการดีเบตสามครั้งกับ จอห์น แมกเคน เมื่อสี่ปีก่อน คราวนั้นโอบามากะพริบตา 62 ครั้งต่อนาที ส่วนแมคเคน 104 ครั้งต่อนาที


ภาษาพูดและภาษากายเป็นสิ่งสำคัญมากในการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ไม่ว่าจะพูดกับลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้า ต้องรู้ทักษะการพูดจูงใจให้ดูจริงใจ จริงจัง น่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักการเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย 
มีคำแนะนำในการเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดีที่ฝรั่งเขาเขียนไว้ดังนี้

1. สบตาผู้ฟัง การสบตาผู้ฟังแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ จริงใจของผู้พูด แต่อย่าสบตานานเกินไปจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าถูกจ้องจนอึดอัด ควรสบตาเต็มที่ไม่นานเกิน 5 วินาที จากนั้นก็ให้เบนสายตามองขึ้นข้างบนหรือมองข้างๆ จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าเรากำลังคิดถึงสิ่งที่จะพูดซึ่งทำให้คนฟังจดจ่อกับการพูดของเรา อย่ามองต่ำลงพื้นเพราะจะทำให้ผู้ฟังคิดว่าเราจบการพูดแล้ว
หากพูดกับคนหลายคน ให้สบตาทุกๆ คนอย่างเท่าเทียมกัน อย่าสบตาคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวเพราะจะทำให้ผู้ฟังคนอื่นๆ ไม่สนใจฟัง ดังนั้น เมื่อพูดจบประโยคหนึ่งก็ให้สบตาผู้ฟังคนใหม่ จบอีกประโยคก็สบตาอีกคน

2. ภาษากายก็เป็นสิ่งสำคัญมาก การพูดด้วยท่าทีผ่อนคลาย แขนผ่อนคลายอยู่ข้างลำตัว ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเราเป็นคนเปิดเผย เข้าถึงง่าย เปิดใจกว้างรับฟัง แต่หากเรากอดอกขณะพูด หรือไหล่ห่อ หลังค่อม ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเราเป็นคนไม่เปิดกว้าง ไม่รับฟังความคิดเห็น

3. พูดช้าและชัด มีจังหวะจะโคน ไม่ใช่พูดเสียงโมโนโทน เพราะทำให้ผู้ฟังเบื่อ

4. พูดในระดับเสียงที่เหมาะสม หากพูดในระยะใกล้ให้ใช้เสียงเบา หากพูดต่อหน้าผู้ฟังเป็นกลุ่มในห้องใหญ่ก็พูดเสียงดังขึ้น

5. สีหน้ากับการพูดต้องไปในทางเดียวกัน หากพูดเรื่องจริงจังแต่ฉีกยิ้มไม่หยุดก็ทำให้ความจริงจังดูลดลง

6. พูดด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เพราะสิ่งสำคัญก็คือทำให้ผู้ฟังเข้าใจ ไม่ใช่ใช้ภาษาหรูหราฟุ่มเฟือยเพื่อให้ตัวเองดูดีแบบที่ฝรั่งเรียกว่า big words small meaning

7. พูดด้วยความจริงใจ ผู้ฟังจะรู้สึกเข้าถึงเรามากกว่า

8. เมื่อถึงจังหวะที่คนอื่นพูด เราก็แสดงความสนใจฟังด้วยการพยักหน้าเป็นช่วงๆ



หากจะต้องพูดถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมงาน หรือในที่ประชุม มีคำแนะนำดังนี้

1. เตรียมตัวล่วงหน้า ทั้งเตรียมสิ่งที่ตัวเองจะพูด และเตรียมคำตอบ หรือข้อโต้แย้งที่คาดว่าฝ่ายตรงข้ามจะหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น

2. เชื่อมั่นในสิ่งที่เราพูด เพราะสีหน้าและน้ำเสียงจะแสดงออกมา ซึ่งจะชักจูงให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตามไปด้วย

3. พูดด้วยความมั่นใจ แต่อย่ามั่นใจเกินเหตุจนทำให้เราดูหยิ่งจองหอง

4. แสดงความเคารพความเห็นของฝ่ายตรงข้ามแม้ความเห็นจะต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องแสดงตัวเป็นศัตรูหรือไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย

5. มีสถิติ ข้อมูล หลักฐาน รองรับสิ่งที่เราพูด

6. อย่าขัดจังหวะฝ่ายตรงข้าม เพราะเป็นการผิดมารยาท รอให้ถึงคิวของตัวเองแล้วค่อยพูด

7. อย่าแสดงอารมณ์โกรธ หงุดหงิด ไม่พอใจ เพราะจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นจุดอ่อนของเรา สิ่งที่เราควรแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นคือความมั่นใจ และความสุขุม

8. หากอีกฝ่ายมีความเห็นต่างจากเราก็อย่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะจะทำให้เราควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ สิ่งที่พูดออกไปอาจไม่เป็นเหตุเป็นผล


อย่าลืมว่าการที่อีกฝ่ายมีความเห็นต่างกับเราไม่ได้หมายความว่าความคิดนั้นผิดหรือไม่ดี

การดีเบตระหว่าง บารัค โอบามา กับ มิตต์ รอมนีย์ ยังเหลืออีกหนึ่งครั้งในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ ทีวีช่อง cnn (ทรู วิชั่นส์ ช่อง 91) ถ่ายทอดสดตอน 8 โมงเช้าวันที่ 23 ตุลาคมบ้านเรา

ติดตามชมกันตามอัธยาศัยครับ



+++

ควรแต่งตัวอย่างไรไปทำงาน 
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1678 หน้า 96


นานๆ ครั้ง มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Facebook จะออกมาให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ 
เมื่อ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา-หนึ่งวันก่อนวันครบรอบ 1 ปีแห่งการจากไปของ สตีฟ จ็อบส์ ทีวีช่อง NBC ได้สัมภาษณ์ มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ออกรายการ Rock Center พูดคุยทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว อนาคตของ Facebook แง่คิดในการทำงานที่ได้จาก สตีฟ จ็อบส์ ตลอดจนเรื่องการแต่งตัวของเขา 
การให้ความสำคัญต่อ User Experience หรือประสบการณ์ดีๆ และความประทับใจของลูกค้า เป็นแง่คิดการทำงานที่ซัคเคอร์เบิร์กยกย่องในตัว สตีฟ จ็อบส์-ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผู้บริหารทุกองค์กรควรเรียนรู้ โดยยกตัวอย่าง Facebook ว่าเหตุผลที่คนเป็นพันล้านคนทั่วโลกใช้ Facebook เพราะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนได้ติดต่อสัมพันธ์กับคนที่ห่วงใย 
ปรัชญาในการทำงานของ Facebook คือสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และเป็นสิ่งที่ สตีฟ จ็อบส์ เข้าใจมากกว่าคนส่วนมาก 

อีกสิ่งหนึ่งที่ มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก และ สตีฟ จ็อบส์ ถือปฏิบัติในแนวเดียวกันคือการแต่งตัว 
ไม่ว่าจะออกงานใหญ่ขึ้นปรากฏตัวบนเวทีหรือเดินจูงสุนัขในสวนสาธารณะ ซัคเคอร์เบิร์ก สวมเสื้อคอกลมสีเทากับกางเกงยีนส์มาโดยตลอดจนกลายเป็นเอกลักษณ์ 
เช่นเดียวกับ สตีฟ จ็อบส์ ที่นับตั้งแต่ปี 1998 สวมเสื้อคอเต่าสีดำ กางเกงยีนส์ลีวายส์ 501 และรองเท้าผ้าใบยี่ห้อนิว บาลานซ์


ซัคเคอร์เบิร์กเพิ่งมาเผยความลับว่ามีเสื้อคอกลมสีเทาที่อกซ้ายมีรูปไอคอนเล็กๆ 3 ไอคอนของ Facebook อยู่ในลิ้นชักเสื้อผ้าประมาณ 20 ตัว โดยพูดด้วยความขบขันว่าหากมาเห็นตู้เสื้อผ้าที่บ้าน พริสซิลล่าภรรยาของเขามีเสื้อผ้าเต็มตู้ ส่วนลิ้นชักต่างๆ ก็ใส่ชุดกาวน์ของหมอเป็นส่วนใหญ่โดยเธอเป็นกุมารแพทย์ ส่วนตัวเขามีลิ้นชักอยู่อันเดียวใส่เสื้อผ้าที่มีทั้งหมดของตัวเอง พูดเสร็จก็ขำและบอกว่าก็เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ทั่วไป  
เหตุผลที่สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบเดิมทุกวันนั้น ซัคเคอร์เบิร์กบอกว่าต้องการทำชีวิตให้เรียบง่าย ซึ่งก็เป็นเหตุผลเดียวกับ สตีฟ จ็อบส์ ที่สวมชุดแบบเดิมไม่เปลี่ยนเพราะตอนเช้าตื่นขึ้นมาไม่ต้องการเสียเวลาในการตัดสินใจว่าจะสวมเสื้อสีอะไร กางเกงตัวไหนที่เข้ากัน เอาเวลาและสมองไปคิดเรื่องที่สำคัญดีกว่า


อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอีกคนที่สวมเสื้อผ้าแบบเดิมตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งต้องเข้าพบทูตของประเทศเยอรมนี ภรรยาของไอน์สไตน์ขอร้องให้เปลี่ยนชุดให้ดูดี แต่เขาไม่ยอม โดยบอกว่าหากทูตต้องการเจอตัวเขาก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ แต่หากต้องการเห็นเสื้อผ้าของเขา ก็ให้มาดูตู้เสื้อผ้าที่บ้านจะโชว์สูทให้ดู  
เช่นเดียวกับทรงผมยาวขาวฟูฟ่องของไอน์สไตน์ที่แทบไม่เคยสัมผัสหวีเลย ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่าการไว้ผมยาวช่วยลดความจำเป็นในการไปร้านตัดผม ถุงเท้าไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ เสื้อหนังตัวเดียวกันฝนได้ทนทานกว่าเสื้อโค้ตหลายปี ไม่ต้องซื้อตามแฟชั่น


ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ก็เป็นบุคคลสำคัญของโลกอีกคนที่สงวนพลังสมองในการตัดสินใจเรื่องเสื้อผ้าไว้ใช้ในเรื่องที่สำคัญกว่า 
ในบทความชื่อ Obama"s Way เขียนโดย ไมเคิล ลิวอิส ที่เพิ่งลงในนิตยสาร Vanity Fair ฉบับล่าสุดเดือนตุลาคม ลิวอิสถามประธานาธิบดีโอบามาว่าหากภายใน 30 นาที จะไม่ได้เป็นประธานาธิบดี โดยลิวอิสจะดำรงตำแหน่งแทน มีสิ่งใดที่ประธานาธิบดีโอบามาต้องการจะสอนในการเตรียมตัวเป็นประธานาธิบดี 
ประธานาธิบดีโอบามาแนะนำว่าต้องออกกำลังกาย เพราะไม่อย่างนั้นถึงจุดหนึ่งจะสติแตก 
นอกจากนี้ ต้องเอาตัวออกจากปัญหาที่เกิดขึ้นตามปกติทุกวันที่ทำให้เสียเวลา ดังนั้น จะเห็นว่าตัวเขาสวมสูทเพียงสีเทากับสีน้ำเงินเพื่อลดเรื่องที่ต้องตัดสินใจ ไม่ต้องการใช้เวลาไปกับการตัดสินใจว่าวันนี้จะสวมชุดสีอะไร ทานอะไร เพราะแต่ละวันมีเรื่องให้ต้องตัดสินใจมากเกินพออยู่แล้ว

ต้องรู้จักบริหารพลังที่ใช้ในการตัดสินใจเพราะการใช้พลังสมองตัดสินใจแม้เพียงเรื่องง่ายๆ จะลดความสามารถในการตัดสินใจเรื่องอื่นๆ ที่ตามมา  


การแต่งตัวไปทำงานให้ดูดีเป็นเรื่องสำคัญ อาชีพหลายสาขาการสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบ มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ไม่ใช่ชุดที่เหมาะสม ต้องพิถีพิถันกว่านี้ 
แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรเอาจริงเอาจังในการตัดสินใจเลือกชุดจนเครียดตั้งแต่ยังไม่ถึงที่ทำงาน


การแต่งกายที่สะอาด สุภาพ แม้จะเป็นเสื้อผ้าแบบเดิมๆ นับว่าเหมาะสมและถูกกาลเทศะที่สุดครับ



.