http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-07

แผนสังหารสะท้านโลกันตร์ จาก “ฟอลคอน-ยามาดะ” ถึง “ฟาบิโอ-ฮิโรยูกิ” โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์

.

แผนสังหารสะท้านโลกันตร์ จาก “ฟอลคอน-ยามาดะ” ถึง “ฟาบิโอ-ฮิโรยูกิ”
โดย ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ www.facebook.com/pensupa.sukkatajaiinn คอลัมน์ ปริศนาโบราณคดี
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 05 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1677 หน้า 76


ผ่านไปแล้วสองปีกว่า กับเหตุการณ์สังหารเหี้ยมสองสื่อมวลชนชาวต่างชาติ ที่มาร่วมสังเกตการณ์ทำข่าวผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลเผด็จการ ของกลุ่มคนเสื้อแดงช่วงเมษายน-พฤษภาคม มหาโหด 
คนหนึ่งช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น "ฮิโรยูกิ มูราโมโต" ถูกฆ่าเมื่อ 10 เมษายน 2553 ที่สี่แยกคอกวัว 
อีกคนชาวอิตาเลียน "ฟาบิโอ โปเลงกิ" จบชีวิตที่แยกราชดำริ เมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 
เป็นคดีฉาวโฉ่ ที่คนทั้งโลกต้องหันมามองไทยอย่างสมเพช ว่ารัฐสามารถล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนได้อย่างอำมหิต แถมไร้ความผิด


ในยุคอภิสิทธิ์ชนคนใจดำเป็นนายกอยู่นั้น ถึงกับมีการจัดลำดับว่าไทยแลนด์เป็นดินแดนที่ให้เสรีภาพแก่สื่อมวลชนเป็นอันดับที่ 137 (จาก 179 ประเทศทั่วโลก) เฉียดๆ กลุ่มรั้งท้าย ระนาบเดียวกันกับ เกาหลีเหนือ ซีเรีย อิหร่าน คิวบา 
ถือเป็นประเทศที่ผู้มีอำนาจสามารถคุกคามเสรีภาพของสื่อได้ ตรงข้ามกับ ณ พ.ศ.นี้ ที่ "สื่อสลิ่ม" ส่วนใหญ่กลับแสร้งปิดหูปิดตาตนเองไม่ยอมรายงานความจริง 
ซ้ำพี่ใหญ่อย่างสหราชอาณาจักรอังกฤษ ยังประกาศให้ไทยเป็นดินแดนอันตรายที่มีความเสี่ยงภัยในชีวิตและทรัพย์สินสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก มิควรพึงเดินทางไป


ประเทศคู่กรณีที่ได้รับความสูญเสียทั้ง "อิตาลี-ญี่ปุ่น" นี้ถือว่ามิใช่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สยาม
หากมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา



คอนแสตนติน ฟอลคอน
ราคาแห่งกลาสีเรือ


คนไทยรู้จัก "คอนสแตนติน ฟอลคอน" ด้วยนาม "เจ้าพระยาวิชาเยนทร์" หากแต่นักประวัติศาสตร์ผู้คลุกวงในใช้คำว่า "ออกญาวิไชเยนทร์"
เขามีตำแหน่งเป็นเจ้าพระยาพระคลัง+สมุหพระกลาโหม หากเทียบกับปัจจุบันก็ไม่ต่างไปจาก "นายกรัฐมนตรีควบองคมนตรี" คือเป็นทั้งคนสนิทและบริหารกิจการบ้านเมืองถวายแด่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช 
คนทั่วไปมักจดจำว่าเขาเป็นชาวกรีกโดยกำเนิด ก่อนที่จะโอนสัญชาติมาเป็นคนในบังคับอังกฤษ และลงเอยที่ฝรั่งเศสเพื่อรับใช้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อาสามาเกลี้ยกล่อมสมเด็จพระนารายณ์ให้เข้ารีตเป็นคริสตัง 
แต่แท้จริงแล้ว หลักฐานข้อมูลใหม่ที่รู้กันในแวดวงผู้ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ กลับพบว่า ฟอลคอนมีเชื้อสายอิตาเลียน สืบทอดมาจากตระกูลขุนนางแห่งเวนิส ซึ่งตั้งรกรากปกครองเมือง "เซฟาโลเนีย" ของกรีกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15-17

อนึ่ง เมืองเซฟาโลเนียนั้น ในอดีตก่อนจะขึ้นกับเวนิส ก็เคยเป็นเขตปกครองของแคว้นซิซิลีแห่งอิตาลีมานาน 
สรุปแล้วตระกูล "เชอรากีส์" ที่แปลว่า "พญาอินทรี" และแผลงมาเป็น "ฟอลคอน" บรรพบุรุษของเขานั้น สืบสายโลหิตมาจากอิตาลีเต็มๆ เพียงแต่ถือสัญชาติกรีก 
ในที่นี้จะไม่เสียเวลาพรรณนาถึงชีวิตอันดราม่าของฟอลคอนให้เปลืองพื้นที่ ไม่ว่าช่วงเป็นหนุ่มกลาสีเรือ หรือรักโรแมนติกกับสาวลูกครึ่งญี่ปุ่น-โปรตุเกสต้นตำรับขนมฝอยทอง "ท้าวทองกีบม้า" (มารี กีมาร์) กระทั่งถึงยุครุ่งโรจน์ ว่าเขาฝากผลงานอะไรไว้บ้างให้แก่กรุงละโว้ 
เนื่องจากเรื่องเหล่านี้ มีให้หาอ่านได้ทั่วไป แต่เหตุการณ์มรณกรรมของเขาต่างหากเล่าที่ออกทะแม่งๆ ชอบกลเสียจนแบบเรียนประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษาฯ ไม่กล้าบันทึก
เพราะหากเปิดเผยข้อมูลส่วนนี้วันใด ฉากอวสานของฟอลคอนเพียงฉากเดียวอาจลบล้างภาพคุณงามความดีทั้งหมดที่เราเคยรับรู้
พลอยส่งผลสะเทือนมหาศาลไปถึงสมเด็จพระนารายณ์อีกด้วย ว่าทำไมถึงกล้าไว้ใจ "ชายกำมะลอ" ผู้นี้ให้บริหารบ้านเมืองจนพังพินาศ

การตายของฟอลคอนนั้น พวกคลั่งไคล้ "ราชาชาตินิยม" ในปัจจุบันเห็นว่าสมควรแล้วกับการที่พระเพทราชาสั่งให้สังหารอย่างวิปริตผิดมนุษย์ ด้วยการสับร่างเป็นท่อนๆ แล้วเอาไปโยนให้สุนัขแทะเนื้อเถือกระดูก 
สิ่งที่วิญญาณของฟอลคอนต้องร่ำไห้ไปถึงปรโลก หาใช่ความอับอายในวิธีการตายแบบแผลงๆ ไม่ 
ทว่า เขาต้องคั่งแค้นกับข้อเท็จจริงที่ถูกบิดเบือนโดยกบฏเพทราชา ภายหลังจากสังหารฝรั่งดั้งขอผู้ริมากุมอำนาจเบ็ดเสร็จครอบงำกรุงละโว้ พร้อมทั้งวางยาพิษให้พระราชาที่ประชวรไร้ทางสู้แล้ว 
กลับมีการประโคมข่าวว่า ฟอลคอนคือผู้ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดิน ฟอลคอนคือกบฏที่คิดจะล้มล้างราชบัลลังก์ (ประมาณว่าปรีดีฆ่าในหลวงรัชกาลที่ 8) เพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะสร้างความชอบธรรมให้พระเพทราชาปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ 


ชาวฝรั่งเศสไม่ได้รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นกับการตายอย่างพิเรนทร์ของฟอลคอน แม้ว่าสัญชาติสุดท้ายที่เขาเลือกถือนั้นคือฝรั่งเศส และทุกสิ่งที่กระทำไปก็เพื่อสนองต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผิดกับน้ำเสียงไม่พอใจเวลากล่าวถึงสังฆราชลาโน ทูตเชอวาลีเยร์ นายพลเดฟาร์จ ผู้มีสายเลือดฝรั่งเศสแท้ ถูกทารุณกรรมด้วยวิธีการต่างๆ โดยชาวสยาม 
แต่คนที่ภาคภูมิใจในวีรกรรมของฟอลคอน ก็คือตระกูล "เชอรากีส์" แห่งเมืองเซฟาโลเนีย ผู้ประกาศว่าพวกเขาเป็น "กรีก-เวนิส" หรือ Greco-Venetian ที่จะไม่มีวันลืมเลือนเหตุการณ์สังหาร "เชอรากีส์คนหนึ่ง" อย่างไร้เกียรติภูมิ ด้วยน้ำมือคนบ้านป่าเมืองเถื่อน นั้นได้เลย



ยามาดะ นางาซามะ
ก็แค่ "คนหามเกี้ยว"


"ยามาดะ นางาซามะ" เป็นชาวต่างชาติบนแผ่นดินสยามอีกราย ที่มีชีวิตพิศวงชวนให้สงสัยว่าเป็นเรื่องจริงหรืออิงนิยาย เพราะมันละม้ายละครมายา ไม่ต่างไปจากฟอลคอนเท่าใดนัก 
คือเป็นทั้งบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูงสุด "ขั้นเทพ" แต่แล้วก็ต้องพบจุดจบหักมุมเยี่ยง "เทพเทือก"

การเปิดฉากชีวิตของนักดาบซามูไรผู้นี้ นักประวัติศาสตร์แนวศักดินาที่ให้คุณค่าแก่คนด้วยเรื่องชาติกำเนิด มักพรรณนาให้เห็นภาพอันต่ำต้อย ว่าเดิมนั้นยามาดะเป็นเพียง "คนหามแคร่" ให้กับโชกุน ก่อนจะเลื่อนสถานะขึ้นเป็นชนชั้นอำมาตย์ 
เฉกเดียวกับภาพของฟอลคอนที่มักบันทึกเชิงหยามเหยียดว่า ในวัยเยาว์เป็นเด็กจรจัด เติบโตในโรงเหล้า แต่แล้วเมื่อมีผู้ไปสัมภาษณ์ทายาทตระกูล "เชอรากีส์" ที่ยังมีชีวิตอยู่แถวเมืองมาร์เซยย์ในฝรั่งเศส พวกเขานำเอาตรานามสกุลพระราชทานให้ดูว่าสืบเชื้อสายมาจากชนชั้นสูงแห่งเมืองเวนิส หาใช่เสเพลบอยชาวเลผู้เป็น 18 มงกุฎไม่

กรณีของยามาดะก็เช่นกัน ประวัติศาสตร์ไทยเขียนถึงเขาในทำนอง "ไพร่ถีบตัว" แต่ชาวญี่ปุ่นตั้งคำถามในมุมกลับว่า คนที่เคยหามเกี้ยวให้ขุนนาง น่าสนใจว่าเขาพลิกวิถีชีวิตมาได้อย่างไร จึงกลายเป็นถึง "ออกญา" ในราชสำนักสยาม แสดงว่าน่าจะเข้าข่าย "ยอดคน" ผู้หนึ่ง 
ในกรุงสยามแม้ยามาดะจะมิได้มีตำแหน่งสูงดั่งฟอลคอน แต่เขาก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้านญี่ปุ่นในอยุธยา สังกัดกรมอาสาญี่ปุ่น 

เรื่องราวของยามาดะนี้เกิดขึ้นก่อนฟอลคอน 1-2 ชั่วอายุคน ยามาดะเข้ามาอยุธยาและกลายเป็นที่โปรดปรานในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรม และถูกสำเร็จโทษโดยพระเจ้าปราสาททอง 
ไม่ต่างไปจากกับฟอลคอน ซึ่งเข้ามาภายหลังยามาดะ (สมเด็จพระนารายณ์เป็นราชโอรสของพระเจ้าปราสาททอง) ฟอลคอนอยู่ในฐานะมือขวาของสมเด็จพระนารายณ์ และถูกกำจัดอย่างไม่เหลือซากในสมัยพระเพทราชา

ทุกครั้งที่มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินด้วยบัลลังก์เลือด ผู้ทรงอิทธิพลอย่างสูงของรัชกาลก่อนมักถูกเด็ดหัวเป็นรายแรก คือสัญญาณแห่งการตัดไม้ข่มนาม  
พระเจ้าปราสาททองเริ่มเล็งเห็นสถานะของยามาดะด้วยภาพ "แม่ทัพใหญ่" ที่คุมทหารญี่ปุ่นถึง 800 นาย อันเป็นบทบาทที่ชักจะเหิมเกริม พอกพูนบารมีแข่งรัศมีขึ้นเรื่อยๆ แถมยังพ่วงด้วยสถานะ "เจ้าสัวผู้ล่ำซำ" ผูกขาดการค้าทางทะเลในน่านน้ำอ่าวไทยลงไปถึงแถบมะละกา ปัตตาเวีย
หากไม่รีบตัดไฟเสียแต่ต้นลมวันนี้ เชื่อว่าวันหน้าพระองค์จักต้องรับมือกับคู่แข่งตัวพ่อทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่อันตรายขึ้นทุกวันไม่ไหวแน่ๆ 
แผนสังหารยามาดะมีขึ้นอย่างแนบเนียนไม่ถึงกับทุราจารเหมือนฟอลคอน นั่นคือการหลอกโยกย้ายให้ผู้ทรงอิทธิพลรายนี้ไปประจำการอยู่ที่เมือง "นครศรีธรรมราช" แทน แท้ก็เนรเทศให้ห่างไกลจากขุมกำลัง จากนั้นจึงค่อยๆ ลอบวางยาพิษ ตายแบบเงียบงันไม่โฉ่งฉ่าง


แต่แล้วก็ไม่วายอื้อฉาว เอกสารฝ่ายไทยและฮอลันดา (ผู้มีผลประโยชน์ด้านการค้ากับสยาม) ช่วยกันประโคมความชั่วร้ายเลวทรามสาดใส่ยามาดะ ด้วยประโยคกรอกหูไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินว่า นี่คือการต่อสู้กันระหว่าง "พระเจ้าปราสาททองผู้เปี่ยมเมตตา-กับท่านเคาต์ยามาดะผู้ทรยศ"
ภายหลังที่เด็ดหัวจ่าฝูง พระเจ้าปราสาททองส่งทหารเข้าจู่โจมเผาหมู่บ้านชาวญี่ปุ่นในกรุงศรีอยูธยาที่อาศัยกันกว่า 4,000 ชีวิตจนย่อยยับ ที่เหลือรอดตายพากันขึ้นเรือสำเภา พวกหนีไม่ทันต้องยอมเป็นทาสรับใช้พ่อค้าชาวดัตช์ จากนั้นความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-สยามก็แตกหัก ญี่ปุ่นสั่งปิดประเทศห้ามเรือสำเภาเฉียดกรายไปยังน่านน้ำสยามอย่างเด็ดขาด 
จวบวันนี้ เรื่องราวของยามาดะยังคงได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างไม่รู้จบในญี่ปุ่น ทั้งแง่มุมโศกนาฏกรรม บางคนสดุดีว่าเขาเป็นวีรบุรุษกึ่งพระโพธิสัตว์ บ้างก็ว่าเป็นเหยื่อล่อเป้าที่ยืนขวางกระแสน้ำเชี่ยวกรากโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ



การยกกรณีความตายของคู่ "ฟอลคอน-ยามาดะ" มาเปรียบเทียบกับ "ฟาบิโอ-ฮิโรยูกิ" ที่ต่างกรรมต่างวาระนี้ มิได้มีเจตนาที่จะชี้ว่าชะตาชีวิตของ "ฟาบิโอ" นักข่าวอิตาเลียนนั้นช่างละม้ายกับลูกครึ่งกรีก-เวนิสอย่างฟอลคอน หรือวีรกรรมของ "ฮิโรยูกิ" ลูกพระอาทิตย์นั้นโลดโผนโจนทะยานเหมือนยามาดะ 
หากแต่อยากให้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวเบื้องหลัง "ความตาย" ที่ชาวสยามจงใจ "ปิดปาก" คนที่มีเสียงดังและทรงพลังมากที่สุดของยุคสมัย ไม่ว่า "ฟอลคอน" หรือ "ยามาดะ"  
การเสียชีวิตของ "ฟาบิโอ" และ "ฮิโรยูกิ" นั้น แม้อำมาตย์พยายามจะลากอ้างตีหน้าซื่อว่ามันเป็นฝีมือของชายชุดดำ แต่สำหรับโลกออนไลน์แล้ว การเล็งกระสุนพุ่งเป้ามายังผู้สื่อข่าวต่างชาตินั้น วิเคราะห์ได้ทางเดียวว่าเป็นความพยายามสกัดกั้นมิให้ภาพอัปยศวันสังหารประชาชนแพร่กระจายไปสู่สายตาชาวโลก 

โดยที่ "ฟาบิโอ" กับ "ฮิโรยูกิ" ไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับประเทศนี้ในทางการเมือง แต่ผลสะท้อนที่ผู้คนทั้งโลกต้องจดจำเขาในฉากอวสาน กลับมีค่าเท่ากัน มิได้ต่างไปจาก "ฟอลคอน-ยามาดะ" เลยแม้แต่น้อย 
เป็นมรณกรรมสะท้านโลกันตร์ ของชาย "อิตาลี-ญี่ปุ่น" ที่เกิดขึ้นต่างยุคสมัยกันถึงสามศตวรรษ

เป็นการ "ปิดปาก" ที่ปิดให้ตายก็ปิดไม่มิด!