http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-25

ความอัดอั้นตันใจ, ซีซิลเชากับ จีจี้เชา โดย กิติกร

.

ความอัดอั้นตันใจ ( บทความของปี 2554 )
โดย กิติกร  คอลัมน์ มุมจิตวิทยา
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1632 หน้า 38


"ในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย สัตว์ที่ไม่มีความสุขที่สุดคือมนุษย์"
อนาโตลี ฟรังซี



มนุษย์เราไม่ค่อยมีเวลาแสวงหาความสุขที่ยั่งยืนใส่ตนเองมากนัก เพราะมัวสาละวนกับเรื่องส่วนตัวอื่นๆ  เรื่องเหล่านั้นมักขโมยเวลาที่จะหยิบฉวยความสุขที่สมบูรณ์นั้นเอาไปเสีย เรามักกังวลกับเรื่องน้ำท่วม ภัยพิบัติ เรื่องโรงเรียนของลูกๆ ความรับผิดชอบการงานต่างๆ เรื่องตอบแทนบุญคุณ การเสาะหาอาหารดีมาบริโภค ต้องดูแลบ้านช่อง ต้องออกนอกบ้านไปทำธุรกิจข้างนอกอย่างระมัดระวังว่าจะไม่ถูกรถใครแล่นเข้ามาเสยเอาชีวิต 
และเราเสียเวลาค่อนข้างเยอะกับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่เรารู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ค่อยได้เรื่อง ไร้ฝีมือและโม้จัด!

กล่าวสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิตรุนแรง บางคนถึงขั้นทรุดเข่าคลานลงเพราะแพ้โลก จำนนต่อโชคชะตาตนเอง บางคนถึงนอนคุดคู้ประดุจทารกที่นอนขดตัวอยู่ในครรภ์มารดา อบอุ่นและแสนจะปลอดภัย
ในฐานะนั้น นักจิตวิทยาบางสำนักชี้ว่าจิตไร้สำนึกของพวกเขาปรารถนาจะหลบหนีไปยังภาวะที่แสนสุข-Nivarana state พวกเขาต้องการจะปิดประตูหนีความยุ่งยากโดยหลับตาและคลุมศีรษะไว้ 
คนธรรมดาทั่วไปก็เช่นกัน เราปรารถนาจะหลีกหนีความอัดอั้นตันใจหรือที่เรียกกันว่า เทนชั่น (tension) ในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ แต่นั่นแหละคุณธรรมไม่อนุญาตให้เราหลบหนีไปง่ายๆ จึงจำเป็นต้องคลี่คลายความอัดอั้นตันใจให้เร็วที่สุด ให้เหลือน้อยที่สุดหรือหมดไปเลยก็ยิ่งดี


อาการอัดอั้นตันใจบางอย่าง พบบ่อยๆ และเห็นชัดๆ มีดังนี้ 
- กัดฟัน กัดริมฝีปาก หรือกัดเล็บ 
- รู้สึกหนักเหมือนแบกโลกทั้งโลกไว้บนบ่า ระแวงผู้คน แม้เพื่อนสนิทก็ยังไม่ไว้วางใจ 
- ไม่มีความพอใจแม้แต่ความสุขเล็กๆ ของชีวิต หรืออะไรๆ ก็ไม่ค่อยพอใจอยู่ดี รู้สึกเหนื่อยหน่ายเรื้อรัง ไม่มีแรงกายจะประกอบกิจกรรมใดๆ หรือแม้แต่เวลานอนก็หลับยาก 
- โกรธง่าย หรือเป็นฟืนเป็นไฟกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ลืมทิ้งจดหมายหรือลืมหวีพกติดตัวไปก็อารมณ์เสีย หรือใครพูดขัดหูนิดหน่อยก็พาลจะชวนทะเลาะ เป็นต้น

หากระดับความอัดอั้นตันใจมากขึ้นๆ เกินที่จะรับไว้ได้ กลไกทางจิตก็เปลี่ยนผ่านความอัดอั้นตันใจนั้นไปยังร่างกาย ทำให้ร่างกายระบบใดระบบหนึ่งไม่สบาย ที่เรียกว่า ไซโคโซมาติก คือใจไม่สบายไปด้วย จะปรากฏใน ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบหายใจ หอบหืด ภูมิแพ้ ระบบทางเดินอาหาร การย่อยและปวดเจ็บลำไส้ โรคอ้วน ปวดศีรษะข้างเดียว-ไมเกรน เจ็บคันผิวหนังและรู้สึกตายด้าน ชาเย็นในชีวิตรักใคร่
พฤติกรรมหรืออาการเหล่านี้มาจากใจที่อัดอั้นว้าวุ่นเป็นปัญหาเสมอ



ความอัดอั้นตันใจคลี่คลายได้ และเรามีวิธีคลี่คลายหลายวิธี จะลองทำดูก็ได้ เป็นแบบง่ายๆ สบายๆ คือ

ยิ้มและหัวเราะ ยิ้มและหัวเราะเป็นวิธีคลี่คลายอัดอั้นตันใจวิธีหนึ่งในหลายๆ วิธี ยิ้ม กล้ามเนื้อใบหน้าจะเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อส่วนนี้จะผูกโยงอยู่กับสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เมื่อกล้ามเนื้อส่วนนี้เคลื่อนไหว (ยิ้ม) อารมณ์ก็จะถูกกระตุ้นให้เบิกบานขึ้นทันใด

หัวเราะ สามารถคลี่คลายความอัดอั้นตันใจออกไปได้ในมิติของอารมณ์ขัน หรือไม่ก็เพลิดเพลินสนุกสนาน

มีบางคนเหมือนกันคลี่คลายความอัดอั้นตันใจด้วยการร้องไห้ ความทุกข์โศกละลายไหลไปกับน้ำตา 
ร้องไห้ จึงเป็นพฤติกรรมสากลที่ไม่มีอะไรน่าชัง เพลงร่วมสมัยประเภท "เจ็ดวันที่ฉันเหงา" และ "เอาความขมขื่นไปทิ้งแม่โขง" บอกให้รู้ว่า น้ำตาช่วยละลายความอัดอั้นตันใจได้อย่างหนึ่ง

การนอนหลับพักผ่อนช่วยคลี่คลายความอัดอั้นตันใจได้ดีไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะผู้ที่เพลียกาย แต่นั่นแหละ เมื่อใจไม่สบาย คนส่วนใหญ่มักหลับยาก

พูดระบายออกไป เป็นวิธีระบายความอัดอั้นตันใจอย่างหนึ่งโดยการพูด การพร่ำรำพัน แม้แต่การสวดอ้อนวอนต่างๆ จะทำให้โล่งใจได้ชั้นหนึ่ง ทางจิตวิทยาเรียกว่า วิธีการระบายให้โล่งอก คือ คารธาร์ซิส-catharsis 
ในวรรณกรรมเรื่องกามนิต วาสิฏฐีพูดพร่ำรำพันบทกวีที่ทางทมยันตีอ้อนวอนต่อต้นอโศกเพื่อถามหาคนรัก วาสิฏฐีก็มีวัตถุประสงค์เดียวกัน การพร่ำรำพันของเธอเป็นการคลี่คลายความอัดอั้นตันใจได้พอควร

แม่-พ่อ พระ แพทย์ หรือเพื่อนๆ เพียงแต่ตั้งใจฟังปัญหาของลูกหรือผู้คนที่มาขอความช่วยเหลือด้วยความเห็นอกเห็นใจ ด้วยท่าทีที่เมตตา อบอุ่น สามารถช่วยเหลือบุคคลเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องกล่าวอะไรเลย

หยุดงาน (ชั่วคราว) การหยุดงานชั่วราว ช่วยคลี่คลายความอัดอั้นตันใจได้มากเสมอ โดยใช้เวลาไปกับการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย เดินเที่ยวไปไกลๆ หรือวิ่งจ๊อกกิ้งย่อมดีกว่าดันทุรังทำงานนั้นต่อไป ผลงานจะแย่ลงและจิตใจก็ยุ่งยากมากขึ้น
มีบางคนเหมือนกัน คลี่คลายความอัดอั้นตันใจโดยไปทำผม หรือสระผมบางคนหันไปซื้อเสื้อผ้า หรือซื้อหมวกใหม่ ไปช็อปปิ้ง ไปดูละคร ชมภาพยนตร์ และร่วมกิจกรรมสนุกๆ หลายอย่างเพื่อทดแทนหรือชดเชย แต่มีบางคนชดเชยด้วยสุราและการพนัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่สนับสนุนเลย


ให้ผู้เชี่ยวชาญช่วย เมื่อไม่สามารถคลี่คลายความอัดอั้นตันใจด้วยตนเองได้ ก็จำต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีประสบการณ์ ในชุมชนมักมีผู้เชี่ยวชาญหลายคน เป็นต้นว่า ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส หรือหลวงพ่อที่วัด จิตแพทย์และแพทย์ทั่วไปในโรงพยาบาลหรือในคลินิกก็สามารถช่วยได้ เช่นเดียวกับนักจิตวิทยาคลินิก พยาบาลจิตเวช และนักสังคมสงเคราะห์ก็สามารถช่วยคลี่คลายได้เหมือนกัน
ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มักถูกผู้ป่วยคาดหวังไว้สูงดุจผู้วิเศษ หรือเป็นผู้ให้ความอบอุ่นได้เสมอบิดา จึงทำให้ผู้ป่วยพึ่งพิงสูงมาก
แต่เมื่อใดก็ตาม เมื่อผู้ป่วยไม่ได้ตามต้องการก็มักเกรี้ยวกราดเอามากๆ ไม่แพ้กัน!

ยากล่อมประสาท -ยากล่อมประสาทคือ ทรานควิไลเซอร์ (tranquilizer) ซึ่งมีความหมายทำนองว่า "ใจสงบ" (peace of mind) ในอีกความหมายหนึ่ง คือสารประกอบทางเคมีที่สลับซับซ้อน หากจะใช้ต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น เพราะแพทย์รู้ฤทธิ์ของมันดี คือ ยากล่อมประสาทชนิดใหม่-เมเจอร์ ใช้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาลโรคจิต เสมือนเป็นเครื่องมือวัดและบำบัดอาการทางจิตว่ายังอยู่ในสภาพที่ควบคุมได้เพียงใด ก่อนจะช่วยเหลือบำบัดเยียวยาด้วยการบำบัดเยียวยาอย่างอื่นเพื่อให้ผู้ป่วยมีสติรู้โลกของความจริงต่อไป
ส่วนยากล่อมประสาทชนิดเล็ก-ไมเนอร์ ใช้เพื่อประคับประคองอาการช่วงสั้นๆ และได้ผลดีจนต้องระมัดระวังว่าจะกลายเป็นผู้ป่วยติดยาและพึ่งพิงยาตลอดไป ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ จึงควรอยู่ในคำแนะนำของแพทย์จะดีกว่า เพราะยากล่อมประสาทก็เหมือนยาชนิดอื่นๆ ที่มีผลข้างเคียงอันเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้เสมอ
ว่ากันว่า ยากล่อมประสาททั้งเล็กและใหญ่นั้น เสมือนเป็นเพียง "ไม้ค้ำยัน" (chemical crutches) สำหรับคนขาเจ็บเท่านั้น ไม่ได้ช่วยบำบัดเยียวยาจิตใจหรือบำบัดความอัดอั้นตันใจได้จริงๆ ก็คือ จิตบำบัด (psychotherapy) อันเป็นกระบวนการที่จิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยา ใช้ประเมินสัญญาณและอาการความวิตกกังวล ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ของผู้ป่วย และใช้ประเมินความเข้มแข็งทางจิตใจ-สังคมของผู้ป่วยด้วย คือ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถคลี่คลายปัญหาของตนเองได้ และคืนกลับสู่โลกของความจริงอย่างมีสุขภาพ (ภาวะที่เป็นสุข) ซึ่งผู้ป่วยบางคนสามารถทำได้ง่ายมาก แต่บางคนก็ยากเย็นแสนเข็ญ

สำหรับนักจิตบำบัดทั้งหลายนั้น ล้วนพยายามช่วยเหลือให้กำลังใจผู้ป่วยที่อัดอั้นตันใจเหล่านี้ได้จดจำ ยอมรับและเห็นต้นตอของการเจ็บป่วย กับสามารถคลี่คลายได้ด้วยตนเองได้ในที่สุด



++

ซีซิลเชา กับ จีจี้เชา
โดย กิติกร  คอลัมน์ มุมจิตวิทยา
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1679 หน้า 25


คําประกาศเมื่อปลายเดือนก่อนของมหาเศรษฐีชาวฮ่องกง วัย 76 ปี ชื่อ ซีซิลเชา นั้น ย่อมท้าทายฝีมือและภูมิปัญญาของนักพฤติกรรมศาสตร์ นักจิตวิทยาและจิตแพทย์เป็นอย่างยิ่ง

ซีซิลเชา ประกาศว่า ถ้าผู้ใดสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกสาวของเขาจาก "ดี้" เป็นพฤติกรรมของสาวธรรมดาๆ ได้ ก็จะมอบเงินรางวัลก้อนโต 500 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 2,000 ล้านบาท) ให้ทันที 
ลูกสาวมหาเศรษฐีซีซิลเชา ชื่อ จีจี้เชา วัย 33 ปี เป็นสาวใหญ่แสนสวยและเพิ่งตกลงใจเป็นฝั่งฝากับ "ทอม" สาวใหญ่ลูกครึ่งจีน-ฝรั่งเศสไปแล้วเมื่อไม่นานนี้ อันน่าจะเป็นเหตุให้ผู้เป็นพ่อเดือดดาลจัดจนถึงกับประกาศให้รางวัลใหญ่ 500 ล้านดอลลาร์!

คล้ายๆ ซีซิลเชาผู้พ่อ จะประกาศช้าไปหน่อย รอจนจีจี้มีบุคคลที่สามเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเสียแล้ว การจัดการพฤติกรรมดี้ให้คลี่คลายย่อมจะยากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
แต่ก็ไม่แน่!



ก่อนอื่นต้องหาเหตุดี้ของจีจี้กันก่อน มันเรื่องอะไร เป็นสาวแท้ๆ มาปฏิเสธหนุ่มทั้งแท่งได้อย่างไร

เราน่าจะรวบรัดตัดเหตุในประเด็นอื่นๆ ออกไป โดยมุ่งไปที่เหตุทางจิตใจ คือการอบรมบ่มเลี้ยงเป็นหลัก และตรงไปยังข้อสรุปที่ว่า สาวดี้ทั้งหลาย ถ้าไม่รักเทิดทูนพ่อล้นเกิน ชนิดสุดบูชาพาขึ้นหิ้ง ก็มักจะเกลียดชังพ่อชนิดสาหัสสุดประมาณ
และหลายกรณีพวกเธอจำต้องซ่อนความเกลียดชังเหล่านั้นไว้อย่างมิดชิดในจิตใต้สำนึกเลยทีเดียว 
มีมูลเหตุที่ชวนเชื่อว่าจีจี้มีใจต่อพ่อเป็นอย่างหลัง ง่ายๆ ตรงไปตรงมาก็คือ ซีซิลผู้พ่อเป็นจอมเจ้าชู้ระดับ "ดอนฮวน" มาตั้งแต่อายุ 16 ขณะนี้อายุ 76 ปีแล้ว ก็ยังรุ่มร่าม เลอะเทอะเหมือนเดิม

บอกได้เลยว่า จีจี้ได้เห็นพฤติกรรมดอนฮวนนี้มานานไม่น้อยกว่า 30 ปี (อายุ 3 ขวบ ก็พอรู้เรื่อง รับข้อมูลจากสีหน้าแววตาของแม่ก็รู้ได้ว่า พฤติกรรมพ่อทำลายจิตใจแม่มากเพียงใด)
แล้วจีจี้ก็ได้ข้อสรุปว่า ผู้ชายทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าชายไหน ก็แย่ๆ เหมือนพ่อของเธอนี่เอง ย่อมไม่ควรยอมเป็นภรรยาพวกเขาได้
ข้อสรุปนี้น่าจะเกิดมานานแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ช่วงวัยเลเทนซี (7-9 ขวบ) ซึ่งเก่งในการคิดใคร่ครวญ วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และแล้ว เธอก็เกิด "ปมใจ" ขึ้นมานับแต่นั้น  
เป็นปมใจที่เกลียดชังพ่ออย่างรุนแรง แต่ก็เก็บซ่อนไว้มิดชิดในจิตใต้สำนึก



เชื่อว่ามีหนุ่มเล็ก หนุ่มใหญ่ เสนอตัวเข้ามาให้เธอเลือกในต่างกรรมต่างวาระกันมากต่อมาก
แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไรกับจีจี้เลย เธอเห็นเขาเป็นวัตถุธาตุหรือนอน-เพอร์สัน เหตุว่าพวกเขามีความผิดสถานเดียวคือ เป็นผู้ชาย เป็นผู้ชายเพศเดียวกับพ่อ ต้องยอดแย่เหมือนๆ กับพ่อนั่นแหละ 
จิตใต้สำนึกของเธอกระซิบบอกเธอเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า 
จิตใต้สำนึกกระซิบบอกบ่อยเพียงใด ปมใจเกลียดชังพ่อก็ใหญ่โตมากขึ้นเพียงนั้น

ปมใจของจีจี้คงจะใหญ่โตเอาการ จึงทำให้เธอเกิดความเชื่อมั่นอะไรบางอย่างที่เรียกว่า "อีโก้ ชินโตนิก" อันมีความหมายว่า "ฉันจะเป็นดี้ของฉันอย่างนี้ ใครจะทำไม" หรือ "ฉันมีผัวเป็นทอม มันหนักกระบาลคุณหรืออย่างไร" 
ถ้าขึ้นต้นแข็งแรงแบบนี้ ก็ทำท่าว่าจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงยากมากแล้วละ


อย่างไรก็ดี นักพฤติกรรมบำบัดเชื่อว่า สัมพันธ์รัก ทอม-ดี้ ไม่เป็นธรรมชาติ เปราะบาง และแตกร้าวง่าย 
จริงๆ แล้ว ดี้จำใจสัมพันธ์กับทอม เพราะเกลียดกลัวผู้ชายเป็นพื้นฐาน ความเข้าใจเช่นนี้ ประตูในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็มิได้ปิดตายเสียทีเดียว 
เมื่อไรก็ตามที่สามารถคลี่คลายความเกลียดกลัวผู้ชายของเธอให้คลายลงได้ ความธรรมดาก็จะคืนมา

นักพฤติกรรมบำบัดอาจใช้วิธีจิตบำบัด (Psychotherapy) -คืออาศัยหลัก "เสาหินสิบศอกตอกเป็นหลัก ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว" โดยใช้หลักวิชาในการผลัก โอกาสไหวก็ยังมี 
นักพฤติกรรมบำบัดบางคนอาจใช้เทคนิคการวางเงื่อนไขโดยการนำดี้เข้าสู่กระบวนการที่เป็นระบบและเตรียมการไว้ดีแล้วคือ เมื่อใดที่ดี้หันไปทางซ้ายก็จะพบภาพชายแท้ที่อบอุ่นและเป็นสมาร์ตแมน 
แน่นอน แรกๆ เธอย่อมไม่ชอบ จึงหันไปทางขวาซึ่งได้พบภาพทอม สาวหล่อ-ชายเทียม เธอพอใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกกระตุกด้วยช็อกไฟฟ้า โวลต์ต่ำๆ ประสานกับเสียงเอะอะร้าวฉานที่ชวนอึดอัดรำคาญใจครั้งแล้วครั้งเล่า 
แต่เมื่อเธอหันกลับไปอีกทาง ก็พบภาพชายอบอุ่นสมาร์ตแมน มีพลังปกป้อง มีเสียงเพลงไพเราะประกอบกับความนุ่มนวลฉ่ำเย็นอันชวนสำราญใจมาทดแทน รูปการณ์ก็เป็นดังเช่นว่า หันไปทางซ้ายสบายๆ หันไปทางขวาลำบากใจมากๆ

บ่อยครั้งเข้าและไม่นานนัก เธอผู้เป็นดี้ก็จะได้พฤติกรรมใหม่ พอใจชายแท้ที่อบอุ่น และค่อยปฏิเสธชายเทียมไปโดยอัตโนมัติ
เธออาจจะห่วงหาข้างขวาบ้างก็ไม่ว่ากัน แต่ส่วนใหญ่สะวิงกลับมาข้างซ้ายมากกว่าก็ถือว่าโอเค


ถึงตรงนี้ อาจต้องต่อรองกับ ซี ซิล เชา ว่า ถ้าสามารถดึงจีจี้กลับมาได้ครึ่งทาง เป็น "มิสทองไบ" (ไบเซ็กชวล) คือจีจี้มีใจรักแบบว่าทั้งหญิงก็ได้ ชายก็ดี คล้ายๆ ดาราสาว แองเจลล่า โจลี่ แฟนสาวของ แบรด พริตต์ พอจะได้ไหม โดยยอมลดเงินรางวัลลงครึ่งหนึ่ง!



.