http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-09

คิดเองให้มากๆ นะตัวเธอว์ โดย จอห์น วิญญู

.

คิดเองให้มากๆ นะตัวเธอว์
โดย จอห์น วิญญู spokedark.tv www.facebook.com/spokedarktv
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 05 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1677 หน้า 79


หรือไม่อีกที ก็ไม่ต้องคิดเลยครับ การคิดมากอาจทำให้ท่านเป็นบ้าได้ พูดตามตรง 
ผมกำลังอยู่ระหว่างการตัดสินใจจะ "เลิกคิด" อย่างสิ้นเชิงอยู่ ถ้าทำได้ชีวิตผมอาจจะมีความสุขมากขึ้น อายุอาจจะยืนขึ้น ตับไตไส้ม้ามถุงน้ำดีอาจจะทำงานได้ดีขึ้น ไม่ต้องซัดยาแก้กรดไหลย้อนพูดินฮาราหลังมื้ออาหารอยู่ทุกบ่อยๆ

วันก่อนในขณะสัมภาษณ์แขกรับเชิญในรายการประกาศภาวะฉุกคิด แขกรับเชิญท่านนี้ได้เอ่ยถึงกาลามสูตร 10 ข้อ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยได้ยินชื่อกาลามสูตรหรอกนะครับ ผมเพียงแต่ได้ยินมาไม่ครบ ผมรู้จักกาลามสูตรอยู่แค่ไม่กี่ข้อเท่านั้น เช่น อย่าเชื่อเพราะได้ยินมา อย่างเชื่อเพราะมันอยู่ในตำรา และ อย่าเชื่อเพราะคนพูดเป็นครูบาอาจารย์ 
สามข้อนี้มันเข้าทางมนุษย์ขี้กวนตีนอย่างผมอยู่แล้ว ชอบนักล่ะครับ ไอ้การตั้งคำถามกับความเชื่อ หรือคำพูดดาษๆ ที่คนชอบหยิบมาพ่นตามๆ กันโดยไม่รู้ความหมาย ไม่เข้าใจที่มาที่ไป หรือเชื่อแบบหัวปัก เพราะครูพูด พระพูด หรือหนังสือพิมพ์พูด อย่างนี้ เป็นต้น

การรู้อะไรแบบไม่ครบนี่ มันน่ากลัวจริงๆ
เพื่อนฝรั่งเคยพูดถึงคนไทยที่ทำงานด้วยกันว่า "He knows just enough English to be harmful" หมายความว่า ไอ้เบื๊อกนี่รู้ภาษาอังกฤษไม่มาก แต่มากพอที่จะสร้างความโกลาหล (หรือความเข้าใจผิดแบบที่จะทำให้เกิดความเสียหาย) ได้"
ในกรณีของกาลามสูตรนี้ ผมคงเป็นไอ้เบื๊อกนั่น---


กาลามสูตรยังมีข้อ "อย่าเพิ่งเชื่อเพราะ...โน่น" "อย่าเพิ่งเชื่อเพราะ...นี่" อีกหลายข้อที่ทำให้คนเชื่อในตรรกะและการอนุมานต้องอ้าปากค้าง เช่น ข้อ 5 > อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะข้อ 6 > อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน และ ข้อ 7 > อย่าปลงใจเชื่อเพราะคิดตรองตามแนวเหตุผล --
ซวยล่ะสิครับพี่น้อง -- การหาข้อมูลและพยายามใช้เหตุผล ตรรกะ และการอนุมาน มันคือเครื่องมือทำมาหากินเลยนะเฟร้ย! 
และถ้าเราไม่ใช้ตรรกะ เหตุผล และการอนุมาน เพื่อรวบรวมกลุ่มปัญหา หรือแยกแยะปัญหาออกมาทีละอย่าง อย่างมีเหตุผลซะแล้ว เราจะหาข้อสรุปนู่นนี่นั่นมาจากไหน แล้วจะเอาอะไรมาพูด แล้วจะทำรายการไปทำไม จะหาข้อมูลเขียนสคริปต์ทำไม 
สุดท้ายแล้ว ตรูจะหายใจไปเพื่อ?



ตัดมาอีกวันหนึ่ง นั่งเม้ามอยกับผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ท่านมีชีวิตอยู่ในสองโลกครับ นั่นคือโลกของวิชาการ ข้อมูล การวิเคราะห์และสังเคราะห์ อีกโลกหนึ่งที่ท่านต้องเกี่ยวเอาไว้ คือโลกของสื่อ สื่อต้องการข้อมูลเยอะนี่นะ เราพูดคุยหยอกล้อกันอย่างคนคุ้นเคยจนลากกันเข้าไปในเรื่องของทัวร์ดูบอลเคล้าดูงานของประธานสภาฯ กับเหล่าสื่อเมื่อไม่นานมานี้  
เรื่องธรรมดาครับ การเลี้ยงดูปูเสื่อนักข่าว ใครๆ เค้าก็ทำกัน พาไปเที่ยวเมืองนอก เค้าก็ทำกัน พาไปช็อปปิ้ง เค้าก็ทำกัน จ่ายเงินเดือนให้ เค้าก็ทำกัน 
ไม่มีเรื่องไหนดู "ไม่ธรรมดา" ซักเรื่อง--- 
ผมไม่ได้ตกใจเหวออะไรหรอก แค่อาจจะรู้สึกอยากซัดยาช่วยย่อยอีกซักเม็ดสองเม็ด เพราะอะไรน่ะเหรอครับ?  
มันเป็นการคอนเฟิร์มว่าสิ่งที่เราเสพๆ กันอยู่ทุกวันนี้ในรูปแบบของ "ข่าว" นั้น กว่ามันจะมาถึงตรงหน้าเรามันได้ผ่าน "อะไรๆ" มาบ้าง 
คนที่เป็นเจ้าของคอลัมน์นิ้วนี้เป็นใคร รู้จักกับใคร กินข้าวกับใคร กินเหล้ากับใคร หรือ พักผ่อนประจำปีกับใคร อะไรยังไงบ้าง 
คิดแค่นี้ก็หนาวแล้วครับ 
แล้วเราจะเอาอะไรกับข่าวที่เราเสพ?

เมื่อสารตั้งต้นที่ได้รับมามันปนเปื้อนมาตั้งแต่แรก แล้วเราจะไปเอาอะไรกับการวิเคราะห์ สังเคราะห์ แยกแยะ สรุปรวมข้อมูลของไอ้เบื๊อกใส่แว่นดำสองสามคน ที่อาจจะเอาข้อมูลไปต่อยอดเป็นคุ้งเป็นแคว?
เอิ้ก

แค่นั้นยังไม่พอนะครับ ยังไม่นับข้อมูลที่มาจากความจริงใจและความหวังดีล้วนๆ ที่สุดท้ายแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปเราก็ได้พบว่า ข้อมูลเหล่านั้นโคตรจะด้านเดียว โคตรจะมีอคติ โคตรจะอีโมอารมณ์เยอะ คนเราอ่ะดราม่าแบบไม่รู้ตัวก็มากครับ (รวมถึงข้าพเจ้าด้วย) 
แค่นั้นยังไม่พอนะครับ ยังไม่นับสุภาษิต "สองคนยลตามช่อง" และ "ตาบอดคลำช้าง" คือ การรับฟังข้อมูลจากผู้ร่วมเหตุการณ์ หรือ eye witness ซึ่งคนเห็นก็คือ "คนเห็น" นั่นแหละ เค้าเห็นจริงๆ แต่เค้าไม่ได้เห็นทั้งหมด 
นั่นก็เพราะไม่มีใครสามารถ "เห็นทั้งหมด" ได้ มันเป็นไปไม่ได้ครับ (และผมก็ตะหงิดๆ ว่า หากแม้นเราสามารถทำได้ สุดท้ายแล้วเราก็จะไม่ตัดสินใครอยู่ดี)

แค่นั้นยังไม่พอ นักโฆษณาผู้หลักแหลมที่ผมจำต้องซูฮกหลายท่านก็พูดแบบเดียวกันว่า มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ของเหตุผลหรอก เราหาเหตุผลมาสนับสนุนสิ่งที่เราจะทำอยู่แล้วเท่านั้นเอง--เพียงแต่มนุษย์บางจำพวก (แล้วแกก็ส่งสายตาวิ้งๆ ให้ผม) ชอบคิดว่าตัวเองนั้นเป็นผู้มีเหตุผล ยึดหลักเหตุผลในการดำรงชีวิตและตัดสินใจ  
ที่ไหนได้ ถ้าลองเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วจะพบว่า เหลวไหลทั้งเพ!


นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายๆ ครั้งผมจึงคิดว่า สุดท้ายแล้วตรูไม่คิดดีกว่ามั้ย? ไม่ต้องหาข้อมูล ไม่ต้องคิด ไม่ต้อง "พยายามทำความเข้าใจ" แล้วก็ไม่ต้องวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ ตัดสินคุณค่า  
เพราะสุดท้ายแล้ว เราก็ "ไม่รู้" อยู่ดี 
แต่การสรุปว่าเราก็ไม่รู้อยู่ดี แล้วจะไม่คิดอะไรเลย 
มันก็คงเหมือนกับที่รู้ว่า เกิดมาก็ต้องตาย เลยไม่ทำอะไรแล้วดีกว่า เพราะเดี๋ยวก็ตายอยู่ดี 
เอาเป็นว่า ณ ตอนนี้ผมเลิกคิดไม่ได้ ตายแล้วค่อยเลิกคิดก็ละกัน ฮ่าๆๆ



* * * * * * * * * * * * * * *

อ้างอิง : กาลามสูตร 10

1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา

2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา

3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ

4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์

5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรกะ

6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน

7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว

9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้

10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา



.