http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-17

คู่นอนของฉัน, เลี้ยงดู โดย ทราย เจริญปุระ

.

คู่นอนของฉัน
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1678 หน้า 78 


ขณะนี้เป็นเวลาตี 3 
พรุ่งนี้ฉันก็ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า 
คำถามคือ, แล้วฉันมานั่งทำบ้าอะไรอยู่ดึกดื่นป่านฉะนี้ ไม่รู้จักไปหลับไปนอนให้ร่างกายและหน้าตาสดชื่น เตรียมตื่นรับอรุณไปทำงาน

ก็อ่านหนังสือนั่นแหละ จะมีอะไรเสียอีก


ฉันมีนิสัย ที่ไม่รู้จะเรียกว่านิสัยดีหรือนิสัยเสียตรงที่ว่าต้องอ่านหนังสือก่อนนอน 
จะมีเว้นบ้างก็เวลาเมาจัดจนสิ้นสติ ถึงขั้นคลานกลับขึ้นเตียงนั่นแหละ 
นอกนั้นเป็นไม่มีอันเว้นไปเสียได้

จะไปอยู่ที่ไหนก็ต้องหอบเอาเครื่องอัฐบริขารไปด้วย
อาจไม่ถึง 8 อย่าง 8 ชนิดอย่างพระสงฆ์องค์เจ้าท่านหรอก มันก็มีอยู่ไม่มีกี่อย่าง 
แต่ไอ้อย่างที่มากจนกินพื้นที่ในกระเป๋าแถมน้ำหนักก็ไม่ใช่น้อยๆ ก็เห็นจะเป็นหนังสือนี่เอง  
แล้วก็ไม่จบแค่การใช้เวลาที่ควรจะหลับนอนไปเหมือนๆ ชาวบ้านเขามาอ่านหนังสือ

เพราะอ่านหนังสือนั้นก็ต้องการแสงไฟ ฉันก็ต้องนอนเปิดไฟอ่านเสียอีก ไอ้จะมาใช้ไฟฉายเล็กๆ มาหนีบหนังสืออ่านนั้นขอที ฉันทำมามากแล้วเมื่อเป็นเด็ก โตขึ้นมาก็ขอเปิดโคมหัวเตียงอ่านให้สบายใจ แล้วก็เลยเรื่อยไปจนหลับอยู่กลางแสงไฟนั้นออกบ่อย 
ไอ้ครั้นจะอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ บางทีฉันก็ไม่ชอบเสียอีก ค่าที่มันสงบเกินไป 
ฉันก็เลยพอใจจะเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้
แต่ก็เปิดไว้เสียอย่างนั้นเพราะปิดเสียง ไม่งั้นจะรบกวนการอ่าน


เรื่องมากถึงปานนี้ จนขนาดแม่แท้ๆ ของฉันยังบอกยอมแพ้ 
ต่อให้เลี่ยงไม่ได้จริงๆ แล้วถึงจะยอมนอนร่วมห้องกับฉัน 
มาถึงวันนี้ฉันเลยพยายามลดนิสัยลงบ้าง 
ไม่ใช่จะเลิกอ่านหนังสือหรอก 
แต่เป็นเริ่มจากการปิดโทรทัศน์เสียก่อน เพราะดูจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญน้อยที่สุด
แถมดูดีตรงได้ช่วยประหยัดไฟด้วย
แม่มารู้เข้าคงปลื้มใจแทบตาย

ทั้งที่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก 
แต่เป็นเพราะไอ้ระบบถ่ายทอดโทรทัศน์ที่บ้านซึ่งฉันใช้มาแต่ดั้งเดิมนั้นเกิดจะเปลี่ยนระบบสัญญาณให้มันหรูหราขึ้นอย่างไรก็บอกไม่ถูก

แล้วก็จะต้องเปลี่ยนตัวรับสัญญาณ มีช่างเข้ามาคอยจัดการ จากนั้นก็ทำการวางช่องรับสัญญาณใหม่ รวมถึงน่าจะมีค่าใช้จ่ายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น แล้วยังน่าจะเลยลามไปถึงการต่างๆ อีกมากซึ่งจะวุ่นวายอย่างยิ่ง 
ฉันเลยโทร.แจ้งให้เขาเข้ามาถอดไอ้กล่องบ้าๆ นั่นทิ้งไปเสียเฉยๆ 
คงไว้แต่โทรทัศน์ดำทะมึน หาประโยชน์อะไรไม่ได้นอกจากจะเอาไว้วางของ 
ไว้เบื่อขึ้นมาเต็มทีอีกเมื่อไหร่ ฉันก็คงให้เขาเข้ามาติดให้อีกที 
ตอนนี้ก็เลยแก้นิสัยเสียไปได้อย่างหนึ่งเป็นของแถมจากการที่โทรทัศน์ในห้องนอนดูไม่ได้



แต่นิสัยอื่นนั้นยังอยู่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอ่านหนังสือหรือเปิดไฟก่อนนอน 
คู่นอนของฉันก็หนังสือนี่แหละ วางอยู่บนเตียงข้างมือ จนพอจะเอาไปพูดกับใครต่อใครได้อย่างคะนองปากว่าฉันเปลี่ยนคู่นอนแต่ละคืนไม่ซ้ำหน้า 
บางวันก็ไทย บางวันก็ฝรั่ง บางวันก็ญี่ปุ่น 
แต่คู่นอนที่ทำเอาฉันไม่ได้หลับได้นอนอยู่นี่เป็นจีน
ไม่ใช่จีนธรรมดา
แต่เป็นถึงระดับขุนนางศักดินาเลยทีเดียว


"ตี๋เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์" เป็นเรื่องสืบสวน สอบสวน 
ซ่อนเงื่อนในคดีต่างๆ ซึ่งนักสืบที่เป็นตัวนำของเรื่องก็คือตี๋เหรินเจี๋ยนี้ เป็นถึงขุนนางระดับสูงในรัชสมัยของหวู่เจ๋อเทียน (ซึ่งคนไทยเราน่าจะคุ้นกว่าในชื่อที่ออกเสียงว่า "บูเช็กเทียน")  
เล่มที่ฉันอ่านนี่ การสืบสวนและคดีความต่างๆ ที่มาถึงมือของตี๋เหรินเจี๋ยก็ถึงเล่มที่ 5 เข้าไปแล้ว 
ตี๋ เหรินเจี๋ยนี่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าคดีต่างๆ ที่นักสืบท่านนี้เข้ามาไขจะมีรายละเอียดตามในหนังสือหรือเปล่า

และในบางตำราก็ว่าตี๋เหรินเจี๋ยผู้นี้นี่แหละ เป็นคนสำคัญที่ทำให้จักรพรรดิหวู่เจ๋อเทียน ซึ่งประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้ว่าเป็นสตรีที่คุ้มดีคุ้มร้ายและสั่งการสังหารคนไปไม่น้อยติดอันดับโลก ต้องหมดอำนาจและจบราชวงศ์อันแสนสั้นของตัวเองไป ด้วยกลยุทธ์การวางแผนของเขาซึ่งมาสำเร็จเอาจริงๆ ตอนเจ้าตัวตายจากไปแล้ว 
ยอมรับล่ะว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้อ่านต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้น 
เพราะกลัวจะติด 
แล้วก็ติดจริงๆ อย่างที่สังหรณ์เอาไว้

จะว่าไป เรื่องนี้ก็ครบเครื่องตามที่นิยายสืบสวนสอบสวนเรื่องหนึ่งพึงจะมี คือตัวละครหลักและตัวละครรองที่น่าสนใจให้เราติดตามไปได้จนจบ 
แล้วก็มีปมประเด็นซ่อนอยู่ตรงนั้นตรงนี้ พอให้ขบคิดไปได้ด้วยอย่างสนุกสนาน 
และสิ่งสำคัญที่ทำให้อ่านกันได้ขนาดไม่หลับไม่นอนขนาดนี้ก็คือฝีมือและสำนวนของผู้แปล 
คือ คุณเรืองชัย รักศรีอักษร 
ซึ่งแปลออกมาได้อ่านง่ายเพลิดเพลิน 
ชนิดใครที่เคยตั้งป้อมแข็งแรงเอาไว้ว่าจะไม่อ่านเรื่องจีน เพราะเพียงชั้นจะจำชื่อตัวละครก็ยากเป็นนักหนาต้องทำลายป้อมของตัวเองลงได้ง่ายๆ
ค่าที่ว่าสิ่งที่กลัวกับสิ่งที่จะได้อ่านนั้นมันไม่ได้เหมือนอย่างที่คิด


เขียนมาถึงตอนนี้ฉันก็ชักจะคิดหนัก 
เพราะเริ่มจะง่วงขึ้นมา 
มันเป็นเสียอย่างนี้ พอเริ่มจะได้งานได้การก็ชักจะง่วง 
เห็นทีวิธีแก้ง่วงจะมีอยู่วิธีเดียว
คือกลับไปอ่านตี๋เหรินเจี๋ยให้จบรู้แล้วรู้รอดไป

แล้วพรุ่งนี้เช้าจะเป็นอย่างไรค่อยมาว่ากันอีกที 
อย่างมาก, ก็ไปซื้อไอ้เล่มก่อนๆ หน้านี้มาอ่านชดเชยให้หายง่วงไปได้ทีละวันล่ะน่า
ยังเหลืออีกตั้งสี่เล่มนี่นะ



++

เลี้ยงดู
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com  คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 05 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1677 หน้า 80


หายหัวไปหนึ่งอาทิตย์ด้วยอาการป่วย 
นานแสนนานฉันถึงจะป่วย ร่างกายเลยเอาเสียคุ้มค่า 
เล่นเอาเดี้ยงง่อยทำอะไรต่อมิอะไรไม่ได้อยู่หลายวัน 
ระหว่างที่ป่วยเลยมีเวลาเหลือเฟือ ได้ติดตามข่าวอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด 

ที่ติดใจก็มีเรื่องข่าวครอบครัว เรื่องพ่อๆ แม่ๆ ลูกๆ อะไรเทือกนั้น 
ข่าวแรกก็ที่พาลูกไปรักษากับแพทย์ทางเลือก 
แต่ทางเลือกในที่นี้ดันไม่ใช่วิธีฝังเข็มหรือวารีบำบัดหรอก 
แต่ไปให้หมอที่พ่อแม่เชื่อทำการรักษาด้วยการนวดแบบพิสดาร
ผลการรักษาคือทำให้ประเทศเราขาดกำลังของชาติไปหนึ่งคนอย่างน่าสลดใจ


อีกข่าวก็คือตำรวจไปดูสระว่ายน้ำที่มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ 
อย่างย่อๆ เรื่องของเรื่องคือหมดชั่วโมงเรียนว่ายน้ำแล้ว แต่น้องทั้งสองยังไม่ขึ้นจากสระ 
ก็พอดีคุณแม่ของน้องไปเข้าห้องน้ำ กลับมาอีกทีก็เจอโศกนาฏกรรม 
เอาเข้าจริงจะโทษสระน้ำก็คงจะได้ล่ะ 

แต่ในฐานะคนยังไม่มีลูก เคยแต่เป็นลูกและเป็นนักกีฬาว่ายน้ำอย่างฉัน 
บอกได้แค่ว่าจะโทษแต่สิ่งแวดล้อมคงไม่ใช่ที่ 
มันก็คือความประมาทของคนเป็นผู้ปกครองด้วยส่วนหนึ่ง 

แต่ฉันก็พูดได้ง่ายๆ น่ะนะ ไม่ใช่ลูกใช่หลานฉันนี่ 
เพียงแต่รู้สึกแปลกๆ เท่านั้นเอง ว่าเวลาคนเรามีลูกน่ะ 
มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของไม่กี่ชีวิต 

แต่พอมีลูกออกมาแล้วจะมาร้องบอกให้โลกทั้งโลกดูแลลูกให้ด้วยนี่มันชอบกล 
ชีวิตเป็นเรื่องเสี่ยงอยู่แล้ว 
นี่ชีวิตที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้ก็ยิ่งเสี่ยงหนักขึ้น 
และคนที่ผลิตชีวิตนั้นออกมาก็น่าจะทำอะไรได้มากกว่าโทษคนอื่นแต่อย่างเดียว


ใครบอกการเป็นแม่นั้นเป็นง่ายฉันเถียงขาดใจ 
ก็ฉันเป็นลูกที่รู้ตัวว่าเลี้ยงยากระดับอภิ แล้วแม่ก็ไม่ได้มีฉันแค่คนเดียว 
เวลาไปงานแล้วเห็นฝ่ายสามีแนะนำภรรยาให้คนอื่นรู้จักโดยบอกว่า "ไม่ได้ทำอะไรครับ เธออยู่บ้านเลี้ยงลูกเฉยๆ" แล้วอยากจะเขวี้ยงค้อนใส่

ไอ้ "เลี้ยงลูกเฉยๆ" นี่มันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนพูดออกมาหรอกนะ 
แต่มันเป็นขนาดงานที่ใหญ่โต ยุ่งเหยิง พัวพันกันต่อเนื่องยาวนานแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น  
ต้องมีการวางแผน ประเมินความเสี่ยง เตรียมรับมือกับสถานการณ์พลิกผันไม่เว้นแต่ละวันเลยทีเดียว 
ก็ถึงขนาดยกให้แม่คนหนึ่ง เป็น 1 ใน 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลกปี 2011 โดยนิตยสาร Times ได้นี่มันต้องไม่ธรรมดา



นี่คือคำโปรยหลังปกหนังสือ
เอมี่ ฉั่ว ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยกฎหมายเยล เติบโตและได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวจีน เมื่อให้กำเนิดลูกสาว เธอตัดสินใจที่จะเลี้ยงดูลูกแบบวัฒนธรรมจีน โดยการกำหนดทางเดินทุกอย่างให้ ลูกของเธอต้องเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน ต้องเรียนภาษาจีน ต้องได้เกรด A ทุกวิชา ขณะที่ทักษะด้านดนตรีต้องนำหน้าเพื่อนร่วมชั้น เธอเชื่อว่านอกจากพรสวรรค์แล้วคนเราต้องมีพรแสวง โดยการฝึกซ้อมอย่างหนักวันละหลายชั่วโมงหลังกลับจากโรงเรียน

จริงหรือ ที่การเลี้ยงลูกแบบจีนดีกว่าแบบฝรั่ง ในสังคมจีนที่เธอเติบโตไม่เคยยอมรับความผิดหวัง ขณะที่สังคมอเมริกันส่วนใหญ่ไม่มีการบังคับ เคารพในความเป็นปัจเจกและการตัดสินใจของลูก วิธีเลี้ยงลูกแบบไหนจะดีกว่ากัน 
ฉันอ่านจนจบแล้วก็บอกไม่ได้หรอกว่าแบบไหนจะดีกว่ากัน 

ก็ฉันนั้นต่ำกว่ามาตรฐานเอมี่เสียทุกทางแต่ฉันก็สบายดี 
และฉันว่าแม่ฉันก็ดูสบายดีนะ (อันนี้อาจมีคิดเข้าข้างตัวเองบ้าง)


หนังสืออ่านสนุก และทำให้อดคิดไม่ได้ว่าพ่อแม่ที่สอนสั่งเรานั้นเหตุผลหนึ่งคืออยากให้เราดี  
แต่ดีไปเพื่อใครกันหนอ


ดีเพื่อ "เป็นหน้าเป็นตา" ของพ่อแม่
หรือดีเพื่อจะได้เป็นตัวเอง


แน่นอนว่าการเลี้ยงแบบปล่อยอิสระนั้นมีข้อดีแต่ข้อเสียก็มีมาก 
ก็น่าจะมากพอๆ กับการเลี้ยงแบบเป๊ะทุกกระเบียดนิ้วนี่ล่ะ

ไอ้ครั้นฉันจะลองมีลูกเพื่อมาพิสูจน์การเลี้ยงดูหลายๆ แบบเหมือนโครงงานวิทยาศาสตร์ก็ดูจะไม่เข้าท่า 
ได้แต่ฝากให้ใครที่เป็นพ่อเป็นแม่ลองไปหาอ่านดู 
อ่านเสร็จแล้วจะอยากทำตามเอมี่ฉันก็ไม่ว่า

แต่ถ้าเลี้ยงไปเลี้ยงมาแล้วชักจะไม่ดี
ฉันไม่รับเลี้ยงต่อนะ 
ฉันไม่ถนัดเด็กเล็ก
ถนัดแต่เด็กโตๆ

แฮ่ม



.