http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-20

โทษประหาร โดย คำ ผกา

.

โทษประหาร
โดย คำ ผกา http://th-th.facebook.com/kidlenhentang
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1679 หน้า 89


"ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา 31 ประเทศได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมาย หรือทางปฏิบัติ แต่ประเทศ จีน อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอเมริกา และเยเมน ยังคงเป็นประเทศที่มีการประหารชีวิตมากที่สุดในโลก โดยที่หลายกรณีมีความขัดแย้งโดยตรงกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
"จำนวนการประหารชีวิตได้ลดลง ในปี 2553 มีบุคคลถูกประหารชีวิตทั้งหมด 527 คน ในขณะที่ในปี 2552 มีคนถูกประหารชีวิตทั้งหมด 714 คน แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลเชื่อว่ามีประชาชนจีนหลายพันคนถูกประหารชีวิตในปี 2553 ในขณะที่ประเทศจีนได้ปิดบังข้อมูลการใช้โทษประหารชีวิตต่อสาธารณะ
"ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวในทวีปอเมริกาที่ยังมีการประหารชีวิต ในปี 2553 สหรัฐอเมริกามีคำพิพากษาประหารชีวิตทั้งหมด 110 คดี ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขเพียงหนึ่งในสามของคำพิพากษาที่เกิดขึ้นกลางทศวรรษ 2530 ในเดือนมีนาคม 2554 มลรัฐอิลลินอยส์กลายเป็นมลรัฐที่ 16 ในสหรัฐอเมริกาที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต"
http://ilaw.or.th/node/954



การรณรงค์ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตน่าจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่สุดทำยากมากในสังคมไทย (เรื่องที่รณรงค์ง่ายที่สุดในสังคมคือรณรงค์ให้คนเป็นคนดีไง) 
ล่าสุดในอีสานโพลล์ คนยังเห็นด้วยว่าควรลงโทษประหารชีวิตผู้ที่กระทำผิดในคดีทางเพศ เช่น ข่มขืน หรือลงโทษด้วยการตัดอวัยวะเพศ ไม่ต้องพูดถึงคดียาเสพติดที่เรามักได้ยินคำว่า "คนพวกนี้ต้องเอาไปประหารชีวิตให้หมด"
และหากมีการทำประชามติในวันนี้ก็น่าจะมีแนวโน้มสูงว่าสังคมไทยน่าจะยังยินดีให้รักษาโทษประหารชีวิตเอาไว้อยู่  

ในโลกนี้มักจะมีอะไรที่ย้อนแย้งอยู่ในตัวเองเสมอ หากเราดูรายชื่อที่ประเทศที่ยังมีโทษประหารชีวิต มักจะเป็นประเทศที่ไม่ได้แยกรัฐออกจากศาสนา และโทษที่หนักและรุนแรงมักเกี่ยวข้องกับการละเมิดศาสนาด้วย
ความย้อนแย้งในที่นี้คือ เราเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของศาสนาคือความเมตตามิใช่หรือ? 
ในประเทศไทยก็เช่นกัน เรามักพูดกันว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เนืองนองไปด้วยความรัก มีสโลแกนคนไทยไม่ทิ้งกัน มีความเอื้อเฟื้อ 
ทว่า พอพูดถึงโทษประหารชีวิต อาการของคนไทยจะเปลี่ยนเป็นการถลึงตาทำหน้าขึงขัง ทั้งเชื่อว่าที่ทางของคนชั่วคือนรกและความตายเท่านั้น 
ขอเอามือทาบอกตามประสาคนขวัญอ่อน นี่มันความเมตตาชนิดใดกันที่เรามี

สัปดาห์ที่ผ่านมา Amnesty International หรือองค์กรนิรโทษกรรมสากล ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่รณรงค์เรื่องการยกเลิกโทษประหารชีวิตอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นมาโดยตลอด (ยกเว้นในประเทศไทยอีกนั่นแหละที่ประเด็นนี้เจือจางเสียจนฉันคิดว่า มีคนน้อยคนมากที่รู้ว่าประเทศที่ยังมีโทษประหารชีวิตนั้นเป็น "ส่วนน้อย" ของโลก และประเทศยักษ์ใหญ่ทรงอิทธิพลของโลกอย่างจีนและอเมริกายังมีโทษประหารชีวิตอยู่) จัดเทศกาลหนังมีชีวิต
และหนึ่งในหนังที่นำมาฉายคือสารคดีเรื่อง Crime after Crime


สารคดีที่เรียบง่ายนี้เล่าเรื่องของ Deborah Peagler ผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งในแอลเอ ที่คบกับแฟนหนุ่ม Oliver Wilson ตั้งแต่อายุ 15 หลังจากนั้น เธอถูกเขาบังคับให้ขายตัว ทำร้ายร่างกาย กักขัง ล่วงละเมิดทางเพศลูกสาวของเธอ 
เหตุการณ์ดำเนินต่อไปหลายปีจนกระทั่งเธอหนีออกมาอยู่กับแม่ของเธอในขณะที่ Wilson ตามมาข่มขู่ ทำร้าย แม้จะแจ้งความกับตำรวจ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะเขาแค่ถูกจับไปอยู่ในคุกหนึ่งคืนแล้วก็ถูกปล่อยออกมา  
เธอจึงไปขอความช่วยเหลือจากมาเฟียประจำถิ่นโดยบอกว่า ช่วยให้เขาอย่าต้องมายุ่งกับเธออีก และสิ่งที่มาเฟียจัดการคือฆ่า Wilson

Deborah Peagler ถูกจับในข้อหาร่วมวางแผนฆ่าแฟนหนุ่มเพื่อหวังเงินประกันชีวิต (Wilson ทำประกันชีวิตไว้ตอนที่เธอคลอดลูกสาว) อัยการขู่ว่าถ้าเธอไม่สารภาพอาจต้องโทษถึงประหารชีวิต ทำให้เธอตัดสินใจรับสารภาพและรับโทษจำคุกตลอดชีวิต

ในปีที่ 20 ที่เธอติดอยู่ในคุก ทนายความสองคนคือ Nadia Costa และ Joshua Safran เสนอตัวเข้ามารื้อฟื้นคดีของเธอออกมาใหม่เนื่องจากกฎหมายใหม่ของรัฐลอสแองเจลิสออกมาว่าหากผู้ต้องหามีหลักฐานชี้ว่าถูกทำร้ายจากความรุนแรงในครอบครัว มีสิทธิรื้อคดีออกมาพิจารณาใหม่ 
จากนั้นมันนำไปสู่การต่อสู้กับ "กระบวนการยุติธรรม" และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานอัยการที่ไม่ปรารถนาจะยอมรับข้อผิดพลาดในการพิจารณาคดีของตนเอง อีกทั้งไม่อยากเปิดเผยการสร้างพยานหลักฐานเท็จเพื่อเอาผิดกับ Deborah Peagler 
การสู้กับอำนาจกระบวนการยุติธรรมของรัฐแบบที่ต้องพ่ายแพ้หมดรูปครั้งแล้วครั้งเล่าดำเนินต่อเนื่องไปถึง 7 ปี (นั่นแปลว่า Deborah ติดคุกไปแล้ว 27 ปี) จนกระทั่งเธอป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายและอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน

สิ่งที่ทนายของเธอยืนยันคือ หากเธอมีความผิดจริงในฐานที่ทำให้ Wilson ต้องตาย-โทษของเธอมันรุนแรงถึงกับต้องติดคุกตลอดชีวิตหรือ?
และ 20 กว่าปีที่เธอต้องติดอยู่ในคุกมันเพียงพอหรือยังกับความผิดที่เธอก่อ?

ขณะเดียวกัน ไม่มีใครตั้งคำถามว่า ความรุนแรงที่ผู้หญิงได้รับจากครอบครัวไม่ว่าจะเป็นการถูกทำร้าย การล่วงละเมิดทางเพศกับเป็นการกระทำที่กฎหมายไม่อาจ "เอาผิด" ได้ (เรื่องของผัว-เมียตีกัน คนนอกอย่ายุ่ง เดี๋ยวก็กลับมาคืนดีกัน Wilson ที่พกปืนไปขู่ Deborah จึงนอนคุกแค่คืนเดียว)

ทนายความทั้งคู่ไม่ล้มเลิกที่จะขุดหาพยานหลักฐานมาต่อสู้ในชั้นศาล เจ็ดปีที่ส่งเรื่องไปแล้วถูกตีกลับ ส่งไปแล้วถูกตีกลับ ส่งไปแล้วถูกตีกลับ มีความหวังแล้วถูกดับความหวัง ซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนี้จนในที่สุดก็ "ชนะ" จากปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของสื่อที่เริ่มเผยแพร่เรื่องของ Deborah และเริ่มตั้งคำถาม ตรวจสอบ เกาะติดการทำงานของคณะอัยการ จนอัยการต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการทำคดีนี้ในที่สุด ไปจนถึงกระบวนการยุติธรรมที่อำนาจสุดท้ายมาจากผู้ว่าการรัฐที่มาจากการเลือกตั้ง 
ในที่สุด Deborah ก็ได้ออกมาสูดลมหายใจนอกกำแพงคุกและได้อิสรภาพของเธอกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงสิบเดือนสุดท้ายของชีวิตเธอ

สารคดีเล็กๆ นี้ทำให้เราได้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไม่ได้นำมาซึ่งความยุติธรรมเสมอไปและในหลายกรณีที่ผลของกระบวนการยุติธรรมกลับเป็นอาชญกรรมที่มีต่อตัวอาชญากรเสียเอง ไม่นับว่ามีผู้บริสุทธิ์อีกนับไม่ถ้วนที่ถูกกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนเขาให้เป็นอาชญากร ยังไม่นับว่าการทารุณกรรมที่เกิดขึ้นในคุกจะถือเป็นอีกหนึ่งอาชญากรรมที่มาพร้อมกับกระบวนการยุติธรรมได้หรือไม่?



โทษประหารชีวิตนั้นนอกจากจะขัดต่อบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของสหประชาชาติ และกรณีของประเทศไทยประนีประนอมต่อบทบัญญัติดังกล่าวด้วยการเปลี่ยนการลงโทษจากการยิงเป้ามาเป็นฉีดยา ด้วยเหตุผลว่ามิได้เป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณแต่อย่างใด 
แต่อย่าลืมว่าความโหดร้ายของโทษประหารชีวิตนั้นอาจไม่ได้โหดร้ายด้วยวิธีการ "ฆ่า" แต่โหดร้ายด้วยการดำรงอยู่ของมัน
เช่น ถูกใช้เพื่อเป็นเงื่อนไขให้ผู้ต้องสงสัยต้อง "สารภาพ" ยิ่งเมื่อนึกถึงความเป็นจริงของสังคมไทยที่อุดมไปด้วย "แพะ" ความโหดร้ายนี้ยิ่งทบเท่าทวีคูณ จะยอมจำนนรับสารภาพต่อความผิดที่ตนไม่ได้ก่อหรือจะยอมตาย?

ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นแพะที่ต้องโทษประหารชีวิต บุคคลผู้นั้นถูกประหารชีวิตไปแล้ว อีกยี่สิบปีต่อมา พบหลักฐานที่เพิ่งจะได้รับการเปิดเผยว่า บุคคลผู้นั้นไม่ได้กระทำความผิด-ถามว่า เราเอาชีวิตของเขากลับมาได้หรือไม่? 
เราเอาความสูญเสียของครอบครัว เราเอาความรัก ความอาลัยของคนในครอบครัวเขากลับคืนมาได้หรือไม่? (โปรดนึกถึง "แพะ" ของไทยในหลายต่อหลายคดี)

การคิดเรื่องโทษประหารชีวิตต่อให้มีความผิดพลาดของการพิจารณาคดีหนึ่งในร้อย คำถามของฉันคือ หนึ่งคนในร้อยคนที่ต้องตายเพราะความผิดที่ตนไม่ได้ก่อนั้น เราต้องปกป้องเขาไว้หรือไม่?
การยกเลิกโทษประหารชีวิตจึงยืนอยู่บนฐานคิดว่าไม่ว่าความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อยเพียงใดเราก็ต้องคิดเผื่อความผิดพลาดนั้นเสมอเพราะมันเป็นเรื่องชีวิต


ถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะทำความผิดจริง สิ่งที่ต้องคำถามอย่างจริงจังอีกคือ โทษที่เขาได้รับนั้นจำต้องถึงแก่ความตายเท่านั้นหรือ? 
ในโลกที่เรามาไกลกว่ายุคตีหัวลากเข้าถ้ำมาหลายพันปี เราจะยังรักษาวิธีการลงโทษแบบชดใช้ชีวิตด้วยชีวิต ตัดมือตัดเท้าหัวขโมย?
หรือเราควรจะใส่ใจกับการสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อนำมาซึ่งการ "ยุติ" ความบาดหมางหลังจากความจริงถูกเปิดเผย ก่อนสร้างกระบวนตระหนักในความผิดของตน และการให้อภัยของคู่กรณีก่อนจะนำไปสู่บทลงโทษที่เหมาะสมและไม่ลดทอนกระชากทิ้งไปซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์-อาจจะฟังดูเป็นนางเอก กระแดะไปสักนิด แต่ฉันเชื่อว่านี่คือการยุติความรุนแรงในสังคมระยะยาว

ตามสถิติระบุชัดเจนว่าการยกเลิกโทษประหารชีวิตไม่ได้มีผลให้คดีอาชญากรรม อุกฉกรรจ์ ปัญหายาเสพติดเพิ่มขึ้นแต่กลับลดลง 
ประเทศที่มีโทษประหารชีวิตต่างหากที่มีความรุนแรงในสังคมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคดีอาชญกรรมก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด 

(ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูประเทศไทยเป็นตัวอย่างก็ได้-แต่ก็ต้องมีคนเถียงว่า ขนาดมีโทษประหารชีวิตยังขนาดนี้ ถ้าไม่มีจะขนาดไหน ก็คงต้องบอกให้ไปดูประเทศที่ยกเลิกโทษนี้ไปแล้วเป็นกรณีศึกษา)


คงอีกหลายก้าวสำหรับสังคมไทยที่ละครหลังข่าวยังมีฉากตบทึ้งกระชากผม แผดเสียง ใส่กันโดยไม่มีเหตุผลรองรับที่น่าเชื่อถือ
ทั้งไม่ต้องพูดถึง Domestic Violence หาก "ชาติ" จะหมายถึงครอบครัวขนาดใหญ่ พลเมืองไทยยังรองรับความรุนแรง "ในครอบครัว" และมีความสุขกับการ "ตบตี" "กักขัง" กันเอง การสังหารหมู่กลางเมืองก็เป็นแค่เรื่อง "ผัว-เมีย ตีกัน"

ทุกนาทีที่ดูสารคดีเรื่องนี้ ฉันคิดถึง ใครต่อหลายคนในคุกไทยทั้งที่ตายไปแล้วและมีชีวิตอยู่
มากกว่าคิดเรื่องของ Deborah




.