http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-27

จะขึ้นศาล หรือจะปฏิรูป? เส้นทางสู่กองทัพประชาธิปไตย โดย สุรชาติ บำรุงสุข

.

จะขึ้นศาล หรือจะปฏิรูป? เส้นทางสู่กองทัพประชาธิปไตย
โดย สุรชาติ บำรุงสุข  คอลัมน์ ยุทธบทความ
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1680 หน้า 36


"ไม่เพียงแต่ประชาชนเท่านั้นที่ต้องการลัทธิประชาธิปไตย
กองทัพก็ต้องการลัทธิประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน ระบอบประชาธิปไตยในกองทัพ
จะเป็นอาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่งในการทำลายความเป็นกองทัพรับจ้างแบบศักดินา"
ประธานเหมาเจ๋อตุง
25 พฤศจิกายน 1928




เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวใหญ่ที่ปรากฏออกในสื่อทั่วโลกก็คือ ศาลอาญาของประเทศตุรกีได้พิพากษาให้ทหารที่มีส่วนในการรัฐประหารเป็นจำนวนถึง 365 คน ถูกตัดสินจำคุก 
และส่วนหนึ่งของคำตัดสินนี้ส่งผลให้นายทหารเหล่านี้บางส่วนต้องถูกจำคุกเป็นเวลาสูงถึง 20 ปี 
แน่นอนว่าคำตัดสินของศาลเช่นนี้ส่งผลโดยตรงให้บทบาทของทหารในการเมืองตุรกีเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง หรืออีกนัยหนึ่งคำตัดสินดังกล่าวทำให้อิทธิพลและอำนาจของทหารในการเมืองตุรกีลดลงโดยปริยาย
ดังจะเห็นได้จากรูปธรรมของคำตัดสินที่อดีตผู้บัญชาการทหาร อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ และอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ ถูกตัดสินโทษตลอดชีวิต และลดโทษเหลือเพียง 20 ปี พร้อมกับนายทหารระดับนายพลอีก 6 คน ถูกตัดสินจำคุก 18 ปี


ซึ่งหากย้อนกลับไปสู่อดีต คำตัดสินเช่นนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่จะคิดถึงเพียงเรื่องของการจับผู้นำทหารขึ้นศาลก็เป็นประเด็นที่เป็นไปไม่ได้แล้ว 
แต่เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก็เท่ากับการบ่งบอกถึงระยะเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของตุรกีก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาของ "การสร้างความเข้มแข็ง" ให้แก่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือก็บ่งบอกถึงความหมายในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบอบการเมืองแบบการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นอย่างเป็นจริงให้ได้

และในกระบวนการเช่นนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพยังคงเป็นประเด็นสำคัญในกรณีนี้ 
เพราะการจะทำให้กระบวนการของการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น รัฐบาลพลเรือนจะต้องมีขีดความสามารถทางการเมืองที่ทฤษฎีในวิชารัฐศาสตร์เรียกว่า "การควบคุมโดยพลเรือน" ซึ่งตัวแบบที่เกิดขึ้นจากตุรกีก็คือการส่งสัญญาณถึงสมดุลของอำนาจในทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป 
สัญญาณของปรากฏการณ์ดังกล่าวก็คือ อำนาจทางการเมืองที่ถูกผูกขาดรวมศูนย์อยู่ในมือของผู้นำทหารนั้นได้ถูกส่งผ่านมายังผู้นำรัฐบาลพลเรือนแล้ว

ดังนั้น ปฏิบัติการของคำตัดสินของศาลในการจำคุกผู้นำทหารที่เคยมีบทบาทในการยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนตุรกี หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปในสังคมตุรกีว่า "ปฏิบัติการค้อนเหล็ก" (The Sledgehammer) ก็คือการส่งสัญญาณถึงทิศทางการเมืองใหม่ของประเทศ 
และเป็นการเมืองที่อำนาจเคลื่อนไปอยู่ในมือของผู้นำพลเรือนมากขึ้น



ผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลกล่าวกับสำนักข่าว CNN อย่างตรงไปตรงมาในกรณีนี้ว่า "คำตัดสินของศาลคือการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนถึงกองทัพว่า เวลาของกองทัพในการเมืองนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว" 
ดังนั้น การตัดสินของศาลในครั้งนี้ก็คือ การบอกว่า "ใครก็ตามที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตจะต้องคิดแล้วคิดอีก" เพราะอย่างน้อยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ แม้พวกเขาจะประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจ แต่ก็มิได้หมายความว่า ความสำเร็จดังกล่าวจะทำให้บรรดานายทหารทั้งหลายที่เกี่ยวข้องจะไม่ต้องถูกฟ้องร้องในศาล 
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขาอาจถูกพิพากษาให้ต้องจำคุกได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าแม้จะรัฐประหารสำเร็จในวันนี้ แต่ก็อาจติดคุกได้ในวันหน้า เพราะความสำเร็จในการยึดอำนาจไม่สามารถคุ้มครองให้กลุ่มทหารพ้นจากคำพิพากษาของศาลได้ 
กระบวนการ "ค้อนเหล็ก" ในการสอบสวนคดีรัฐประหารของผู้นำทหารนั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2546 และว่าที่จริงการเริ่มการสอบสวนดังกล่าวก็คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงการถดถอยของอำนาจของทหารในการเมืองตุรกี  
เพราะแต่เดิมนั้น อำนาจของกองทัพในการเมืองเป็นประเด็นที่แตะต้องไม่ได้เลย และสำหรับผู้นำทหารแล้ว พวกเขาก็เป็นกลุ่มอำนาจที่แตะต้องไม่ได้เลยเช่นกัน 
ดังนั้น คำตัดสินของศาลในครั้งนี้จึงเป็นเสมือนการเปิดประตูสู่การเมืองใหม่ของตุรกี และเป็นการเมืองที่เดินคู่ขนานไปกับกระบวนการสร้างประชาธิปไตยของประเทศ 
จนหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นภาพสะท้อนอย่างสำคัญของการต่อสู้ระหว่างผู้นำทางโลก 2 กลุ่มของสังคมตุรกีคือ กลุ่มพลเรือนกับกลุ่มทหาร และผลของคำตัดสินครั้งนี้ยังสะท้อนทิศทางใหม่ของการเมืองตุรกีที่ผู้นำพลเรือนมีอำนาจมากขึ้น 
ดังนั้น คงต้องยอมรับว่าจนถึงวันนี้ การเมืองตุรกีได้เปลี่ยนไปแล้ว และเป็นการเมืองชุดใหม่ที่ยุคทองของทหารในการเมืองที่มาพร้อมกับการรัฐประหารกำลังปิดฉากลงจริงๆ แล้วในการเมืองตุรกี



ระยะเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของเกาหลีใต้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ก็มีปรากฏการณ์คล้ายๆ กันที่มีการนำเอาผู้นำทหารขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม 
แต่ไม่ใช่เรื่องของการรัฐประหาร หากเป็นเรื่องของการคอร์รัปชั่น 
ซึ่งก็คือการส่งสัญญาณถึงการสิ้นสุดอำนาจของทหารในการเมืองเกาหลีใต้เช่นกัน เพราะหากย้อนกลับไปพิจารณาสถานการณ์ทางการเมืองในอดีต ก็จะพบว่าเกาหลีใต้เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารเป็นผู้ปกครอง และรัฐบาลทหารในเกาหลีใต้ก็อยู่อย่างยาวนานพอสมควร 
แต่จนถึงวันนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐประหารเป็นสิ่งที่ไม่หวนกลับมาอีกแต่อย่างใด

หากเราเชื่อว่าปัจจัยภายนอกจากการคุกคามของคอมมิวนิสต์เป็นประเด็นสำคัญในการสร้างความชอบธรรมให้แก่กองทัพในการทำรัฐประหารแล้ว 
กองทัพเกาหลีใต้ปัจจุบันกลับไม่สามารถอ้างความชอบธรรมดังกล่าวได้ แม้กองทัพเกาหลีเหนือจะเป็นภัยคุกคามที่ชัดเจน ซึ่งมีทั้งขีปนาวุธพิสัยกลางติดหัวรบนิวเคลียร์ในรูปแบบต่างๆ แล้ว ก็ยังมีกองทัพบกขนาดใหญ่โดยมีการจัดกำลังพลมากเป็นจำนวนถึง 27 กองพลและ 14 กองพลน้อยทหารราบ ในขณะที่กองทัพเกาหลีใต้มีกำลังพลทหารราบ 17 กองพล เป็นต้น  
ดังนั้น แม้ว่าภัยคุกคามทางทหารจากภายนอกจะมีความชัดเจน แต่ก็มิได้หมายความว่าภัยคุกคามนี้จะกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้กองทัพเกาหลีใต้หวนกลับสู่เวทีการเมืองอีกแต่อย่างใด 
ประกอบกับก็เห็นได้ชัดเจนถึงความเข้มแข็งของรัฐบาลพลเรือนหลังจากการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้น

และจนถึงวันนี้ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวได้สร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว 
ดังจะเห็นได้ว่าเกาหลีใต้เป็นประเทศหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้างประชาธิปไตยที่ทำให้บทบาทการแทรกแซงทางการเมืองของทหารสิ้นสุดลงจริงๆ  
หรืออย่างน้อยก็เห็นได้ชัดเจนว่า สังคมเกาหลีใต้ที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามของเกาหลีเหนือก็มิได้ออกมาเรียกร้องให้กองทัพเกาหลีใต้กลับมาเป็น "ผู้ปกป้อง" ทางการเมืองด้วยการจัดตั้งรัฐบาลทหารอีกแต่อย่างใด


ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่ผ่านประสบการณ์ของการรัฐประหารมาอย่างโชกโชน เช่น ในกรณีของอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็เปลี่ยนแปลงไป แต่หากย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่ากองทัพของทั้งสองประเทศมีบทบาทอย่างมากในทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอินโดนีเซียนั้นถือได้ว่า รัฐบาลทหารของประธานาธิบดีซูฮาร์โตเป็นหนึ่งในระบอบการปกครองของทหารที่มีอายุยาวนานของโลก 
แต่ด้วยผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแก่ประเทศไทย และส่งผลกระทบทั่วทั้งภูมิภาคจนกลายเป็นวิกฤตทางการเมือง และทำให้รัฐบาลทหารของอินโดนีเซียต้องยุติบทบาทไปในปี 2540 แม้จะมีข่าวลือเกี่ยวกับความพยายามของทหารในการหวนกลับสู่การยึดอำนาจในจาการ์ตา แต่ก็เห็นได้ว่าข่าวดังกล่าวเป็นเพียง "ข่าวลือ" 
และจวบจนปัจจุบันรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งก็ยังปฏิบัติหน้าที่เป็นปกติ และกล่าวได้ว่า ระยะเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในอินโดนีเซียสิ้นสุดลงจนสามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบอบการปกครองของพลเรือน จนเรื่องของทหารกับการแทรกแซงทางการเมืองในอินโดนีเซียน่าจะเป็นสิ่งที่สิ้นสุดไปแล้ว

ในกรณีของกองทัพฟิลิปปินส์ก็เป็นในทิศทางเดียวกัน ทหารในอดีตจะถูกใช้เป็นฐานอำนาจของรัฐบาลเผด็จการของประธานาธิบดีมาร์คอส แม้รัฐบาลมาร์กอสจะสามารถควบคุมกองทัพได้ และรัฐประหารเป็นเรื่องที่ไม่เกิดในมะนิลา แต่หลังจากการโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการแล้ว ก็เช่นเดียวกับในหลายๆ กรณีที่ในช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยล้วนเต็มไปด้วยข่าวลือของการรัฐประหาร แต่จนแล้วจนรอด รัฐประหารก็เป็นเพียงข่าวลือท่ามกลางปัญหาการเมืองในมะนิลา  
นอกจากนี้ ทั้งในกรณีของฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียนั้น รัฐบาลประชาธิปไตยของประเทศทั้งสองยังได้สร้างหลักประกันเพื่อให้การเมืองพลเรือนไม่ถูกโค่นล้มจากการยึดอำนาจของทหารอีก 
โดยมีการสร้างกระบวนการ "ปฏิรูปภาคความมั่นคง" (Security Sector Reform หรือ "SSR") เพื่อให้กองทัพอยู่ภายในกรอบการเมืองของระบอบประชาธิปไตยแบบการเลือกตั้ง




แนวคิดเรื่องการปฏิรูปภาคความมั่นคงเป็นเรื่องใหม่ เพราะไม่ใช่แต่เพียงข้อเสนอในการปฏิรูปกองทัพเท่านั้น หากแต่การปฏิรูปได้พุ่งเป้าไปสู่องค์กรความมั่นคงทั้งหมด ทั้งกองทัพ ตำรวจ ระบบยุติธรรม ซึ่งรวมถึงงานอัยการและงานราชทัณฑ์ ตลอดรวมทั้งหน่วยข่าวกรองอีกด้วย 
แนวคิดเช่นนี้เป็นกระแสหลักประการหนึ่งของยุคหลังสงครามเย็น ที่ต้องการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปแก่หน่วยงานความมั่นคงทั้งระบบ และหวังว่าการปฏิรูปดังกล่าวจะมีส่วนโดยตรงต่อการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบอบประชาธิปไตย 
ตัวอย่างของการปฏิรูปภาคความมั่นคงในฟิลิปปินส์ทำให้เห็นชัดเจนถึงการควบคุมโดยพลเรือนตามทฤษฎีของวิชารัฐศาสตร์

กล่าวคือ กองทัพอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยประธานาธิบดี (ซึ่งรวมถึงรัฐมนตรีกลาโหมพลเรือน) โดยรัฐสภา และโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ และนอกจากนี้การกำกับยังเกิดขึ้นจากองค์กรที่ไม่ได้อยู่ในสายงานราชการโดยตรง ได้แก่ การกำกับโดยองค์กรในภาคประชาสังคม เช่น บทบาทในการตรวจสอบกองทัพโดยสื่อมวลชน หรือการตรวจสอบที่เกิดขึ้นโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เป็นต้น 
ภาพอย่างสังเขปของการปฏิรูปภาคความมั่นคงในฟิลิปปินส์สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โอกาสของการรัฐประหารน่าจะจบลงแล้ว

เช่นเดียวกับกรณีของกองทัพอินโดนีเซียซึ่งก็อยู่ภายใต้กระบวนการของการปฏิรูปภาคความมั่นคงไม่แตกต่างกัน
ซึ่งผลของการปฏิรูปเช่นนี้ไม่แต่เพียงทำให้กองทัพอินโดนีเซียซึ่งเคยมีความแข็งแกร่งอย่างมากในทางการเมือง แต่วันนี้กลับยอมรับการควบคุมโดยพลเรือน และทั้งยังยอมรับอย่างมีนัยสำคัญว่า ยุทธศาสตร์ใหญ่ของการป้องกันประเทศของอินโดนีเซียเป็นเรื่องของการตัดสินใจทางการเมืองของประธานาธิบดีพลเรือนและองค์กรด้านนิติบัญญัติของประเทศ 
โดยการตัดสินใจเช่นนี้วางอยู่บนพื้นฐานของหลักความสัมพันธ์พลเรือน-ทหารที่เป็นประชาธิปไตย 

ผลพวงของการปฏิรูปดังกล่าวผสมกับการขับเคลื่อนของระยะเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในอินโดนีเซีย ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โอกาสของการยึดอำนาจในกรุงจาการ์ตาเป็นเรื่องที่ห่างไกลอย่างมาก
ซึ่งก็คือการเปิดโอกาสให้กระบวนการสร้างความเข้มแข็งของระบอบประชาธิปไตยเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จไม่แตกต่างจากกรณีของฟิลิปปินส์ และว่าที่จริงก็ไม่แตกต่างจากกรณีของตุรกีและเกาหลีใต้


แต่ในกรณีของไทย ปัญหาทหารกับการเมืองยังต่างจากตัวแบบในข้างต้นอย่างมาก 
โอกาสของการรัฐประหารยังเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงในเวทีการเมืองที่กรุงเทพฯ อยู่เสมอๆ 
จนทำให้ต้องตระหนักว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญที่ตกทอดมาจากบทบาทของทหารกับการเมืองไทยในอดีตที่ถูกผนวกอย่างมีนัยสำคัญกับผลของรัฐประหาร 2549 ก็คือปัญหาทหารกับการเมืองไทย

ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า แล้วปัญหานี้จะจบลงอย่างไรในอนาคต...!



.