http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-10

END OF WATCH “สดุดีแด่ตำรวจ” โดย นพมาส แววหงส์

.

END OF WATCH “สดุดีแด่ตำรวจ”
โดย นพมาส แววหงส์  คอลัมน์ ภาพยนตร์
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 05 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1677 หน้า 87 


กำกับการแสดง David Ayer
นำแสดง Jake Gyllenhaal 
Michael Pe'a 
Anna Kendrick 
Natalie Martinez



"เบื้องหลังตราที่ติดหน้าอกของผม คือหัวใจเหมือนกับของคุณนั่นแหละ ผมเลือดออกได้ ผมมีความรู้สึกนึกคิด ผมรักเป็น และครับ...ผมถูกฆ่าตายได้... 
และถึงแม้ว่าผมจะเป็นบุคคลเพียงคนเดียว แต่ผมก็มีพี่น้องชายหญิงนับพันคนที่ยอมตายแทนผมได้ และผมเองก็ยอมตายแทนพวกเขาได้เหมือนกัน... 
เรายืนเฝ้ายามอยู่ด้วยกัน... 
ผมเป็นชะตากรรมที่มาพร้อมกับตราตำรวจและปืน 
...เป็นเส้นแบ่งบางๆ ที่คอยปกป้องเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากเหล่าอาชญากรผู้ล่า ปกป้องคนดีจากคนเลว... 
เราคือตำรวจครับ"


นี่คือข้อความแนะนำตัวในตอนเปิดเรื่องจากปากของตัวละครหลักตัวหนึ่ง ไบรอัน เทย์เลอร์ (เจก จิลเลนนาล) ระหว่างที่เราเห็นภาพรถตำรวจไล่ตามรถผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งอย่างฉวัดเฉวียนบนท้องถนน กว่าที่รถคันดังกล่าวจะหนีไปจนมุม และกำลังจะถูกจับกุม 
ภาพที่ปรากฏเป็นภาพจากกล้องของช่างภาพสมัครเล่น คือไบรอัน ที่เป็นหนึ่งในตำรวจสายตรวจที่กำลังออกปฏิบัติการในท้องถนนเมืองลอสแองเจลิสทางใต้ 
คู่หูของไบรอันคือ ไมก์ ซาวาลา (ไมเคิล พีนญา) คนทั้งคู่สนิทสนมกันราวกับพี่น้องร่วมอุทรจากการเป็นสายตรวจที่ทำงานคู่กันมานาน


ไบรอันมีโครงการถ่ายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับชีวิตตำรวจสายตรวจ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนสาขานิติศาสตร์ ที่เขาเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย 
เทคนิคที่ใช้ในการเล่าเรื่องของหนัง เป็นเหมือนวิดีโอจากกล้องมือสมัครเล่น บางครั้งทำประหนึ่งว่าเป็นภาพถ่ายจากกล้องเล็กๆ ที่กลัดไว้ที่ปกเสื้อ และบางครั้งก็เป็นกล้องที่ติดอยู่ในรถตำรวจที่ออกตระเวนตามท้องถนน 
เรื่องราวจึงถูกนำเสนอคล้ายจะเป็น reality TV หรือเหมือนหนังประเภทที่เรียกว่า found footage หรือหนังที่มีผู้ถ่ายไว้และมีคนไปเจอในภายหลัง (อย่างเช่น The Blair Witch Project หรือ Paranormal Activity เป็นอาทิ)



ถึงตอนนี้ เดวิด อาเยอร์ กลายเป็นคนทำหนังที่เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องตำรวจไปเสียแล้ว เขาเป็นผู้กำกับฯ ที่เขียนบทเอง และเป็นผู้เขียนบทตำรวจกังฉินที่ส่งให้ เดนเซล วอชิงตัน คว้าออสการ์ไปครองในเรื่อง Training Day  
ตรงข้ามกับตำรวจทุจริตประพฤติมิชอบจาก Training Day อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ End of Watch นับได้ว่าเป็นคำสดุดีเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ออกปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงภัย โดยไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย หรือเห็นแก่ลาภอามิสหรือผลประโยชน์ส่วนตนใดๆ
จะมีก็แต่คำยกย่องหรือเหรียญตราที่ได้รับจากการปฏิบัติงานอันโดดเด่นบางครั้งบางคราว แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจถูกสอบสวน หรือถูกพักงานได้ หากปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดข้อครหาหรือข้อเคลือบแคลงสงสัยใดๆ 
จะเรียกว่าเป็นหนังบัดดี้หรือหนังประเภท "เพื่อนเกลอ" ก็ได้เหมือนกัน เพราะสองสหาย ไบรอัน กับไมก์ แทบว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว

ไมก์แต่งงานแล้ว และภรรยาคนสวย (นาตาลี มาร์ติเนซ) เพิ่งจะคลอดลูกคนแรก
ส่วนไบรอัน มีแฟนน่ารัก (แอนนา เคนดริก) ที่เพิ่งแต่งงานอยู่กินกันหมาดๆ 
ชีวิตส่วนตัวของทั้งสองคนนี้เราเห็นพอเป็นกระสาย แต่เรื่องราวของเขาทั้งสองคือการปฏิบัติงานในหน้าที่ ซึ่งนับเป็นชีวิตประจำวันของสายตรวจที่ตระเวนไปตามท้องถนน 
วันๆ ไม่รู้ว่าจะเจอเข้ากับเรื่องอะไรบ้าง และต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ในท้องถนนที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมและเหตุด่วนเหตุร้าย 
บางวันก็ไปเจอบ้านไฟไหม้ ก่อนจะเรียกรถดับเพลิงมาถึง ก็ต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเด็กที่ติดอยู่ในบ้านท่ามกลางกองเพลิง 
บางวันก็ไล่ตามรถต้องสงสัย และเจออาวุธร้ายแรงซ่อนอยู่ในรถ 
บางวันก็บุกเข้าไปในบ้านที่มีเบาะแสแจ้งว่าต้องการความช่วยเหลือ แต่กลับไปเจอเรื่องราวน่าตกใจ อย่างเช่นอาชญากรรมการค้ามนุษย์ 
การจับกุมหรือเปิดโปงขบวนการยาเสพติดของแก๊งค้ายาจากเม็กซิโก (เพิ่งจะเขียนเรื่อง Savages เกี่ยวกับเจ้าแม่แก๊งค้ายาจากเม็กซิโกไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้เอง) ซึ่งทำให้ตำรวจตงฉินสองนายนี้ตกเป็นเป้าของเหล่าร้าย
รวมทั้งแคแร็กเตอร์ที่ใจถึงและเป็นธรรมแก่นักเลงที่เขาเข้าจับกุมด้วย ขนาดที่นักเลงคนหนึ่งยังนับถือและบอกว่านี่คือ "ตำรวจที่แท้จริง"



เราเห็นภาพการทำงานของสายตรวจในสถานการณ์คับขัน ล่อแหลมและเสี่ยงภัย แทรกด้วยการสนทนาต่อปากต่อคำของสองคู่หูนี้ ซึ่งเป็นเรื่องขำขันเบาสมองต่างๆ นานา แต่หนังก็แทรกความเบาสมองไว้ให้เป็นกระสาย เนื่องจากแอ๊กชั่นหลักเป็นดรามาที่หนักหน่วงกินใจ โหดร้ายและชวนเศร้าสลด 
ดังที่จั่วหัวเรื่องไว้ข้างต้น หนังเรื่องนี้เป็นคำสดุดีอย่างสูงต่อชีวิตตำรวจที่ทำหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย และต้องเสี่ยงภัยอยู่ในสถานการณ์เบื้องหน้าที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะออกหัวออกก้อย หรือจะไปเจอเรื่องร้ายกาจอะไรเข้าบ้าง

ในรอบพิเศษที่จัดให้สื่อมวลชน ได้ยินโฆษกประกาศว่าหนังเรื่องนี้ตำรวจไทยดูฟรี แต่ผู้เขียนไม่ทราบว่ามีกติกาอย่างไรบ้างนะคะ
แต่จะมีตำรวจไปดูกันมากน้อยแค่ไหนก็ไม่ทราบนะคะ




.