สงครามเสด็จและ 100 ปี โอรสนโรดม
: ฮุน เซน-บทบาทแห่งการสถาปนาอำนาจใหม่ ก่อนการล่มสลายเขมรแดงและฟุนซินเปก
โดย อภิญญา ตะวันออก คอลัมน์ อัญเจียขะแมร์ (กระฮอม)
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1663 หน้า 43
อย่างหาเช่นนั้นไม่ สิ่งที่พรรคราชานิยม-ฟุนซินเปกในปี 1997 เผชิญและเชื่อว่าตกอยู่ในภายใต้อำนาจรัฐท้องถิ่นที่นำโดยพรรคประชาชนกัมพูชา ฟุนซินเปกทุกฝ่ายพากันคิดเช่นที่ว่า
สำหรับรณฤทธิ์ และอีกขุนศึกแถวหน้า นายโส ฮก รัฐมนตรีมหาดไทย ยึก บุนชัย และ โกรจ เยือน ผู้บัญชาการทหารและคนอื่นๆ ซึ่งต่างนั่งคาร่างอยู่บนหลังเสือ ไม่อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์
มันเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไม่ยาก ถ้าเพียงแต่จะทราบด้วยว่า
ผู้นำซีพีพีนั้นถึงกับทำแผนต่อสู้เฉพาะหน้าและเรียกมันอย่างตรงไปตรงมาใน
ภาษาขะแมร์ว่า "สังเครียมเสด็จ" (สงครามเจ้า)
ก็เมื่อพรรคฟุนซินเปกที่เต็มไปด้วยท่าทีแบบชนชั้นศักดินาที่ถูกรื้อฟื้นกลับ
มาใหม่ อีกทั้งสมาชิกระดับสูงทั้งหลายก็ล้วนแต่เป็นเจ้านายทรงพระยศ "ตรง"
(ทรง) เสียอีก
ไม่แปลกอะไรหากซีพีพีจะเรียกเช่นนั้น เพราะทั้ง 2
ก็รบกันบรรลัยวายวอดมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งจนกระทั่งมีรัฐบาลจากการเลือก
โดยประชาชน
แผนยุทธศาสตร์ของ ฮุน เซน
ก็สำแดงเรื่อยมาแต่แรก
ตั้งแต่การจัดตั้งหน่วยมิตรหน่วยศัตรูในหมู่ผู้นำเขมรแดง
ไปจนถึงสงครามเจ้าที่อยู่ในพรรคฟุนซินเปกอันหมายถึงการกำจัดพรรคฟุนซินเปกด้วยนั่นเอง
สําหรับสายตาของผู้เขียน นายฮุน เซน ถือเป็น "บุรุษสามัญชนผู้ปราบเจ้า" ในยุคสังคมใหม่ที่ต้องใช้อำนาจทางการทหารและอำนาจทางเศรษฐกิจจากเหล่าพ่อค้า วาณิชเขมร (และอาจมีชาวต่างชาติ) ที่พากันลงขันให้การสนับสนุนทางการเงินต่อการยึดอำนาจปราบเจ้าคนชุดท้ายใน ผู้นำรัฐบาลครั้งนี้
ก่อนหน้านี้ มีสิ่งที่บ่งชัดอยู่แล้วว่าเจ้านายที่เป็นปฏิปักษ์กับ ฮุน เซน อย่างกรมขุนสิริวุธก็ถูกรังแก แต่เหตุที่นำพาให้ฟุนซินเปกประสบหายนะภายในเวลา 5 ปี และไม่อาจจะผ่านอดีตกาลอันเคยรุ่งเรืองอีกต่อไป สิ่งที่ถูกพิสูจน์ต่อมาทั้งหมดนี้ คือความไม่ตั้งมั่นต่ออุดมคติทางการเมืองที่พึงมีต่อประชาชน
เมื่อถูกยึดอำนาจและใช้เวลา 24 ชั่วโมงเดินทางไปตั้งหลักในบ้านหลังที่ 2 อย่างโดดเดี่ยวที่ฝรั่งเศส ประเทศที่กลับลำให้การสนับสนุนผู้ก่อรัฐประหาร นายฮุน เซน อย่างทันควัน
ไม่แต่ฝรั่งเศสประเทศเดียว รณฤทธิ์ยังพบกับความเจ็บปวดจากหมู่มิตรบางประเทศที่หันไปให้การสนับสนุน ฮุน เซน และลดบทบาทของตนจากผู้นำประเทศมาเป็น "แขกแปลกหน้าผู้มาเยือน"
ตัวอย่างที่ทำให้รณฤทธิ์พบกับความขมขื่นจากภาวะสูญเสียครั้งใหญ่ นั่นคือการที่เข้าไปเยือนสิงคโปร์และมาเลเซีย
โดยเฉพาะมาเลเซียนั้น รณฤทธิ์ถึงกับไม่ลืมท่าทีของ ดร.มหาธีร์นายกรัฐมนตรี
ผู้แสดงท่าทีชัดเจนว่า แคร์ความรู้สึกของ นายฮุน เซน
ผู้ใช้กำลังทหารเข้ายึดครองอำนาจ
ถ้ารณฤทธิ์จะเรียนรู้ตั้งแต่แรกถึงสมการสมยอมในผลประโยชน์ที่แลกเปลี่ยนทาง
การเมืองคือปัจจัยสำคัญทางอำนาจ
เขาจะไม่โอดครวญถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซีย
อย่างที่กล่าวแล้วว่า แม้แต่ประเทศไทย ที่แสดงออกต่อประชาคมโลกว่าไม่เห็นด้วยในการทำรัฐประหาร แต่อีกด้านในความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำต่อผู้นำนั้นเล่า รณฤทธิ์เองก็ประจักษ์แก่สายตาและให้สัมภาษณ์ต่อสื่อต่างประเทศว่า รัฐบาลไทยโดย พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ นายฮุน เซน และเป็นสายป่านทางธุรกิจและการเมืองที่ยาวนานเกินกว่าฟุนซินเปกจะเอื้อมถึง
รณฤทธิ์ยอมรับในความจริงข้อนี้ โดยว่า "ไม่แคยหวังท่าทีอันเป็นมิตรจาก
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ" ซึ่งเป็นที่รู้กันในวงในว่า "ใกล้ชิดกับ ฮุน เซน
ขนาดไหน"
แต่กระนั้น รัฐบาลไทยก็ไม่ถึงกับ "ทำอะไรโจ่งแจ้ง"
เมื่อมีอำนาจในรัฐบาล
รณฤทธิ์อนุมัติโครงการสัมปทานหลายตัวที่มีสิงคโปร์และมาเลเซียได้รับผล
ประโยชน์นั้นไปเต็มๆ
โดยเฉพาะธุรกิจสายการบินแห่งชาติอย่างรอยัลแอร์กัมโบจ์ด
รอยัลแอร์กัมโบจ์ดนั้น
อดีตเคยเป็นกิจการในครอบครัวนโรดมตั้งแต่สังคมราชนิยม (1960-1970)
เลิกกิจการเพราะถูกยึดอำนาจเป็นระบอบสาธารณรัฐโดย นายพลลอน นอน
แต่ทันทีที่กลับมามีอำนาจไม่นาน
ฟุนซินเปกพยายามจะรื้อฟื้นกิจการเก่าเก็บแต่อดีตเหล่านี้ขึ้นมาอีกครั้ง
แผนสร้างฝันของฟุนซินเปกเริ่มต้นในปลายปี ค.ศ.1992 ก่อนการเลือกตั้งครั้งใหญ่ กล่าวกันว่า มีนักลงทุนไทยกลุ่มหนึ่งแถวถนนสีลมกรุงเทพฯ ที่ถูกชักชวนให้ร่วมสร้างฝันรัฐบาลใหม่กัมพูชาโดยการการลงขันให้เงินช่วย เหลือฟุนซินเปกจนได้รับชัยชนะ
ฟุนซินเปกขณะนั้น ตกรางวัลจากคำมั่นสัญญาว่า หากมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล
สิ่งแรกที่กลุ่มทุนเหล่านี้จะได้รับคืน
นั่นคือกิจการด้านการบินแห่งชาติ-รอยัลแอร์กัมโบจ์ด
แต่ทันทีที่ฟุนซินเปกได้ชัยชนะในการจัดตั้งรัฐบาล นักลงทุนไทยกลุ่มนี้
กลับไม่สามารถเข้าถึงตัวผู้นำพรรค
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้เวลานั่งรอพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าที่โรงแรมใน
กรุงเทพฯ
ในวันที่ฟุนซินเปกกับสิงคโปร์ประกาศการลงทุนสายการบินแห่งชาติกัมพูชาด้วย
เม็ดเงินมูลค่า 125 ล้านเหรียญสหรัฐ
คือวันเดียวกับที่นักลงทุนไทยที่ลงขันให้ฟุนซินเปกถือโอกาสปรากฏตัวในงาน
แถลงข่าว เพื่อตอกย้ำบทสรุปว่า พวกตนถูกหลอกใช้โดยผู้นำฟุนซินเปก
เมื่อเกิดเหตุรัฐประหาร และตามมาด้วยการเลือกตั้ง อย่างเดิมอีกครั้ง ฟุนซินเปกได้พยายามหากลุ่มสนับสนุนจากนักลงทุน
แต่คราวนี้ อย่างชัดเจนไม่เลือกค่าย กลุ่มทุนสิงโปร์ยกเลิกสัญญารอยัลแอร์กัมโบจ์ดและมาเลเซียรับไปทำในลำดับต่อมา
แต่ไม่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไปในความเชื่อของนักลงทุนต่างชาติ
นั่นคือ สนับสนุนพรรคซีพีพีที่ดูแลพวกตนอย่างใกล้ชิดในช่วงยึดอำนาจ
รณฤทธิ์ตะหาก ที่ไม่เคยเข้าถึงภาพมายาทางการเมือง ดังนั้น
ทันทีที่ต้องลงสมัครรับการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งในปีถัดมา
เป็นที่ทราบกันว่า
รณฤทธิ์และพวกพยายามจะกลับมาสานสัมพันธ์กับกลุ่มทุนเก่าที่เขาทิ้งไป
แต่มันสายไปเสียแล้ว
หาก สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ จะตระหนักว่า เขามีชีวิตอยู่นอกเงาบดบังของบิดาและพบว่า และจะยึดอาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนขณะอาศัยอยู่ในฝรั่งเศส ภาวะแห่งความสิ้นไร้ไม้ตอกที่น่าอดสูนี้ คงไม่มีมาถึงตัวเขา
เนื่องจากรัฐประหารในสงครามเจ้าได้ทำให้เกิดการสังเวยชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวน มาก ไม่เพียงแต่กรกฎาคม 1997 แต่จะตามมาอีกในเขตอัลลองแวงของกลุ่มเขมรแดง
รณฤทธิ์นั้น กล่าวให้สัมภาษณ์ฮาริช เมห์ตาในหนังสือ Warrior Prince :
Norodom Ranariddh, son of King Sihanouk of Cambodia
ว่าเขาไม่เคยได้รับการแชร์ความรู้สึกเยี่ยงบิดาที่มีต่อบุตรในภาวะแห่งความ
สูญเสีย
การพูดคุยทางโทรศัพท์หลังรัฐประหารผ่านไปแล้ว 2 วัน ราว 45
นาทีที่ออกมาจากพระกรุณาสีหนุประทับ ณ กรุงปักกิ่ง คือข้อวิจารณ์ว่า
การยึดอำนาจครั้งนี้ไม่เหมือนจากสมัยของพระองค์เมื่อปี ค.ศ.1970เป็นการพาย้อนเวลาหาอดีตที่ประทุษร้ายรณฤทธิ์เป็นคำรบสอง ทั้งนี้ โดยแม้ว่า พ่อลูกนโรดมจะตกเป็นเหยื่อแห่งรัฐประหารเดียวกันก็ตาม แต่พระกรุณาสีหนุยังทรงตอกย้ำถึงความสำเร็จของพระองค์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากมหามิตรประเทศมากมาย
รณฤทธิ์รอคอยที่จะได้รับคำปลอบใจในการสนทนา แต่เขากลับประหลาดใจที่พบว่า
พระองค์ไม่ทรงตำหนิในการกระทำของ นายฮุน เซน
ไม่แม้แต่จะแสดงความเสียใจต่อเขาแม้ในการสนทนาครั้งที่สอง
ที่ทำให้เขารู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเย็นชาในชีวิตของตน
กรณีชีวิตรณฤทธิ์ ยังนำพาให้ผู้เขียนสนใจในประเด็นชะตากรรมของหมู่โอรสนโรดมในอดีต ตั้งแต่กษัตริย์นโรดมที่ 1 (ค.ศ.1860-1904) ผู้ถูกกระทำรัฐประหารเงียบจากมนตรีสามัญชนคนหนึ่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ข้าหลวงใหญ่ในรัฐบาลฝรั่งเศส
นับเป็นชะตากรรมร่วมยาวนานจากปัญหาการเมืองในต่างกรรมต่างวาระ ที่พัดพาโอรส "นโรดม" รุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 ให้ประสบชะตากรรมเดียวกัน
.