http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-07-20

ปชป.ลับมีดรอเชือด, ..โฟร์ซีซั่นส์ การเมืองส่วนตัว

.
แล้วฟ้าก็ประทาน ให้"มาร์ค"เป็นตัวช่วยให้"คนเสื้อแดง"หยุดเอียน กลับมาช่วย"ปู" อีกรอบ
สมกับวลีที่ว่า "มาร์คเป็นของขวัญ เป็นพลังให้เพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ด้วยคนเสื้อแดงถูกซาตานนี้กระตุ้นให้ขยันสุดชีวิต"
"..เปิดโปงมาร์คให้แค่ฮึดสู้ อย่าให้ ปชป.ถึงกับเปลี่ยนหัวหน้า ..จะเหนื่อยขึ้นเยอะ"

คอลัมน์ ชกคาดเชือก - มาร์ค-ปู และ ผบ.ตร. โดย วงค์ ตาวัน
หนังสั้น - จากเฟซบุ๊กของ"โอ๊ค" พลังหนัง2+2=5 ในประเทศที่ 2+9+1=?


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

"ประชาธิปัตย์" ลับมีดรอเชือด "เพื่อไทย" ชักธงรบสู้ศึก "ซักฟอก"
คอลัมน์ ในประเทศ ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1666 หน้า 14


วันที่ 1 สิงหาคม คือวันนัดหมายเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป
เสมือนเปิดหน้าฉากสู้กันซึ่งหน้าอีกคำรบหนึ่ง ระหว่างพรรค "เพื่อไทย" กับพรรค "ประชาธิปัตย์" โดยมีประเทศเป็นเดิมพัน

ซึ่งหากย้อนไปในช่วงท้ายของการประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติ "เพื่อไทย" เดินหน้าผลักดันพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ฉบับที่... พ.ศ.... สร้างความวุ่นวายจนเกือบหวิดวางมวยกันทั้งศึกในและนอกสภา 
โดยฝั่ง "ประชาธิปัตย์" ถึงขั้นยอมเสีย "ภาพลักษณ์" ด้านดีที่สั่งสมมานาน เปิดโอกาสให้ "ส.ส.ค่ายสะตอ" ต่อสู้ได้อย่างอิสระและเต็มที่
จนนำมาสู่ "ภาพลบ" ของ "รัฐสภา" อีกครั้งหนึ่ง อาทิ กรณีที่ "รังสิมา รอดรัศมี" ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ปรี่เข้าไปลากเก้าอี้ "ประธานสภา" นำมาสู่การปะทะกัน และกรณีที่ "ส.ส.ประชาธิปัตย์" เขวี้ยงแฟ้มใส่ "สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์" ประธานสภา ภายหลังที่สภามีมติเลื่อนวาระ "พ.ร.บ.ปรองดอง" ขึ้นมาพิจารณาเป็นวาระแรก

ส่วนการเดินเกมนอกสภา "ประชาธิปัตย์" เทหมดหน้าตัก ลงทุนเกณฑ์คนมาชุมนุมกดดัน "เพื่อไทย" ปิดทุกประตูทางเข้า "รัฐสภา" ไม่ให้มีประชุมเพื่อพิจารณา "พ.ร.บ.ปรองดอง" จน "เพื่อไทย" ต้องยอมถอย เพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรง 
ดังนั้น ต้องติดตามกันดูว่าวงล้อความขัดแย้งจะหมุนกลับที่เดิมหรือไม่



ในการประชุมสมัยสามัญทั่วไป "ประชาธิปัตย์" วางหมากเพื่อ "รุก" เข้าใส่ "เพื่อไทย" ไว้ 2 ทาง 
ทางที่หนึ่ง "ประชาธิปัตย์" ปักธงในใจแล้วว่าจะขอยื่นญัตติ "อภิปรายไม่ไว้วางใจ" เพื่อชิงจังหวะเปิดแผล-ถล่ม "รัฐบาล" ทันที เพื่อ "ขยายแผล" ชนิดไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว 
โดยมุ่งเน้นไปที่นโยบายด้าน "เศรษฐกิจ" ที่ได้ตามติดสถานการณ์และเก็บข้อมูลมาตลอด ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้

1. นโยบายรับจำนำข้าว ซึ่ง "ประชาธิปัตย์" ทักทวงตั้งแต่เริ่มนโยบาย เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาเหมือนสมัยรัฐบาล "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" แต่สุดท้ายรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ก็เดินตามรอย 
ซึ่ง "ประชาธิปัตย์" มองว่าปัญหาอยู่ที่ราคารับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท แพงเกินราคาจริงซึ่งอยู่ที่ตันละประมาณ 9,000-10,000 บาท เมื่อรัฐบาลรับจำนำมาแล้วจะทำให้มีปัญหาการระบายข้าว เนื่องจากรับจำนำมาแพงจะระบายไปถูกๆ ก็ขาดทุน 
จึงทำให้ขณะนี้มีข้าวเปลือกที่ยังค้างอยู่ในสต๊อกของ "รัฐบาล" อยู่ที่ 17 ล้านตัน
โดย "ประชาธิปัตย์" จะนำโครงการ "ประกันรายได้" มาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย โดยเฉพาะประเด็นการใช้เงิน ซึ่งโครงการ "ประกันรายได้" 2 ปี ใช้เงินไปแค่ 5 หมื่นล้านบาท ตรงกันข้ามโครงการ "รับจำนำข้าว" ใช้เงินไป 2.6 แสนล้านบาท แม้วันนี้จะไม่รับรู้ผลขาดทุนที่แท้จริงก็ตาม
แต่ "ประชาธิปัตย์" ฟันธงแล้วว่า "ขาดทุน" หนักแน่ๆ

2. ปัญหาราคาสินค้าแพง ซึ่ง "ประชาธิปัตย์" โจมตีว่าสาเหตุมาจากการดำเนินนโยบายด้าน "พลังงาน" ที่ผิดพลาด โดยเฉพาะการลดเงินเก็บเข้า "กองทุนน้ำมัน" รวมทั้งการงดเก็บ "ภาษีสรรพสามิต" ทำให้ไม่มีเงินไหลเข้า รัฐบาลจึงจำเป็นต้องขึ้นราคา "ก๊าซ" ทั้งภาคขนส่งและภาคครัวเรือน 
ผลกระทบจึงตกอยู่กับประชาชนที่ต้องบริโภคสินค้าในราคาที่แพงกว่าเดิมมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร

3. นโยบายร้านค้าถูกใจ ซึ่งรัฐบาลนำสินค้าจากโรงงานมาขายในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรัฐบาลออกค่าขนส่งสินค้าให้ 500 ล้านบาท แต่ก็ต้องประสบปัญหาของหมด บริษัทที่รับผิดชอบขนส่งสินค้า นำสินค้ามาเพิ่มเติมไม่ทันตามความต้องการ
ตรงนี้ "ประชาธิปัตย์" เตรียมสอบถามเกี่ยวกับคุณภาพของสินค้า ที่อาจจะมีการนำสินค้าไม่มีคุณภาพมาจำหน่าย เพื่อหวังระบายสินค้าออกจากสต๊อก อีกทั้งอาจจะมีสินค้ารั่วไหลไปร้านค้าที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ

4. ปัญหาการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยเฉพาะเงินช่วยเหลือกรณีบ้านเรือนเสียหายบางส่วน จำนวน 2 หมื่นบาทต่อหลัง และอุปกรณ์ทำกินได้รับความเสียหาย ซึ่งประชาชนไม่พอใจการให้ความช่วยเหลือกรณีดังกล่าว จนเป็นเหตุให้เกิดการประท้วงปิดถนน
ส่วนนี้ "ประชาธิปัตย์" เตรียมขยายแผลโดยมุ่งไปที่ "กระทรวงมหาดไทย" ที่ไม่สามารถบริหารจัดการ การแจกจ่ายเงินของ "องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น" ได้ โดยจะพุ่งไปที่การจ่ายเงินไม่ตรงตามจริง และอาจจะมีการหักหัวคิวเกิดขึ้น


นอกจากทั้ง 4 ประเด็นดังกล่าวแล้ว "ประชาธิปัตย์" กำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ภายหลังที่ "ยิ่งลักษณ์" เดินทางไปพบ "สมเด็จฮุน เซน" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในวันที่ 13 กรกฎาคม แม้จะอ้างตามคำเชิญของ "ฮิลลารี คลินตัน" รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ก็ตาม 
โดยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับท่าทีของ "กัมพูชา" ที่อ่อนลงกรณี "ปราสาทพระวิหาร" ซึ่งศาลโลกจะตัดสินคดีในปี 2556 ซึ่ง "ประชาธิปัตย์" ตั้งโจทย์ว่า "กัมพูชา" ได้อะไรที่สมประโยชน์ไปแล้วหรือไม่ 

ส่วนตัว "รัฐมนตรี" ที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ "ประชาธิปัตย์" หวังประสิทธิผลมากกว่าปริมาณ 
ซึ่งคร่าวๆ อาจจะประกอบด้วย "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "บุญทรง เตริยาภิรมย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ "สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 



ทางที่สอง "ประชาธิปัตย์" เตรียม "ทีมกฎหมาย" ไว้เดินเกมสู้ประเด็น "แก้ไขรัฐธรรมนูญ" และ "พ.ร.บ.ปรองดอง"
โดยประเมินแล้วว่า "เพื่อไทย" จะทำ "ประชามติ" ก่อนจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน เพราะไม่กล้าเสี่ยงเหมือนเก่า และ "เพื่อไทย" จะไม่แก้ไขรายมาตรา เพราะจะอธิบายต่อสังคมลำบาก โดยเฉพาะมาตรา 309 ซึ่งถ้า "เพื่อไทย" เลือกแก้รายมาตราถือว่าเข้าทาง 
ส่วน "พ.ร.บ.ปรองดอง" ทาง "เพื่อไทย" จะไม่เดินหน้าจนกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จ เพราะถ้ายังติดล็อกมาตรา 309 

ทั้งนี้ "ประชาธิปัตย์" จะประชุมเตรียมข้อมูลขั้นสุดท้าย ในช่วงก่อนเปิดประชุมสภา 1 สัปดาห์ เพื่อหาข้อสรุปในแนวทางการดำเนินการทั้งหมด ก่อนจะแจก "การบ้าน" ให้บรรดา "ส.ส.ฝีปากกล้า" ลับมีดรอเชือดรัฐบาล 
เหล่านี้คือหมากที่ "ประชาธิปัตย์" วางไว้เพื่อรุกฆาต "เพื่อไทย" ไม่หวังผลถึง "ชนะ" แต่หวัง "ขยายผล-ขยายแผล" ให้สะเทือน ลดแต้มต่อให้กระชับเหลือน้อยลง!!!



++

บทเรียนการเมือง การเมืองเรื่องโฟร์ซีซั่นส์ การเมืองส่วนตัว
ในข่าวสดออนไลน์ วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00:01 น. 


 พลันที่ผู้ตรวจการแผ่นดินออกคำวินิจฉัยต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในกรณีถูกกล่าวหาเรื่องโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์
 คดีหมิ่นประมาทก็เดินหน้า 
 เป็นคดีหมิ่นประมาทที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นโจทก์ เป็นคดีหมิ่นประมาทที่มี นายศิริโชค โสภา นายเทพไท เสนพงศ์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต และ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล เป็นจำเลย

 คดี น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล ตำรวจส่งสำนวนให้อัยการไปแล้ว
 คดี นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ตำรวจส่งสำนวนให้อัยการไปแล้ว
 ล่าสุด ตำรวจได้เรียก นายศิริโชค โสภา นายเทพไท เสนพงศ์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ให้มารับทราบข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสารและดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เนื่องจากคณะพนักงานสอบสวนพบว่ามีมูลและมีพยานหลักฐานเพียงพอ


 สายล่อฟ้า 
 รายละเอียดของคดีครั้งนี้เกี่ยวพันกับเนื้อหาที่มีการโฆษณาอย่างกว้างขวางพาดพิงต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างน้อยก็ 2 เรื่อง
 1 เรื่องไปประชุมในเรื่องอันเกี่ยวกับผลประโยชน์ 
 เพราะเห็นว่าการพบที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์มีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รวมอยู่ด้วย จึงสรุปว่าเป็นการเจรจาในเรื่องที่ดินเพื่อจัดทำฟลัดเวย์

 1 เพราะนัดพบกันที่ชั้น 7 ของโรงแรมจึงมีเรื่องเม้าธ์แตกเกี่ยวกับกรณีชู้สาว 
 รายการสายล่อฟ้าของ นายศิริโชค โสภา นายเทพไท เสนพงศ์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต วิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกปาก สองแง่สองง่าม พูดไปหัวเราะไป เกี่ยวกับ "พื้นที่รับน้ำ" เสียงดังสนั่นหวั่นไหว


 ชายชาตรี
 หลังจากมีการแจ้งความและเจ้าพนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนสืบสวนและจัดทำสำนวนนำส่งอัยการสูงสุด
 มีเสียงจากทนายฝ่ายจำเลยอยากให้มีการถอนฟ้อง 
 เป็นการร้องขอจากทนายฝ่ายจำเลยซึ่งล้วนแต่เป็นนักการเมืองใหญ่ ฝีปากกล้า บางคนเป็นโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค บางคนเป็นโฆษกพรรค
 ตอนพูดสนุกปาก แต่ตอนถูกฟ้องอยากให้ถอนฟ้อง 

 ความสนุกปากของเหล่านักการเมืองเหมือนกับการสาดน้ำลายเข้าใส่อีกฝ่าย  น้ำลายส่งกลิ่นเหม็นอย่างแน่นอน แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เป็นอย่างนั้นเขาย่อมเสียหายจำเป็นต้องพึ่งศาล
 เพื่อความยุติธรรม


 กรณีชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ จะกลายเป็นกรณีตัวอย่างให้กับนักการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ
 เจตนาจะทำลายอีกฝ่ายนั่นเองคือจุดอ่อน เมื่อรับฟังข่าวสารอะไรมาก็มิได้มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจริงจัง รีบร้อนในการเผยแพร่ รีบร้อนในการแสดงความเห็นในที่สุดกรรมที่สนอง
 เร็วราวติดจรวด



+++

มาร์ค-ปู และ ผบ.ตร.
โดย วงค์ ตาวัน  คอลัมน์ ชกคาดเชือก 
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1666 หน้า 98


การที่นายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถแต่งตั้ง ผบ.ตร. ได้อย่างราบรื่นถึง 2 คน ในช่วงเวลาที่เข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีไม่ถึง 1 ปี โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ใช้เวลาไม่นานนักในการแต่งตั้ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ฝ่าด่านอาวุโสขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ได้อย่างง่ายดาย

มีการนำไปเปรียบเทียบโดยฉับพลันทันที กับกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สามารถแต่งตั้ง ผบ.ตร. ได้ จนต้องทิ้งว่างไว้เกือบ 1 ปี
โดยชี้ให้เห็นถึงความสามารถและประสิทธิภาพในการบริหารงานอย่างชัดแจ้ง

แต่หากมองให้ลึกลงไป เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนตัวตนส่วนลึกของความเป็นนายอภิสิทธิ์ให้เห็นอย่างหนักแน่นอีกครั้ง
ไม่เพียงแค่กรณีการตั้ง ผบ.ตร.
แต่มีอีกหลายๆ กรณีที่เป็นเครื่องยืนยัน ถึงความเชื่อของใครหลายๆ คน ที่เคยวิเคราะห์โดยเปรียบเทียบในเชิงวิชาการ

มองถึงบุคลิกภาพของคนในประเภทที่เรียกว่า มีความเป็นเด็ก มีความดื้อ เชื่อมั่นตัวเองสูง ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์
ที่สำคัญในส่วนลึกของจิตใจ จะต้องเป็นผู้ชนะอย่างเดียว ไม่ว่าจะทำอะไรก็แพ้ไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรขนาดไหนก็ตาม เขาต้องเป็นคนชนะ 
สุดท้ายจะไม่มีความรู้สึกว่าผิด!
นั่นเป็นข้อวิเคราะห์ในเชิงวิชาการ

หากย้อนมองภาพกลับไปในยุคนายอภิสิทธิ์ ในระดับชาติก็มีปัญหาขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา อย่างรุนแรง
มาจนถึงกรณีการเมืองภายในประเทศ ไม่เคยมีท่าทีประนีประนอมกับขั้วการเมืองตรงข้าม ไม่เคยมีความเป็นมิตรกับเสื้อแดง
จนสุดท้ายบานปลายเป็นเหตุการณ์ 98 ศพ 
จนงุนงงสงสัยกันว่า ทำไมการตายของประชาชนในระหว่างการชุมนุมทางการเมืองยุคนายกฯ พลเรือน จึงสูงยิ่งกว่ายุคจอมพลเป็นนายกฯ ยุค พล.อ. เป็นนายกฯ เสียอีก 
ทำไมการปะทะกับม็อบ ดำเนินไปอย่างยาวนานเป็นเวลากว่าเดือน ทยอยตายกันเกลื่อนกรุง ไม่ใช่แค่ 2-3 วันเหมือนยุคทหารเป็นนายกฯ 
ขณะที่หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 รัฐบาลทหารในขณะนั้นยังยอมรับผิด ด้วยการวางมือ หนีออกไปต่างประเทศ

ยุค พล.อ. ในเหตุการณ์นองเลือดปี 2535 ยังยอมลงจากอำนาจ และเลิกยุ่งกับการเมืองอย่างเด็ดขาด
แต่นายอภิสิทธิ์ จนป่านนี้ ไม่เคยมีคำว่ารับผิดชอบหลุดออกมา 
ทั้งที่การไต่สวนในชั้นศาล ปรากฏความจริงชัดเจนออกมาเรื่อยๆ ว่า ถูกยิงด้วยอาวุธของเจ้าหน้าที่รัฐ ภายใต้คำสั่งของ ศอฉ. ทั้งสิ้น!



เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม นายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ทำหน้าที่ประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ต.ช. วาระสำคัญคือแต่งตั้งผู้จะดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. แทน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ที่จะครบเกษียณในวันที่ 30 กันยายนนี้ 
เป็นการแต่งตั้งท่ามกลางปัญหาลำดับอาวุโส 
เพราะชื่อในมือของยิ่งลักษณ์ คือ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 3 ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ผ่านงานใน 3 จังหวัดใต้ คุมสถานการณ์ม็อบมาก่อน ทำงานมีระบบแบนแผนสูง ปัจจุบันดูแลหน่วย ป.ป.ส. ในการปราบยาเสพติดอีกด้วย 
จุดสำคัญคือมีอายุราชการอีก 2 ปี เหมาะจะวางระบบตำรวจได้ยาวไกล พร้อมรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้อย่างพอดี

ขณะที่อาวุโสอันดับ 1 คือ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต นั้น มีประสบการณ์การควบคุมคดีสำคัญมาทั่วประเทศ เป็นมือสำนวนชั้นครู ในรอบปีที่ผ่านมา เข้าควบคุมการคลี่คลายคดีใหญ่ๆ ทั้งหมด ไม่มีประวัติด่างพร้อยแม้แต่น้อย
แต่ติดอยู่ที่อายุราชการเหลือปีเดียว 
ดังนั้น การผลักดัน พล.ต.อ.อดุลย์ จะต้องเผชิญคำถามของกรรมการ ก.ต.ช. ในเรื่องข้ามอาวุโส อันเป็นประเพณีปฏิบัติที่ยึดถือกันมาตลอด
แต่สุดท้ายนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ใช้ความอ่อนน้อมอธิบายให้ ก.ต.ช. ทั้ง 10 เสียงเข้าใจได้ และยังรับปากที่จะเยียวยา พล.ต.อ.ปานศิริ ให้ได้ตำแหน่งหน้าที่ใหม่ซึ่งเหมาะสมอีกด้วย
ก.ต.ช. ซึ่งหลายคน ได้รับแต่งตั้งในยุครัฐบาลก่อน ก็ยอมรับ โหวตเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ทั้งหมด

เมื่อปีที่แล้ว เมื่อนายกฯ ยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหารราชการหลังชนะเลือกตั้งไม่นาน มีการกิจสำคัญคือ เปลี่ยนแปลง ผบ.ตร.
เนื่องจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ถูกการเมืองในอดีตเล่นงานจนสูญเสียโอกาสทั้งที่มีอาวุโส อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยที่ชูมาตลอดและเป็นจุดขายคือการปราบปรามยาเสพติด ยิ่งเหมาะสมกับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ 
แต่การที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ยังนั่งเป็น ผบ.ตร. อยู่ อายุราชการอีกยาวไกล และไม่มีความผิดอะไรเลย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายดาย 
แต่สุดท้ายด้วยการเจรจาอย่างอ่อนน้อมนุ่มนวล และหาทางออกที่เหมาะสมซึ่ง พล.ต.อ.วิเชียร พึงพอใจ เปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร. อย่างราบรื่น 

การตั้ง ผบ.ตร. ทั้งสองครั้งของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ล้วนมีอุปสรรคขวางกั้น แต่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างลงตัว
เพราะยิ่งลักษณ์มีความเป็นคนปกติ ไม่ถือดีว่าตนเองเก่งกาจฉลาดเลอเลิศ ไม่เอาความต้องการของตนเองเป็นตัวตั้ง แต่อ่อนน้อมรับฟังความเห็นความต้องการของคนอื่นแล้วจัดสรรให้ลงตัว
ไม่ฝังใจว่าต้องเป็นผู้ชนะอย่างเดียว!!



ขณะที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ได้มีความขัดแย้งกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. อย่างรุนแรง ทั้งที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ใช่คนของขั้วการเมืองตรงข้าม อีกทั้งพี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาท คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เป็นรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์แท้ๆ
ต่อมา พล.ต.อ.พัชรวาท ก็ถูกเล่นงานจนต้องพ้นจากเก้าอี้ก่อนเกษียณไม่กี่วัน 
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ก็แต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ โดยผลักดัน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ มืองบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอชื่อเข้า ก.ต.ช.
ปรากฏว่าผู้ร่วมประชุมท้วงติง โดยชี้ให้เห็นว่า พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร. ฝ่ายปราบปราม มีความเหมาะสมมากมาย 
แต่นายอภิสิทธิ์ยืนยันเสนอชื่อนี้และให้โหวต 
ผลก็คือแพ้โหวต ซึ่ง ก.ต.ช. หลายคนก็ยังงงในนาทีนั้นว่า ขนาดเขาท้วงติงกันแทบทั้งวงประชุม รู้ทั้งรู้ก็ยังจะให้โหวต

หรือนายอภิสิทธิ์คิดว่า ถ้าเขายืนยันทุกคนต้องฟัง ทุกคนต้องทำตาม ทุกคนต้องเชื่อเขา และเขาต้องไม่แพ้!?!
สุดท้ายก็แพ้ แล้วหลังจากนั้นก็ยังพยายามอีกหลายครั้ง โดยไม่เปลี่ยนชื่อ
ขนาด นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ยังต้องลาออกจากตำแหน่ง เพราะนายกฯ ไม่ฟังความเห็นเรื่องเปลี่ยนชื่อ 

ถึงขนาดนั้นนายอภิสิทธิ์ยังไม่เลิก และสุดท้ายก็ทำได้แค่ให้ พล.ต.อ.ปทีป รักษาการ ผบ.ตร. อีกเกือบปี 
ทั้งที่องค์กรตำรวจมี พล.ต.อ. ที่สามารถหยิบชื่อขึ้นมาแต่งตั้งได้อีกนับสิบ แต่ใช้วิธีปล่อยว่างให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีกำลังพลกว่า 2 แสนนาย ไร้ ผบ.ตร. อยู่เกือบปี 
ทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่นายอภิสิทธิ์ก็ทำให้เห็นแล้ว

หากนำไปวิเคราะห์กับอีกหลายๆ เหตุการณ์ 
คงมีบทสรุปถึงบุคลิกลักษณะพิเศษทะลุไปถึงสมองและจิตใจกันได้ไม่ยาก!



+++

จากเฟซบุ๊กของ"โอ๊ค" พลังหนัง2+2=5 ในประเทศที่ 2+9+1=?
คอลัมน์ ในประเทศ ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1666 หน้า 13


หลังจาก "โอ๊ค" พานทองแท้ ชินวัตร เล่นเกมแรงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวมาหลายครั้ง
วันที่ 15 กรกฎาคม เขาก็โพสต์ข้อความเบาๆ แต่แฝงด้วยนัยยะที่ลึกซึ้งยิ่ง 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คลิปหนังสั้นที่เขาตั้งชื่อว่า "2+2=5"

"โอ๊ค" บอกว่า "หลังจากที่ผมได้ดูไป 10 รอบ เมื่อนำมา "วินิจฉัย" แล้วพบว่า มันมีหลายๆ เรื่องที่คล้ายๆ กับเหตุการณ์ในบ้านเมืองเราหลัง 19 กันยายน 2549 นะครับ แล้วก็เด็กที่นั่งหลังห้องคนสุดท้ายที่แก้คำตอบจาก 5 เป็น 4 ก็เหมือน "คนเสื้อแดง" ที่มีมวลมิตรเพิ่มขึ้นทุกวัน คล้ายกับจะบอกว่า "ถ้าคุณบอกว่าสองบวกสองเป็นห้า ผมก็กล้าที่จะ"แดง" อะไรประมาณนี้
ความลุ่มลึกและพลังของหนังสั้นเรื่องนี้จึงเป็นที่กล่าวขานของโลกไซเบอร์อย่างมาก 
จนหลายคนถามว่าหนังเรื่องนี้มาจากไหน
และเนื้อหาเป็นอย่างไร


เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในชั้นเรียนสมมติ
ห้องเรียนสีทึม บรรยากาศชวนให้อึดอัด ครูหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พร้อมการประกาศผ่านเสียงตามสาย ที่ระบุว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งเกิดขึ้นในโรงเรียน และย้ำให้ตั้งใจและ "เชื่อฟัง" ในสิ่งที่ครูบอก 
ก่อนจดชอล์กลงบนกระดานดำ ว่า "2+2=5" พร้อมทั้งย้ำให้นักเรียนทั้งชั้นพูดตามว่า "สอง บวก สอง เท่ากับ ห้า" ซ้ำแล้วซ้ำอีก
แน่นอนว่า ในความเป็นจริง 2+2 ก็ย่อมเท่ากับ 4

นักเรียนคนหนึ่งลุกขึ้น และกล่าวแย้งว่า ผลของมันควรจะเป็น 4 ไม่ใช่ 5 
ครูตอบอย่างหงุดหงิดว่า "ไม่ต้องคิด คุณไม่จำเป็นต้องคิด" ก่อนที่จะถูกสั่งให้นั่งเรียนอย่างสงบ 
เรื่องราวไม่ได้จบแค่นี้ นักเรียนอีกคนหนึ่งลุกขึ้นมา และย้ำคำตอบเดิมว่า 2+2 อย่างไรก็ต้องเท่ากับคำว่า 4 
แน่นอนว่า นี่ได้สร้างความโกรธเกรี้ยวให้แก่ครูอย่างมาก ผลที่ตามมาเราคงไม่ต้องคาดเดาว่าผู้ที่ไม่เชื่อครูจะเป็นอย่างไร


ตัวหนังเล่าผ่านบริบทง่ายๆ คือเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ครู นักเรียน และบทเรียน แต่ถูกแต่งเติมด้วยความเหนือจริงในบางช่วงทำให้อดคิดไม่ได้ว่า "ความเหนือจริง" ในความคิดของคนบางกลุ่ม อาจแปลงรูปไปเป็น "ความเป็นจริง" ในคนบางกลุ่มหรือบางเหตุการณ์ 
แน่นอนว่าครูในเรื่องนี้ คือผู้มีอำนาจสูงสุดในห้องเรียน ย่อมมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจในทุกเรื่อง ผิด-ถูกหรือไม่ อาจไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่เรามองเห็นก็คือ การใช้ "อำนาจ" ที่มีอยู่เพื่อสร้าง ความจริง ขึ้นจาก ความลวง 
นักเรียนที่คิดตาม ก็ย่อมรู้ดีว่า บางสิ่งที่ถูกสอน มิได้เป็นความจริงเสมอไป การกล่าวแย้งจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ใน "ห้องเรียนปกติ" 

แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดในห้องเรียน "ที่ไม่ปกติ" การโต้แย้งย่อมกลายเป็นการแสดงความเป็น "ปฏิปักษ์"
ปฏิปักษ์ ผู้อ่อนน้อมหรือรักตัวกลัวตาย ก็ย่อมโอนอ่อนไปตามเสียงข่มขู่
แต่ผู้ที่ยังยืนกรานในสิ่งที่ตนเชื่อ "จุดจบ" ย่อมเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้เสมอ
แล้วเราจะสามารถยืนหยัดเพื่อความจริง เพื่อคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณของเรา ภายใต้อำนาจเผด็จการได้อย่างไร? ยังคงเป็นคำตอบสำหรับคนในหลายประเทศของโลกที่ต้องตามหากันต่อไป



"Two And Two" เป็นภาพยนตร์สั้น ผลงานกำกับฯ โดย บาบัค อันวารี ผู้กำกับฯ ชาวอิหร่าน ที่อาศัยในอังกฤษ ออกฉายเมื่อปี 2011 ได้รับเกียรติให้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ อาทิ เทศกาลภาพยนตร์เรนแดนซ์ และเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฟอยล์ โดยเมื่อต้นปี 2012 หนังได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงในสาขาภาพยนตร์ขนาดสั้นยอดเยี่ยม รางวัลบาฟต้า หรือเทียบเท่ารางวัลออสการ์ของสหรัฐ

อันวารีกล่าวว่า หนังมีความทรงพลังในระดับหนึ่ง และส่งผลต่อผู้ชมในหลายทาง ไม่ว่าจะในแง่ของความล่อแหลมหรือปลุกความคิด หรือกระทั่งเพื่อความบันเทิง จึงเห็นได้ชัดว่า หนังคือหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญในการนำสารความสัมพันธ์ทางสังคม ผ่านทางภาพเคลื่อนไหว
เขากล่าวว่า ได้รับแรงบันดาลใจจากการลุกฮือของประชาชนที่เกิดขึ้นทั่วโลกในหลายประเทศ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาจึงเกิดไอเดียและปรึกษากับ เกวิน คัลเลน ซึ่งเคยร่วมเขียนบทหนังสั้นที่ยังไม่เคยถูกสร้างเป็นหนังด้วยกัน ว่าเขาสนใจในการพัฒนาบทต่อไปหรือไม่ 
และหลังจากที่เขียนบทเสร็จเรียบร้อย เขาจึงไปขอความช่วยเหลือจาก คิต เฟรเชอร์ เพื่อนและช่างภาพฝีมือดี ให้มาช่วยถ่ายภาพให้ คิตแสดงความสนใจและไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือเขาเพื่อให้หนังเรื่องนี้เกิดขึ้น 

อันวารีต้องตามหาโปรดิวเซอร์อยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่พบใครที่จะช่วยทำให้หนังเรื่องนี้เกิดขึ้น เขากับเพื่อนๆ จึงร่วมกันเป็นโปรดิวเซอร์เสียเอง 
แม้จะมีอุปสรรคมากมาย เงินทุนที่ค่อนข้างจำกัดที่ทำให้ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายกันอย่างรอบคอบ แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการหาเด็กๆ ที่พูดภาษาฟาร์ชี (ภาษาเปอร์เชีย) เนื่องจากต้องการทำหนังที่พูดภาษาเปอร์เชียตลอดทั้งเรื่อง เนื่องจากเขาต้องการให้หนังดูมีความสมจริงที่สุด แม้ว่าตัวหนังเองจะมีองค์ประกอบเหนือจริงอยู่มากก็ตาม 
เขาไม่สามารถหานักแสดงเด็กอิหร่านที่มีประสบการณ์ที่โรงเรียนการแสดงได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะตรวจสอบกับชุมชนชาวอิหร่านในอังกฤษ เพื่อดูว่ามีใครที่สนใจบ้าง 
แต่หลังจากผ่านขั้นตอนต่างๆ เราก็ได้นักแสดงเด็กในที่สุด เด็กๆ ทุกคนในหนังล้วนแต่เป็นนักแสดงหน้าใหม่ทั้งสิ้น แต่พวกเขาก็ทำงานได้ดีมาก


หนังเรื่องนี้จบแล้ว 
แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวในโลกแห่งความจริงจังไม่จบ
โดยเฉพาะในประเทศไทย 
ที่ 2+9+1=68


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ตามไปดูหนังสั้น "Two And Two" คลิกที่ http://botkwamdee.blogspot.com/2012/07/sr-2x2.html    (สรกล อดุลยานนท์: 2+2 = 2x2 )



.