http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-07-14

ขบวนเผด็จการความดี โดย คำ ผกา

.

ขบวนเผด็จการความดี
โดย คำ ผกา http://th-th.facebook.com/kidlenhentang
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1665 หน้า 89


"สถานการณ์ภาวะเครียด พบว่าเด็กในระดับมัธยมถึงอุดมศึกษาประมาณ 1 ล้านคน มีอาการซึมเศร้าและหงุดหงิดไม่รู้สาเหตุ และเกือบร้อยละ 50 เคยมีอาการเครียดจนปวดท้องหรืออาเจียน โดยการที่พบว่าเด็กมีความสุขในการไปเรียนลดลง สะท้อนให้ระบบการศึกษาต้องมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งควรปรับการจัดการศึกษาในโรงเรียน ให้กรอบไม่แน่นจนเกินไป โดยเพิ่มพื้นที่กิจกรรมทางเลือกที่หลากหลายให้เด็กมีทางออกจากความเครียด สร้างความสุขในการใช้ชีวิต ก่อให้เกิดศักดิ์ศรีและเคารพในตัวเอง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการใช้ความรุนแรงในโรงเรียนได้ในเวลาเดียวกัน
"ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เด็กและเยาวชนเข้าสู่การมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 24 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 35 ในปี 2554 ขณะเดียวกันจากการสำรวจในปี 2554 พบว่าเด็กถึงร้อยละ 27 มีเพื่อนสนิทเคยตั้งท้องหรือเคยทำแท้ง และมีเด็กไทยถึง 1 ใน 4 ที่รู้สึกว่าการมีกิ๊กหรือมีแฟนหลายๆ คนพร้อมกันเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ สะท้อนถึงพฤติกรรมและค่านิยมของเด็กจำนวนมากที่ยังสุ่มเสี่ยงต่อการสร้าง ปัญหาให้ตนแอง นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กยังขาดความรู้เรื่องเพศ มีเพียงร้อยละ 53 เท่านั้นที่รู้ถึงข้อจำกัดและความเสี่ยงในการใช้ถุงยางอนามัย และมีเด็กเพียงร้อยละ 57 ที่ยอมรับการพกถุงยางอนามัยติดตัว นอกจากนี้มีเด็กเพียง 1 ใน 4 ที่รู้สึกว่าได้เรียนรู้เรื่องเพศอย่างพอเพียงจากโรงเรียน"
www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341826410&grpid=00&catid=&subcatid=



วันที่มติชนสุดสัปดาห์เล่มนี้วางแผงเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่
อันเป็นข้อกล่าวหาที่เราๆ ท่านๆ ต่างกังขาว่าในเมื่อยังไม่รู้ว่ารัฐธรรมนูญถูกแก้อย่างไร ศาลจะใช้อะไรมาเป็นตัวชี้วัดการแก้รัฐธรรมนูญ (ที่ยังไม่ได้แก้) นั้นเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ไม่นับข้อกังขาอื่นๆ เช่น เหตุใดการรัฐประหารจึงไม่ได้ชื่อว่า "เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
หรือ คำถามที่น่าวิงเวียนกว่าเช่น "ในเมื่อเรายังไม่มีประชาธิปไตยแล้วจะมีการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไรกัน พิลึกแท้ๆ"

ในวันที่เขียนต้นฉบับนี้ยังไม่รู้ว่าผลการวินิจฉัยจะออกมาเป็นอย่างไร จึงขอเขียนเรื่องอื่นที่เป็นความสนใจส่วนตัว ข่าวที่โหวตมาข้างต้นยาวเหยียดนั้นอ่านแล้วทำให้รู้จักสังคมไทยมากขึ้น 
ข้อมูลดังกล่าวมาจากรายงานสภาวการณ์เด็กและเยาวชนไทยของสถาบันรามจิตติ (เพิ่งเคยได้ยินชื่อ เข้าไปดูในเว็บไซต์สถาบัน ทราบว่าก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2547 โดยการสนับสนุนของ สกว. ปี 2552 ย้ายเข้ามาอยู่ในกำกับของมูลนิธิภูมิปัญญา
ในเว็บไซต์อธิบายว่า เนื่องจากมีปรัชญาสอดคล้องกันในเรื่องการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้ของสังคม (ฉันลอกเป๊ะๆ เลยนะ พอเห็นชุดคำ "การขับเคลื่อนการปฏิรูป" กลิ่นอายของ สสส. และภาพหมอประเวศก็ลอยเข้ามาในหัว-แว่บ-และคงมีแต่ องค์กรที่ทำงานด้านภูมิปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถใช้คำว่า "การ" ในประโยคสั้นๆ ได้ถึง 3 คำ ติดๆ กัน)
แล้วมีใครสงสัยเหมือนฉันบ้างว่า "การขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้ของสังคม" นี้แปลว่าอะไร?????

อาการนี้เกิดขึ้นกับสังคมไทยอยู่เป็นนิตย์ นั่นคืออาการเรียงคำที่ฟังดูดีสองคำสามคำต่อกันเข้าได้หนึ่ง เพื่อการจัดตั้งงบประมาณทำงาน ถ้าเราเอาว่า "การขับเคลื่อน" ออก เหลือเพียง "โครงการปฏิรูปการเรียนรู้ของสังคม" อาจจะได้งบฯ น้อยลง เพราะไม่จำเป็นต้องจัดสรร บุคลากรและงบประมาณสำหรับ "การขับเคลื่อน"
ถามแบบเกรียนๆ ต่ออีกว่า ทำไมไม่เป็นคำว่า "เคลื่อน" เฉยๆ โดยไม่มี "ขับ" ได้หรือไม่?



นี่อาจเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่ถูกห้อมล้อมด้วยถ้อยคำที่ให้ความรู้สึกใหญ่โตอลังการ แต่เมื่อพินิจดูเนื้อในแล้วหาได้มีความหมายที่สลักสำคัญแต่อย่างใดดังเช่นคำว่า "ขับเคลื่อน" นี่ยังไม่ได้ถามต่อว่า "การเรียนรู้ของสังคมแปลว่าอะไร? ทำไมจึงมีความเป็นต้องปฏิรูป "สังคม" ในจินตนาการของผู้ออกมา "ขับเคลื่อน" นั้นเป็นอย่างไร? 
และตัว "ฉัน" ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม สงสัยเป็นที่ยิ่ง การ "เรียนรู้" ของตนเองนั้นมีตรงไหนที่ต้องถูกปฏิรูป และไอ้คนที่จะลุกขึ้นมาปฏิรูปนั้นมันเรียนรู้ได้ดีหรือเลวกว่าตรูฟะ? (แล้วใครเป็นคนตัดสิน?)

คิดต่อไปอีกว่า ในบ้านเมืองที่มีหอสมุดประชาชนเต็มบ้านเต็มเมือง มีบริการอย่างวิเศษ ทั้งอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการค้น ยืม คืน หนังสือ ไม่นับการให้บริการห้องสมุดออนไลน์ ดาวน์โหลดหนังสือ บทความจากวารสารกันอย่างเอิกเกริกนั้น เขาทำเพื่อต้องการ "การขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้ของสังคม" หรือเขาคิดว่านี่เป็น "หน้าที่" ของรัฐที่พึงบริการรับใช้ ตอบสนองความต้องการของประชาชน มิได้หาญกล้าจะคิดว่าประชาชนโง่จึงต้องได้รับการปฏิรูปการเรียนรู้! แต่เพราะประชาชนฉลาดเขาจึงต้องการได้รับบริการทางปัญญาจากรัฐ


ทีนี้มาดู "ผล" การรายงานสภาวการณ์ของเยาวชนนี้ซึ่งได้รับทุนวิจัยจาก สสส. อันทำให้ฉันชักสงสัยว่า ใครกันแน่ที่ต้องการถูกปฏิรูปการเรียนรู้ 
คือฉันสงสัยว่า ในโลกนี้มีใครเกิดมาแล้วไม่เครียด ไม่หดหู่ ไม่หงุดหงิด ไม่ปวดท้อง หรือ อาเจียนเป็นครั้งคราวบ้าง? ปวดท้อง อาเจียนแค่ไหน จึงถือเป็นอาการ เครียด หดหู่ จนต้องเป็นวาระระดับชาติ ในทางตรงกันข้ามมนุษย์ที่ไม่เครียด ไม่หงุดหงิด ไม่หดหู่ ไม่ปวดท้อง ไม่อาเจียน-น่าจะเป็นมนุษย์ที่ผิดปกติมากกว่า? 
โอเค สมมุติว่า ฉันเชื่อว่า เยาวชนมีอาการ เครียด ซึมเศร้า หดหู่ หงุดหงิดไม่ทราบสาเหตุ ปวดท้อง อาเจียน ไม่เกรนกำเริบ สมดั่งสุภาษิตที่ว่า เรียนไปก็ปวดหัวมีผัวหรือมีเมียดีกั่ว-ทางคณะผู้วิจัยได้เสนอทางออกว่า
"ควรปรับการจัดการศึกษาในโรงเรียน ให้กรอบไม่แน่นจนเกินไป โดยเพิ่มพื้นที่กิจกรรมทางเลือกที่หลากหลายให้เด็กมีทางออกจากความเครียด สร้างความสุขในการใช้ชีวิต ก่อให้เกิดศักดิ์ศรีและเคารพในตัวเอง"

มาอีกแล้วครับท่านผู้ชม ชุดคำสวยๆ ที่ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใดกันแน่มาอีกแล้ว "กิจกรรมทางเลือกที่หลากหลาย"-พอจะนึกออกไหมว่า อันโลกนี้ไม่มี "ข้อมูล" ที่ลอยเท้งเต้งโดยไม่อ้างอิงอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันคำว่า กิจกรรมทางเลือกก็เช่นกัน เราจะรู้จัก "ทางเลือก" ก็ต่อเมื่อเรารู้จัก "ทางหลัก"-ปัญหาคือ "ทางหลัก" ของเรา กับ ทางหลัก ของผู้วิจัย เป็นทางเดียวกันหรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่น ฉันเห็นว่า "กิจกรรมทางเลือกที่หลากหลาย" อันจะช่วยลดความเครียดของเยาวชน คือการเลิกเห็นเยาวชนเป็นวัตถุทางศีลธรรม เช่น เลิกคิดว่า ทำอย่างไรจะให้เยาวชนเลิกปั่มปั๊มกัน เพราะการปั่มปั๊มเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเยาวชนวัยรุ่น แต่สิ่งที่พึงสร้างขึ้นในหมู่เยาวชนคือ
ทัศนคติที่เปิดกว้างต่อภาวะเพศวิถีอันหลากหลาย ซึ่งไม่ได้หมายถึงการสอนเพศศึกษาและวิธีการคุมกำเนิดเท่านั้น


ทีนี้โปรดดูความห่วงใยและสถิติประดามีในย่อหน้าถัดมาที่แสดงความกังวลอย่างยิ่งยวดต่อสถิติการปั่มปั๊มของเยาวชนอันมีนัยของการ "ไม่พึงใจ" ต่อการปั่มปั๊มของเยาวชนอย่างเห็นได้ชัด นั่นแสดงว่า สิ่งที่เรียกว่า "ทางเลือกอันหลากหลาย" ของผู้วิจัยคือ "การควบคุมการปั่มปั๊มของเด็กอีกทั้งส่งเสริมศีลธรรมของการมีผัวเดียวมีเดียว เห็นว่า ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เช่น การมีกิ๊ก คือการสร้างปัญหาให้กับชีวิต-อันเป็นมุมมองของนักการศึกษาที่เป็นมรดกตกทอดของยุควิกตอเรียนที่สนับสนุนให้เด็กนักเรียนออกไปเตะบอลเพื่อลดกำหนัด-"
แต่ไม่มีการพูดถึง พื้นที่ทางเลือกของการศึกษาเรื่องเพศ และสัมพันธภาพทางเพศจากมุมมองอื่นๆ ที่ไม่ใช่มุมมองทางศีลธรรม 
ถามฉันก็ต้องบอกว่า แล้วมันจะนำไปสู่ "กิจกรรมทางเลือกที่หลากหลาย" ได้อย่างไร?-เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะฉันและผู้วิจัยมีโจทย์ที่ว่าด้วย "ทางหลัก" ไม่ตรงกัน


กิจกรรมทางเลือกที่หลากหลาย และกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดศักดิ์ศรีและความเคารพในตนเองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ สสส. หรือองค์กรนี้ต้องออกมาพูดเรื่อง สิทธิของเด็กเหนือร่างกายของพวกเขา เหตุใดพวกเขาต้องถูกกักขังเอาไว้ในเครื่องแบบนักเรียนไทยที่อัปลักษณ์และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ผมติ่งหู ผมเกรียน เครื่องแบบนักเรียนที่กดนักเรียนให้ศิโรราบต่ออำนาจรัฐ การยืนตรงเข้าแถวเคารพธงชาติราวกับเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพยุวชน วิธีการลงโทษที่ลดทอนศักดิ์ศรีของนักเรียน เช่น การไถผม กร้อนผม การประจาน หรือล่าสุดที่มีข่าวเด็กมัธยมฆ่าตัวตายเพราะถูกครูประจานให้เลิกเป็นกะเทย

ปรากฏการณ์นี้น่าจะบอกเราว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงในสังคมนี้ไม่ใช่นักเรียนแต่คือครู ไม่ใช่เยาวชน แต่คือองค์กรที่คิดตนเอง "ดี"พอ "รู้"พอ ที่จะมาชี้นำเยาวชนไปในทางที่ตน (เท่านั้น) เห็นว่าถูกต้อง

"สื่อยังมีอิทธิพลอย่างสูงต่อเด็กไทย โดยใช้เวลาดูโทรทัศน์ คุยโทรศัพท์ เล่นอินเตอร์เน็ตรวมกันกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน ที่น่าสนใจคือ เด็กจำนวนกว่าร้อยละ 50 นิยมดูละครโทรทัศน์ จึงจำเป็นต้องสร้างสื่อเพื่อสะท้อนการใช้ชีวิตอย่างฉลาด ปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้อง"
ประโยคนี้จากข่าวเดียวกัน ยิ่งทำให้ฉันมั่นใจว่า คนที่ต้องได้รับการปฏิรูปการเรียนรู้คือ "ผู้ใหญ่" เพราะพวกเขายังเชื่อว่า "การขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้" นั้นทำได้โดย "ปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้อง"-ประทานโทษ แถวบ้านฉันเรียกการปลูกฝังค่านิยมว่า "การล้างสมองและครอบงำเพื่อให้คนคิดเองไม่เป็นและไร้สมรรถภาพในการใช้วิจารณญาณของตนเอง" 
ใครก็ตามที่บังอาจกำหนดผูกขาดความถูกต้อง เขาผู้นั้นคือเผด็จการ และสังคมแห่งการเรียนรู้ไม่อาจถือกำเนิดขึ้นได้จากเชื้อพันธุ์ของเผด็จการ

มีแต่ยุวชนนาซีและเยาวชนเรดการ์ดเท่านั้นที่ถูกฝึกมาบนปรัชญาของการถูกปลูก "ฝัง" (หัว) ค่านิยมที่ "ถูกต้อง"

ลบทิ้งเถอะคำว่า "ขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้" ของสังคม เว้นแต่จะไปขยายความว่า "ปฏิรูปการเรียนรู้ของสังคมให้เชื่อฟังเฉพาะแนวทางและความดีของพวกกระผม/ดิฉัน"



.