http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-07-11

พิศณุ: อาการซึมเศร้าหลังฟุตบอลยูโร, iPhone ครบรอบ 5 ปี

.
โพสต์เพิ่ม - วิธีบำบัดอาการติดอินเตอร์เน็ต โดย พิศณุ นิลกลัด

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

อาการซึมเศร้าหลังฟุตบอลยูโร
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 06 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1664 หน้า 96


ดูฟุตบอลยูโร 2012 รอบชิงชนะเลิศคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาสงสารความรู้สึกของคนอิตาเลียนเป็นที่สุด 
อิตาลีแพ้สเปนอย่างยับเยินยิ่งกว่าวันที่เยอรมนีแพ้อิตาลีในรอบรองชนะเลิศหลายเท่านัก 
คนอิตาเลียนเขาถือว่าฟุตบอลทีมชาติของเขาเป็นที่ 1 ของยุโรปและไม่เป็นรองบราซิลที่ถือว่าเป็นที่ 1 ของโลก
แฟนฟุตบอลที่โตทันได้ดูฟุตบอลโลกปี 1982 ก็จะเห็นความเก่งของทีมชาติอิตาลีที่ชนะทั้งบราซิลในรอบก่อนรองชนะเลิศ (3-2) และชนะเยอรมนีในรอบชิงชนะเลิศ (3-1) ด้วยฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่ง งดงาม และเฉียมคมทุกตำแหน่ง 
สำหรับคนอิตาเลียนและคนเป็นแฟนทีมชาติอิตาลี การถูกสเปนพับสนามบุกแบบคิดอยากจะโชว์อะไรก็โชว์ได้ดั่งใจเหมือนผู้ใหญ่เล่นกับเด็กในช่วง 30 นาทีสุดท้ายตอนที่ทีมอิตาลีเหลือผู้เล่น 10 คน มันรู้สึกเหมือนโดนย่ำยีหัวใจจนเพื่อนอิตาเลียนของผมคนหนึ่งทนดูไม่ไหวปิดไฟเข้านอนเมื่อเหลือเวลาอีก 20 นาทีจะจบการแข่งขัน

ฟุตบอลยูโรคราวนี้สเปนเล่นไม่ดีนัดเดียวคือวันที่เจอกับโปรตุเกสรอบรองชนะเลิศ 
หลังจากนั้นเล่นดีตลอด แล้วมาดีสุดยอดในรอบชิงชนะเลิศ 
ทีมชาติสเปนชุดนี้ถ้ากองกลางอย่าง ชาบี้, อีเนียสต้า, ฟาเบรกาส ซึ่งมาจากสโมสรบาร์เซโลน่าทั้ง 3 คนเล่นได้ตามมาตรฐานที่พวกเขาเคยเล่นได้ จะทำให้เกมทั้งทีมไหลลื่นจนทำให้ทีมอื่นต้องเล่นดีเป็นพิเศษจึงจะเอาชนะได้

รอบชิงชนะเลิศพวกเขาเล่นได้ตามมาตรฐาน ทำประตูแรกได้เร็ว ยังไม่จบครึ่งแรกนำ 2-0 พอครึ่งหลังเริ่มได้เดี๋ยวเดียวทีมคู่แข่งเหลือ 10 คน ทีมสเปนจึงโชว์ลูกสั้นลูกแม่นได้เต็มที่ บางจังหวะยิงได้ก็ไม่ยิง จ่ายบอลทำชิ่งกันไปมาอยู่ในกรอบเขตโทษคล้ายว่าจะทำประตูด้วยการเลี้ยงเข้าโกล์!
ตรงนี้แหละเพื่อนอิตาเลียนของผมทนดูต่อไปไม่ไหว


เกมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2012 ในสนามจบแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม แต่ชาวยุโรปจำนวนเป็นล้านยังอาลัยอาวรณ์อยู่ 
คนเหล่านี้เกิดอาการซึมเศร้าหลังฟุตบอลยูโรที่เรียก Post-Euro Depression ซึ่งคนที่เป็นมักไม่ค่อยรู้ตัว 

เมื่อสองปีก่อน หลังจากการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้สิ้นสุดลง จิตแพทย์ประเมินว่า ผู้ชายในสหราชอาณาจักรประมาณ 4 ล้านคน มีอาการซึมเศร้าหลังฟุตบอลโลก หรือ Post-World Cup Depression เพราะหายใจเข้าออกเป็นฟุตบอลโลก
โดยจากทำโพลสำรวจของ Zavvi.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขาย DVD และ CD เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับความคลั่งไคล้ฟุตบอลโลก ปี 2010 ในหมู่ผู้ชายที่สหราชอาณาจักร พบว่าช่วงนั้นพวกเขาคิดถึงฟุตบอลวันละ 43 ครั้ง จำนวน 63% ยอมรับว่าพูดคุยกับเพื่อนฝูง คนใกล้ตัว เกี่ยวกับฟุตบอลอย่างเดียว ดังนั้น เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง จึงรู้สึกว่าชีวิตไร้จุดมุ่งหมาย 
ว่าไปแล้วสภาพจิตใจของคนที่เกิดภาวะซึมเศร้าหลังฟุตบอลยูโร หรือฟุตบอลโลก ไม่ต่างจากคนอกหักที่ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เพราะช่วง 3 สัปดาห์ที่มีการแข่งขันยูโรนั้น ชีวิตมีสีสัน ตื่นเต้นเร้าใจ ชีวิตเหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝัน มีฟุตบอลตื่นเต้นให้ดูแทบทุกวัน ทำให้ลืมเรื่องงาน เรื่องเครียดๆ ในชีวิตประจำวัน เช้ามาก็คุยกับเพื่อนฝูงเรื่องฟุตบอล 
แต่เมื่อการแข่งขันยูโรสิ้นสุด ชีวิตก็กลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง มีปัญหาครอบครัว มีเรื่องงานที่ต้องสะสาง



ถ้าอยากทราบว่าตัวเองมีอาการซึมเศร้าหลังฟุตบอลยูโรรึเปล่า สำรวจตัวเองว่ามีอาการดังนี้หรือไม่ 
- หวนคิดถึงช่วง 3 สัปดาห์ที่สนุกตื่นเต้นกับการเชียร์ฟุตบอลยูโรตลอดเวลา 
- ในหัวมัวแต่คิดถึงภาพรีเพลย์ลูกที่ทีมโปรดยิงไม่เข้า หรือลูกที่กรรมการตัดสินไม่ตรงใจ 
- รู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อ ว่างเปล่า ไม่มีกิจกรรมอะไรที่ทำให้ชีวิตตื่นเต้น 
- หมดอาลัยในชีวิต อยากอยู่เฉยๆ ลำพังคนเดียว ไม่สุงสิงกับใคร 
- เหม่อลอย จิตใจไม่จดจ่อกับสิ่งที่ทำ

คำแนะนำในการแก้อาการซึมเศร้าหลังฟุตบอลยูโร คือ
- หากิจกรรมอย่างอื่นทำ เช่น ออกกำลังกาย พบปะเพื่อนฝูง อย่าเก็บตัวเงียบเพียงลำพัง
- พูดระบายถึงอาการคิดถึงการแข่งขันยูโรให้คนใกล้ตัวฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบายกับคนหัวอกเดียวกัน เพราะจะเข้าใจถึงความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
- ใช้เวลากับครอบครัว เพราะช่วงที่มีการแข่งขันยูโรนั้น หมกมุ่นกับการดูฟุตบอลจนละเลย ลูก เมีย


กลุ่มคนที่อยู่ในอาการซึมเศร้าที่สุดหลังจบการแข่งขันฟุตบอลยูโรก็คือพวกที่เสียเงินจากการพนันฟุตบอล
ที่ประเทศมาเลเซีย ศูนย์ฮ็อตไลน์ให้คำปรึกษาผู้ติดการพนัน Gamblers Rehab Centre รายงานว่า หลังจากวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันแข่งรอบชิงชนะเลิศ จำนวนคนโทรศัพท์ขอคำแนะนำเรื่องติดการพนันเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว โดยคนที่โทร.ส่วนใหญ่เป็นพ่อแม่หรือคู่ชีวิตของคนที่ติดการพนัน 
สำหรับประเทศสเปน ซึ่งเศรษฐกิจของประเทศกำลังตกต่ำเข้าสู่ภาวะถดถอย ต้องยื่นขอรับเงินกู้จากสหภาพยุโรปหลายหมื่นล้านยูโร และอัตราคนว่างงานตอนนี้อยู่ที่ 24.3% สูงที่สุดในสหภาพยุโรป การได้แชมป์ยูโรช่วยเรียกขวัญ กำลังใจให้กับคนในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนสเปนต้องการมากในขณะนี้
สื่อมวลชนของสเปนกล่าวถึงชัยชนะครั้งนี้ว่าช่วยกู้หน้าประเทศสเปนในสายตาคนยุโรป และทำให้ชาวสเปนมีความสุขขึ้นมาบ้าง...
แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ก็ตามที



+++

iPhone ครบรอบ 5 ปี
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1663 หน้า 96


วันที่ 29 มิถุนายน เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 5 ปีของ iPhone-ซึ่งรุ่นแรกออกวางจำหน่ายในปี 2007 
ภายในเวลาเพียง 5 ปี iPhone มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของคนทั่วโลกตั้งแต่ตื่นยันหลับ 
ทำให้ iPhone และสมาร์ทโฟนแทบจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการดำรงชีวิตอย่างปกติสุข

เมื่อสัปดาห์ก่อน มีการรายงานการสำรวจที่น่าสนใจชื่อโมบายล์ มายด์เซ็ต (Mobile Mindset) เกี่ยวกับความสำคัญของโทรศัพท์มือถือในชีวิตประจำวัน หรือการศึกษาความคิดเห็นต่อโทรศัพท์มือถือ ที่ทำการสำรวจโดย ลุคเอ้าต์ โมบายล์ เซเคียวริตี้ (Lookout Mobile Security) ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้าง แอพ (app) ช่วยหาโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนเมื่อตกหาย เป็นแอพฟรีที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก หากโทรศัพท์มือถือหายขึ้นมา สามารถล็อกอินหาที่เว็บไซต์ mylookout.com เพื่อหาว่าตอนนี้โทรศัพท์มือถืออยู่ที่ไหนผ่านทาง GPS
จากการสำรวจออนไลน์คนในอเมริกาจำนวน 2,097 คน ที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ระหว่างวันที่ 8-10 พฤษภาคม ได้ข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับความผูกพันกับโทรศัพท์มือถือดังนี้

คนอเมริกัน 58 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าเช็กโทรศัพท์มือถือทุกชั่วโมงขาดไม่ได้เลย อายุยิ่งน้อย ยิ่งอดใจไม่ไหว ช่วงอายุระหว่าง 18-34 ปี มีเปอร์เซ็นต์สูงสุดอยู่ที่ 68 เปอร์เซ็นต์ ส่วนน้อยที่สุดคืออายุ 55 ปีขึ้นไป อยู่ที่ 36 เปอร์เซ็นต์ 
24 เปอร์เซ็นต์ เช็กมือถือขณะขับรถ ทั้งๆ ที่รู้ว่าอันตราย 
30 เปอร์เซ็นต์ เช็กมือถือขณะทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนอื่น ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสียมารยาท 
40 เปอร์เซ็นต์ เช็กมือถือขณะเข้าห้องน้ำ 
54 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าเช็กมือถือบนเตียงก่อนนอน หลังตื่นนอน และระหว่างคืนตอนตื่นกลางดึกทั้งๆ ที่แพทย์จากหลายสถาบันออกมาเตือนว่าการวางโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียง เสี่ยงต่อสุขภาพจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่มาจากตัวเครื่อง ซึ่งอาจก่อให้เกิดมะเร็งหรือเนื้องอกในสมอง แต่คนก็ยังชอบวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่หัวเตียง แม้กระทั่งใต้หมอน เพื่อที่จะหยิบมาใช้ทันทีที่ตื่น หรือใช้ตั้งเวลาเป็นนาฬิกาปลุก

มีการสำรวจเรื่องการนอนกับโทรศัพท์มือถือจัดทำโดยเทเลแนฟ (TeleNav) บริษัทชื่อดังระดับโลกที่ให้บริการระบบนำทางด้วย GPS พบว่าคนอเมริกัน 66 เปอร์เซ็นต์ วางสมาร์ทโฟนไว้ข้างตัวตอนนอน หลายคนแทบจะรักสมาร์ทโฟนยิ่งกว่าแฟนหรือภรรยา สามี เสียอีก โดยถ้าต้องเลือกว่าภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ จะอยู่กับสมาร์ทโฟนหรือกับคู่ชีวิตเท่านั้น จะเลือกอะไร ผลออกมาว่ามีจำนวนถึง 28 เปอร์เซ็นต์ เลือกที่จะอยู่กับสมาร์ทโฟน ยอมไม่ได้เจอหน้าคู่ชีวิต ตลอดทั้ง 1 สัปดาห์เต็ม


อยากทราบว่าตัวเองติดสมาร์ทโฟนหรือเปล่า เขาแนะนำให้สำรวจตัวเองว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายตามนี้มั้ย 
1. ตั้งชื่อเล่นให้สมาร์ทโฟน ไว้เรียกด้วยความเอ็นดู 
2. ซื้อเครื่องประดับแต่งตัวให้สมาร์ทโฟนเป็นประจำ 
3. ซื้อที่ชาร์จไว้หลายอันทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ในรถ ฟิตเนส และพกใส่กระเป๋าติดตัว 
4. หากแบตเตอรี่ใกล้หมด หาที่ชาร์จไม่ได้ จะเกิดอาหารหงุดหงิด งุ่นง่าน ทำอะไรไม่ถูก 
5. เวลาเดินผ่านร้านขายอุปกรณ์มือถือ ห้ามใจเข้าไปเช็กของเล่นชิ้นใหม่ๆ ไม่ได้ 
6. หมดเงินไปกับการซื้ออุปกรณ์ลูกเล่นสมาร์ทโฟน รวมๆ แล้วมากกว่าราคาสมาร์ทโฟน 
7. หูแว่วคิดไปเองอยู่เรื่อยๆ ว่า สมาร์ทโฟนมีเสียงกริ่งดัง หรือเครื่องสั่นเรียก 
8. แม้อยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่กลับใช้อินเตอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟน 
9. สามารถพิมพ์แป้นอักษรบนสมาร์ทโฟนโดยไม่ต้องดูหน้าจอ 
10. เวลาคนโทรศัพท์เข้ามาไม่ยอมรับ .. แต่ใช้การส่ง SMS ตอบกลับทันที 
11. หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเล่น เวลาต้องการหลีกเลี่ยงการสนทนา

อ่านทั้ง 11 ข้อแล้ว ผมว่าใครเข้าข่ายแค่ข้อเดียวถือว่าอาการน่าเป็นห่วง
ว่ามั้ย?



+++

วิธีบำบัดอาการติดอินเตอร์เน็ต 
โดย พิศณุ นิลกลัด คอลัมน์ คลุกวงใน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1655 หน้า 96


มีรายงานผลการศึกษาเรื่องการติดอินเตอร์เน็ตในประเทศเกาหลีใต้ พบว่าเด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นมีอัตราการติดอินเตอร์เน็ตมากกว่าผู้ใหญ่
การศึกษานี้ทำโดยกระทรวงมหาดไทยเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ชาวเกาหลี 1 หมื่นคน เป็นเด็กอายุระหว่าง 5-9 ปี 633 คน เด็กวัยรุ่นอายุระหว่าง 10-19 ปี 2,130 คน ผู้ใหญ่อายุระหว่าง 20-49 ปี 7,207 คน สำรวจระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม ถึง 10 ธันวาคมปีกลาย รายงานผลการศึกษาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
เขาให้คำจำกัดความคนติดอินเตอร์เน็ตว่าคือคนที่ใช้เวลาไปกับการเล่นเกมออนไลน์และหากิจกรรมเรื่อยเปื่อยทำบนอินเตอร์เน็ตเฉลี่ยวันละ 2 ชั่วโมง 42 นาทีขึ้นไป (ส่วนคนทั่วไปที่ไม่ถือว่าติดอินเตอร์เน็ตนั้นใช้เวลาเล่นอินเตอร์เน็ตวันละประมาณ 1 ชั่วโมง 54 นาที โดยใช้เวลา 43 เปอร์เซ็นต์ ไปกับการอ่านข่าว และ 36.2 เปอร์เซ็นต์ ไปกับกิจกรรมเรื่อยเปื่อยบนอินเตอร์เน็ต)

อัตราคนติดอินเตอร์เน็ตในเกาหลีโดยรวมอยู่ที่ 7.7 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งประเทศ (ซึ่งมีอยู่ 77 ล้านคน)
ถ้าแยกเป็นตามช่วงอายุได้ตัวเลขดังนี้ 
เด็กอายุระหว่าง 5-9 ปี ติดอินเตอร์เน็ต 7.9 เปอร์เซ็นต์
เด็กวัยรุ่นอายุระหว่าง 10-19 ปี ติด 10.4 เปอร์เซ็นต์ โดยเด็กระดับมัธยมศึกษาติดมากสุดคือ 12.4 เปอร์เซ็นต์
ผู้ใหญ่อายุระหว่าง 20-49 ปี 6.8 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มผู้ใหญ่ที่ติดอินเตอร์เน็ตมากที่สุดคือในช่วงวัย 20-29 ปี

รัฐบาลเกาหลีใต้เอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาอาการติดอินเตอร์เน็ต-โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เด็ก เพราะการติดอินเตอร์เน็ตก่อให้เกิดผลเสียในการพัฒนาทางร่ายกายและจิตใจของเด็ก 
ปัญหาด้านร่างกายก็เช่น ปัญหาด้านสายตา ปัญหาปวดหลัง 
ปัญหาด้านจิตใจ ได้แก่ ไม่รู้จักการเข้าสังคมเพราะใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับอินเตอร์เน็ตนานเกินไป มีอารมณ์รุนแรงเพราะเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่มีความรุนแรง หรือดูคลิปวิดีโอออนไลน์ต่างๆ ที่มีความรุนแรง 
เมื่อโตขึ้นเวลาประสบปัญหาต่างๆ ในเรื่องชีวิตหรือเรื่องงานก็จะหาทางออกด้วยการเล่นอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นโลกแห่งความฝันที่คิดว่าตัวเองกำหนดควบคุมได้

นับตั้งแต่ปี 2007 เกาหลีใต้ได้ตั้งสถานบำบัดผู้ติดอินเตอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศซึ่งเชื่อว่าเป็นแห่งแรกของโลกชื่อ Jump Up Internet Rescue School เรียกว่าเป็นโรงเรียนช่วยเหลือผู้ติดอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นแคมป์ทำกิจกรรมเหมือนกับค่ายทหารเป็นเวลา 12 วัน
ผู้เข้ารับการบำบัดส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชาย เข้ารับการบำบัดครั้งละ 16-18 คน 
ค่าใช้จ่ายไม่ต้องเสีย รัฐบาลออกให้
ผู้เข้ารับการบำบัดอาการติดอินเตอร์เน็ตจะกินนอนที่แคมป์ ตลอด 12 วัน 12 คืนห้ามใช้อินเตอร์เน็ต
อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์มือถือเฉพาะโทรศัพท์ติดต่อวันละ 1 ชั่วโมง ห้ามใช้เล่นเกมส์โดยเด็ดขาด 
เวลาส่วนใหญ่ในแคมป์ใช้ไปกับการออกกำลังกาย ขี่ม้า ทำกิจกรรมกลุ่ม 
เพื่อรู้จักการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
เพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง
เพื่อให้รู้ถึงประสบการณ์ของการดำรงชีวิต


จากสถิติผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในเอเชียที่เก็บรวบรวมโดย Miniwatts Marketing Group ซึ่งเป็นบริษัทด้านการตลาดทางอินเตอร์เน็ตชั้นนำของโลกพบว่านับตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2011 ทวีปเอเชียมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากที่สุดในโลก จากประชากรประมาณ 3,880 ล้านคน มีคนใช้อินเตอร์เน็ตถึง 1,000 ล้านคน คิดเป็น 26.2 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรของทวีป โดยภายใน 11 ปีอัตราผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นถึง 789.6 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งในอนาคตการติดอินเตอร์เน็ตจะเป็นปัญหาใหญ่ในทวีปเอเชีย
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สถาบันบำบัดอาการติดอินเตอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศก่อตั้งเมื่อปี 2009 ชื่อสถาบัน reSTART Internet and Technology Addiction and Recovery หรือเริ่มต้นอีกครั้ง (เป็นการเล่นคำ เหมือนกับรีสตาร์ตเครื่องคอมพิวเตอร์เวลาคอมพิวเตอร์มีปัญหาขัดข้อง) ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 10 ไร่ในรัฐวอชิงตัน อยู่ใกล้ๆ กับสำนักงานใหญ่บริษัทไมโครซอฟต์ ช่วยบำบัดผู้ติดอินเตอร์เน็ต ติดเทคโนโลยีต่างๆ เช่น วิดีโอ เกม ติดโทรศัพท์มือถือ และ ฯลฯ
ผู้เข้ารับการบำบัดจะกินนอนที่สถานบำบัดเป็นเวลา 45 วัน เน้นการพูดคุย เข้าคอร์สบำบัดกับนักจิตวิทยา ค่าใช้จ่ายคนละ 14,500 ดอลลาร์ หรือ 435,000 บาท!


อาการติดอินเตอร์เน็ตเป็นอย่างไร
ใช้อินเตอร์เน็ตประมาณไหนจึงเข้าข่าย "ติดเน็ต"
มีงานวิจัยของ ดร.คิมเบอร์ลี่ ยัง แห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์พิตต์สเบิร์กดังต่อไปนี้
1. หมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อเข้าระบบอินเตอร์เน็ต
2. ต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นเรื่อยๆ
3. ควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตไม่ได้
4. รู้สึกหงุดหงิดเมื่อใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
5. คิดว่าเมื่อใช้อินเตอร์เน็ตแล้ว ทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น 
6. ใช้อินเตอร์เน็ตในการหลีกเลี่ยงปัญหา
7. หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อนเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตนเอง
8. มีอาการผิดปกติเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต เช่น หดหู่ กระวนกระวาย

ใน 8 ข้อนี้ถ้าตัวท่านมีตั้งแต่ 4 ข้อขึ้นไป เข้าข่ายติดเน็ตแล้ว 

มีคำแนะนำจากหนังสือคู่มือแนวทางการประเมินและรักษาการติดอินเตอร์เน็ต ระบุว่า
วิธีการบำบัดที่ได้ผลคือการพูดคุยเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติ อาจคุยกับพ่อแม่ การเข้ากลุ่มหรือเข้าศูนย์ฟื้นฟู นอกจากนี้ ยังมีผู้แนะนำกลยุทธ์พิชิตอาการติดเน็ตไว้ดังนี้ 
1. ถามตัวเองว่า "ฉันพลาดอะไรไปบ้างเมื่อเล่นเน็ต" จดลงกระดาษ และลดชั่วโมงการเล่นเน็ตลงเพื่อไปทำกิจกรรมนั้น
2. กำหนดเป้าหมายการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างสมเหตุสมผล แล้วทำตามนั้นให้ได้ 
3. เปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน
4. มองหาเพื่อนและคนรู้จักที่ไม่ติดเน็ตเพื่อจะได้รู้ว่าชีวิตนี้ไม่ได้มีแค่โลกออนไลน์เท่านั้น
5. อยู่กับโลกแห่งความจริงมากขึ้น เดินตามร้านหนังสือ ไปพิพิธภัณฑ์ หรืออ่านหนังสือดีๆ ที่หาไม่ได้ในโลกออนไลน์
6. ให้อินเตอร์เน็ตเป็นแค่เครื่องมือ แต่อย่าตกเป็นเครื่องมือของอินเตอร์เน็ต วางแผนให้ดีว่าจะใช้เพื่อหาข้อมูลหรือเพื่อความบันเทิง

ขอให้ทุกท่านอยู่ในโลกยุคใหม่โดยไม่ติดเน็ตครับ



.