http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-10-01

นิธิ เอียวศรีวงศ์: พลวัตของชนชั้นนำไทย (1)

.

นิธิ เอียวศรีวงศ์ : พลวัตของชนชั้นนำไทย (1)
ในมติชนออนไลน์  วันจันทร์ที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 13:27:13 น.
(ที่มา คอลัมน์ กระแสทรรศน์ ของ นสพ.มติชนรายวัน 1 ต.ค. 2555 )


ปัญหาว่าความแตกร้าวในสังคมไทยปัจจุบัน มีสาเหตุมาจากความแตกร้าวของชนชั้นนำกันเอง หรือเป็นความแตกร้าวระหว่างชนชั้นนำกับชนชั้นล่าง ดูเหมือนจะคลี่คลายไปแล้ว เพราะความเห็นส่วนใหญ่ก็คือ มันเป็นทั้งสองอย่าง
 

แต่เป็นทั้งสองอย่างไม่ได้หมายความว่า เป็นโดยไม่เกี่ยวกัน ในทางตรงกันข้ามเกี่ยวโยงกันอย่างแยกไม่ออกทีเดียว ผมหวังว่าจะสามารถเล่าความเกี่ยวโยงดังกล่าวตามความเห็นของตัวเองได้ 

ชนชั้นนำไทยซึ่งถืออำนาจบริหารจัดการบ้านเมืองมานานนั้น ไม่ได้ประกอบด้วยกลุ่มเดียว แต่มีกลุ่มใหม่ๆ แทรกตัวเข้ามาเพิ่มอยู่เสมอ
ในขณะที่กลุ่มเก่าบางกลุ่มเคยถูกลดอำนาจและบทบาทลง ก็สามารถกลับมาเถลิงอำนาจได้ใหม่ และเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่องก็มี ต่างเข้าไปยึดถือการนำร่วมกันบ้าง แข่งกันบ้าง ในองค์กรและสาขาของการบริหารจัดการ ทั้งที่เป็นของรัฐ เป็นของเอกชน หรือเป็นพลังทางสังคมหรือวัฒนธรรมที่ทำให้สังคมยอมรับอำนาจ บางกลุ่มก็จับมือเป็นพันธมิตรกัน บางกลุ่มก็จับมือต่อต้านบางกลุ่มร่วมกัน
พูดง่ายๆ ก็คือ การเมืองของชนชั้นนำนั้นเอง ก็สลับซับซ้อนและมีพลวัตในตัวเอง ไม่ใช่กลุ่มเดิมที่เกาะกันกินหัวชาวบ้านมายาวนาน โดยไม่เปลี่ยนแปลงกลุ่มหรือวิธีการเลย



กลุ่มชนชั้นนำที่ถือว่าเป็นหัวขบวนสำคัญๆ ประกอบด้วย

1. ระบบราชการ รวมทั้งกองกำลังติดอาวุธทั้งหมด (บางครั้งก็ร่วมกันเป็นกลุ่มก้อน บางครั้งก็แตกแยกกันภายใน จนทำให้ไม่อาจยึดอำนาจนำไว้แต่ผู้เดียวได้ ในขณะที่ฝ่ายราชการพลเรือนสูญเสียความชอบธรรมในการนำไปมากแล้ว)

2. นักธุรกิจอุตสาหกรรมในกรุงเทพฯ บางส่วนก็สั่งสมทุนมานานตั้งแต่ก่อนสมัยสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่สบโอกาสสร้างความมั่งคั่งได้อย่างแท้จริงด้วยนโยบายพัฒนา ซึ่งสถาปนาขึ้นในสมัยสฤษดิ์เป็นต้นมา

3. นักธุรกิจในต่างจังหวัด กลุ่มนี้ก็เป็นผลผลิตของนโยบายพัฒนาเหมือนกัน เช่นเป็นเจ้าของกิจการแปรรูปสินค้าเกษตร, นายทุนเงินกู้, ทำกิจการขนส่ง ฯลฯ เป็นต้น กลุ่มนี้บางส่วนอาจเข้าไปเกี่ยวพันกับธุรกิจในมุมมืดด้วย ทั้งความจำเป็นในการประกอบกิจการ และเพราะเป็นโอกาสซึ่งเกิดขึ้นใหม่ในตลาดชนบท เช่นเป็น เจ้ามือหวยเถื่อน, ออกเงินกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยผิดกฎหมาย, ทำไร่หรือโรงงานนรกเพื่อประกันการมีแรงงานในยามจำเป็น ฯลฯ ดังนั้นหลายคนในกลุ่มนี้จึงมีฉายาว่าเจ้าพ่อ 
เมื่อการเมืองเปิดกว้างขึ้นหลัง 14 ตุลา 2516 กลุ่มนี้ได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองอย่างออกหน้า โดยเข้าร่วมกับพรรคการเมืองต่างๆ และสามารถเข้าร่วมรัฐบาลได้เสมอมานับตั้งแต่นั้น เพราะชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ ต้องอาศัยการสนับสนุนจากคนกลุ่มนี้อย่างขาดไม่ได้

อันที่จริง คนกลุ่มนี้หาได้มีผลประโยชน์ขัดแย้งโดยตรงกับนักธุรกิจอุตสาหกรรมในกรุงเทพฯไม่ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าพ่อเริ่มแปรธุรกิจของตนให้เข้าสู่แสงสว่างมากขึ้น เช่นเปิดโรงแรมชั้นหนึ่งในหัวเมือง ก็ต้องอาศัยการเข้าร่วมเครือบริหารของโรงแรมชั้นหนึ่งในกรุงเทพฯ เพื่อช่วยยกมาตรฐานของโรงแรมตนเอง และเพื่อประกันแขกที่จะเข้าพักในระดับหนึ่ง 
แม้กระนั้น นักธุรกิจต่างจังหวัดก็ไม่ถูกผนวกเข้ามาอยู่ในกลุ่มเดียวกับนักธุรกิจอุตสาหกรรมกรุงเทพฯ 
ความขัดแย้งหลักน่าจะเป็นความแตกต่างด้านโลกทรรศน์ของคนสองกลุ่มนี้เป็นสำคัญ
นักธุรกิจต่างจังหวัดถูกมองอย่างหมิ่นๆ จากนักธุรกิจอุตสาหกรรมในกรุงเทพฯและบริวารซึ่งคือ คนคอปกขาว เพราะได้รับการศึกษาแผนใหม่สูงกว่า ในขณะที่คนมีการศึกษาในเขตเมืองเข้าไปเชื่อมโยงกับทั้งทุน, เทคโนโลยี และตลาดของต่างชาติมากขึ้น ตามสภาพโลกาภิวัตน์ที่เข้มข้นขึ้น จึงต้องการปรับสภาพรัฐให้เป็นที่ยอมรับในเชิงสากลไปพร้อมกัน ในขณะที่นักธุรกิจต่างจังหวัดอาจพอใจเพียงให้รัฐปล่อยให้ตนดำเนินธุรกิจปริ่มกฎหมายต่อไป


ทั้งสองฝ่ายอยากเห็นรัฐอ่อนแอเหมือนกัน แต่อ่อนแอกันไปคนละทาง

4. กลุ่มกษัตริย์นิยม หลังการรัฐประหาร 2490 กลุ่มนี้สั่งสมอำนาจได้เพิ่มขึ้น แม้คณะรัฐประหารซึ่งเป็นผู้คุมอำนาจสูงสุดไม่ได้สังกัดกลุ่มนี้ก็ตาม ความแตกร้าวในคณะรัฐประหารเอง ทำให้กลุ่มทหารสร้างพันธมิตรกับกลุ่มนี้ และในที่สุดก็ร่วมมือกันช่วงชิงอำนาจนำเด็ดขาดไว้ได้ 

นับตั้งแต่นั้นมากลุ่มกษัตริย์นิยมก็สามารถช่วงชิงส่วนแบ่งของอำนาจเพิ่มขึ้นตลอดมา เพราะกลุ่มทหารต้องอาศัยกลุ่มนี้ในการแสวงหาความชอบธรรมของการเผด็จอำนาจ


5. กลุ่มคนคอปกขาว ซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นและกลายเป็นเงื่อนไขทางการเมืองที่มีความสำคัญนับตั้งแต่ 14 ตุลาฯมาก็เช่นเดียวกัน คนเหล่านี้มีการศึกษาแต่ไม่ได้สังกัดอยู่กับระบบราชการเหมือนเดิม แต่แทรกอยู่ในวงการธุรกิจ, นักเทคนิค ฯลฯ และที่สำคัญคือเป็นกำลังสำคัญในสื่อทุกแขนง

พลังทางการเมืองของคนกลุ่มนี้แสดงให้เห็นทั้งในเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภามหาโหด 2535 เมื่อรวมพลังกันได้ และร่วมมือกับชนชั้นนำกลุ่มอื่นบางกลุ่มก็อาจล้มอำนาจของทหารได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นกลุ่มชนชั้นนำที่ไร้พลังจัดตั้งอย่างยิ่ง ไม่มีสมาคม, ไม่มีสภา, หรือองค์กรของตนเอง (เมื่อเปรียบเทียบกับนักธุรกิจอุตสาหกรรมและธนาคาร หรือเครือข่ายกษัตริย์นิยม หรือกองทัพ) ดังนั้นจึงสามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ต่อเมื่อมีประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรงบางอย่างร่วมกัน และต้องมีผู้นำเป็นตัวเป็นตนอย่างชัดเจน กลุ่มคนชั้นกลางคอปกขาวคือกลุ่มที่โหยหาผู้นำ (ที่เรียกว่าคนของประชาชน) มากที่สุด เพราะปราศจากผู้นำ บทบาททางการเมืองของคนกลุ่มนี้ก็ถูกจำกัดลงเหลือแต่เพียงสื่อ ถึงแม้มีอิทธิพลพอสมควร แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยเด็ดขาดนัก

เครื่องมือในการนำไปสู่บทบาททางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียวที่คนกลุ่มนี้มีอยู่คือ การเลือกตั้ง แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้พัฒนากลไกที่จะใช้การเลือกตั้งให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ (เช่นสหภาพแรงงานรถยนต์ในสหรัฐ เป็นหนึ่งในกลไกที่ทรงพลังในการเมืองเรื่องเลือกตั้ง) ถึงแม้จะพัฒนากลไกขึ้นได้ ก็ใช่ว่าจะเป็นน้ำหนักสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะ ส.ส.ส่วนใหญ่ในสภาย่อมมาจากกลุ่มประชากรอื่น (ไม่ใช่กลุ่มนี้ ซึ่งประกอบเป็นประชากรไม่น่าจะเกิน 25% ของทั้งประเทศ )

ผมคิดว่า นี่คือกลุ่มที่คับข้องใจ (frustrated) ทางการเมืองที่สุดในบรรดาชนชั้นนำของไทยทั้งหมด เพราะในด้านหนึ่งก็ดูเหมือนมีพลังมหาศาลและได้พิสูจน์ประสิทธิภาพของพลังนั้นให้เห็นมาแล้ว แต่ในอีกด้านหนึ่ง กลับทำอะไรทางการเมืองไม่ได้มากนัก จึงง่ายที่จะถูกผลักให้ลงไปสู่ท้องถนนเพื่อยึดทำเนียบ, ยึดสนามบิน หรือตีกับตำรวจ



ในระยะ 30 ปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้ทุกกลุ่มต้องปรับตัว เพื่อรักษาส่วนแบ่งอำนาจการนำของตนไว้ เมื่อ พคท.ล่มสลาย บทบาทนำทางการเมืองของกองทัพก็สั่นคลอน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องแรกๆ ที่นักการเมืองรุกเข้ามานำ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องซึ่งสภาความมั่นคงกำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายไว้เนิ่นนาน นับตั้งแต่การเปิดความสัมพันธ์กับจีน และการเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า นักการเมืองก็ทำไปท่ามกลางการคัดค้านหรือลังเลใจของกองทัพ เหตุการณ์พฤษภามหาโหดใน 2535 และรัฐธรรมนูญ 2540 ยิ่งทำให้กองทัพหมดความชอบธรรมที่จะเข้ามาก้าวก่ายทางการเมืองมากยิ่งขึ้น

ภาพเสมือนของความมั่นคงในระบบเลือกตั้ง ทำให้ข้าราชการต้องยอมรับการนำของนักการเมือง แม้แต่ที่เป็นเจ้าพ่อหรือสายของเจ้าพ่ออย่างราบคาบ

กลุ่มกษัตริย์นิยมได้รับผลกระทบจากความผันผวนทางการเมืองอย่างมากมาตั้งแต่ก่อนรัฐธรรมนูญ 2540 แล้ว ในช่วงทศวรรษ 2520 ต่อ 2530 การไม่กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคกิจสังคมของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ กบฏภายในของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้อำนาจของกลุ่มกษัตริย์นิยมในรัฐสภาอ่อนลง การคงอยู่ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับประกันความเป็นพันธมิตรของกองทัพกับกลุ่มกษัตริย์นิยม

แต่การชุมนุมกดดันของกลุ่มคนงานคอปกขาวหลังการเลือกตั้ง (โดยการสนับสนุนของพรรคการเมืองบางพรรค) ทำให้พลเอกเปรมตัดสินใจไม่รับตำแหน่งนายกฯอีก ยิ่งทำให้กลุ่มกษัตริย์นิยมขาดพลังต่อรองในระบบรัฐสภายิ่งขึ้นไปอีก



การรัฐประหารของ รสช.ในปี 2534 มีเป้าหมายจะสถาปนาระบบการเมืองแบบสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
นั่นคือผนึกอำนาจนำของกลุ่มข้าราชการ-กองทัพ และกลุ่มกษัตริย์นิยมไว้สูงสุด ซึ่งแสดงว่า กองทัพและกลุ่มกษัตริย์นิยมมองไม่เห็นว่า เมืองไทยใน พ.ศ.2534 ได้เปลี่ยนไปในสามทศวรรษที่ผ่านมาอย่างมากแล้ว

พวกเขามองไม่เห็นคนงานคอปกขาวซึ่งกลายเป็นเงื่อนไขตัดสินทางการเมืองที่มีความสำคัญในหมู่ชนชั้นนำด้วยกัน มองไม่เห็นว่าธุรกิจอุตสาหกรรมไทยได้ก้าวไปสู่การผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก ไม่ใช่อุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้าอีกต่อไป
และด้วยเหตุดังนั้น จุดสิ้นสุดของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยการนองเลือด

ยิ่งไปกว่านี้ ความพยายามที่มุ่งไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางการเมืองเช่นนี้ กลับทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องเผชิญกับความผันผวนทางการเมืองยิ่งขึ้น



.