.
ยามรัก
โดย ศิลา โคมฉาย คอลัมน์ แตกกอ-ต่อยอด
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1643 หน้า 67
ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ มักมีแง่คิด มุมมองต่อความรัก แปลก คม และลึกซึ้งอย่างน่าสนใจ
บางรายมองในมุมสนุก เปรียบ รักกับรถ
คนผู้พบรักเหมือนได้โดยสารรถ
เขาว่า...บางป้ายรถเมล์ก็เงียบเหงา บางป้ายก็จอแจด้วยผู้คน
บางคนแป๊บเดียวก็ได้ขึ้นรถ บางคนขึ้นแล้วถึงรู้ว่าผิดคัน
บางคนขึ้นคันแรกก็ถูกคัน บางคนขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายรอบกว่าจะถูกคัน บางคนต้องนั่งไปจนถึงป้ายสุดท้าย ถึงรู้ว่าผิดคัน...
ขณะบางรายประจงกรองความคิดและถ้อยคำ เลือกแสดงด้านอ่อนหวานและซาบซึ้ง
พระเจ้าสร้างมนุษย์มีสองหู สองตา สองขา-แขน แต่มีใจเพียงดวงเดียว
ก็เพื่อต้องการให้มันเสาะหาใจอีกดวงให้พบ
ใช้สองตาคอยแล สองหูเฝ้าฟังเสียงเขา โอบกอดด้วยสองแขน และก้าวเดินคู่เคียงกันไป...
แต่บางคนมุ่งพินิจ แบบพยายามเข้าไปให้ถึงลักษณะ
ความรักมีธรรมชาติเป็นของมันเอง มาเป็นช่วงๆ และเป็นอิสระ เราไม่สามารถบังคับให้ความรักอยู่กับเราได้
ทำได้แค่ดีใจที่เรามีความรัก ในช่วงหนึ่งๆ ของชีวิตเท่านั้นเอง
ทัศนะนี้ไปทางเดียวกับข้อคิดของพระศรีญาณโสภณ แห่งวัดพระรามเก้า แสดงเพื่อเตือนสติมิให้ผู้คนลุ่มหลงหมกมุ่นไว้ว่า
ความรักเป็นเรื่องแปลกประหลาด ยิ่งมนุษย์แสวงหาก็ยิ่งไกลออกไป
ยิ่งเรียกร้อง เขาก็ยิ่งหมดหวัง
ความรักจึงไม่ต่างอะไรกับนกป่า ถ้าเราเฝ้าจับก็จะบินหนี แต่ถ้าเราให้อาหารตามธรรมชาติจนกระทั่งคุ้นเคยกันเป็นวิถีชีวิต
เขาก็จะวิ่งมาหาเราเอง
ส่วนรายที่คิดแบบจริงจัง สรุปเด็ดขาดว่า ความรักเป็นเพียงความรู้สึกด้านดีงาม ปรารถนาให้คนอันเป็นที่รักพบเพียงความสุข ความเจริญ พ้นไปจากความรู้สึก สำแดงออกจะกลายเป็นเรียกร้อง คาดหวัง และการมุ่งเข้าครอบครอง
ซึ่งต้องการศิลปะการใช้ชีวิตนานาเข้ามาประคับประคอง
ผมพบเห็นความคิดและถ้อยคำเหล่านี้ ขณะเทศกาลแห่งความรักกรายใกล้ กระจายกลิ่นอายเกสรหอมหวานฟุ้งฟ่องไปในบรรยากาศสดใส ห้วงเวลาเดียวกับที่มีคนมองผ่านความรักไปสู่ความใคร่ หื่นกระหายระดับต้องเสริมสมรรถนะโดยใช้ตัวยาพิลึกพิลั่น
ข่าวคราวครึกโครมว่าเป็นอวัยวะเพศช้างพลาย
ช้างป่าจึงถูกมนุษย์เข่นฆ่าตายสยอง สนองกามตัณหา
โด๊ปเพื่อสำแดงความกร้าวแกร่งในการร่วมเพศ อันมีส่วนต่างไปจากการร่วมรัก ซึ่งต้องมีรากฐานแห่งความรักมั่นคงและเข้มแข็ง หญิงชายมีสัมพันธภาพต่อกันราบรื่นชื่นหวาน
การร่วมเสพสม เพื่อสุขสม
บางความคิดในโลกออนไลน์จึงเสนอการถนอมรัก เขาว่า...พูดคำรัก พูดคำหวาน อย่างเป็นธรรมชาติไม่เคอะเขิน พูดคำเพราะเสนาะเป็นภาษาดอกไม้ต่อกัน
รู้จักชื่นชมความสำเร็จ หรือแม้แต่ความก้าวหน้า ก้าวเล็กๆ ของคนรัก ให้กำลังใจ ไม่รื้อฟื้นในความผิดพลาด พร้อมจะกล่าวคำขอบคุณและขอโทษ
ไม่กลัวการเสียหน้า เพราะมันไม่ได้เจ็บปวดเท่าการเสียใจ
บางรายเน้นย้ำว่า ต้องแสดงออกถึงความรัก ชนิดสัมผัสได้
ในภาวะประจันหน้า ตึงเครียด อาจจำเป็นต้องยอม ต้องถอยในบางโอกาส การเอาชนะความโกรธ ชนะตนเองสำคัญกว่า รวมทั้งกล้าให้อภัยได้เสมอ
เชื่อใจ เชื่อมั่น เชื่อมือ ไว้วางใจในกันและกัน
สื่อสารพูดคุยกันด้วยความรู้สึกจากใจไม่ห่างหาย...
ความคิดและถ้อยคำเหล่านี้ฟังแล้วดูดีเข้าท่าเข้าทาง แต่ผมคิดว่าการปฏิบัติให้เกิดผล เอาเข้าจริง เป็นเรื่องใหญ่และยากยิ่ง ทั้งอาจเป็นเรื่องเฉพาะตัว เฉพาะคน ทั้งลึกซึ้งและละเอียดอ่อน
เมื่อมันอยู่บนพื้นของการต้องมีสติ ควบคุมตนเอง เสียสละ
การบรรลุถึงความรัก อาจจำเป็นต้องเข้าถึงธรรม
จิตใจต้องผ่านการฝึกฝนแล้ว ไม่มีความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ เมตตากรุณารักในเพื่อนมนุษย์
โดยเฉพาะเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก ข้างกาย
สามารถคงไว้ซึ่งความรู้สึกดีงาม ไม่ปล่อยให้ล่วงเลยไปสู่การคาดหวังด้วยการคาดหวังจิตใจจักล่วงหน้าไปสถิตอยู่ในอนาคต ไม่ดำรงอยู่กับกาลปัจจุบัน
คำว่า น่าจะ กับ ไม่น่าจะ ทำให้ผู้คิด ผู้พูด วาดภาพขึ้นในความคิดไว้แล้ว หากผลที่เกิดในอนาคตผิดไปจากนี้อาจเป็นปัญหาได้
การครองรักจำเป็นต้องมองเห็นข้อดีของกันและกันอยู่เสมอ แม้มนุษย์ต่างมีข้ออ่อนอันไม่น่าพึงใจอยู่ด้วยก็ตาม แรกรักผู้คนมักพร่ำคำว่า คนดีของฉัน ต่อคนรักมิได้ขาด นั่น! เขาต้องมีดี มีคุณค่าให้รักได้
การเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ คนต้องมีธรรมประจำใจอยู่พอควร...
++
น้ำผึ้งเดือนสิบ
โดย ณรงค์ จันทร์เรือง คอลัมน์ ศุกร์สราญ
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1643 หน้า 62
"ขออวยพรให้คู่บ่าว-สาวจงมีแต่ความสุขสดชื่นและสมหวังตลอดไป"
"ขอให้คู่บ่าว-สาวจงมีแต่ความสุขสำราญ และประสบกับความสำเร็จสมความปรารถนาตลอดกาล"
ถึงแม้ชีวิตคู่ก้าวข้ามกาลเวลายาวนานมา 20 กว่าปีแล้ว แต่เรายังเก็บสมุดบันทึกถ้อยคำอันแสนจะซาบซึ้งและน่าประทับใจเอาไว้ดิบดี จันทราอาจจะลืมเลือนไปแล้วเพราะความวุ่นวายของแม่บ้านที่ต้องดูแลลูกผัว แต่สำหรับผมน่ะจดจำฝังใจไม่เคยลืมเลือน...เหมือนวันชื่นคืนสุขที่สุดในชีวิตเพิ่งจะผ่านพ้นไปหยกๆ นี่เอง
ใครหน้าไหนมั่งล่ะที่จะลืมวันวิวาห์อันน่าตื่นเต้น วาบหวาม และระทึกใจเบ็ดเสร็จของตัวเองได้ลงคอ?
แม้ว่าในความจริงหลังจากนั้นก็คือ...
"ระวังไฟแดง! หาทางเข้าเลนขวาซีคะ" เสียงดังใกล้หูจนแทบสะดุ้ง "มัวแต่นั่งใจลอยอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็เข้าเลนซ้ายต้องเลี้ยวซ้ายลูกเดียว! โธ่..."
ใครนะที่เคยบอกกล่าวจนกลายเป็นวลีอมตะ หรือไม่ก็เป็นเชิงตลกร้ายให้พวกเราล้วนแต่หัวเราะไม่ออกไปตามๆ กัน
"หลังจากวันแต่งงาน ผู้ชายทุกคนก็จะได้รับรู้ว่าสวรรค์มีจริง แต่เขาก็ได้ปล่อยให้มันหลุดไม้หลุดมือไปแล้ว!"
ความสุขสดชื่นจนถึงแสนหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า อาจทำให้ผู้ชายเราหูหนวกตาบอดไปได้ในระยะแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป...เวลาที่เป็นทั้งยอดปิยมิตรและศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ก็จะทำให้หูตาสว่างไสว ทั้งเข้าใจหรือไม่ก็ต้องยอมรับความจริงโหดร้ายที่ประสบพบพานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ไม่มีเจ้าสาวแสนสวยและหวานล้ำฉ่ำใจในแดนมธุรสอีกต่อไป
ไม่มียอดรักผู้หยาดเยิ้มยิ่งกว่าอัปสรสวรรค์ในคืนวิวาห์หลงเหลืออยู่อีกเลย...ตลอดกาลนานจนกว่าจะตายจากกัน!
สิ่งที่ต้องพบปะอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คืออดีตสาวสวยผู้มีใบหน้าเป็นมันย่อง แถมบูดบึ้งบ่อยหนถ้าเราทำหรือพูดอะไรให้หล่อนไม่สบอารมณ์ ลืมเลือนคำบอกกล่าวเป็นเชิงตักเตือนสั่งสอนของหล่อน มีถ้อยคำประชดประชัน เสียดสี ถากถาง จนถึงตำหนิติเตียนซึ่งๆ หน้า ราวกับตระเตรียมหรือรอท่าที่จะพรั่งพรูออกมาได้ทุกขณะจิต
ย้ำแล้วย้ำอีกถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบของผัวที่จะต้องคุ้มครองดูแลให้ลูกเมียอยู่ดีมีสุข โดยไม่ต้องมามัวสนใจ หรือสงสารตัวเองว่าจะเหน็ดเหนื่อยสาหัสปานใด
"จะยืดยาดเป็นเต่าคลานไปถึงไหน...บอกว่าจะขับเองก็ไม่ยอม ดูซี! ยิ่งชักช้ายิ่งรถติดเป็นตังเม เฮ้อ..."
"ขอให้คู่บ่าว-สาวจงมีแต่ความสุขสดชื่นตลอดไป"
ใครหนอที่อุตริวิตถารคิดค้นวลีบ้าๆ ทำนองนี้ขึ้นมา คงจะเป็นพวกฝรั่งมังค่าที่พวกเราชอบตามก้นมันนั่นแหละ ทั้งหมดนั้นล้วนแต่เหลวไหล ไร้สาระ โกหกพกลม ตลบตะแลง ปลิ้นปล้อน ไม่ต่างอะไรกับคนลวงโลก หน้าไหว้หลังหลอก แต่หลับหูหลับตาชื่นชมกันไปวันๆ
จันทราซื้อของเข้าบ้านได้แทบทุกวัน ไม่ว่าของกินของใช้ ขนมนมเนยสำหรับลูกๆ สามคน ทั้งที่ตู้เย็นแทบจะล้นทะลัก เสื้อผ้าก็ประเดเข้ามาทั้งซื้อหาและสั่งตัดจนแน่นตู้ หลายๆ ชุดก็เอามาลองแล้วลืมไปเลย บางชุดก็ใส่แค่ครั้งสองครั้งก่อนจะขนชุดใหม่เข้ามา
หล่อนทำให้ผมหลงละเมอเผลอไผลได้บ่อยครั้ง...ข้าพเจ้าคงจะพิมพ์แบ๊งได้เอง!
ใช่ว่าจะไม่เคยออกปากเรื่องนี้เสียที่ไหน แต่จันทราจีบปากจีบคอว่าผู้หญิงก็รักสวยรักงามกันทั้งนั้น...ฉันซื้อของยังได้ของ! แต่คุณซื้อเหล้ากินกี่หมื่นกี่แสนมาแล้ว ไหนล่ะเหล้า? เห็นแต่ยิ่งอมโรคสารพัดเข้าไปทุกวัน
โธ่เอ๋ย...ผมเคยซ่อนเงินไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกเก่าที่สุดถึงห้าพันบาท หวังจะเก็บเอาไว้แทงม้าตัวทีเด็ดวันอาทิตย์ แต่ขณะที่กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจก จันทราก็นั่งเอนตัวอยู่ที่ขอบเตียง จับตามองยิ้มละไมแบบเจ้าเล่ห์...เมื่อวานลืมบอกไปว่าฉันโชคดี เก็บเงินได้ในตู้ตั้งห้าพันแน่ะ! เออ...เย็นนี้คุณอยากได้กับแกล้มพิเศษอะไรก็บอกได้เลยนะ!
ทั้งผิดหวังและอับอายสาหัส...ผมมองฟันขาวๆ ที่เคยหลงใหลกำลังยิ้มเยาะ แน่ใจว่ามันเหยินขึ้นมานิดหน่อย เลยบอกให้หล่อนไปให้หมอดูแลเหงือกไว้ก่อนก็ดี! จันทรายิ้มแบบแยกเขี้ยวก่อนโต้กลับว่า...คุณก็น่าไปหาหมอเหมือนกันนะ ทำไมแก่ตัวเข้าหน่อยถึงมีไข่ดาวอยู่กลางกระหม่อมล่ะ?
ผมถอดเสื้อขว้างทิ้งท่ามกลางเสียงหัวเราะเสียดแทงใจ...ซาบซึ้งแล้วว่าที่ผัวๆ ทั้งหลายวางแผนฆ่าเมียกันนับไม่ถ้วนน่ะ มันมีสาเหตุมาจากอะไร?
"ขับรถใจลอยอีกแล้วคุณนี่! เดี๋ยวก็ไม่ทันไฟเขียวหรอก เหลืออีกแค่ 10 วินาทีเท่านั้น" เสียงแหวหวาทำให้ผมกระเดือกน้ำลาย "เห็นมั้ย? แล้วก็ไม่ทันจริงๆ ด้วย! โธ่เอ๊ย..."
ในที่สุด เราก็ไปถึงจุดหมายปลายทางทันเวลาพอดี!
งานเลี้ยงแบบค็อกเทลเปิดโอกาสให้พวกญาติมิตรได้ทักทายปราศรัยกัน แม้แต่จับกลุ่มพูดคุยกันได้เต็มที่
จันทราสวยเฉิดในชุดราตรีสีเขียวหัวเป็ด เครื่องประดับเหมาะเจาะ น่าแปลกที่ดูหล่อนทั้งกลมกลืนกับโดดเด่นในกลุ่มผู้หญิงด้วยกัน ไม่ว่ากับวัยสาวเปล่งปลั่งหรือสี่ซ้าห้าสิบปีจนถึงวัยชราที่ราวแต่งเนื้อแต่งตัวคล้ายจะประกวดประขันกันในที
รู้ทั้งรู้ว่าหล่อนไปร้านเสริมสวยตั้งแต่บ่ายเพื่อเสริมสวยเกือบสองชั่วโมง ก่อนจะดูเนี้ยบไปหมดทั้งเสื้อผ้า ผม ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงเกือบสิบปี ถึงจะโบ๊ะหน้ามาค่อนข้างหนาแต่ได้แสงไฟช่วยขับให้โดดเด่นไม่เป็นรองใคร
รอยยิ้มแฉล้มแช่มช้อยเหมือนจะติดใบหน้ามาตั้งแต่เกิด ผมเคยลุ่มหลงชนิดหัวปักหัวปำมาก่อน ก็เพราะรอยยิ้มแบบนี้แหละ
นอกจากนั้นยังมีการเจรจาพาทีอ่อนโยน นุ่มนวล ละมุนละไม นัยน์ตาทอแสงพราวของสตรีผู้มีความสุข ช่ำชองจิตวิทยาและอารมณ์ขันที่มีจังหวะจะโคน ทำให้หล่อนกลายเป็นแม่เหล็กแท่งใหญ่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาห้อมล้อมราวกับดาวล้อมเดือน
เสียอย่างเดียวตรงที่จันทราไม่เคยทิ้งมนต์เสน่ห์เหล่านั้นไว้ที่บ้านเลย แม้เศษเสี้ยวหรือละอองร่วงๆ ของมันก็ยังดี!
ผมรับแก้วเหล้ามาจิบ โบกมือทักทายเพื่อนฝูงที่เริ่มทยอยกันเข้ามาหนาตา ส่วนมากมักจะก้มลงขีดเขียนถ้อยคำในสมุดสวยๆ นั่น...เหมือนผมกับจันทราเมื่อครู่ก่อน โดยผมเขียนแล้วเซ็นชื่อตัวเองกับหล่อนคนเดียวเรียบร้อย
"ขออวยพรให้คู่บ่าว-สาวจงมีแต่ความสุขสดชื่น สมปรารถนาไปชั่วกาลนาน"
++
"รัก" กับข้าว
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1643 หน้า 80
ท่ามกลางเทศกาลทั้งหมดที่เราคนไทยมีอยู่มากมายหลายหลาก ทั้งที่เป็นแบบไทยๆ เองและหยิบยืมมาจากชาติอื่นๆ นั้น ฉันเชื่อว่ามีอยู่เทศกาลหนึ่งซึ่งได้รับการขานรับแบบสุดโต่งอย่างมาก
สุดโต่งในแง่ที่ว่าถ้าชอบก็ชอบมาก ถึงขั้นตั้งหน้าตั้งตารอคอย คาดหวัง วางแผนการอย่างหมายมั่นปั้นมือ
และถ้าไม่ชอบ นี่ก็แทบจะอยากหลับข้ามให้มันผ่านพ้นไปเสียเร็วๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไรด้วย
แน่นอนว่าไม่ใช่วันอนุรักษ์ช้าง วันกองทัพไทย หรือวันการบินสากล
คะแนนของวันนี้มาสูสีฉิวเฉียดกับคืนขึ้นปีใหม่อย่างยิ่ง แต่ที่ฉันให้วันนี้ชนะไปก็เพราะคืนข้ามปีนั้นเรายังพอยักย้ายไปสังสรรค์รวมๆ กันกับหมู่เพื่อนฝูงได้
แต่วันนรกแตกนี้ดูไร้หนทางเสียจริงสำหรับคนบางพวก
พวกที่ว่านั้นก็คือคนโสด
และวันที่ฉันหมายถึงก็คือวันแห่งความรัก หรือวาเลนไทน์นั่นเอง
วันพวกนี้สามารถแปรเปลี่ยนสถานะเราจากคนโสด ไปเป็นขยะได้แบบไม่ยากเย็น
เรา จะรู้สึกตัวว่าเราเป็นส่วนเกินของสังคม เป็นของไร้ค่า โทรทัศน์ทุกช่องทุกรายการจะต้องมีการพาดพิงถึงวันอันแสนพิเศษนี้ บรรยากาศรอบตัวอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความรัก อากาศเหมือนบรรจุไว้ด้วยดอกไม้ ความโสดซึ่งบางวันก็เป็นเรื่องสบายๆ เป็นเรื่องตลกสำหรับเราก็จะกลายเป็นพิษไปได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ
ต้องมานั่งกินข้าวคนเดียวท่ามกลางโต๊ะคู่สองคน
ต้องซื้อพวงมาลัยจากสี่แยกมาไหว้พระแทนที่จะได้กำช่อกุหลาบ
ต้องประคองถุงข้าวโพดคั่วและน้ำอัดลมพะรุงพะรังเต็มสองมือเวลาดูหนังเพราะไม่มีใครช่วยแบ่งเบาไปถือ
ต่อให้กลับบ้านไม่ออกไปเผชิญโลกภายนอกอันโหดร้ายก็ยังหนีไม่พ้น
เปิดทีวีก็เจอแนะนำสถานที่ให้ไปกับคู่รัก
เปิดดูข่าวก็รายงานราคาดอกไม้และสถิติการเสียตัว (เอ่อ...เรื่องนี้มันก็เจ็บมากนะในบางกรณี)
เปิดหน้าเฟซบุ๊กดูก็มีแต่คนหวานชื่นใส่กัน
เป็นเสียอย่างนี้ใครจะไปทนไหว
ปีนี้ฉันเลยมีการเตรียมตัวรับมืออย่างดี
จริงๆ กิจกรรมทำคนเดียวได้ก็มีเยอะแยะ เสียแต่ว่ามันไม่ต้องหัดเพราะใครก็ทำได้ ถ้าใจมั่นคงซักหน่อย
ดูหนัง กินข้าว ไปเที่ยวพักผ่อนนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ต้องมาหัดทำ
ถ้าใจแข็งเดินเดี่ยวฝ่าพายุคู่รักไปได้โดยไม่คลุ้มคลั่งอาละวาดไปเสียก่อนก็ไม่มีปัญหา
แต่ฉันยังไม่มั่นใจนักว่าจะควบคุมตัวเองได้ขนาดนั้น แล้วถึงแม้มนุษย์เราจะเลี่ยงกิจกรรมอื่นๆ ได้ในวันใดวันหนึ่ง แต่นั่นไม่ได้หมายรวมถึงเรื่องของการกิน เพราะเราต้องกินทุกวัน
ฉันมานั่งนึกย้อนไปในปีที่ฉันต้องมานั่งต้มบะหมี่หรือเจียวไข่กินอยู่ที่บ้านคนเดียวฉันจึงตัดสินใจเพิ่มมาตรการรับมือกับภัยพิบัติ
เริ่มด้วยการหัดทำกับข้าวกินเอง
คนชอบคิดหรือไม่ก็แซวกันออกมาตรงๆ ว่าที่ฉันหัดทำกับข้าวนี้เป็นเพราะฉันมีคู่รัก หรือมองไกลไปว่าฉันเตรียมตัวจะออกเรือนโน่นเลย
ซึ่งฉันว่าไม่เกี่ยวซักนิด
ใช่, ฉันอาจจะมีคู่รัก แต่มันก็ยังไม่ใช่ประเด็นอยู่ดี เพราะไม่ว่าจะมีคู่หรือไม่ มนุษย์เราก็ต้องกิน และถึงที่สุดแล้วฉันก็เชื่อว่าฉันมีแนวโน้มจะต้องมีชีวิตอยู่คนเดียวเสียมากกว่า ใช่ว่าจะมากินข้าวได้เฉพาะช่วงมีผัว เอ๊ย มีคู่รักเสียเมื่อไหร่
แล้วการซื้อกินเดี๋ยวนี้ก็ใช่ว่าจะถูก กินคนเดียวจะสั่งอะไรมากนักก็กินไม่ไหว ดูกินทิ้งกินขว้างเป็นอีนางฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ ทั้งที่ใจนั้นแสนจะอยากกินทุกอย่างในเมนูที่วางอยู่ตรงหน้า
เอาน่า...คุณก็รู้ จะเรียกกันไว้ก่อนหรือเรียกแก้เคล็ดหรือจะเรียกว่าเพิ่มทักษะอะไรให้กับชีวิตก็เรียกไปเถอะ
เอาเป็นว่าฉันลุกขึ้นมาหัดทำกับข้าวในวัยสามสิบก็แล้วกัน
โลกแห่งการครัวนั้นดูเป็นเรื่องลึกลับน่ากลัวเสียจริงสำหรับคนที่ไม่เคยลอง
อ่านตำราอาหารกี่เล่มๆ มันก็ยากไปเสียหมด
น้ำซุป, น้ำสต๊อกไก่, ไฟอ่อน, ผัดรวน, จี่, สับหยาบๆ ถ้อยคำเหล่านี้เหมือนปริศนาธรรมที่นอกจากจะไม่ช่วยบอกแล้วยังทำให้ใจหดหู่ท้อแท้
ฉันเลยเริ่มง่ายๆ จากการดู
เปล่า, ไม่ใช่ดูแม่หรือพ่อ
ฉันเริ่มจากการดู Youtube
จะว่าไป มันก็น่าเศร้าเหมือนกัน กับการที่ผู้หญิงคนหนึ่งยืนงงๆ หมุนคว้างอยู่กลางครัวโดยมีโทรศัพท์ที่เปิดช่องยูทูปวางไว้ข้างๆ แถมใจก็แอบหวังว่าน่าจะมีใครโทร.มาชวนไปกินข้าวบ้าง ฉันจะได้ทิ้งมีด กระเทียม ไก่ กุ้งอะไรนี่แล้วสตาร์ตรถเผ่นออกไปในทันที
แต่ในเมื่อมันไม่มี ฉันก็ต้องฝ่าฟันมันไปจนได้
ล่วงเลยมาถึงวันนี้ฉันว่าฉันลดอาการตื่นครัวลงไปได้มาก แล้วก็มีความสุขกับการทำกับข้าวมากขึ้น
ทำเอง กินเอง
มันคงยังมีเรื่องให้ฉันเริ่มต้นและค้นหาอีกเยอะบนโลกใบนี้
ฉันไม่หวังว่าจะต้องรู้ไปเสียทุกอย่างหรอก
ฉันอยากรู้แค่บางเรื่อง บางวิธี บางครั้งบางคราว
มันก็เป็นวิธีเอาตัวรอดอย่างหนึ่งของคนอย่างเราๆ
เป็นหนทางที่เราต้องใช้ชีวิตกันต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
"บันทึกคนเกลียดครัว" เขียนโดย ปราย พันแสง ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2554 โดยสำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม
++++
บทความต้นปีที่แล้ว 2554
คนที่ทิ้งฉันไปคือ"คุณ"
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 07 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1586 หน้า 79
ถึงคุณที่รัก,
ฉันตื่นขึ้นมากลางดึก ตื่นขึ้นมาจากความฝัน
ฉันฝันถึงคุณ
หัวใจฉันยังคงกระตุกวูบแม้กระทั่งในความฝัน แรงกระชากนั้นรุนแรงพอที่จะสั่นสะเทือนมาถึงโลกแห่งความจริงที่ฉันกำลังหลับใหล
และปลุกฉันขึ้นมา
แม้ในตอนนี้ที่ฉันตื่นขึ้นมาแล้วหัวใจของฉันก็ยังสั่นไหว ฉันจำเรื่องในฝันไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงฝันถึงคุณทั้งที่ไม่มีอะไรมากระตุ้นเตือนความทรงจำ ก่อนๆ หน้านี้ฉันหวาดกลัวค่ำคืน ฉันไม่อยากหลับเพราะฉันกลัวการที่ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ ยามตื่นนั้นฉันพอจะรู้จักตัวเองอยู่บ้าง
แต่ยามหลับนั้นร่างกายและจิตใจกลับอยู่นอกเหนือการควบคุม
เราไม่ได้เจอกันานแค่ไหนแล้วหนอ
ฉันรู้ว่าคุณคงไม่ได้สนใจอะไรกับชีวิตฉัน ฉันจะเศร้าจะสุข จะหัวหกก้นขวิดมีคู่รักใหม่อีกสักกี่คนอะไรก็เป็นเรื่องของฉัน
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณอีกแล้ว
ที่จริง การที่ฉันถูกทิ้งนี้ก็ทำให้ฉันกลายเป็นคนมีเหตุผลไป
เพราะฉันฝึกฝนนิสัยข้อนี้ด้วยการหาเหตุผลให้กับการจากลาของคุณ
ฉันไม่มีวันรู้หรอกว่ามันเป็นเหตุผลเช่นที่ฉันคิดจริงหรือเปล่า เพราะคุณไม่เคยบอก
และฉันก็ไม่มีโอกาสได้ถามอีก คนนั้นคนนี้วิเคราะห์วิจารณ์ไปต่างๆ กัน
พยายามหาเหตุผลสารพันมาให้ฉันเลือก
แต่ฉันว่าฉันรู้ถึงเหตุผลของคุณ ทั้งๆ ที่พยายามปฏิเสธนั่นแหละ
ว่ามันจะต้องมีเหตุผลอะไรกันมากมาย
ก็แค่คุณไม่ได้รักฉันอีกต่อไปแล้วเท่านั้นเอง
"ฉันไขว่คว้าหาความสุขเก่าๆ ยื้อยุดไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย ฉันอ้อนวอนขอร้องแทบว่าจะกราบกรานเขา ขอให้เขารักฉันดังเดิม ดูช่างน่าอับอายเสียนี่กระไร ยิ่งเขาตีตัวออกห่าง ฉันกลับทำตัวให้เป็นที่น่ารำคาญ..."
คําตอบหลายๆ อย่างมันก็อยู่ในความเงียบของวิถีชีวิตประจำวันของเราในช่วงเวลานั้น คุณทำให้ฉันอุ่นใจได้อย่างประหลาด
มีบางครั้งที่คุณหลับไปแล้วฉันจะพลิกตัวขึ้นมาเงียบๆ และเพ่งมองหน้าคุณในความมืดตอน แรกมันจะยังมองเห็นอะไรไม่ชัดนัก
จนกระทั่งเมื่อนัยน์ตาปรับให้ชินกับสภาพแสงได้แล้วภาพของคุณก็จะค่อยๆ ชัดขึ้น
แต่เมื่อฉันกระพริบตา ใบหน้าของคุณก็จะกลับไปพร่าเลือนเหมือนเดิม
ตู้เหนืออ่างล้างจานนั้นจะมีบรั่นดีอย่างน้อยขวดหนึ่งเสมอ
คุณจะจิบมันซักอึกหนึ่งก่อนออกไปทำงาน หรือไม่อย่างนั้นก็อีกอึกก่อนนอน
ฉันเคยสงสัยว่าคุณคงจะเครียด คงจะเหนื่อย เลยต้องกินเหล้า
หลังจากคุณจากไปแล้ว
ฉันถึงเข้าใจว่าเหล้ามันก็แค่ทำให้อะไรที่ซ้ำซากมีสีสันขึ้นมาและน่าเบื่อน้อยลง
แต่สิ่งที่ฉันยังคงไม่เข้าใจและคงไม่มีวันจะเข้าใจก็คือ, เรื่องซ้ำซากของคุณนั้นคือฉันหรืองานของคุณกันแน่
มาถึงวันนี้, ฉันกลายเป็นคนระวังตัว ฉันกลัวความเหงา
ฉันกลัวที่จะคว้าใครสักคนไว้อย่างหน้ามืดตามัว ฉันกลัวที่จะคุยกับใครจริงๆ
เพราะถ้าคุยกันแล้วฉันชอบเขาขึ้นมา
ก็ไม่มีอะไรจะรับประกันได้ว่าเรื่องราวมันจะไม่ดำเนินไปตามทางเดิม
คือฉันไม่ใช่คนที่ถูกรัก
"...สิ่งแรกที่พึงระวังก็คือ ความว้าเหว่ ถ้าคุณเหงาและบังเอิญมีใครผ่านเข้ามาในหัวใจ คุณจะเดือดร้อนยิ่งกว่าอยู่ในกองไฟ เพราะคุณจะยึดถือเขาเป็นทุกสิ่งของชีวิต เปรียบได้อย่างคนตกน้ำที่ว่ายน้ำไม่เป็น โผเข้ายึดสิ่งที่อยู่ใกล้ไม่ว่าจะเป็นกอสวะหรือขอนไม้ผุเพื่อให้รอดตาย แต่จะพากันจมลงไปหรือไม่... ...ไม่มีใครรู้ "
"ผมไม่ได้รักคุณ..."
"แล้วที่ผ่านมาเล่า การกระทำต่างๆ ของคุณไม่ได้บอกว่าคุณรักฉันหรอกหรือ"
"ผมเป็นคนเลว ผมไม่ดีเอง..."
เมื่อคุณรับผิดเสียแล้วฉันจะทำอย่างไรต่อไปได้
ฉันคิดว่าฉันควรจะมีรักใหม่เสียที เลือกเอาคนที่รักฉันมากๆ
มากกว่าที่ฉันรักเขา
มากกว่าที่ฉันรักคุณ
"คุณรักคนที่เขาทิ้งคุณไปใช่ไหมล่ะ"
ฉันอยากให้คุณถาม
ฉันจะได้ตอบ ว่าใช่, และคนที่ทิ้งฉันไปก็คือคุณ
เพื่อที่ฉันจะได้หมดเรื่องคาใจ
แล้วจะได้เลิกฝันถึงคุณเสียที
.
Selected Messages & Good Article for People Ideas and Social Justice .. หวังความต่อเนื่องของพลังประชาธิปไตยและการเลือกตั้งของปวงชนอันเป็นรากฐานอำนาจอธิปไตย เพื่อกำกับกติกาและอำนาจการเมือง-อำนาจตุลาการ ไม่ว่าต่อคนชั่ว(เพราะใคร?) และคนดี(ของใคร?) ไม่ให้อยู่เหนือนิติรัฐของประชาชน
http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย