http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-02-19

ระบบ "เซ็นเซอร์" อัตโนมัติ โดย คำ ผกา

.
_______________________________________________________________________________________________

ระบบ "เซ็นเซอร์" อัตโนมัติ
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1644 หน้า 89


"ทว่า ผู้นำเผด็จการเหมือนกันในระดับหนึ่ง จากสตาลินแห่งสหภาพโซเวียต ถึงท่านเหมาของจีน จากเชาเชาคูแห่งโรมาเนีย ถึง ซัดดัม ฮุสเซน ของอิรัก ระบอบเหล่านี้มีเครื่องยศที่แสดงเหมือนกันหมด คือรูปปั้นสูงตระหง่านในจัตุรัสของทุกเมือง ภาพเหมือนที่แขวนอยู่ในที่ทำงานทุกแห่ง นาฬิกาข้อมือที่มีหน้าผู้นำเผด็จการอยู่บนหน้าปัด แต่ คิม อิล ซุง นำลัทธิบูชาบุคคลขึ้นสู่ระดับใหม่ สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากบรรดารูปภาพของอาชญากรที่เป็นผู้นำเผด็จการในศตวรรษที่ 20 คือ ความสามารถในการควบคุมความศรัทธา คิม อิล ซุง เข้าใจถึงพลังแห่งศาสนา ...ผู้ประกาศข่าวจะกล่าวถึง คิม อิล ซุง และ คิม จอง อิล อย่างกระตือรือร้นแบบพวกนักเทศน์กลุ่มจิตตาคมของชาวคริสต์ หนังสือพิมพ์เกาหลีเหนือลงเรื่องราวปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทะเลที่เกิดพายุสงบลงได้เมื่อลูกเรือซึ่งกำลังจะจมร้องเพลงสรรเสริญ คิม อิล ซุง เมื่อ คิม จอง อิล เดินทางไปยังเขตปลอดทหาร กบลึกลับตัวหนึ่งกระโดดออกมาเพื่อปกป้องเขาไว้จากมือปืนชาวเกาหลีใต้ที่ดักซุ่มโจมตี เขาทำให้ต้นไม้ออกดอก หลอมหิมะให้ละลาย ถ้า คิม อิล ซุง เป็นพระเจ้า คิม จอง อิล ก็เป็นบุตรของพระเจ้า เหมือนกับการถือกำเนิดของพระเยซู วันที่ คิม จอง อิล เกิดนั้น ร่ำลือกันว่า ได้รับการประกาศโดยดาวที่ส่องแสงสุกสว่างอบอุ่นอยู่บนท้องฟ้าพร้อมสายรุ้งคู่อันแสนงดงาม นกนางแอ่นตัวหนึ่งจะบินลงมาจากสวรรค์เพื่อร้องเพลงในวันเกิดของ "ท่านจอมพลที่จะปกครองโลกใบนี้" เกาหลีเหนือมักเป็นที่ล้อเลียน เราชาวโลกต่างหัวเราะเยาะกับโฆษณาชวนเชื่อ และความงมงายจนขาดสติของประชาชน แต่หากพิจารณาถึงการปลูกฝังความเชื่อที่เริ่มต้นจากเด็กแบเบาะ ระหว่างเวลาสิบสี่ชั่วโมงในศูนย์รับเลี้ยงเด็กของโรงงาน และในอีกสิบห้าปีหลังจากนั้น บทเพลง ภาพยนตร์ บทความหนังสือพิมพ์ และแผ่นป้ายโฆษณา ต่างรังสรรค์มาเพื่อให้เคารพบูชา คิม อิล ซุง ประหนึ่งพระเจ้า"
(ใต้เงาเกาหลีเหนือ, บาร์บาร่า เดมิค เขียน, ชาธินี ภคสุภา แปล, สนพ. Sansakrit. หน้า 78-79)


นั่นเป็นวิธีการของเกาหลีเหนือ ปิดประเทศ ล้างสมอง ทว่า บางสิ่งบางอย่างบางวิธีการเราช่างรู้สึกคุ้นเคยโดยที่ประเทศของเราเปิดอ้าซ่า

ความมหัศจรรย์ของประเทศไทยคือ "พวกเขา" สามารถสร้างกลไกล "เปิด" และ "ปิด" อย่างเป็นอัตโนมัติในจิตสำนึกของประชาชน

และยิ่งประชาชนที่ได้รับการศึกษาในระบบมากเท่าไร กลไกอัตโนมัติอันนี้จะทำงานได้ดีมากขึ้นเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องแบนหรือเซ็นเซอร์ข่าวหรือหนังสือพิมพ์จากต่างประเทศเลย (การแบนบางเล่มของ The Economist เมื่อสองปีที่แล้วจึงเป็นเรื่องงี่เง่ามาก) เพราะคนไทยที่ผ่านกระบวนฝึกฝน (แปลว่าล้างสมอง) มาอย่างดีจะมีปุ่มอัตโนมัติที่จะบอกตัวเองว่า บทความใดเชื่อถือได้และบทความใดเป็นบทความของฝรั่งสถุลผู้ไม่รู้จักและเข้าใจเมืองไทย

คนไทยจำนวนมากจะมีปุ่มเซ็นเซอร์อัตโนมัติที่จะบอกว่า "ข้อเท็จจริง" ใดที่ไม่สอดคล้องกับ "ความเชื่อและความศรัทธา" ของตนล้วนแต่เป็น "ความเท็จ"

คนไทยไม่จำเป็นต้องถูกปิดหูปิดตาแบบคนเกาหลีเหนือ คนไทยสามารถอยู่กับหนังฮอลลีวู้ด อยู่กับเทศกาลหนังเมื่อคานส์ อยู่กับผลรางวัลแกรมมี่อวอร์ด อยู่กับ มาร์ธา สจ๊วต อยู่กับ หลุยส์ วิตตง ดิออร์ ปราด้า อยู่กับเลดี้ กาก้า อยู่กับ หว่อง กาไว อยู่กับเซ็กซ์แอนด์เดอะซิตี้ อยู่กับซิมซิมิ อยู่กับสามจี สี่จี ห้าจี อยู่กับเคป๊อบ อยู่กับ ติช นัท ฮันห์ อยู่กับ ออง ซาน ซูจี อยู่กับ มหาตมะ คานธี อยู่กับ เช กูวารา อยู่กับ ฟรีด้า คาโล อยู่กับไอน์สไตน์ หรือแม้กระทั่งอยู่กับ เหมา เซ ตุง

เราอยู่ได้กับทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีชิ้นส่วนใดๆ จากสิ่งเหล่านั้นมาสะกิด หรือทำให้เรา "คัน" กับ "ศรัทธา" ต่อ "ความเป็นไทย" อัน-ปัจจุบันนี้ฉันเชื่อแล้วว่ามีลักษณะอันจำเพาะเจาะจงไม่เหมือนใครในโลก ที่ใกล้เคียงอาจจะเป็นความศรัทธาในแบบของ Muslim Fundamentalist -

กวาดสายตาดูข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เรายังพบกฤษฎาภินิหารทั่วไปเกี่ยวกับการหยุดยั้งภัยธรรมชาติ การบันดาลให้ฝนตกหรือหยุดตก การบันดาลให้แดดส่องแสงหรือมืดมน

และที่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งคือการบันดาลให้รอดตายจากอุปัทวเหตุทั้งมวลอย่างเป็นการอัศจรรย์เพียงระลึกหรืออธิษฐานถึงพระคุณ



การอัศจรรย์ของคนไทยที่แตกต่างจากคนเกาหลีเหนือที่สำคัญคือ เราไม่จำเป็นต้องกักขังพวกเขามิให้ออกนอกประเทศ

กลุ่มคนที่ถูกฝังระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติไว้ในจิตสำนึกนั้นยิ่งเดินทางออกนอกประเทศระบบเซ็นเซอร์ยิ่งจะทำงานได้ดีขึ้น ไม่ว่าพวกเขาจะไปยังดินแดนศิวิไลซ์เปี่ยมไปด้วยเสรีภาพ ไม่ว่าพวกเขาจะไปท่องเที่ยวยังยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น หรือต่อให้พวกเขาไปร่ำเรียนที่นั่น ได้ลิ้มรสการใช้ชีวิตในสังคมที่เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ และการปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยเคารพ (หาใช่ความรักแบบพะเน้าพะนอสอพลอ) แต่ระบบเซ็นเซอร์ของพวกเขาจะทำงาน เปิด และ ปิด ไปตามโปรแกรมที่ถูกตั้งเอาไว้

นั่นคือ พวกเขาจะสามารถสรุปให้ตัวเองฟังได้เสมอว่า

"ไม่มีที่ไหนจะดีเท่าบ้านเรา"

"ใครว่าอเมริกาเป็นดินแดนที่มีแต่เสรีภาพ ที่นี่เหยียดสีผิวกันจะตาย"

"ยุโรปอะไรๆ ก็ดี แต่คนใจดำ เย็นชา ไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เหมือนคนบ้านเรา"

"ใครว่าฝรั่งเศสดีอย่างงู้นอย่างงี้ โฮมเลสเยอะแยะ คนจนก็เยอะ พวกฉกชิงวิ่งราวก็เยอะ เชอะ พวกคนที่ชอบบ่นว่าเมืองไทยเนี่ยะ ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยไปเมืองนอกทั้งนั้น"

"เบื่อพวกชอบเห่อฝรั่ง แต่ไม่รู้จักฝรั่งจริงๆ ไม่รู้เหรอว่า คนแก่ฝรั่งน่ะถูกทิ้งให้อยู่เหงาๆ ไม่ได้อยู่อบอุ่น ครอบครัวรักกันแบบครอบครัวคนไทย เฮ้อ ช่างไม่รู้กันเลยว่า วัฒนธรรม ประเพณีแบบไทยๆ น่ะมันแสนดี มีคุณค่าในแบบที่ฝรั่งยังอิจฉา"

"เด็กไทยไปเลียนแบบฝรั่งว่าเขาฟรีเซ็กซ์ หารู้ไม่ว่าเด็กฝรั่งเขาถือเรื่องพรหมจรรย์กันจะตาย พวกคนไทยเนี่ยะไม่รู้อะไรเลยว่า วัฒนธรรมรักนวลสงวนตัวแบบไทยๆ น่ะดีอยู่แล้ว ฝรั่งยังต้องเลียนแบบ"

"ญี่ปุ่นน่ะเจริญก็จริง แต่คนฆ่าตัวตายกันเยอะแยะ ยิ่งเจริญทางวัตถุยิ่งเหงา อยากเป็นแบบนั้นเหรอ สู้เมืองไทยก็ไม่ได้ แม้เราจะไม่เจริญมาก แต่เราก็มีความสุขมากกว่า"

"เอะอะก็อยากมีประชาธิปไตยเหมือนฝรั่ง เอะอะก็อ้างเสรีภาพเหมือนฝรั่ง ฝรั่งน่ะเขาไม่ใช้เสรีภาพกันพร่ำเพรื่อเหมือนพวกที่มาปิดถนนประท้วงกันเป็นเดือนๆ หรอกนะ อยากมีประชาธิปไตยน่ะ คนพวกนี้เมืองนอกก็ไม่เคยไป รู้หรือยังว่าประชาธิปไตยคืออะไร พวกเราอยู่เมืองนอกมานานเสียจนซึ้งแล้วว่า ไม่มีที่ไหนพิเศษเท่ากับการที่เรามีสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจเป็นความรักความศรัทธาที่ฝรั่งไม่มีและพวกฝรั่งมันอิจฉาเราจะตายที่เรามี น่าสมเพชคนไทยพวกนี้ที่ไม่รู้ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ดีที่สุดในโลกที่เรามีอยู่"

ฯลฯ


อัศจรรย์ไหมเล่าว่าเราไม่จำเป็นต้องปิดประเทศ เพียงตั้งระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัตที่จิตสำนึกไว้ให้มั่นคงแล้วละก็ เราไม่จำเป็นต้องปิดประเทศ ไม่ต้องห้ามคนเดินทางออกนอกประเทศ แต่ยิ่งพวกเขาเดินทางมากเท่าไหร่ ระบบเซ็นเซอร์จะยิ่งทำงานดีขึ้นมากเท่านั้น และพวกเขาจะยิ่ง "ปิด" การรับรู้ในใจของพวกเขาอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ทรงพลังขึ้น งมงายขึ้น

ยิ่งร่างกายของพวกเขาอยู่ห่างจากความเป็น "ไทย" มากเท่าไหร่ จิตวิญญาณของพวกเขาจะหิวกระหายความเป็น "ไทย" มากขึ้นเท่านั้น

คนเหล่านี้เมื่อกลับมาเมืองไทย พวกเขาจะโหยหาศาสนาพุทธ จะโหยหาวัด จะโหยหาคำสอนของพระพุทธเจ้า

หากพวกเขามีที่พำนักอาศัยอยู่แดนไกล และหากพวกเขามีทรัพยากรมากพอ พวกเขาจะนิมนต์ อัญเชิญ พระสงฆ์ในดวงใจของพวกเขาไปเทศน์ไปเที่ยวและไปเผยแผ่ความเป็นไทยให้ฝรั่งทึ่ง

และเพื่อจะได้ข้อสรุปว่า "ดูสิ ขนาดฝรั่งเค้ายังนับถือความเป็นไทยของเรา แต่ทำไมคนไทยกลับไม่เห็นคุณค่า"


ความอัศจรรย์ในกระบวนการกลายมาเป็น "ไทย" อย่างที่เรารู้จักทุกวันนี้ทำให้ฉันสงสัยว่าทำไมเกาหลีเหนือไม่มาดูงานที่เมืองไทย

เพราะวิธีการปิดประเทศล้างสมองแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันเถรตรงเกินไป รังแต่จะโดนทั่วโลกประณามหยามเหยียด

แม้แต่คนไทยที่สมองและจิตสำนึกโดนติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ปิดและเปิดอัตโนมัติยังก่นด่าว่า "น่าสงสารคนเกาหลีเหนือ"

จะเห็นว่าระบบเซ็นเซอร์ของไทยเก่งมาก เพราะตั้งระบบเกลียดกลัวเผด็จการอย่าง เกาหลีเหนือ หรือพม่าเอาไว้ด้วย

ขณะเดียวกัน มันก็กลบเกลื่อนความเป็นเผด็จการของตัวมันเองไว้อย่างแนบเนียนและปรากฏตัวอยู่ในนามของความเป็น "ประชาธิปไตย" และ "เสรีนิยม"

ไม่เพียงเท่านั้น มันยังเพิ่มสรรพคุณให้ตัวมันเองว่า มันไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเพียวๆ แต่มันมีคุณค่ามากกว่าประชาธิปไตยทุกแบบในโลกนี้ เพราะมันผนวกคุณค่าของ "ธรรมะ" ของพุทธศาสนา ทั้งนี้ เพราะต้นแบบประชาธิปไตยในโลกนี้ไม่ใช่ใครเลย แต่คือ พระพุทธเจ้านั่นเอง ไม่เชื่อไปถาม ไอน์สไตน์ ดูก็ได้ ความข้อนี้ "ทั่น วอ." ก็ยืนยันอยู่



คนไทยที่มีวิถีชีวิตเป็นคนในเมืองใหญ่ ใช้รถไฟฟ้า นั่งรถใต้ดิน มีไอพอดไอแพดไอโฟน อยู่กับทุกเทคโนโลยีทันสมัยของโลก สวมเสื้อผ้าตามแฟชั่น ทรงผมเก๋ไก๋ และมีแววตาฉลาดเฉลียว

ทว่า พวกเขาสามารถอยู่กับการโฆษณาชวนเชื่อเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงในเกือบทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาบนบีทีเอส เพลงในรถใต้ดิน เพลงที่เปิดในทุกชานชาลาของรถไฟฟ้า

ส่วนในต่างจังหวัดนั้น ทำผ่านระบบเสียงตามสายในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เทศบาล รูปที่มีทุกหทุกแห่ง เพลงคั่นเกือบทุกรายการวิทยุ โทรทัศน์ สารคดี นิทรรศการ ภาพถ่าย ภาพเขียน ฯลฯ

เหล่านี้อยู่ในชีวิตของเราตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงก่อนนอน (โชคร้ายที่ในชนบทนั้น กระบวนการติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ทำได้ไม่ดีนัก เนื่องจากความบกพร่องในระบบการเรียน การสอน และการศึกษาที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จะเห็นว่าในช่วงหลังๆ ระบบเซ็นเซอร์ของคนต่างจังหวัด ทำงานได้ไม่ดีเท่ากับคนในกรุงเทพฯ)

แปลกไหมที่คนทันสมัยเหล่านี้ไม่ได้เห็นว่าสิ่งที่ตนเองสร้างและเสพอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคือโฆษณาชวนเชื่อ ไม่เคยสงสัยในป้าย ในรูปที่ล้นเกิน ไม่เคยตั้งคำถามกับตรรกะอันวิปลาสในคำขวัญนานาชนิด แต่กลับเห็นว่านี่เป็นสิ่งแสนสามัญ แสนถูกต้องและ "นี่แหละคือ โลก มันต้องเป็นเช่นนี้ โลกอื่นสิแปลกที่ไม่เป็นเหมือนเรา"

แปลกไหมที่คนไทยมีรูปแบบประโยคสำเร็จรูปที่ไม่จำเป็นต้องมีความหมายตามตัวอักษร เช่น โดยขึ้นต้นประโยคว่า "เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ..." เราสามารถพูดประโยคนี้โดยไม่ตั้งคำถามว่า "เป็นเมืองพุทธแล้ว...?" ทั้งนี้ เพราะเราถูกสั่งโดยโปรแกรมอัตโนมัติว่า "เมืองไทยเป็นเมืองพุทธดังนั้นเมืองไทยทำอะไรก็ไม่ผิด"


เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเมืองไทยมีโสเภณีมาก มีการค้ามนุษย์มาก มีการกดขี่มาก มีการฆ่ากันมาก มีความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นมาก มันก็เป็นความผิดของบรรดาคนที่ไม่ยอมเข้ามาอยู่ในร่มเงาของความเป็น "พุทธ"

สิ่งแปลกปลอมจากความเป็นพุทธเหล่านี้น่ารังเกียจต้องถูกขจัดออกไปจากปริมณฑลแห่งความเป็นไทยเสียก็เท่านั้น

โปรแกรมของประโยคสำเร็จรูปอย่าง "เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ..." คือโปรแกรมตั้งอัตโนมัติให้คนไทยหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง

นั่นคือเราถูกตั้งโปรแกรมมาให้เห็นแต่สิ่งที่ "เขา" บอกให้เราเห็นและ "มืดบอด" ต่อสิ่งที่ "เขา" บอกว่าเราไม่ต้องเห็น เมื่อไม่เห็นก็คือ "ไม่มี"

"เขา" ที่คิดค้นระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติในจิตสำนึกของคนไทยนั้นเป็นใคร "ไม่รู้" รู้แต่ว่าเขาคืออัจฉริยะโดยแท้



.