http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-02-03

ความเป็นไทยขึ้นสมอง: สมุฏฐาน, ..ชาติที่ไม่ใช่ของผู้มีปืน, ความเป็นคน โดย เกษียร เตชะพีระ

.

'ไข้ความเป็นไทยขึ้นสมอง: สมุฏฐาน'
โดย เกษียร เตชะพีระ
ในมติชน ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 20:00:00 น.


ความเป็นไทยถ้าไม่มีเสียเลยก็คงรู้สึกไร้รากหลุดลอยว้าเหว่วิเวกวิเหวโหวเคว้งคว้างหงอยเหงากลวงเปล่าในใจเพราะขาดเอกลักษณ์ประชาชาติในตัวตน

ถ้ามีสมน้ำสมเนื้อพอประมาณ อย่างที่เรียกกันว่าแบบ "ไทยๆ" ก็พอจะสามารถกำกับจัดการดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขให้เข้ายุคเข้าสมัยรับใช้ชีวิตคนไทยที่เปลี่ยนไปได้อย่างพอเหมาะพอสม (ดู ประชา สุวีรานนท์, อัตลักษณ์ไทย: จากไทยสู่ไทยๆ, 2554)

แต่ถ้ามีมากเกินขนาด ถึงขั้นควบคุมอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดจิตใจให้สมดุลด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้ เกิด "อิน" กับความเป็นไทย (internalization of Thainess) จนคุมตัวเองไม่อยู่ ก็อาจพลิกกลับลุกลามกลายเป็นเหมือนพยาธิสภาพหรือโรคแบบหนึ่ง ซึ่งจะมีอาการแสดงออกขั้นต้นที่สำคัญพอให้เราสังเกตรู้ได้ 2 อย่างคือ: -

1) ชอบร้องถามใครต่อใครเชิงคาดคั้นปรักปรำว่า "เป็นคนไทยหรือเปล่า?"

สะท้อนว่ามองความเป็นไทยคับแคบและหยุดนิ่งมาก ถือความเป็นไทยในอุดมคติแบบฉบับของตัวเองเป็นที่ตั้งอย่างอัตตาธิปไตย ใครผิดแผกแตกต่างวิวัฒน์ผันแปรไปจากสูตรสำเร็จความเป็นไทยฉบับนี้แล้ว ก็ให้สงสัยไว้ก่อนได้เลยว่าไม่ใช่คนไทย

มิไยว่าสังคมไทยจะเปลี่ยนแปลงแตกต่างหลากหลายกลายเป็นอภิมหาพหุลักษณะทั้งเชื้อชาติ, ภาษา, วัฒนธรรม, ศาสนา, ทรรศนะการเมือง, เทคโนโลยี, การทำมาหาเลี้ยงชีพทางเศรษฐกิจ ฯลฯ สักเพียงใด พ่อ/แม่เจ้าประคุณก็หลับหูหลับตา ไม่รู้ไม่เห็นไม่ยอมฟัง จะเป็นไทยจริงได้ก็ต้องเป็นไทยเหมือนข้าพเจ้าเท่านั้น เป็นแบบอื่นไม่ได้...เอวัง

2) ชอบร้องไล่ใครต่อใครที่คิดหรือพูดหรือทำหรือแสดงท่าทีพฤติกรรมต่างจากความเป็นไทยแบบที่ตัวยึดมั่นถือมั่นในเชิงข่มขู่คุกคามว่า "ออกไปอยู่นอกเมืองไทยซะ!"

ซึ่งสะท้อนอีกเหมือนกันว่ามองแผ่นดินไทยคับแคบมาก คิดว่าแผ่นดินไทยตั้ง 513,115 ตารางกิโลเมตร ผืนนี้เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ที่เชื่อความเป็นไทยในแบบฉบับของตัวเองเท่านั้น หากเชื่อถือความเป็นไทยแบบอื่นหรือ ไม่เชื่อ/สงสัยความเป็นไทยมาตรฐาน TSO (Thainess Standardiation Organization) ที่ตนเองและหน่วยงานใต้สังกัดตบเท้าการันตีแม้แต่น้อยแล้ว ก็ไม่ควรอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันอีกต่อไป

จงขนย้ายข้าวของลูกเมียครอบครัวอพยพออกไปอยู่ที่อื่นซะ เพราะในสายตาขวางๆ ของท่านนั้น แผ่นดินนี้พูดให้ถึงที่สุดแล้วจะเป็นของพลเมืองสัญชาติไทยทุกคน เท่าเทียมกันโดยไม่เลือกเพศสีผิวเชื้อชาติภาษาวัฒนธรรมความเชื่อทางการเมืองอย่างที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ก็หามิได้

หากควรจะเป็นจำเพาะของคนที่เชื่อความเป็นไทยแบบท่านเหมือนท่านเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว และในฐานะที่ท่านมีความเป็นไทยคู่ควรแก่การถือเอกสิทธิ์ เป็นเจ้าของชาติ ท่านจึงมีสิทธิอำนาจโดยชอบที่จะไล่ตะเพิดพวกที่คิดต่างจากความเป็นไทยแบบท่านออกไปจากแผ่นดินนี้ มิไยว่ารัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้อย่างไรก็ตามที....เอ้าแถวตร๊ง ซ้ายหัน ขวาหัน กลับหลังหัน ฯลฯ


แน่นอนว่าหากเยียวยารักษาไม่ทันกาล อาการไข้ขั้นต้นดังกล่าวก็อาจกำเริบขึ้นสมองถึงแก่ขาดสติสัมปชัญญะ หูตาฟั่นเฝือ เห็นคนไทยที่มีความเป็นไทยไม่เหมือนตนไม่เป็นคนไทยและไม่ใช่คน ลุ่มหลงยึดติดความเป็นไทยจนลืมความเป็นคน และในที่สุดก็หันมารักษาความเป็นไทยไว้ด้วย การฆ่าคนไทยด้วยกันเองจนเลือดไทยอาบนองแผ่นดินไทย ศพคนไทยก่ายกองให้ลูกไทยหลานไทย ร่ำไห้กลบฝังครั้งแล้วครั้งเล่าไม่จบไม่สิ้น

ตั้งแต่ 14 ตุลาฯ 2516, 6 ตุลาฯ 2519, พฤษภามหาโหด 2535, กรือเซะ-ตากใบ 2547, ยันเมษา-พฤษภาอำมหิต 2553.......

เอาเข้าจริงการล้วงความเป็นไทยจากกระเป๋า/ถุงย่ามขึ้นมาใช้อ้างเถียงฉอดๆ ในยามคับขัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หน้าที่ของเอกลักษณ์แห่งชาติในยุคสมัยใหม่ก็เป็นเช่นนี้แหละ คือเป็นเหมือนหนึ่งแผนที่ความคิดที่ปลูกฝังไว้ในส่วนลึกของจิตสำนึกชุมชน แม้ไม่ถึงกับต้องหยิบออกมากางดูทุกวี่วัน แต่ก็เป็นอุปกรณ์ที่ขาดเสียมิได้เพื่อใช้กำหนดจุดที่ตั้งตำแหน่งฐานะแห่งตัวตนของตัว ในยามหลงทางเคว้งคว้างหรือเผชิญวิกฤต

ณ บัดนั้นก็พลันสว่างวาบ รำลึกนึกถึงเอกลักษณ์แห่งชาติขึ้นมาได้ในยามคับขัน (เหมือนตะกรุดหลวงพ่อเครื่องรางของขลังห้อยคอ) โดยที่เอกลักษณ์ดังกล่าวไม่จำต้องเกี่ยวข้องพ้องตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ถ้วนทุกประการแต่อย่างใด (Tom Nairn, The Enchanted Glass: Britain and Its Monarchy, 1988, pp. 91-93)


ก็แลความเป็นไทยของ ฯพณฯ ซึ่งมุ่งจรรโลง [โครงสร้างสังคมศักดินาที่แบ่งคนออกเป็น ลำดับชั้น] + [โครงสร้างอำนาจอาญาสิทธิ์ของรัฐรวมศูนย์] และธำรงรักษาไว้ด้วยชุดเครื่องมือ [การอุปถัมภ์+กำลังรุนแรง] นั้นก็จัดอยู่ในข่ายดังกล่าว (ดูสายชล สัตยานุรักษ์, "การสร้าง ?ความเป็นไทย? กระแสหลักและ ?ความจริง? ที่ ?ความเป็นไทย? สร้าง", ฟ้าเดียวกัน, 3:4 (ตุลาคม-ธันวาคม 2548), 41-42)

คือไม่ใช่ความเป็นไทยอันแตกต่างหลากหลายทั้งหมดเท่าที่ประวัติศาสตร์ของผู้คนบนแผ่นดินผืนนี้จะมีให้

หากเป็นแค่บางส่วนบางเสี้ยวบางด้านที่ถูกคัดกรองแยกส่วนประกอบออกเก็บเอาไว้ แต่ชิ้นส่วนที่สนองตอบต่อโครงสร้างสังคมศักดินาและรัฐอาญาสิทธิ์ข้างต้น จัดใส่หีบห่อติดยี่ห้ออย่างดีว่า "ความเป็นไทย" แล้วประสิทธิ์ประสาทให้กับอนุชนรุ่นหลังว่านี่แน่ะหนูๆ รู้ไหม อันนี้แหละความเป็นไทยแท้ๆ จงเชื่อตามทำตามถนอมรักษาไว้และสืบทอดต่อไปชั่วกาลนานเทอญ


อะไรบ้างที่ความเป็นไทยศักดินาอาญาสิทธิ์กระแสหลักทำหล่นหายหลงลืมไป? หลายอย่างครับ อาทิ

1) ความเสมอภาค

ศรีปราชญ์ บุตรพระโหราธิบดี กวีเอกอัจฉริยะแต่วัยเยาว์แห่งกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อถูกท้าวศรีจุฬาลักษณ์ พระสนมเอก เขียนโคลงต่อว่าเพราะบังอาจเมาสุราไปยืนข้างๆ ในคืนลอยกระทงว่า: -

หะหายกระต่ายเต้น ชมจันทร์
มันบ่เจียมตัวมัน ต่ำต้อย
นกยูงหางกระสัน ถึงเมฆ
มันบ่เจียมตัวน้อย ต่ำต้อยเดียรฉาน ฯ

ศรีปราชญ์ได้ยินดังนั้น จึงย้อนไปเป็นโคลงบ้างว่า: -

หะหายกระต่ายเต้น ชมแข
สูงส่งสุดตาแล สู่ฟ้า
ระดูฤดีแด สัตว์สู่ กันนา
อย่าว่าเราเจ้าข้า อยู่พื้นเดียวกันฯ

โคลง ที่ยืนกรานความเสมอภาคพื้นฐานทางชีววิทยาระหว่าง "เจ้าข้า" ในฐานะคนเดินดินเหมือนกันนี้ส่งผลให้กวีศรีปราชญ์ต้องโทษจำคุก และถูกกลั่นแกล้งจนต้องเนรเทศและประหารชีวิตในกาลต่อมา และมันก็ได้ตกทอดกลายเป็นส่วนหนึ่งของมรดกความเป็นไทยเหมือนกัน ไม่ด้อยน้อยหน้าไปกว่าส่วนอื่น


2) เสรีประชาธิปไตย

เทียนวรรณ วรรณาโภ ปัญญาชนผู้ขวนขวายหาความรู้สมัยใหม่ใส่ตัวเองในสมัยรัชกาลที่ 5 อีกทั้งเป็นนักโทษต้องขังอยู่นานถึง 17 ปี ด้วยข้อหาหมิ่นตราพระราชสีห์ (ซึ่งในสมัยนั้นเทียบได้กับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) และหมิ่นประมาทเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตร เนื่องจากไปเขียนฎีกาให้ราษฎรผู้หนึ่ง, ได้เขียนบทกลอนไว้ในหนังสือ ตุลวิภาคพจนกิจ เล่ม 6 พิมพ์เมื่อวันที่ 8 กันยายน ร.ศ.125 เกี่ยวกับเสรีภาพ (ฟรี) และระบอบรัฐสภา (ปาลิเมนต์) ว่า:-

"ไพร่เป็นพื้นยืนร้องทำนองชอบ ตามระบอบปาลิเมนต์ประเด็นขำ

แม้นนิ่งช้าล้าหลังยังมิทำ จะตกต่ำน้อยหน้าเวลาสาย..

ขอให้เห็นเช่นเราผู้เฒ่าทัก บำรุงรักษาชาติสะอาดศรี

ทั้งเจ้านายฝ่ายพหลและมนตรี จงเป็นศิวิไลซ์จริงอย่านิ่งนาน

ให้รีบหาปาลิเมนต์ขึ้นเป็นหลัก จะได้ชักน้อมใจไพร่สมาน

เร่งเป็นฟรีปรีดาอย่าช้ากาล รักษาบ้านเมืองเราช่วยเจ้านาย"

(อ่านต่อฉบับหน้า)



++

ความเป็นไทยที่ถูกลืม ชาติที่ไม่ใช่ของผู้มีปืน
โดย เกษียร เตชะพีระ
ในมติชน ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 20:00:00 น.


ผมได้นำเสนอว่านอกจากความเป็นไทยกระแสหลักแบบสังคมศักดินา-รัฐอาญาสิทธิ์แล้ว ยังมีมรดกความเป็นไทยกระแสอื่นๆ อีก ชั่วแต่ว่าถูกกดกลบบดบังไว้หรือมองข้ามละเลยไปในประวัติศาสตร์ ไม่ว่ามรดกความเป็นไทยที่เน้นความเสมอภาคของศรีปราชญ์, หรือมรดกความเป็นไทยที่ยืนยันเสรีภาพและระบบรัฐสภาของเทียนวรรณ เป็นต้น

นั่นหมายความว่าเมื่อกล่าวถึงกระแสหลากหลายต่างๆ นานาในวัฒนธรรมไทยแล้ว ไม่ว่าต้นธารจะมาจากไหน: ชมพูทวีป ราชอาณาจักรจีน ตะวันออกกลางหรือยุโรป

ไม่ว่าจะไหลแผ่เข้ามาผ่านสื่อภาษาใด: บาลี/สันสกฤต จีน อาหรับหรือโปรตุเกส/วิลันดา/ฝรั่งเศส/อังกฤษ/เยอรมัน/รัสเซีย

และไม่ว่าจะนำพาคติลัทธิศรัทธาอะไรเข้ามา: ฮินดู พุทธ อิสลาม สิกข์ คริสต์ ยิว ขงจื๊อ เจ้าแม่กวนอิม ปุนเถ้ากง ยุครู้แจ้ง เสรีนิยม ประชาธิปไตย ราชาธิปไตย สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ อนาธิปไตย โพสต์โมเดอร์นิสต์ ฟาสซิสต์ ฯลฯ

ลงได้ถูกแปล/แปรเป็นภาษาไทย เข้าปะทะประสานปฏิสัมพันธ์กับคติขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรมและฉันทลักษณ์ไทยๆ มีชีวิตโลดเต้นขับเคลื่อนผันแปรอยู่ในครรลองความคิด ความเชื่อของผู้คนในสังคมไทยแล้ว มันก็ย่อมกลายเป็นน้ำเนื้อส่วนหนึ่งของความเป็นไทยอย่างเป็น ธรรมชาติธรรมดาอยู่ดี ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม

เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ที่ตั้งทางวัฒนธรรมของสังคมไทยมักมีลักษณะเป็นเมืองท่าเปิด (entrepot แบบอยุธยา, ธนบุรี, บางกอก) ที่ซึ่งสินค้าข้าวของผู้คนหลากชาติหลายภาษาไหลรวมมา บรรจบกัน, ไม่ใช่ค่ายกักกันหรือเรือนจำความคิดที่มีรั้วรอบขอบชิด (แบบเกาหลีเหนือ เป็นต้น)

ดังนั้น จึงป่วยการถามว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า? หรือไม่ชอบหน้าแล้วจะเฉดหัวเขาไปอยู่ที่อื่น ไม่ว่าพระลักษมณ์ พระราม คานธี (แขกอินเดีย) อิเหนา (แขกชวา) บุเรงนอง (พม่า) เล่าปี่ ตั๋งโต๊ะ โจโฉ ลี้คิมฮวง ก๊วยเจ๋ง (เจ๊กจีน) เอฟโฟร์ เรน (เกาหลี) ไมเคิล แจ๊คสัน มาดอนน่า เลดี้กาก้า หรือแฮร์รี่ พอตเตอร์ (ฝรั่ง) ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นต่างด้าวที่อพยพกันอวตารมาอยู่ในวัฒนธรรมไทยแล้วทั้งสิ้น ขืนไล่ออกไปหมด เราเองนั่นแหละจะยากจนลงและน่าเบื่อขึ้นทางวัฒนธรรม

เท่าที่เป็นอยู่นี้ก็เบื่อจะตายอยู่แล้ว เอะอะอะไรคำสองคำก็ทักษิณ, ล้มเจ้า, ปฏิวัติ, รัฐประหาร ฯลฯ ไม่เลือกวันตรุษวันพระวันโกน ข่มขู่กร่างกร้าวราวกับประเทศนี้เป็นของจอมโยธี ผู้มีปืนกลุ่มเดียว

ทั้งที่ น.ม.ส.ปราชญ์และกวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ร้องทักมาตั้งนานแล้วว่าไม่ใช่!


น.ม.ส. เป็นนามปากกาของ พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ (พ.ศ.2419-2488) ทรงเป็นพระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ วังหน้าองค์สุดท้ายในรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยรัชกาลที่ 4)

เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบและเรียนภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เองแล้ว ได้ทรงเข้ารับราชการสำคัญหลายตำแหน่งตลอดสามแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประพาสยุโรปเมื่อ พ.ศ.2440 และทรงเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประเทศอังกฤษอีก 2 ปี

ทรงนิพนธ์วรรณกรรมทั้งร้อยแก้วร้อยกรองโดดเด่นคมคายชวนคิดเป็นที่รู้จักแพร่หลายมากมายหลายเรื่อง เช่น จดหมายจางวางหร่ำ (พ.ศ.2448), นิทานเวตาล (พ.ศ. 2461) เป็นต้น

พระนิพนธ์เล่มสุดท้ายคือ สามกรุง (พ.ศ.2487) ซึ่งได้รับยกย่องเป็นกวีวัจนะเล่มแรกของไทย น.ม.ส.ทรงนิพนธ์ขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ภายใต้รัฐบาลของ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม "ท่านผู้นำ" ที่ได้นำประเทศไทยเข้าร่วมรบเคียงข้างญี่ปุ่นในวงมหาไพบูลย์เอเชียบูรพากับฝ่ายสัมพันธมิตร โดยขณะนั้นพระองค์ทรงประชวรต้อกระจก ต้องให้พระธิดาคือหม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต จดตามคำบอกของพระองค์

ในตอนกรุงธนบุรีของหนังสือสามกรุง น.ม.ส.ได้ทรงนิพนธ์ถึงชุมนุมเจ้าพระฝาง อันเป็นก๊กหนึ่งในจำนวน 4-6 ก๊กใหญ่ที่ได้รวบรวมผู้คนตั้งตัวเป็นอิสระหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในปี พ.ศ.2310 โดยมีผู้นำเป็นพระสงฆ์คือ พระพากุลเถระ (มหาเรือน) พระสังฆราชาแห่งเมืองสวางคบุรี (ฝาง) จนกระทั่งพระเจ้าตากสินทรงยกทัพเข้าตีแตกพ่ายไปเพื่อรวมแผ่นดินเมื่อ พ.ศ.2313

น.ม.ส.ทรงบรรยายสภาพก๊กพระเจ้าฝางไว้อย่างเสียดลึกแยบคาย สะทกสะท้อนสภาพบ้านเมืองร่วมสมัยของพระองค์เองไว้ผ่านนัยแฝงแห่งถ้อยคำที่จงใจใช้ข้ามยุคข้ามสมัย (ironic or strategic anachronism ดูคำที่ขีดเส้นใต้) ว่า: -

ครานี้จะกล่าวบทถึง เถรหนึ่งฐานะเจ้าพระฝาง

ไม่ใช่พระไม่ใช่เจ้าเข้าระวาง ตัวอย่างผิดแลกแปลกกฎเกณฑ์

เคยเป็นบรรพชิตจิตเลื่อมใส เด็กผู้ใหญ่ศรัทธาขรัวตาเถร

ครั้งโชคมาชตาโยนก็โอนเอน เป็นเถนทุราจารพาลเสเพล

คราวกรุงยุ่งยับอับวาศนา อยุธยาธิปตัยก็ไขว้เขว

สังฆราชเมืองสวางค์ต่างทำเล สมคเนน่าที่เป็นผีบุญ

ครองไตรยสีแดงแผลงหนักหนา สถาปนาตนเผ่นขึ้นเป็นขุน

สาวกฉกฉวยร่ำรวยทุน เจ้าประคุณพระฝางวางตำรา

จัดวงไพบูลย์ภูลโภค ใช้โฉลกอำนาจวาศนา

ฉาวๆ ป่าวประโยชน์โฆษณา จูงใจไพร่ฟ้าประชากร

อ้างเหตุบ้านเมืองเคืองเข็ญ เป็นทางวาจาอุทาหรณ์

พูดอะไรพูดได้ไม่อาวรณ์ ราษฎรโง่เง่าเหมือนเต่าปลา

ห่มจีวรสบงเหมือนทรงศีล แต่ป่ายปีนไปปราศสาสนา

ฆ่ามนุษย์รบพุ่งมุ่งจินดา อทินนาทายีไม่มีอาย

เสพย์สตรีมีรศไม่หมดรัก เยื้องยักแยบอย่างทางฉิบหาย

เป็นพระปลอมเจ้าปลอมจอมอุบาย อันผายแผ่ตนเพื่อผลพาล

โฆษณาจูงใจได้ทุกสิ่ง เหล่าหญิงยอมกายถวายท่าน

พวกถูกปล้นไม่ชอบระบอบการ แต่ทัดทานไม่ไหวจำใจยอม

ผูกขาดค้าขายถ่ายทรัพย์สูญ ไปเข้าวงไพบูลย์โดยลม่อม

ปวงราษฎร์ปราศฤทธิ์ต้องอิดออม อำนาจย่อมอยู่ในมือผู้ถือปืน

เทศน์ให้คนสมัคทางรักชาติ รักจนขาดลมหายใจอย่าใฝ่ฝืน

บ้านเมืองคับขันต้องยันยืน ชีวิตยื่นให้ชาติปราศกีดกาง

เข้าเงินเรี่ยไรไม่รู้เบื่อ ต้องเชื่อผู้นำทำต่างต่าง

ไม่ให้ทำไม่ทำอย่าอำพราง ทุกอย่างไว้ใจในผู้นำ

จะนำไปทางไหนไม่ต้องบอก แซกซอกไม่หยุดมุดให้หนำ

แม้ลำบากยากแค้นแสนระกำ ก็ต้องทำเพื่อชาติปราศจำนรรจ์

ฉันเป็นผู้นำชาติอาจนำให้ ทั้งชาติได้ประจักษ์ศักดิ์สุขสันต์

ฉันนี่แหละเป็นผู้รู้เท่าทัน เพราะเหตุว่าชาตินั้นคือฉันเอง

ท่านรักชาติแม้จะม้วยต้องช่วยชาติ ไม่บังอาจพูดโป้งทำโฉงเฉง

ฉันคือชาติชาติคือฉันหันตามเพลง จงยำเยงจอมโยธีผู้มีปืนฯ


ถือเป็นชิ้นส่วนมรดกความเป็นไทยที่ลุกขึ้นมาเสียดสีท้าทายชาตินิยมทหารของท่านผู้นำอย่างไม่พรั่นพรึงต่ออำนาจรัฐ กลไกโฆษณาชวนเชื่อและอาวุธยุทโธปกรณ์ของจอมโยธีผู้มีปืน

ชะรอยจอมโยธีผู้มีปืนรุ่นหลังจะไม่อ่านสามกรุงกันเสียแล้วกระมัง?



++

'ความเป็นไทย+ความเป็นคน'
โดย เกษียร เตชะพีระ
ในมติชน ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 03 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 21:00:00 น.


ท่ามกลางการถกเถียงสาธารณะเกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา 112 ในปัจจุบัน มีการหยิบยกอ้างอิงเอกลักษณ์ไทยหรือความเป็นไทย มาตั้งประจันเป็นขั้วตรงข้ามโต้แย้งหลักสิทธิมนุษยชนสากลในลักษณะสัมพัทธนิยม (relativism) ในความหมายที่ว่าคนไทยมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ไม่เหมือนคนทั่วไปในโลก หลักสิทธิมนุษยชนจึงไม่อาจประยุกต์ใช้กับคนไทยได้เต็มร้อย ต้องมีข้อยกเว้น ดังเช่นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย จะเอาไปเปรียบกับกฎหมายปกป้องประมุขรัฐทำนองเดียวกันของประเทศอื่นตามเกณฑ์สิทธิมนุษยชนสากลไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่ผิดแปลกที่เราจะกำหนดโทษไว้หนักกว่า หรือเปิดช่องให้ไม่ว่าใครก็ฟ้องร้องกล่าวโทษผู้อื่นข้อหานี้ได้ มิไยว่ามันจะเป็นช่องโหว่ให้ข้อหานี้ถูกฉวยใช้ทางการเมืองไปในทางมิชอบก็ตาม เป็นต้น

คำกล่าวอ้างนี้ก่อเกิดปฏิกิริยาหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือบทกลอนประจำวันอาทิตย์ใน มติชนรายวันหน้า 3 มุมบนซ้ายของ คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ กวีเจ๊กปนลาว เมื่อ 18 ธันวาคม ศกก่อนว่า

คนทั้งโลกมองเห็นเป็นสีดำ
แต่เจ้ากรรมมองเห็นเป็นสีขาว
ความเป็นไทยคล้ายมนุษย์ต่างดาว
ไม่เหมือนชาวโลกนี้ที่เป็นคน


แน่นอนว่าแนวทรรศนะเจ้ากรรมทำนอง "ความเป็นไทย...ไม่เหมือนคน" ที่คุณสุจิตต์วิจารณ์ข้างต้นจะเป็นตัวแทนถ่ายทอดกระแสวัฒนธรรมในสังคม และประวัติศาสตร์ไทยอย่างครบถ้วนเบ็ดเสร็จเชิงเดี่ยวก็หามิได้ เพราะยังมีวัฒนธรรมไทยกระแสอื่นแนวอื่นในประวัติศาสตร์ที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะที่ผูกความเป็นไทยเข้าแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวเนื้อเดียวกับความเป็นคนในความหมายสิทธิมนุษยชนสากล ยืนยันว่าคนไทยก็เหมือนคนทั่วไปในโลกที่ล้วนทรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพเหนือ ร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สิน การแสดงออกและความคิดเห็นทางการเมือง และชอบแล้วที่จะลุกขึ้นต่อต้านคัดค้านการกดขี่ข่มเหงรังแกปราบปรามเข่นฆ่าของอำนาจเผด็จการทั้งมวล

ชั่วแต่ว่าชะตากรรมของความเป็นไทยที่คู่กับความเป็นคนนี้ค่อนข้างลำบากระหกระเหิน ถูกอำนาจความเป็นไทยแบบสังคมศักดินาและรัฐอาญาสิทธิ์จองจำกดทับเบียดขับกลบเกลื่อนไว้ ไม่ต่างจากที่ศรีปราชญ์, เทียนวรรณ หรือ น.ม.ส. เคยประสบแต่ก่อน

ผมหมายถึงความเป็นไทยที่ประดิษฐ์สร้างด้วยบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ (พ.ศ. 2473-2509) โดยเฉพาะระหว่างที่เขาถูกอำนาจปฏิวัติอาญาสิทธิ์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จับติดคุก ขังลืมด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์อยู่กับเพื่อนร่วมชะตากรรมกว่า 300 คน ณ คุกลาดยาวหลังรัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 จนได้รับการปล่อยตัวพ้นข้อหาเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ.2507

ช่วงหลังจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่กรรมด้วยโรคตับแข็งปลายปี พ.ศ.2506 บรรยากาศการเมืองผ่อนคลายลง มีการเปิดโปงทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติของท่านจอมพลผู้รักและรับผิดชอบชาติแต่เพียงผู้เดียวถึงกว่า 2,800 ล้านบาท จังหวะนั้นเอง จิตรได้ลอบส่งบทกวีชุด "โคลงสรรเสริญเกียรติ กรุงเทพมหานครยุคไทยพัฒนา" ภายใต้นามปากกา "กวีการเมือง" จากคุกไปลงหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยซึ่งมี ล้วน ควันธรรม เป็นผู้คุมคอลัมน์ และได้ทยอยตีพิมพ์ระหว่างเดือน มิ.ย.-ก.ค.2507

เป็นบทกวีที่แกร่งกร้าวทรงพลังยิ่ง ใช้ถ้อยคำปลดปล่อย [ความเป็นไทย+ความเป็นคน] [popular nationalism+social radicalism] ออกจากคุกคุมขังของเผด็จการ ให้โลดแล่นออกมายืนหยัด ท้าทายอำนาจอธรรมอย่างห้าวหาญทรนงและสง่างาม จนกล่าวได้ว่าตราบใดที่กวีบทนี้ยังกังวานก้องอยู่ในมโนสำนึกของสังคมไทย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจับความเป็นไทยฉีกพรากออกมาและกดเหยียบไว้ ให้อยู่ตรงข้ามหรือต่ำค่ากว่าความเป็นคน

ขออนุญาตคัดลอกบางส่วนมาเสนอไว้เป็นอนุสรณ์แด่จิตรและอนุสติแก่นายทุน ขุนศึก นักเลือกตั้ง เนติบริกรและสื่อบริการทั้งหลายผู้เห็นและทำกับคนไทยไม่เหมือนคน, จนสยามประเทศที่รักของเราต้องประสบมหาวิบัติในรอบหลายปีที่ผ่านมา ณ ที่นี้ : -

"...แต่คนย่อมเป็นคน บ่คือควายที่โง่งึม

ไผเหวยจะนอนพึม และพ่ายแพ้ลงพังภินท์

ฟ้าลวกด้วยเปลวเลือด ระอุเดือดทั้งแดนดิน

วอดวายทุกชีวิน แต่คนยังจะหยัดยืน

ถึงยุคทมิฬมาร จะครองเมืองด้วยควันปืน

ขื่อแปจะพังครืน และกลิ่นเลือดจะคลุ้งคาว

แต่คนย่อมเป็นคน ในสายธารอันเหยียดยาว

คงคู่กับเดือนดาว ผงาดเด่นในดินแดน

ถึงปืนก็เถอะปืน เจ้ายิงคนอย่างหมิ่นแคลน

ใจสู้นี้เหลือแสน กว่าปืนสูจะตัดสิน

คาวเลือดที่ไหลอาบ ซึมกำซาบในเนื้อดิน

ปลุกใจอยู่อาจิณ ให้กวาดล้างพวกกาลี

ฟ้ามืดเมื่อมีได้ ก็ฟ้าใหม่ย่อมคงมี

แสงทองเหนือธรณี จะท้าทายอย่างทรนง

เมื่อนั้นแหละคนนี้ จะยืดตัวได้หยัดตรง

ประกาศด้วยอาจอง "กูใช่ทาสหากคือไท"

หากคือไทย...ฮา !!.....



ต่อสู้ ไผสิอยู่อย่างสยบซบกับส้น

ถึงเกือกเหล็กกระทืบทับแทบอับจน เอาหัวชนฝาสู้อยู่อย่างไท

เขาจึงสู้อยู่อย่างคนบนผืนดิน พิทักษ์ถิ่นไว้ด้วยเลือดอันเดือดใหม้

ตายก็ฝังยังก็อยู่สู้ต่อไป ให้ลือใจคนกล้าทั้งธาตรี......

นี้ฤๅคือยุคใหม่ ยุคแห่งไทยพัฒนา

ยุคเลือดเชือดประชา ยุคปีศาจปล้นชาติไทย

แต่คนย่อมเป็นคน ถึงยากจนก็รวยใจ

รวยแรงที่แกร่งไกร จะต่อสู้ศัตรูคน

กูไทยต้องเป็นไท จะเป็นทาสบ่ยอมทน

ชื่อไทยที่เรียกตน จะเย้ยตัวจนยามตาย

ถึงแพ้สักสิบแพ้ บ่ท้อแท้จะท้าทาย

สู้ใหม่อย่างไว้ลาย ให้โลกลือกูคือไท



ไทย-ไทคำนี้อ้า อัศจรรย์ จริงเอย

เป็นชื่อชาติชนฉกรรจ์ กาจกล้า

ไทยทนแก่อาธรรม์ เป็นทาส มีฤๅ

มีแต่ยืนผงาดฟ้า ไล่ล้างอาธรรม์.....


และอีกบทส่งท้ายจาก "วิญญาณสยาม" ของ "กวีการเมือง" เช่นกัน (ต.ค.2507)

อา...นามไทย ใช่ทาส...พิลาศนัก ธำรงสิทธิ์ อิศรศักดิ์ อันสูงส่ง

"ไท" นามนี้ มีกังวาน สร้านทรนง ไทยต้องคง คุณค่านั้น นิรันดร



.