http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-02-17

คณะนิติราษฎร์คือรถไฟขบวนสุดท้าย โดย พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

.
รายงาน - เสวนา สถาบันกษัตริย์ กับสังคมประชาธิปไตย

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: คณะนิติราษฎร์คือรถไฟขบวนสุดท้าย
ใน www.prachatai.com/journal/2012/02/39295 . . Fri, 2012-02-17 19:24


รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
17 กุมภาพันธ์ 2555

วิกฤตการเมืองไทยปัจจุบัน เริ่มเมื่อต้นปี 2549 ผ่านรัฐประหาร 19 กันยายน ได้ยืดเยื้อมากว่าห้าปี นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างพลังสองฝ่ายที่ช่วงชิงกันว่า ประเทศไทยจะเดินไปทางไหน ระหว่างเผด็จการในอดีต กับประชาธิปไตยในอนาคต

ความขัดแย้งได้คลี่คลายขยายตัวจากการต่อสู้ที่ไม่ใช้อาวุธ ไปสู่การใช้กำลังรุนแรงอย่างเปิดเผย และฝ่ายที่ลงมือกระทำก่อนก็คือ ฝ่ายเผด็จการ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการชักใยให้กลุ่มอันธพาลการเมือง “พันธมิตรประชาชนเพี่อประชาธิปไตย” ออกมาก่อการจลาจลบนท้องถนน บั่นทอนรัฐบาลไทยรักไทยที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 ตามด้วยการใช้องค์กรตุลาการในมือเชือดเฉือนรัฐบาลทีละน้อย ๆ แล้วลงมือเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วย รัฐประหาร 19 กันยายน 2549

การก่อตัวของฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อต่อต้านรัฐประหารได้เป็นไปอย่างช้า ๆ จากการชุมนุม เดินขบวน ปะทุเป็นการเข้าเผชิญหน้าโดยตรงกับระบอบเผด็จการแฝงเร้น ตั้งแต่การเสียสละชีพของ “ลุงนวมทอง ไพรวัลย์” “นายณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสง” ยกระดับขึ้นเป็น “สงกรานต์เลือด เมษายน 2552” ถึง “การสังหารหมู่ประชาชน เมษายน-พฤษภาคม 2553” รวมแล้ว เสียชีวิตนับร้อย บาดเจ็บหลายพันคน ทั้งหมดนี้ทำให้ “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นการยึดอำนาจที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย”

แล้วความขัดแย้งใหญ่ครั้งนี้ จะคลี่คลายขยายตัวต่อไปอย่างไร?

เมื่อฝ่ายประชาธิปไตยก่อตัวขึ้นเป็นขบวนการคนเสื้อแดงอย่างชัดเจนในกลางปี 2551 จนถึง “สงกรานต์เลือด เมษายน 2552” ยุติลง โอกาสที่ความขัดแย้งนี้จะได้รับการแก้ไขโดยสันติยังมีอยู่ เนื่องจากแม้จะถูกทำร้ายด้วยกำลังอาวุธเป็นครั้งแรก แต่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในเวลานั้นก็ยังหวังที่จะเห็นการประนีประนอมจากฝ่ายปกครองเผด็จการอยู่

ความหวังนี้เองที่นำมาซึ่งการชุมนุมครั้งใหญ่ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 เรียกร้องให้ยุบสภาและมีการเลือกตั้ง โดยเชื่อว่า ระหว่างการเข่นฆ่าประชาชนกับการยอมยุบสภา ฝ่ายปกครองจะเลือกประการหลังและจะยอมรับผลการเลือกตั้งที่คาดว่า พรรคฝ่ายประชาธิปไตยจะได้ชัยชนะ เป็นการยุติความขัดแย้งทั้งมวลลงอย่างสันติ

แต่การชุมนุมใหญ่เมษายน-พฤษภาคม 2553 ก็จบลงด้วยการปราบปรามประชาชนอย่างนองเลือดที่สุดเท่าที่เคยมีมา ความหวังของประชาชนที่จะบรรลุประชาธิปไตยโดยไม่ต้องแตกหักกับฝ่ายเผด็จการแฝงเร้นก็เป็นอันสูญสิ้นไป ดูเหมือนว่า นับแต่นี้ ความขัดแย้งมีแต่จะขยายตัวไปสู่การนองเลือดอีก ไม่ช้าก็เร็ว

แม้แนวร่วมพรรคเพื่อไทยกับขบวนการคนเสื้อแดงจะชนะเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 ฝ่ายประชาธิปไตยก็รู้ดีว่า นี่เป็นชัยชนะเฉพาะหน้า และคาดว่า จะต้องเผชิญกับการโต้กลับของฝ่ายเผด็จการอีก เช่นเดียวกับที่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนได้ถูกกระทำมาแล้วในช่วงปี 2551 ฝ่ายประชาชนจึงเฝ้ารอเตรียมพร้อมรับอย่างเต็มที่

แต่แล้ว ก็เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า คณะนิติราษฎร์ เสนอทางออกจากวิกฤตการเมืองปัจจุบันด้วยการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในกรอบรัฐธรรมนูญสามฉบับของคณะราษฎร นี่คือความปรารถนาดีของปัญญาชนนักวิชาการที่รักความเป็นธรรม ที่ไม่ต้องการให้มีการนองเลือดอีกต่อไปและให้บรรลุประชาธิปไตยอย่างสันติ

นี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับฝ่ายเผด็จการแฝงเร้นที่จะถอยออกไปโดยยังคงรักษาที่ยืนในสังคมไทยไว้ได้ ท่าทีของฝ่ายเผด็จการต่อข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์จะเป็นตัวชี้ว่า วิกฤตการเมืองครั้งนี้ ประเทศไทยจะไปบรรลุประชาธิปไตยโดยมีเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 เป็นการนองเลือดครั้งสุดท้าย หรือวิกฤตครั้งนี้จะยกระดับขึ้นเป็นสงครามกลางเมืองที่นองเลือดก่อนจะบรรลุประชาธิปไตย ดังเช่นที่ได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วในบรรดาประเทศอารยะ

แต่การตอบโต้จากฝ่ายเผด็จการก็มิได้ผิดไปจากความคาดหมาย เพราะจาก 6 ตุลาคม 2519 ถึงวันนี้ พวกเขาก็ยังคงเป็นพวกเผด็จอำนาจ ปฏิกิริยาถอยหลังเข้าคลองอย่างที่สุดเหมือนเดิม จึงไม่แปลกที่บรรดาเครือข่ายเผด็จการทั้งกลุ่มอันธพาลอดีตเสื้อเหลืองที่แปลงเป็นเสื้อหลากสี สื่อมวลชนกระแสหลักส่วนใหญ่ ไปจนถึงกลุ่มนายทหาร พากันดาหน้าออกมาส่งเสียงคำราม โกรธเกรี้ยว ข่มขู่ แสดงอาการกระหายเลือดกันถ้วนหน้า

และที่น่าสมเพชที่สุดคือ พวกนักวิชาการและนักกฎหมายทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย ที่มีจิตใจอิงแอบอยู่กับเผด็จการและเคยรับใช้รัฐประหาร 19 กันยายน ก็มิได้เสนอการถกเถียงอันมีสาระทางปัญญาหรือทางวิชาการอะไรเลย นอกไปจากการประสานเสียงกับกลุ่มข้างต้น โจมตีใส่ไคล้ ข่มขู่คุกคามคณะนิติราษฎร์อย่างกระหายเลือดไม่แตกต่างกัน พวกเขาบางคนถึงกับคร่ำครวญ ร่ำร้องเรียกหารัฐประหารกันอย่างไร้ยางอาย

แม้แต่นักวิชาการที่เป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัย ก็ยังใช้อำนาจในมือไปกดดันคณะนิติราษฎร์ กระทั่งส่อนัยว่า “อาจใช้มาตราการทางวินัย” ต่อคณะนิติราษฎร์ โดยลืมไปว่า ตำแหน่งบริหารนั้นเป็นของชั่วคราว แต่ที่เป็นสิ่งถาวรติดตัวไปจนวันตายนั้นคือ ความเป็นนักวิชาการและความเป็นนักกฎหมายที่จะต้องซื่อตรงต่อหลักการและวิชาชีพของตน

แทนที่จะเห็นข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์เป็นความหวังดีและทางออกสุดท้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดครั้งใหม่ ฝ่ายเผด็จการกลับพยายามฉวยใช้เป็นข้ออ้าง สร้าง “กระแสคลั่งเจ้า” ในหมู่ประชาชน ปลุกปั่นความเกลียดชังต่อคณะนิติราษฎร์อย่างสุดขั้ว สร้าง “6 ตุลา 2519” ขึ้นมาอีก เพื่อเป็นข้ออ้างนำไปสู่การโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กระทั่งก่อรัฐประหารเพื่อปราบปรามประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยอีกครั้ง

บางที ปรากฏการณ์ “คณะนิติราษฎร์” จะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า กลุ่มเผด็จการไทยก็มิได้แตกต่างไปจากพวกเผด็จการทั้งหลายในอดีตทั่วโลก คือล้วนดื้อดึงในอำนาจของตนไปจนถึงที่สุด โดยไม่ยี่หระว่า ฝ่ายประชาชนจะต้องสูญเสียล้มตายไปสักเพียงใด

สำหรับใครบางคนที่เชื่ออย่างผิด ๆ ว่า รัฐประหารและการใช้กำลังปราบปรามประชาชนในขอบเขตที่ใหญ่โตยิ่งกว่ากรณีเมษายน-พฤษภาคม 2553 จะเป็นการ “แก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ” ก็จงพินิจดูเหตุการณ์ในตะวันออกกลางที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เป็นเครื่องเตือนใจ



+++

รายงานเสวนา สถาบันกษัตริย์ กับสังคมประชาธิปไตย
ใน http://prachatai.com/journal/2012/02/39218 . . Sun, 2012-02-12 01:27


มุมมองจากพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ เวียงรัฐ เนติโพธิ์ และสุรพศ ทวีศักดิ์ กรณีสถาบันกษัตริย์กับอุดมการณ์ประชาธิปไตยผ่านการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์, ศาสนาพุทธ และ ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนผ่านของจักรพรรดิญี่ปุ่น

วันที่ 11 ก.พ. 2555 กลุ่มเพื่อนรัฐธรรมนูญจัดงานปาฐกถาและเสวนา เพื่อหารายได้สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 ตามข้อเสนอนิติราษฎร์ โดย ช่วงแรกเป็นการปาฐกถาเรื่อง “ระบอบสังคมการเมืองที่ฝืนการเปลี่ยนแปลงคืออันตรายที่แท้จริง โดย ธงชัย วินิจจะกูล

และช่วงต่อมาคือ สถาบันกษัตริย์กับสังคมประชาธิปไตย โดย เวียงรัฐ เนติโพธิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สุรพศ ทวีศักดิ์-นักปรัชญาชายขอบ และพิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: อำนาจเหนือโลก VS อำนาจที่มาจากประชาชน

โดยพิชิตกล่าวเปรียบเทียบตำแหน่งแห่งที่ของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ว่าในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จุดศูนย์กลางก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่สถาบันพระมหากษัตริย์มาสู่อำนาจได้โดยอ้างอำนาจเหนือโลก อ้างสิทธิในการปกครองไพร่ฟ้าทั้งหลายโดยอ้างอำนาจเหนือโลก ราษฎรจะชอบหรือไม่นั้นเป็นสิ่งไม่จำเป็น องค์พระมหากษัตริย์นั้นสัมบูรณ์ เป็น Absolute Monarchy กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงเป็นต้นกำเนิดของกฎหมาย เป็นจอมทัพ เป็นสิ่งเดียวกับความเป็นชาติหรือรัฐ ราษฎรที่ถูกปกครองเรียกว่า Subject หรือไพร่ มีความสัมพันธ์กันสองทาง คือ ทางหนึ่งพระมหากษัตริย์ผูกพันว่าจะให้แก่ราษฎรด้วยความเมตตา-Grace ขณะที่ราษฎรก็ต้องตอบแทนด้วย Royalty คือ ความจงรักภักดี

ขณะที่ระบอบประชาธิปไตย เกิดจากความคิดความเชื่อและวัฒนธรรมที่ต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ต้นกำเนิดที่มาของอำนาจปกครองมาจากประชาชน และประชาชนคือจุดเริ่มต้น ประชาชนมีสิทธิตามธรรมชาติ แต่เมื่ออยู่ร่วมกันในสังคมก็ต้องมีการจำกัดสิทธิตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญและมีตัวแทน รวมถึงมีประมุขเพื่อดำเนินการแทนประชาชน เมื่อประชาชนเป็นที่มาของอำนาจ ดังนั้นกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจึงมีความผูกพันตน ปกครองได้โดยความเห็นชอบของประชาชน โดยผ่านรัฐธรรมนูญ รัฐบาลและสถาบันกษัตริย์จึงมีหน้าที่ในการรักษาและจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเฉพาะในกรณีที่มีการละเมิดกัน

ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยประชาชนมีภาระต่อสถาบันกษัตริย์คือความเคารพ เพราะประชาชนและกษัตริย์นั้นป็นคนเหมือนกันและเท่ากัน ความต่างไม่ได้อยู่ที่เชื้อสาย หรือชาติตระกูล แต่อยู่ที่ความรับผิดชอบเพราะพระมหากษัตริย์มีความรับผิดชอบมากกว่าประชาชนทั่วไป

ประชาชนเคารพ แต่ไม่ใช่ Royalty สิ่งที่สถาบันกษัตริย์กระทำเป็นภาระมอบแก่ประชาชนจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของพระบรมโพธิสมภาร แต่เป็นเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบที่ประชาชนมอบหมายให้ด้วยความยินยอม


พิชิตกล่าวว่า เมื่อลำดับการสิทธิและการได้มาซึ่งอำนาจตามประบอบประชาธิปไตยแล้ว ประชาชนอยู่ในลำดับที่มีความสำคัญก่อนผู้ปกครอง และผู้ปกครองต้องผูกพันตนอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนั้น สถาบันกษัตริย์จึงต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ

เขากล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยในหลายประเทศจึงต้องมีการปฏิญาณตน เช่น รัฐธรรมนูญเดนมาร์กมาตรา 8 ระบุว่า ผู้จะขึ้นดำรงตำแหน่งกษัตริย์จะต้องปฏิญาณตนเป็นลายลักษณ์อักษรสองฉบับ ฉบับหนึ่งส่งให้ Council of State คือเก็บไว้ที่รัฐสภา และอีกที่หนึ่งคือ Public Record office ซึ่งเป็นสถาบันที่เก็บเอกสารราชการทั้งหมดที่ประชาชนมีสิทธิจะเดินเข้าไปขอดูได้

ประเด็นต่อมา เมื่อสถาบันกษัตริย์ผูกพันตนอยูภายใต้รัฐธรรมนูญ การสืบราชบัลลังก์จึงเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐสภาสามารถแก้ไขได้ด้วยเสียงข้างมาก

ประการถัดมา การใช้อำนาจอธิปไตย พระมหากษัตริย์ทรงครองราชย์ แต่ไม่บริหารปกครอง ฉะนั้นในกรณีของการกระทำใดทั้งปวงจึงต้องกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการทุกประการ

และประการสุดท้าย ในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย เมื่อกษัตริย์ดำรงสถานะเป็นประมุขของรัฐ การประพฤติส่วนพระองค์ย่อมถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญและสภาผู้แทนราษฎรเช่น รัฐธรรมนูญสวีเดนกำหนดว่า การปราศรัยในที่สาธาณณะต้องปรึกษาคณะรัฐมนตรี ในบางประเทศกำหนดข้อความละเอียดกว่านั้นอีก เช่น รัฐธรรมนูญเดนมาร์ก (หมวด5 มาตรา 5) บัญญัติว่า หากพระมหากษัตริย์ไม่ปฏิบติหน้าที่ด้วยเหตุใดต่อเนื่อง 6 เดือน ให้รัฐสภาประชุมกันเพื่อพิจารณาว่าจะให้ทรงสละราชย์หรือไม่

สุดท้าย พิชิตกล่าวว่า รัฐธรรมนูญในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยของไทยนั้นเคยมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็มีการบัญญัติเป็นไปตามหลักการที่ได้กล่าวมานี้ เช่น การสืบราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลและได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีการกำหนดองคมนตรี เพราะในระบอบประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์มีที่ปรึกษาอยู่แล้วคือคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง



สุรพศ ทวีศักดิ์: จะเป็นประชาธิปไตยหรือเป็นธรรมราชา ก็ต้องไปให้สุดทาง

สุรพศ ทวีศักดิ์ กล่าวว่า รธน. มาตรา 9 กำหนดว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นการคำนึงถึงมิติทางประวัติศาสตร์ที่ศาสนาพุทธกับสถาบันกษัตริย์พึ่งพากันมาตลอด อุดมการณ์สถาบันกษัตริย์จึงต้องเป็นอุดมการณ์ธรรมราชา คือทศพิธราชธรรม แต่ทศพิธราชธรรมแบบดั้งเดิม ไม่ใช่ธรรมศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเครื่องมือปกป้องสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์ แต่เป็นเครื่องมือปกป้องราษฎร

ขณะที่มาตรา 9 บอกว่ากษัตริย์ต้องเป็นพุทธมามกะ ต้องมีทศพิธราชธรรม ต้องตรวจสอบได้ แม้แต่นักวิชาการฝ่ายกษัตริย์นิยมยังบอกว่าหมายถึงหลักธรรมภิบาล อย่างไรก็ตาม มาตรา 8 รัฐธรรมนูญไทยกำหนดว่า องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะละเมิดมิได้ เป็นมาตราที่สะท้อนอุดมการณ์สมมติเทพ ซึ่งไม่มีในคำสอนของรพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม แต่ได้รับอิทธิพลจากเขมรมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เพราะหลักธรรมนะพุทธศาสนาต้องพิสูจน์ด้วยนหลักกาลามสูตรทั้งหมด ใจความของกาลามสูตรสรุปสั้นๆ คือเราจะยอมรับอะไรว่ามันจริงก็ต่อเมื่อเราพิสูจน์ได้ว่าสิ่งนั้นจริง

สำหรับมาตรา 112 ก็คือเครื่องมือปกป้องอุดมการณ์สมมติเทพ มาตรา 8, 9 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้อุดมการณ์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์นั้นขัดแย้งกัน คือเป็นอุดมการณ์ธรรมราชาภายใต้สมมติเทพ ทำให้ความหมายของธรรมราชาเบี่ยงเบนไป

เช่น อวิโรธนะ คือหลักคุณธรรมที่ว่าพระราชามีความยุติธรรม แต่เมื่อเอากฎหมายมาตรา 112 มาใช้ภายใต้อุดมการณ์แบบสมมติเทพ ก็ทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้น

หลัก อโกธะ คือ พระราชาย่อมไม่โกรธ แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ว่า พระราชาโกรธหรือไม่โกรธ เพราะวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ แม้แต่ตั้งคำถามยังทำไม่ได้ นี่คือตัวอย่างของการใช้กฎหมายกับอุดมการณ์ที่ขัดแย้งสับสนไปหมด และหลักทศพิธราชธรรมนั้นเสียไป นอกจากนี้ หลักทศพิธราชธรรมยังมีเรื่องการุณยธรรม คือการเคารพ การไม่เบียดเบียน แต่ภายใต้มาตรา 112 ไม่เป็นเช่นนั้น

สุรพศกล่าวว่า หนทางแก้ไขก็คือ ต้องไปให้สุดทางทั้งอุดมการณ์ประชาธิปไตยและอุดมการณ์ธรรมราชา

“มาตรา 8 เราต้องตีความให้ถูกอย่างที่อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์กล่าวคือต้องตีความตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยว่าสถาบันกษํติย์อยู่เหนือการเมือง พ้นไปจากการเมือง เมื่อไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นฝักฝ่ายทางการเมือง เช่นนั้นแล้วสถาบันกษัตริย์ก็อยู่ในฐานะที่เคารพสักการะ ไม่มีใครไปวิพากษ์วิจารณ์ไปล่วงละเมิดอะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่มีการนำสถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่ปัจจุบันเราไปตีความแบบสมมติเทพ แตะต้องไม่ได้ ...ไปให้สุดคือตีความว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือการเมืองจริงๆ”

แต่การไปให้สุดทางอุดมการณ์ธรรมราชา คือการมีทศพิธราชธรรม ต้องวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบได้ พระมหากษัตริย์เป็นสมมติราช ไม่ใช่สมมติเทพ คือ เป็นคนธรรมดาที่ราษฎรสมมติขึ้นมาให้ปกครอง และมีความรับผิดชอบมีทศพิธราชธรรม คือเป็นจรรยาบรรณของกษัตริย์ เหมือนจรรยาบรรณแพทย์ ครู



เวียงรัฐ เนติโพธิ์: จักรพรรดิญี่ปุ่นสมัยใหม่ เปลี่ยนผ่านจากสมบูรณาญาสิทธิ์มาสู่ประชาธิปไตยด้วยระเบิดปรมาณู

ตามความเชื่อของญี่ปุ่น เชื่อว่า จักรพรรดิองค์ปัจจุบันสืบเชื้อสายลูกพระอาทิตย์มาโดยไม่ขาดตอน โดยความเชื่อดังกล่าวนั้นถือกำเนิดมายาวนานกว่า 660 ปีก่อนคริสตกาล จักรพรรดิคงทนถาวรอยู่ในฐานะสัญลักษณ์ของสังคม และมีบทบาทจำกัดมาก อยู่ในฐานะเทพเจ้า แต่มีบทบาทสำคญในการเปลี่ยนสังคมญี่ปุ่นเข้าสังคมสมัยใหม่

ทั้งนี้แต่โบราณกาล จักรพรรดิมีความเป็นเทพโดยตัวเอง ใม่ใช่สมมติเทพ คือไม่มีอำนาจทางการเมือง แต่เป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่น่าสนใจของระบอบของญี่ปุ่น คือ ถ้าไปพระราชวังจะมีอาคารชั้นเดียว มีก้อนหินล้อมรอบ แต่ถ้าไปปราสาทโชกุน จะยิ่งใหญ่กว่ามาก ฉะนั้นอำนาจจึงอยู่ที่โชกุนและกองทัพ การสืบเนื่องของราชวงศ์ จึงไม่มีใครสนใจไปรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงกันเพราะไม่ใช่ตำแหน่งที่มีอำนาจทางการเมือง แต่มีสถานะเป็นเทพโดยตัวเอง

ต่อมาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยเมจิ พยายามทำให้อำนาจอยู่ที่จักรพรรดิพระองค์เดียว สมัยเมจิมีสิ่งประดิษฐ์อันหนึ่งที่สมบูรณาญาสิทธิราชไทยไม่มี คือรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1868 ซึ่งเป็นการบัญญัติรัฐธรรมนูญในเวลาใกล้เคียงกับประเทศตะวันตก ในรัฐธรรมนูญนี้ให้อำนาจปกครองแก่กษัตริย์ไว้สูงสุด ละเมิดไม่ได้ ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของจักรพรรดิ และนำพาประเทศญี่ปึ่นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง เป็นการผนวกรวมระหว่างความเชื่อเรื่องจักรพรรดิคือเทพเจ้าและอำนาจทหาร

แต่นักวิชาการก็วิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนผ่านช่วงสงครามโลก ไม่ได้รวมศูนย์อำนาจที่จักรพรรดิเท่านั้น แต่มีกลุ่มอำนาจอื่นด้วย คือการรวมตัวเป็นรัฐสภา แต่เป็นรัฐสภาที่มีการเลือกตั้งมีพรรคการเมือง มีกลุ่มที่เข้ามาแข่ง เช่น ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เพราะข้าราชการเหล่านั้นไมได้เป็นลูกหลานจักรพรรดิ แต่เป็นชนชั้นนำที่เข้ามาแข่งขันกับจักรพรรดิ นั่นคือ แม้จะมีการรวมศูนย์อำนาจแต่ก็มีอำนาจอื่นๆ เข้ามาแทรกแซงด้วย

การเปลี่ยนผ่านจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ประชาธิปไตยนั้น สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิยินยอมพร้อมใจคืนอำนาจสูประชาชนคือระเบิดปรมาณู ทำให้สังคมญี่ปุ่นทั้งสังคมได้หันกลับมาตรวจสอบระบอบที่นำพาประเทศไปสู่ภาวะอับจน และมีความเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีเป็นอาชญากรสงคราม แต่ขณะเดียวกัน อำนาจจากภายนอกคืออเมริกาก็ต้องการผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ด้วยดี เป็นที่มาของพระราชดำรัสของจักรพรรดิญี่ปุ่นต่อจักรพรรดินายพลแมคอาเธอร์ ณ สถานทูตสหรัฐประจำญี่ปุ่นในเวลานั้น ว่าพระองค์มอบอำนาจให้กับแมคอาเธอร์แต่เพียงผู้เดียวเหมือนที่เคยให้ความชอบธรรมแก่โชกุนทุกยุคสมัยมาแล้ว

และในวันที่ 1 ม.ค. ค.ศ.1946 จักรพรรดิทรงประกาศว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิกับประชาชนอยู่ที่ความรักไม่ใช่ตำนานหรือมายาคติ ไม่ควรอยู่บนความเชื่อผิดๆ ว่าจักรพรรดิคือสิ่งศักดิ์สิทธิ และไม่ควรเชื่อว่าเราเป็นเลิศเหนือดินแดนอื่นๆ ที่เราจะต้องไปครอบครอง นอกจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นยังประกาศให้เลิกสนับสนุนลัทธิชินโตที่ทำให้เชื่อว่าตายแทนจักรภรรดิได้ และเปลี่ยนเนื้อหาแบบเรียนทั้งระดับประถมและมัธยมต้น

สำหรับรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นนั้นนอกจากจำกัดอำนาจทางทหารหลังสงครามโลก ยังจำกัดสถานะของจักรพรรดิให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของชาติ มีหน้าที่ทำพิธีกรรมแห่งชาติและต้องได้รับความเห็นของคนในชาติ การสืบสันตติวงศ์ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา การแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

จักรพรรดิปรับตัวกลับมาสู่สังคมสมัยใหม่ได้ เพราะความสืบเนื่องของราชวงศ์ประการหนึ่ง อีกประการคือ จักรพรรดิก็ไม่ได้แอคทีฟมากนัก ไม่ปรากฏตัวแก่สาธารณะมาก จึงไม่เกิดความสงสัยนินทาในหมู่ประชาชนมากนัก ปัจจุบันจักรพรรดิจึงเป็นสัญลักษณ์ของเอกราชของชาติด้วย ซึ่งเป็นเอกราชที่ต่างจากไทยที่เหมือนเป็นสิ่งประดิษฐ์เรื่องเอกราชของชาติ เพราะเอกราชของชาติคือ Independence น่าจะเริ่มจากรัฐสมัยใหม่

โดยสรุป ญี่ปุ่นมีสถานภาพเป็นเทพเจ้าก่อนเข้าสู่สมัยใหม่ ไม่มีอำนาจทางโลก ไม่เกี่ยวข้องกับทางโลก มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นประชาธิปไตยได้เพราะเข้าไปสู่ความเป็นเทพเจ้าเหมือนเดิม

แน่นอนว่าประชาชนญี่ปุ่นไม่ได้เห็นด้วยกันทั้งหมด ยังมีคนที่จงรักภักดีสูงมาก มีคนที่สะสมรูปจักพรรดิ แต่เขาสามารถอยู่ได้ร่วมกัน มีการรณรงค์ให้เอาระบอบจักรพรรดิกลับมา แต่คนจำนวนมากก็ต้องการอยู่กับจักรพรรดิภายใต้รธน.แบบนี้ คือเป็นเทพเจ้าที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจทางการเมืองใดๆ



.