http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-02-21

นิธิ เอียวศรีวงศ์ : โลกของชูวิทย์

.

นิธิ เอียวศรีวงศ์ : โลกของชูวิทย์
ในมติชน ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 21:00:00 น.


เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดแถลงข่าวแก่สื่อมวลชน เกี่ยวกับธุรกิจค้ากาม ซึ่งคุณชูวิทย์วินิจฉัยว่า เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการค้ามนุษย์ อันเป็นประเด็นที่ทั้งสหประชาชาติและประเทศตะวันตกกำลังกดดันประเทศกำลังพัฒนาอยู่

คุณชูวิทย์อ้างว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับ "ซ่อง" อยู่ในเขต กทม.และใกล้เคียง และแสดงคลิปวิดีโอแหล่งค้ากามที่สำโรง สมุทรปราการ และอีกสองแหล่งแถวรามอินทรา และถนนเพชรบุรี

จากคลิปวิดีโอเหล่านี้ คุณชูวิทย์อ้างข้อมูลจากบางแหล่งว่า มีหญิงไทยที่ทำอาชีพนี้ถึง 1,000,000 คน ที่อายุต่ำกว่า 18 มีถึงประมาณ 100,000 คน และมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจนี้ถึงปีละ 2 แสนล้านบาท

อันที่จริงตัวเลขที่คุณชูวิทย์อ้างถึงเหล่านี้ค่อนข้างเก่า ในปัจจุบันจะมีมากขึ้นน้อยลงอย่างไรไม่ทราบได้ อีกทั้งประกอบด้วยหญิงจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นสัดส่วนสักกี่เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ทราบ


เช่นเดียวกับ "บ่อน" ซึ่งคุณชูวิทย์เคยแสดงคลิปมาแล้ว ล้วนเป็นข้อมูลที่ใครๆ ก็ทราบดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ไปถ่ายคลิปวิดีโอมาแสดงให้ดูได้เท่านั้น ธุรกิจค้ากามก็เหมือนกัน ใครไม่ทราบบ้างว่า ธุรกิจประเภทนี้มีอยู่ในกรุงเทพฯและเมืองต่างๆ กล่นเกลื่อนเพียงใด ดังนั้นคุณชูวิทย์จึงไม่เคยเสนอข้อมูลใหม่แก่สังคมแต่อย่างใด และดูเหมือนการแถลงของคุณชูวิทย์แต่ละครั้ง ก็ไม่ได้ประสงค์จะเสนอข้อมูลใหม่แก่สังคม แต่ต้องการกดดันตำรวจให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง (แต่คุณชูวิทย์มีเป้าหมายอื่นทางการเมืองที่แฝงอยู่หรือไม่อย่างไร ผมไม่ทราบและไม่ใช่ประเด็นในที่นี้ด้วย)

สตช.ตอบสนองคุณชูวิทย์ด้วยการย้ายหรือลงโทษนายตำรวจในท้องที่ซึ่งมีบ่อน ส่วนจะทำอย่างเดียวกันในท้องที่ซึ่งมีซ่องหรือไม่ ยังไม่ทราบได้ และด้วยเหตุดังนั้น จึงทำให้การแถลงข่าวของคุณชูวิทย์ดูจะมีผลให้ตำรวจต้องทำงานของตนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณชูวิทย์จึงเป็น ส.ส.ที่มีประโยชน์ เพราะช่วยไขลานให้ส่วนหนึ่งของกลไกรัฐทำงาน

แน่นอนว่า หากตำรวจปราบปรามอบายมุขที่ผิดกฎหมายต่างๆ อย่างจริงจัง ก็น่าจะมีส่วนช่วยจำกัดกิจกรรมประเภทนี้ลงบ้าง แต่จะจำกัดลงได้มากน้อยเพียงไร ยังไม่แน่ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ หากตำรวจไม่ร่วมหาประโยชน์กับธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ ตำรวจก็จะเป็นที่น่าเชื่อถือและเชื่อฟังของประชาชนมากขึ้น

แต่ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ตำรวจไม่ดีแค่นั้นเองหรือ? ผมคิดว่าไม่ใช่


ว่าเฉพาะธุรกิจค้ากาม หากตัวเลขเก่าที่คุณชูวิทย์อ้างยังใช้ได้ มีผู้หญิงถึง 1 ล้านคนในอาชีพนี้ มีเงินหมุนเวียนถึง 2 แสนล้านบาทต่อปี หมายความว่าอะไร ผู้หญิง 1 ล้านคนจะมีผู้พึ่งพิง (dependents) รายได้ของเธอ ทั้งหมดหรือบางส่วนอยู่อีกกี่ล้าน หากมีคนเดียวหมายถึงอีก 1 ล้าน หากมีสองคนก็ 2 ล้าน รวมคนที่ต้องพึ่งพิงอาชีพนี้ถึง 3 ล้านคน ไม่ใช่น้อยเลย

เงิน 2 แสนล้านบาทที่หมุนเวียนในธุรกิจนี้ จะหมุนเวียนต่อไปยังอะไรอีกบ้าง นับตั้งแต่แม่ค้าส้มตำริมถนนไปจนถึงคนขับแท็กซี่, พ่อค้าซีดีเถื่อน, เจ้าของโมเตล, ผู้ผลิตกระเป๋ากุชชี่ปลอม, ครูและโรงเรียน, หมอและโรงพยาบาล ฯลฯ ยากจะประเมินความกว้างขวางของการหมุนเวียนของเงินจำนวนนี้ในตลาดได้ เงิน 2 แสนล้านบาทต่อปี หมายถึงพลังที่สามารถแทรกธนบัตรจากน้ำกามนี้ลงไปในย่ามของภิกษุผู้ทรงศีล และกระเป๋าถือของคุณหญิงระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยที่ท่านเหล่านี้ไม่รู้ตัวเลย

สัดส่วนจากธุรกิจค้ากามในเศรษฐกิจไทยมหึมาเสียจนแม้มีตำรวจดีเต็มเมือง เรื่องก็ใหญ่เกินกว่าจะยุติลงได้ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพียงอย่างเดียว เงื่อนไขที่ผลักและดึงให้คนเป็นล้านเข้าสู่อาชีพนี้ ต้องมีพลังมากอย่างยิ่ง และตราบเท่าที่เราไม่ไปเปลี่ยนเงื่อนไขเหล่านั้น อย่างไรเสียก็จะมีหญิง (และชาย) ไทยอีกจำนวนมาก ที่จะเข้าสู่ธุรกิจนี้


คุณชูวิทย์ไม่เคยแสดงความสนใจเงื่อนไขเหล่านั้น และเพื่อความเป็นธรรมแก่คุณชูวิทย์ นักการเมืองไทยก็ไม่เคยสนใจเงื่อนไขเหล่านั้นเช่นกัน ด้วยเหตุดังนั้น เราจึงอาจสรุปได้ว่า การเมืองยังไม่เป็นปัจจัยที่จะแก้ปัญหานี้ได้ อย่างมากที่การเมืองทำได้ก็คือทำอย่างที่คุณชูวิทย์ได้ทำไปแล้ว นั่นคือแถลงข่าวเปิดโปง ตำรวจขยับตัวด้วยความรำคาญนิดหน่อย และตัวนักการเมืองได้พื้นที่ในสื่อ และได้ความนิยมจากผู้เลือกตั้งจำนวนหนึ่ง

เจ้าของซ่อง เจ้าของบ่อนอาจต้องย้ายสถานที่ ตำรวจที่กินอามิสอาจต้องถูกย้ายเข้ากรุ แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม มีคนเสียนิดหน่อย แต่มีคนได้อีกมาก มีแต่บวกกับบวกเท่านั้น หากทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมต่อไป

ในสัปดาห์เดียวกับที่คุณชูวิทย์ประเมินว่า มีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ในอาชีพนี้ถึง 1 แสนคน สถาบันวิจัยสังคมของ ม.มหิดลก็แถลงการประเมินเด็กที่ถูกทอดทิ้งในสังคมไทย ซึ่งระเหเร่ร่อนอยู่ตามที่ต่างๆ นับตั้งแต่สถานสงเคราะห์ไปจนถึงกลางถนน ว่ามีประมาณ 8 แสนคน ตัวเลขสองตัวนี้จะเกี่ยวกันอย่างไรไม่ทราบได้ แต่สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาของเยาวชนในสังคมไทย ทั้งที่เกี่ยวข้องกับอาชีพโสเภณี, ยาเสพติด, การพนัน หรืออาชญากรรมอื่นๆ คงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะตำรวจไม่ได้เรื่องเพียงอย่างเดียวแน่

คุณชูวิทย์ไม่ผิดหรอกที่มุ่งจะแฉโพยความเฟะฟอนของวงการตำรวจ เพราะในความจริง ระบบตำรวจของเราได้เสื่อมโทรมลงจนถึงขั้นที่แทบจะให้บริการประชาชนไม่ได้แล้ว การแฉโพยความฟอนเฟะ หรือแม้แต่ฉ้อฉลในกรณีบ่อนและซ่อง จึงไม่ใช่ข้อมูลใหม่แต่อย่างไร เพราะใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การแฉโพยเช่นนี้จะช่วยทำให้ระบบตำรวจดีขึ้นได้อย่างไร

ตำรวจชั่วเพราะอยู่ในระบบที่ทั้งเอื้อ ทั้งบีบบังคับให้ชั่ว หรือตำรวจชั่วเพราะตัวของเขาเอง?



ในโลกของคุณชูวิทย์ ทุกอย่างเป็นแค่ระดับปรากฏการณ์ มีบ่อนมีซ่องอยู่ทั่วไปในเขตเมือง หน้าที่ของ ส.ส.คือกดดันให้ตำรวจบุกทลาย และจับกุมผู้ทำผิดกฎหมาย ส่วนปัญหาจะถูกแก้ไขได้จริงหรือไม่ อยู่นอกความรับผิดชอบของ ส.ส. ปรากฏการณ์เช่นนี้จะมีอยู่ต่อไป คุณชูวิทย์ก็พร้อมจะมาแฉโพยให้ตำรวจต้องเร่งมือยกไปปราบปรามอีก วนเวียนอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าคุณชูวิทย์จะเลิกเล่นการเมือง

แต่ในโลกของชูวิทย์ ก็ใช่ว่าจะมีแต่คุณชูวิทย์อาศัยอยู่คนเดียวโดยลำพัง ในโลกนั้นยังมีคนอีกมากที่อยู่ร่วมกับคุณชูวิทย์ ต่างก็มองความเป็นไปในโลกเพียงแค่ระดับปรากฏการณ์ และมุ่งจะแก้ปัญหาทุกอย่างในระดับเดียวกัน คือระดับปรากฏการณ์ ดังนั้นในการสำรวจโพลกี่ครั้ง คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์จึงเป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงอันดับต้นๆ ทุกครั้ง

การมองทุกอย่างแค่ระดับปรากฏการณ์ คือการยอมรับว่าทุกอย่างลงตัวดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบบริหาร, ระบบการเมือง, ระบบเศรษฐกิจ, ระบบการศึกษา, วัฒนธรรม ฯลฯ เพียงแต่มีใครบางคนหรือบางกลุ่มไม่ทำงาน จึงทำให้เกิดปัญหา ฉะนั้นเร่งรัดให้ทุกคนทำงานตามหน้าที่ของตนได้สำเร็จ ทุกอย่างก็จะไหลรื่นไปตามครรลองที่ควรจะเป็น

การมองแค่ระดับปรากฏการณ์จึงช่วยให้ผู้มองไม่ต้องไปขัดแย้งกับใคร เพราะไม่คิดจะแก้ไขอะไรมากไปกว่า เปลี่ยนตัวผู้ปฏิบัติงานบางคน ในขณะที่ปล่อยให้ระบบต่างๆ ซึ่งมีอำนาจ, ผลประโยชน์, พรรคพวก, อุดมการณ์ ฯลฯ ของกลุ่มต่างๆ ปลูกฝังอยู่ดำเนินต่อไปตามเดิม ไม่มีทางเป็นอริกับกลุ่มเหล่านี้ได้

ปัญหาทั้งโลกถูกลดระดับลงมาเหลือแค่คนดีคนชั่ว



.