http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-02-03

ทราย: "รบ"อยู่กับ"อะไร", ชีวิต"ดี" ไม่จำเป็นต้องมี"เหตุผล", +วิ่ง"ช้าลง"

.

"รบ"อยู่กับ"อะไร"
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1641 หน้า 80


วันก่อนฉันไปถ่ายรายการกับเด็กชั้นประถมปลาย ก็ช่วงอายุตั้งแต่ 10-12 ขวบ โดยประมาณ
เราถามคำถามง่ายๆ จากรายละเอียดประกอบ
ว่าบุคคลที่ถือปืน, พิทักษ์แดนไทย, อดนอนเดียวดายหนาวเหน็บในที่ห่างไกลนั้นควรจะเป็นอาชีพอะไร
น้องๆ ตอบกันได้ทุกคนว่า - ทหาร - ครั้นขอคำอธิบาย น้องก็ตอบว่าพี่ทหารถือปืนเพื่อรบกับพม่าค่ะ
คำตอบนั้นทำฉันตกใจ

มาถึงยุคนี้, ยุคที่เราผ่านการเสียกรุงครั้งที่ 2 มา 245 ปี ย้ายเมืองหลวงมาแล้วหลายครั้ง
แต่น้องๆ เด็กๆ รุ่นลูกฉันยังคงติดอยู่ในพม่า
ยังคงอยู่ในยุคที่เรายังคงแย่งดินแดนกัน เป็นศัตรูกันมากกว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน
มันอาจเป็นเพราะบทเรียน, หนัง หรือละครที่ถูกผลิตซ้ำๆ
อาจเป็นเพราะคนงานก่อสร้าง แม่บ้าน เด็กเสิร์ฟ หรือคนในกลุ่มแรงงานของประเทศเราเป็นชาวพม่าเสียมากจนแทบจะกลายเป็นความเคยชินในเชิงขบขัน และได้รับการบอกหรือสอนมาว่านี่คือการเอาคืนของเราชาวไทยที่มีต่อพม่า

ซึ่งวิธีการเหล่านี้ หากจะวัดเป็นการต่อสู้ก็เป็นการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง
เหมือนเราไปฝึกรบมา แต่คู่ต่อสู้กลับมาตะโกนด่าประจานเราด้วยเรื่องส่วนตัว


เมื่อเรายังคิดว่าเรารบกับพม่า เราก็อาจจะต้องรบกับพม่าอยู่ร่ำไป ปล่อยให้โลกก้าวล้ำไปเรื่อยๆ
เวลาของเราเดินช้ากว่าประเทศอื่นหรือเปล่านะ
แล้วมันเป็นเพราะอะไรกัน
เรายังรู้สึกว่าพม่าเป็นศัตรู ที่บรรพบุรุษของเราต่อสู้เพื่อให้ได้มา

แต่ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ชาวพม่ารู้สึกอย่างไรกับประเทศไทย
เพราะลำพังสถานการณ์ทางการเมืองของพม่าเองก็ใช่ว่าจะสงบนิ่ง
อำนาจทางการเมืองที่ตกอยู่ในมือของทหารแทนที่จะอยู่ในมือของประชาชนนั้น
คงไม่ทำให้สภาพชีวิตจิตใจของพลเมืองสงบสุขและสร้างความพึงพอใจได้

การใช้ความรุนแรงและเผด็จการปกครองคนก็เป็นเช่นนี้
มนุษย์เราอาจกลัวการลงโทษ แต่ใช่ว่าจะยอมรับมันได้เรื่อยไปโดยไม่คิดโต้แย้ง
มันมีความคุกรุ่นอะไรบางอย่างอยู่ ความเดือดดาล ความสงสัย และคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ
หากนิ่งเฉยต่อไปมันก็อาจจะปะทุขึ้นมาได้ในที่สุด



แน่นอนว่าไม่มีใครชอบความรุนแรงและสงคราม

ฉันเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วสงครามนั้นจะเกิดขึ้นท่ามกลางความเฉยชา

การไม่รับฟังและไม่ยอมแก้ปัญหาเสียตั้งแต่ต้นมือ

เมื่อแรกเริ่มนั้นมันอาจแก้ไขได้จากการพูดคุย

แต่เมื่อนานไป ปัญหาที่ไม่ได้รับการสนใจจะเริ่มอยากแสดงตัว

มันไม่สนใจเสียแล้วว่าผู้มีอำนาจพยายามห่อหุ้มมันด้วยภาพพจน์แห่งความสงบเรียบร้อย

มันจะเริ่มเรียกร้องและเสียงของมันจะดังขึ้นเรื่อยๆ จนการเริ่มคิดจะมาพูดคุยกันในเวลานั้นก็ช้าไปเสียแล้ว และสงครามก็จะเดินทางมา

ก็ใช่, แต่สงครามแต่ละครั้ง ก็มีเหตุผลและความจำเป็นเฉพาะกาลเท่านั้น

ไม่ใช่ตลอดกาล

แล้วก็ใช่, ส่วนใหญ่ผู้ชนะจะถูกเสมอ ในโลกที่ตัดเสียงรบกวนจากภายนอกและเต็มไปด้วยเหตุผลส่วนตัว


สงครามคือบิดาแห่งสรรพสิ่ง เป็นเจ้าแห่งสิ่งทั้งปวง

สงครามเผยโฉมบางคนเป็นดุจเทพเจ้า บางคนเป็นดั่งมนุษย์

สงครามทำให้บางคนเป็นทาส บางคนเป็นไท - *

กลายเป็นว่าทุกวันนี้ประเทศมหาอำนาจอาจทำสงครามด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม ต้องการจะพัฒนาให้ประเทศที่ตนบุกเข้าไปนั้นก้าวหน้ามีอารยธรรม และถูกจัดระเบียบ

มากกว่าจะอ้างเหตุผลในการยึดครองเช่นในยุคล่าอาณานิคม

ทั้งที่แท้จริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรต่างกัน

บางทีมันก็มีอะไรรุงรังอยู่ในความรักและคำว่าบุญคุณ

ถ้าคนที่มีบุญคุณเราเป็นคนโลภ ไม่รู้จักพอ และขยันลำเลิกอยู่บ่อยๆ เล่า

เขาเคยช่วยเรา เคยมีบุญคุณ นั่นหมายความว่าเราต้องตกเป็นทาสของเขาไปตลอดกาลหรือเปล่านะ


"ชั่วชีวิตพลเมืองชั้นสอง" เล่าถึงยุคสมัยอันวุ่นวายในช่วงทศวรรษ 1970 ของแอฟริกาใต้ ที่ความขัดแย้งโกลาหลจากนโยบายแบ่งแยกสีผิวของรัฐบาลผิวขาวชาวดัตช์และอังกฤษ
ที่กีดกันไม่ให้คนพื้นเมืองซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองกำลังทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงจุดสูงสุด
ในเวลานั้น ชนพื้นเมืองผิวดำเจ้าของประเทศ ต้องถูกส่งไปอยู่ในค่ายกักกัน ต้องทุกข์ทรมาน เจ็บปวดรวดร้าว สูญเสียเพื่อนบ้านและที่ดินในครอบครอง ทั้งยังสังเวยชีวิตให้กับการปกครองแบบกดขี่ข่มเหงด้วย "กำปั้นเหล็ก" และ "ท็อปบู๊ตทมิฬ" ของชนผิวขาวที่ถือตนเป็นชาติพันธุ์สูงส่ง มีอารยธรรมล้ำเลิศกว่า*

ฉันสนใจในแง่ที่ว่า, ภารกิจของตัวละครเอกในหนังสือเล่มนี้จริงๆ แล้วแสนเรียบง่าย

เขาแค่ต้องการพาแม่กลับบ้านเท่านั้น แต่ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเขา ทุกสิ่งที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา

ทำให้เรื่องง่ายๆ นั้นดูจะยากเกินบรรยาย

โลกรอบตัวเต็มไปด้วยความกลัว หวาดระแวง และไม่เชื่อมั่น

การตอบโต้เขาอย่างรุนแรงนั้นดูจะมากเกินไปจนน่าขันเมื่อเทียบกับสิ่งเล็กๆ ที่เขาพยายามอยู่

แค่มนุษย์คนหนึ่ง ที่อยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง และใช้มันอย่างสงบในหนทางของเขาก็เท่านั้น



จริงๆ แล้วในขณะที่เรากลัวประเทศมหาอำนาจ ประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศคู่แข่ง

เราอาจกลัวตัวเองน้อยเกินไป

เราพยายามหาเป้าหมายที่จะเอาไว้โทษโกรธเคือง จนลืมมองไปที่ต้นตอของปัญหา ว่าแท้จริงมันคืออะไร

เราลืมสิ่งที่เป็นฐานของความขัดแย้งไปเสียแล้ว ว่ามันเรียบง่ายกว่านั้นมาก

แต่ก็อย่างว่า, ปัญหานั้นเมื่อโตเกินกว่าจะใช้การพูดคุยเป็นหนทางออกเสียแล้ว

ใครหลายคนจึงเรียกร้องหาสงคราม

โดยที่ยังไม่แน่ใจเลยว่า - เรา - กำลังสู้รบอยู่กับอะไร


* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
* ข้อความจากในหนังสือ
"ชั่วชีวิตพลเมืองชั้นสอง" เขียนโดย J.M.Coetzee แปลโดย กมล ญาณกวี ฉบับพิมพ์ครั้งแรก โดยสำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม, ธันวาคม 2554



++

ชีวิต"ดี" ไม่จำเป็นต้องมี"เหตุผล"
โดย ทราย เจริญปุระ charoenpura@yahoo.com คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 03 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1642 หน้า 83


บทความประจำสัปดาห์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางมรสุมชีวิตของฉัน
เปล่า, ไม่ใช่ว่าชีวิตตกอับยับย่อยอะไร
แต่มันคือการรวมกันของหลายเหตุการณ์กว่าจะมาถึงวันนี้
คือเรื่องที่ฉันคิดซ้ำๆ ไปมาและติดอยู่ในหัวแบบไม่ยอมจากไปไหน
เหมือนเด็กกระหายรักที่เฝ้าตามเราแจไม่ยอมห่าง

เริ่มเหตุการณ์ด้วยการที่ฉันรื้อเอาหนังสือที่ขนขึ้นไปเก็บเพื่อหนีน้ำในช่วงน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาลงมาเก็บเข้าที่
ก็แน่นอนว่าภารกิจเรื่องเกี่ยวกับหนังสือของฉันนั้นไม่เคยสำเร็จเสร็จสิ้นได้ภายในช่วงเดียว มันจะต้องยืดเยื้อเรื้อรัง
ห่วงหน้าพะวงหลังเพราะเผลอเหลือบไปเห็นเล่มนั้นเล่มนี้ที่อยากอ่านอยู่เนืองๆ
ถ้ากลั้นใจได้ก็แค่แยกเก็บเอาไว้อ่านซ้ำ
แต่ถ้ากลั้นใจไม่ได้ก็เป็นอันว่าเสียเวลาไปอีกพักใหญ่ เพราะจะนั่งลงอ่านกันตรงนั้นเลย
คราวนี้ฉันมาติดบ่วงอยู่กับหนังสือนวนิยายที่อ้างอิงจากชีวประวัติของซูสีไทเฮา
พอเห็นปกแล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านเล่มแรกมาแล้วอย่างสนุกสนาน พอมาเจอเข้ากับภาคต่อ งานที่ทำอยู่เลยประสบกับภาวะชะงักงันไม่ไปถึงไหน
ถ้าไม่ได้แม่มาเร่งมาไล่ก็เป็นอันสูญไปอีกหนึ่งวันเปล่าๆ ปลี้ๆ


พระนางซูสีไทเฮาถือได้ว่าเป็นจักรพรรดินีที่เรียกได้ว่าเป็นพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิจีนอันยิ่งใหญ่ พระนางมีชีวิตข้ามผ่านยุคสมัย เป็นพระสนม เป็นพระชายา เป็นพระพันปี เป็นผู้กุมอำนาจ
และเป็นผู้ที่หลายคนเชื่อว่าการมีอยู่ของพระองค์นั้นทำให้ราชวงศ์ชิงถึงคราวล่มสลาย พอเป็นอย่างนั้นฉันเลยพกพาเอาพระนางซูสีไทเฮาไปไหนมาไหนด้วยตลอด
แล้วมันก็เลยมีเรื่องบางเรื่อง เหตุบางเหตุ
ข้อความบางข้อความที่มาพ้องพานกับสิ่งที่ฉันกำลังอ่านอยู่โดยปริยาย



เรื่องแรก

ฉันได้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์รวมเหล่านักเขียนมา, ของที่ไหนน่ะหรือ?
ก็ของหนังสือเล่มที่คุณกำลังถืออ่านอยู่นี่แหละ
ในงานนั้นรวมเหล่านักเขียนไว้มากมาย ทั้งรุ่นเด็กอย่างเจ้าของคอลัมน์ก่อนหน้าฉัน รุ่นกลางๆ
อย่างฉันและเจ้าของคอลัมน์ที่ติดกับฉันทั้งด้านหน้าด้านหลัง
และรุ่นใหญ่อย่างท่านที่เขียนท้ายเล่ม และรวมไปถึงผู้ที่เคยทำไปจนถึงผู้ที่ยังไม่เคยมีส่วนร่วมใดๆ กับสำนักงานเขียนสำนักนี้

แน่นอนว่านอกเหนือจากเรื่องความต่างทางอายุแล้ว เรายังต่างความเชื่อ
ต่างความชอบกันอีกด้วย
ก็เลยมีเหตุให้ไต่ถามพูดคุยระหว่างขั้วความคิดอันต่างขั้วขึ้นมา
ใช่, แต่ละคนมีความเชื่อของตัวเอง
ใช่, ต่างฝ่ายต่างก็มองว่าเหตุผลของตนนั้นดีและสมควร
และใช่, เราทุกคนเคารพกันและกันมากพอ

ดังนั้น เมื่อมีคนถามว่าที่ทำอะไรกันอยู่ในแนวทางของตนนั้นทำไปเพื่ออะไร เหตุผลจึงถูกหยิบยกมาพูด
และทุกคนก็รับฟัง
ฉันไม่รู้หรอกว่าการรับฟังนั้นจะเป็นเปลือกหน้าของความเชื่อ ความชัง หรือความชอบ

แต่เราต่างก็ตั้งใจฟังกัน และเราต่างก็มีจุดหมายปลายทาง

-ความฝันหลายอย่างของข้านั้นไม่สมดังปรารถนา

ความกล้าที่ยังคงรักษาความฝันไว้ให้ได้ต่างหากที่สำคัญ - *


เรื่องที่สอง

ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา
มีระบบปฏิบัติการเสริมระบบหนึ่งที่เอาไว้ใช้ในโทรศัพท์พกพาแบบสมาร์ทโฟนกำลังได้รับความนิยมเป็นพิเศษ
มันมีชื่อเรียกว่า "Simsiri"

Simsiri คืออะไร?
Simsiri หรือชื่อจริงว่า Simsimi นั้น
เพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นานและโด่งดังในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว โดยมีที่มาจากประเทศเกาหลี คาดว่าที่ได้ชื่อนี้มา ก็เพราะมันเป็นประหนึ่งญาติห่างๆ ของโปรแกรม Siri ที่ติดตั้งมากับ iPhone และเปิดตัวเมื่อประมาณตุลาคมปีที่ผ่านมา โดย Simsimi คือ chatting Robot
ที่ (เขาว่ากันว่า) น่ารักน่าชัง และอัจฉริยะจนถึงขั้นน่าตบกบาลเลยทีเดียว

ความอัจริยะที่ว่าก็คือ สามารถพูดได้หลากหลายภาษาและสามารถสอนคำพูดและการโต้ตอบเพิ่มเติมได้ด้วย
ซึ่งการโต้ตอบของมันนั้น ใครที่มีความอดทนต่ำอย่างฉันก็อาจจะออกอาการกันได้ง่ายๆ เมื่อใครต่อใครก็คุยกับนาง Simsiri นี่ แล้วก็จับภาพหน้าจอมาคิกคักเอิ๊กอ๊ากต่อกัน
ความน่ารักปนน่ารำคาญชวนคลั่งของมันนั้นจริงๆ จะว่าไปก็ไม่ได้เกิดจากตัวแอ็ปนี้หรอก มันเกิดจากผู้ใช้มากกว่า เพราะ Simsiri นั้นทั้งด่า ทั้งเบลอใส่
ทั้งกวนโมโหยอกย้อนสารพัดในการตอบ แต่คนก็ยังพิมพ์อะไรประหลาดๆ ลงไปคุยกับมัน

จนฉันชักงงว่าคนเราอยากคุยกับสิ่งที่ไร้ตัวตนมากขนาดนี้เชียวหรือ?
นั่น ไม่เท่าไหร่ เราอาจมีเพื่อนในจินตนาการเป็นตัวแอะไรก็ได้จริงไหม แต่นี่ทั้งที่มันด่า จิก กัดสารพัด คนก็ยังว่ามันตลกและน่าเอ็นดู
น่าแปลกใจจริงว่าเราต้องการการตอบรับ ความรัก และความมั่นใจจากไอ้หุ่นกระป๋องไร้จิตใจมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
มันเป็นแค่การพยายามทำตัวให้ทันสมัย หรือการรู้สึกว่าเรายังมีใครคอยสนใจเราแม้แต่ในเรื่องบ้าๆ บอๆ กันแน่

แต่ก็น่าจะเหมือนสิ่งอื่นๆ ในโลกแห่งโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กซึ่งหมุนเร็วกว่าก้าวเดิน

ของคนและเข็มนาฬิกา ถ้าจะให้ฉันทาย

ฉันก็จะขอทายว่า Simsiri นี้จะมาแรงมากขึ้นภายในช่วงอาทิตย์ต่อไป

และก็จะคลายความนิยมลงอย่างรวดเร็วในอีกเพียงหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น

เพื่อที่เราจะหาเพื่อนคนต่อไป

ในโลกแห่งโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กที่เราไม่เคยเห็นหน้ากัน

-ชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ความมั่นใจ หรือคำอธิบายใดๆ

ในขณะที่ชีวิตที่เลวร้ายต้องการอย่างมากมาย - *


ฉันคิดว่าพรุ่งนี้ฉันคงอ่านเรื่องของซูสีไทเฮาจบ

และได้อ่านเล่มอื่นๆ ที่ยังคงรอคอยการขนย้ายอยู่ได้เสียที


* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
* ข้อความจากในหนังสือ
"พระนางซูสี จักรพรรดินีกู้บรรลังก์" ( The Last Empress ) เขียนโดย อันฉี หมิน แปลโดย ภคปภา เทพพิทักษ์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2551 โดยสำนักพิมพ์มติชน



++++
บทความเก่าปี 2553

วิ่ง"ช้าลง"
โดย ทราย เจริญปุระ คอลัมน์ รักคนอ่าน
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1583 หน้า 79


สวัสดีปีใหม่

รู้ว่ายังมาไม่ถึง แต่ก็ลองซ้อมๆ พูดไว้ก่อนเพราะมันก็งวดเข้ามาเต็มที

ช่วงปีใหม่เป็นเหมือนช่วงที่ปล่อยให้ฉันได้มองเห็นใครๆ คนอื่นบ้าง หลังจากที่วิ่งรอบตัวเองมาทั้งปี

แต่ระยะเปลี่ยนผ่านปีแบบนี้ ต่อให้ไม่รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อนเราก็ยังเอ่ยทักทายกล่าวสวัสดีปีใหม่กันได้อย่างแจ่มใส

และหวังว่าอะไรอะไรจะดีขึ้นกว่าเดิม

หวังว่าอะไรอะไร-ในชีวิตตัวเอง-จะดีขึ้นกว่าเดิม

หวังว่าจะคิดถึงคนอื่นได้มากกว่าเดิม

อายุนี่ก็เป็นเรื่องแปลกอยู่อย่าง, ตอนฉันยังเด็กกว่านี้ มีความรู้สึกว่าเวลามันช่างเดินช้าเสียเหลือเกิน ต้องไปเรียน--เล่นพละ-กลับมาทำการบ้าน-เข้านอน ฯลฯ วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบ กว่าปีใหม่จะกลับมาหา

แต่พอโตขึ้นมา, กลายเป็นว่าไอ้ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ก็ยังมี 365 วันเหมือนตอนที่ฉันยังเด็กอยู่ ไม่ผิดเพี้ยนกลับเดินจ้ำเอา จ้ำเอา จนผ่านไปอย่างรวดเร็วชนิดที่ต้องมานั่งนึกกันเลยทีเดียวว่าเราพลาดอะไรไปตอนไหนบ้างหรือเปล่า? ทำไมเวลามันถึงผ่านไปเร็วเหลือเกิน

แต่ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่, สิ่งหนึ่งที่ฉันเชื่อว่าต้องมีใครคิดเอาไว้แน่ๆ คือ-ปีใหม่ปีนี้, เราจะต้องทำอะไรใหม่ๆ ให้กับชีวิต

ถ้าเด็กหน่อยก็มักจะเป็นแนวการศึกษา, ประเภทต้องตั้งใจเรียนให้ได้เกรดดีๆ หรือจะทำการบ้านส่งครูทุกครั้ง อันเนื่องมาจากการขอร้องของคุณพ่อคุณแม่หรือจากของล่อใจซึ่งเป็นอามิสสินจ้างที่ผู้ปกครองจะมอบให้หากทำได้สำเร็จ

แต่สำหรับคนโตๆ แล้วอย่างเราที่ไม่มีเกรดดีๆ มอบให้ หรือคำชื่นชมจากใครๆ มาถึงเวลาทำอะไรได้อย่างที่ตั้งใจไว้ก็จะออกแนวเรื่องราวสารพัดเท่าที่จะนึกได้ หรือเรื่องที่เคยทำพลาดไปในปีที่ผ่านๆ มา

ประเภทปฏิญาณตนว่าจะลด ละ เลิกสิ่งไม่ดีหรืออบายมุขต่างๆ ก็มีไม่ใช่น้อย แต่ก็มักจะเลือนๆ ไปช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนปีใหม่ซึ่งต้องเวียนว่ายกันอยู่ในวงสังสรรค์และงานปาร์ตี้อย่างหนักหน่วงกันแทบทั้งนั้น และมีไม่น้อยเลยที่กว่าจะตื่นมารับปีใหม่ก็ล่วงเข้าบ่ายคล้อย ด้วยอาการเมาค้างสุดขีดและนั่งคิดจนหัวแทบแตกว่าเมื่อคืนไปทำอะไรไว้บ้างที่อาจกลายเป็นวีรกรรมให้เพื่อนเก็บไว้ขำกันตลอดปี

ฉันเองก็ตกอยู่ในวังวนนั้น, ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ตั้งใจว่าตลอดปีนี้จะทำอะไรดีๆ ให้ตัวเองบ้าง ไปจนถึงจุดที่ไม่ได้มองเห็นแสงแรกในวันแรกของปีใหม่ กลับมองเห็นแต่สภาพยับเยินจากการสังสรรค์อย่างหนักมาตลอดคืน

จนมาปีนี้ที่เริ่มคิดว่า, นี่ฉันกำลังทำอะไรกับตัวเองอยู่?

ฉันกำลังหั่นชีวิตให้สั้นลง กำลังทำสิ่งที่กลายเป็นการลดเวลาในการตื่นมารับปีใหม่ในชีวิตให้น้อยลงอยู่หรือเปล่า?

พอนึกมาถึงตรงนี้ฉันก็คิดถึงชีวิตของเจนนี่ขึ้นมา



เจนนี่, รักแรก รักเดียว และรักสุดท้ายในชีวิตของ ฟอเรสท์ กัมพ์

เจนนี่ผู้ต้องวิ่งหนีอยู่ตลอดชีวิต

เจนนี่ที่วิ่งหนีออกจากบ้านที่มีพ่อเลี้ยงใจร้าย

เจนนี่ที่วิ่งหนีรักบริสุทธิ์ของกัมพ์, ชายซื่อๆ ทึ่มๆ ที่รักเธอจริงๆ

เจนนี่ที่วิ่งหาตัวเองไปไกลจนถึงบาร์เปลือยอก

เจนนี่ที่วิ่งหารักแท้และรู้สึกตัวขึ้นมาในคืนหนึ่ง

คืนนั้นเป็นคืนปีใหม่

แล้วเธอก็รู้ตัวว่าเธอควรออกวิ่งอีกครั้ง

คราวนี้ไม่ใช่วิ่งหนี

แต่วิ่งกลับไปหากัมพ์

แม้เธอจะรู้สึกตัวแล้วหวนกลับไปหากัมพ์ได้เร็ว

แต่ปีใหม่ที่เธอได้มีร่วมกับกัมพ์ก็ไม่ได้มากมายอะไรเลย

เจนนี่ตายหลังจากนั้นไม่นาน



ฉันไม่ได้เป็นเหมือนเช่นเจนนี่ทุกอย่าง

แต่บางทีฉันก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าฉันกำลังออกวิ่งอยู่เหมือนกัน

ไม่รู้ว่าทำไมต้องวิ่ง ไม่รู้ว่าวิ่งหนีอะไร ไม่รู้ว่าต้องวิ่งไปอีกไกลแค่ไหน แต่ฉันก็หยุดไม่ได้

คืนข้ามปีกำลังจะเดินทางมาถึงแล้วอีกครั้ง, ฉันจึงคิดว่าคราวนี้ฉันจะชะลอฝีเท้าลง

ปล่อยให้โลกหมุนไปโดยที่ฉันอยู่เฉยๆ บ้างก็คงจะไม่เป็นไร

อาจจะไม่ถึงกับหยุดวิ่งอย่างเด็ดขาด แต่ก็น่าจะดีกว่าหมุนตัวไปตามแรงเหวี่ยงของมันอย่างเต็มที่เหมือนทุกครั้ง

อาจหงุดหงิดอึดอัดขัดใจ อาจไม่รู้จะทำไปทำไม

อาจจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

แต่ก็เอาเถอะนะ, ฉันบอกวิญญาณเจนนี่ที่ซ่อนอยู่ในตัวฉันเอง

จะได้หรือไม่ก็ลองทำดูก่อน

เจนนี่เคยทำเพื่อกัมพ์ได้ ฉันก็น่าจะทำได้

เพื่อเธอ



.