http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-02-18

ออเคสตรา พิฆาต "นารี"/ เพลง "ปรองดอง"../ วางหมากแก้ รธน.ฯ

.
________________________________________________________________________________________________

ออเคสตรา พิฆาต "นารี"
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1644 หน้า 9


ออเคสตรา 3 วง ที่เล่นกระหึ่มทำเนียบรัฐบาล ในงาน "รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย" ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ต่อหน้า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และแขกวีไอพีกว่า 500 คน และมีการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ นั้น

นอกเหนือจะมีเป้าหมาย เพื่อขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนในการช่วยเหลือวิกฤตน้ำท่วมแล้ว

แน่นอน ยังมี "ดราม่า" แฝงเร้นอยู่ในนั้นไม่น้อย

เป็นดราม่า ที่รัฐบาล รวมถึงพรรคเพื่อไทย หวังจะให้ภาพ "สนิทสนม" ของ พล.อ.เปรม และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความปรองดอง ทางการเมืองด้วย

ซึ่งก็ถือว่า "บรรลุ" เป้าหมายไม่น้อย

แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความดีใจต่อภาพที่ได้เห็น


อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางความความพึงใจของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย

ก็ย่อมมีอีกฝ่ายไม่พึงใจ

เป็นอีกฝ่ายที่แสดงตนอย่างแจ่มชัดมาโดยตลอดในการมุ่งโค่นล้มรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์

จึงไม่แปลก ที่ฝ่ายนี้ จะต้องดำเนินการทุกวิถีทางไม่ให้ "ดราม่า" ข้างต้น เป็นเรื่อง "ตรึงใจ"

แต่ ควรเป็นเรื่อง "แสลงใจ" มากกว่า

จึงไม่แปลกที่จะมาจากท่าทีและการเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านคำแถลงของ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษก

"วันนี้ผมและหลายคนในพรรคแต่งชุดดำเพื่อไว้ทุกข์"

เป็นการไว้ทุกข์ให้กับงานรักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย ด้วยเหตุผลว่าขณะที่มีคนจำนวนมากยังเดือดร้อนและยังไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล

นี่จึงถือเป็น "จุดยืน" ที่อยู่ตรงกันข้ามอันเด่นชัด



แม้ ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่มีวงออเคสตรามาบรรเลงประชัน เพื่อกลบเสียงวงออเคสตราในทำเนียบรัฐบาล

แต่เราก็จับต้อง "บรรยากาศ" แห่งการประสานมือ "ดีด สี ตี เป่า" เพื่อเขย่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมามันไม่แพ้กัน

โดยหนึ่งในนั้น มีกรณี "โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์" ที่เป็นเสมือนตัวอย่างบทเพลง "พิฆาตนารี" ที่ถูกหยิบขึ้นมาบรรเลงอย่างครบเครื่อง ครบองค์ประกอบ

ทั้งข้อเท็จจริงและอารมณ์

ถ้าจะเป็น "ดราม่า" ก็เป็น "ดราม่า" ที่ไม่แพ้สิ่งที่เกิดขึ้นในทำเนียบ

ที่ว่าเป็นข้อเท็จจริงนั้น ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปปฏิบัติภารกิจไม่เปิดเผย (ว.5) เป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์

และอีกข้อเท็จจริงหนึ่ง เป็นกรณีที่ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ ไม้เบื่อไม้เมากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกชายลึกลับบุกชกหน้า ในโรงแรมเดียวกันหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางกลับออกไปไม่กี่นาที

ข้อเท็จจริงทั้ง 2 เรื่องจะเกี่ยวพันกันหรือไม่ ไม่มีใครยืนยัน

แต่ นายเอกยุทธ ก็ได้ใช้ข้อเท้จจริง ผสานเข้ากับความกำกวม จับโยง 2 เรื่อง ให้เข้ามาเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างมีสีสัน คล้ายทำนองว่าไปรับรู้ ว.5 ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงถูกคนทำร้าย

ยิ่งเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตนเอง ปล่อยให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง, ให้ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ให้ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจงแทนคนละทีสองที

ทำให้ ข้อมูลบางส่วนไม่ตรงกัน เพิ่มความกำกวมยิ่งขึ้น

ถ้าเป็นดราม่า ก็เป็นดราม่าที่ครบองค์ประกอบแห่งการเร้าอารมณ์ นั่นคือ โรงแรม-ผู้หญิง-ผู้ชาย และ ว.5

ฝ่ายค้าน เล่นของ ว.5 เอาให้ตาย

โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ แม้จะเป็นโรงแรมห้าดาว แต่การที่ "ผู้นำหญิง" ปลีกตัวจากภารกิจที่ต้องเข้าประชุมสภา มาปฏิบัติ ว.5 นาน 2 ชั่วโมง โดยเลือกใช้บริการ ชั้น 7 ซึ่งมีการลงรายละเอียดผ่านสื่อ ถึงห้องหลายรูปแบบ ทั้งสไตล์ดีลักซ์ ดีลักซ์วิว ดีลักซ์สวีตส์ ห้องสไตล์พรีเมียม ห้องสไตล์เอฟเอส เอ็กเซ็กคิวทีฟสวีต ห้องสไตล์ดีลักซ์สวีต และยังมีเอ็กเซ็กคิวทีฟคลับ ที่จำหน่ายเครื่องดื่มต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง

ชวนให้เกิด "จินตนาการ" ต่างๆ นานายิ่ง

บางคนเลยเถิดถึงขนาดพาดพิงถึง "สวรรค์ชั้น 7" เลยทีเดียว

มองในแง่ ความเป็น "ผู้หญิง" นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เอาเสียเลย ที่ถูกลากดึงเข้าไป

ยิ่งเป็น "นายกรัฐมนตรี" ด้วยแล้ว มีแต่เสียกับเสีย

ส่วนเรื่อง "ผู้ชาย" นั้น นายเอกยุทธ ก็ยังคงใช้สไตล์กำกวมเช่นเดิม โดยระบุในเฟซบุ๊กของนายเอกยุทธ เองว่า
"ควรตอบให้สังคมหายข้อสงสัย หรือนำภาพถ่ายที่ปรากฏในชั้น 7 มาเปิดเผยต่อสาธารณะเลยดีกว่า ว่าไปพบกับใคร
โดยเฉพาะเวลานี้ในโลกสังคมออนไลน์มีการตั้งข้อสังเกตไปไกลแล้วว่า หลังนายกฯ เดินทางกลับ มีผู้พบเห็น นายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง (กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ) ปรากฏกายในเวลาไล่เลี่ยกัน
ซึ่งทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย
จึงเป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องชี้แจงต่อสาธารณะให้คลายความสงสัย ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนใดแอบแฝงหรือไม่ เพราะนายกฯ คือบุคคลสาธารณะ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือนักธุรกิจชื่อดัง
สำหรับกรณีที่นายกฯ ไปทำภารกิจลับ ว.5 ทั้งที่เป็นช่วงเวลาราชการ ซึ่งจะไปพบใคร นักธุรกิจคนใด ก็เป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องชี้แจงให้สังคมหายสงสัย
ส่วนจะกล้าตอบหรือไม่กล้าตอบ ก็เป็นเรื่องที่นายกฯ ควรใช้วิจารณญาณของตนเอง
เพราะมีข่าวว่าใครบางคนพยายามวิ่งเต้นซื้อที่ดินทำฟลัดเวย์ และต้องการเปลี่ยนตัวดีดีการบินไทย"

เห็นไหมว่า โรงแรม-ผู้หญิง-ผู้ชาย และ ว.5 ทำให้เรื่องนี้ "ดราม่า" เพียงใด!



ยังไม่จบเพียงนั้น พรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทั้ง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ก็ได้พยายาม "ประสานเสียง" เพื่อเกี่ยวโยงเรื่องนี้ให้เป็นประเด็น "การเมือง"

ทั้งการตั้งคำถามว่า "ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ต้องประชุมสภา เหตุใดนายกรัฐมนตรี จึงไม่ร่วมประชุมสภา มีการเปลี่ยนกำหนดการบอกว่าเป็นเรื่องลับจนกระทั่งมีเหตุเกิดขึ้น"

ทั้งการตั้งคำถาม ว่า "บังเอิญไปหรือไม่ว่าวันนั้น มีคนพบนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อยู่ที่นั่น และจากนั้นบังเอิญมีการพูดถึงพื้นที่ 2 ล้านไร่ เพื่อทำเป็นพื้นที่รับน้ำและฟลัดเวย์ โดยรัฐบาลตั้งงบฯ ไว้ 6 หมื่นล้านบาท จึงสงสัยว่าเหตุใดเพิ่งมีความชัดเจนในเรื่องงบประมาณ หลังจากนายกฯ ไป ว.5 ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ หากไม่มีการทุจริตหรือเอื้อประโยชน์ เหตุใดจึงไม่ออกมาชี้แจง"

และยังได้นำไปสู่ "มติพรรค" ด้วยการหยิบเรื่องนี้ไปตั้งกระทู้สดถามในสภา ด้วยเหตุผลว่าเพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีโอกาสชี้แจง

ขณะเดียวกัน กลุ่มการเมืองสีเขียว หรือกลุ่มกรีน ที่ก่อตั้งโดย นายสุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มอบหมายให้ตัวแทน เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ตรวจสอบจริยธรรมของนายกฯ โดยเหตุผลเดียวกัน

ถือเป็นการ "ผสาน" ข้อมูลกันอย่างยอดเยี่ยม แม้แต่ละฝ่ายจะยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันก็ตาม

หากจะเป็นวงออเคสตรา ก็ต้องถือว่าเป็นวงมืออาชีพ ที่สามารถบรรเลงเพลง "พิฆาตนารี" ได้อย่างตื่นเต้นเร้าใจ

ที่สำคัญ นั่นเป็นเพียง 2 ชั่วโมง ในโรงแรมโฟรซีซั่นส์ แต่กลับสามารถลากยาวเข้าสู่สภา เข้าสู่ผู้ตรวจการแผ่นดิน และทำให้เป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ได้อย่างมือชั้นเซียน

ขณะที่ งานจัดหนัก ที่กำลังเกิดขึ้นและกำลังจะมาถึง ไม่ว่าเรื่องผู้ก่อการร้ายระเบิดกลางกรุง เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วม ฯลฯ แทบไม่ต้องคาดการณ์ก็เดาถูก

"นารี" เจอพิฆาตหนักหนาสากรรจ์แน่ๆ



++

ไม่มี "เม้มปาก-เอียงคอ" นโยบาย 66/55 ของ "ป๋าเปรม" เพลง "ปรองดอง" ผ่าน "ออเคสตรา"
คอลัมน์ ในประเทศ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1644 หน้า 11


10 ล้านบาทสำหรับการจัดคอนเสิร์ตออเคสตรา ขอบคุณผู้ที่ลงแรงช่วย "น้ำท่วม" ของรัฐบาล ถือว่า "แพง" และ "ไม่คุ้มค่า" อย่างยิ่ง

แต่หาก 10 ล้านบาทนั้นสามารถส่งสัญญาณภาพ "ความปรองดอง" สู่สาธารณชนและนานาชาติ ถือว่าเป็นการลงทุนที่ต่ำและคุ้มค่าอย่างยิ่ง

แม้ "จุดเริ่มต้น" ของงาน "รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย" จะเกิดขึ้นจากเรื่อง "ดนตรี" อย่างแท้จริง

คำสัมภาษณ์ของ นายสุกรี เจริญสุข คณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ริเริ่มโครงการแสดงคอนเสิร์ตที่ทำเนียบรัฐบาลชัดเจนอย่างยิ่ง

นายสุกรีเล่าว่า โครงการนี้เกิดขึ้นในช่วงที่เขาประสบปัญหาเรื่องวิทยาลัย ไม่ได้การรับรองหลักสูตร

ช่วงที่ "สุกรี" คิดว่าตนเองโดดเดี่ยว มี "ผู้ใหญ่" คนหนึ่งในบ้านสี่เสาเทเวศร์ ที่ไม่ใช่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เสนอว่าควรจะจัดแสดงวงดนตรีไทยแลนด์ฟีลฮาร์โมนิก ออเคสตรา ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า

นายสุกรีปฏิเสธเพราะลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นที่โล่งไม่เหมาะกับการจัดแสดงดนตรี และไม่อยากให้มีการปิดถนน

มีการเสนอใช้ "สนามหลวง" แต่ "สุกรี" ก็ยืนยันว่าไม่เหมาะกับการแสดงดนตรีสดเช่นกัน

เมื่อถามว่าอยากเล่นที่ไหน "สุกรี" ตอบว่า "ทำเนียบรัฐบาล"

"ผู้ใหญ่" ท่านนั้นก็อึ้งไป เพราะไม่แน่ใจว่าจะได้รับอนุญาตหรือไม่

บังเอิญที่ "สุกรี" รู้จักกับ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยเป็นผู้สนับสนุนวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ตั้งแต่เริ่มต้น

อีกด้านหนึ่งก็คุ้นเคยกับ พล.อ.เปรม จากความชอบเรื่องดนตรีเหมือนกัน โดยเขาเป็นคนแนะนำครูสอนเปียโนให้กับ พล.อ.เปรม

17 มกราคม 2555 นายสุกรี พานายกิตติรัตน์เข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยนายกิตติรัตน์นำกระเช้าผลไม้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไปด้วย

วันนั้น นายกิตติรัตน์ได้เชิญ พล.อ.เปรม เป็นประธานในวันแสดงดนตรี ซึ่ง "ป๋าเปรม" ก็ตอบตกลง

และกลายเป็น "จุดเริ่มต้น" ของงานรักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย ที่กลายเป็น "จุดเปลี่ยน" ทางการเมืองครั้งสำคัญ

ชนิดที่ "คนเสื้อเหลือง" และ "คนเสื้อแดง" งุนงงจนถึงวันนี้



ในครั้งแรก "กิตติรัตน์" ไม่ได้คิดแบบ "การเมือง"

เขาคิดเรื่อง "ดนตรี" ล้วนๆ

ดังนั้น "กิตติรัตน์" จึงเตรียมควักกระเป๋าส่วนตัวมาใช้ในการจัดงาน

แต่เมื่อเรื่องถึงหู "ยิ่งลักษณ์" นายกรัฐมนตรี ก็ให้ใช้งบประมาณของรัฐบาล และมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบงานเป็นงานรักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อขอบคุณทุกฝ่ายที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วม

แม้จะฟังดูแปร่งๆ แต่ก็เป็นเหตุผลที่พอฟังได้

ทั้งที่รู้ว่าทุกคนอ่านออกว่านี่คือ งานแสดงภาพทางการเมือง

วันนั้นทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่ "ยิ่งลักษณ์" และ "พล.อ.เปรม" มากที่สุด

เพราะ "ยิ่งลักษณ์" คือน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ประกาศว่า พล.อ.เปรม เป็น "ผู้มากบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"

ในขณะที่ "คนเสื้อแดง" นั้นโจมตี พล.อ.เปรม ตลอดว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

การเชิญ พล.อ.เปรม มาเป็นประธานในพิธีจึงเป็น "ปรากฏการณ์" ที่ทุกฝ่ายจับตามอง

ไม่แปลกที่ในวันแรกเมื่อข่าวเรื่องนี้แพลมออกจากทำเนียบรัฐบาล ไม่มีใครเชื่อว่า "ป๋าเปรม" จะมา แทบทุกคนคิดว่าเป็น "เกม" ของรัฐบาล

รุกด้วยการยื่นมือให้ก่อน

เป็นเกมรุกที่มีแต่ "ได้" ไม่มี "เสีย"

แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะยืนยันว่า "ป๋า" มาแน่

แต่คนจำนวนไม่น้อยไม่มั่นใจ จนกระทั่งถึงวันงาน

ไม่แปลกที่คืนวันนั้น ทุกคนจะจับตามองปฏิสัมพันธ์ระหว่าง "ป๋าเปรม" กับ "ยิ่งลักษณ์"

จะเป็นภาพการแสดงท่าทีเมินเฉย ท่าทีแบบ "ทางการ" หรือแสดงมิตรภาพที่ดีต่อกัน

แน่นอน "ยิ่งลักษณ์" ต้องแสดงท่าทีที่นอบน้อมตามปกติที่เห็นเป็นประจำ

แต่ "ป๋าเปรม" นั้นไม่มีใครรู้ว่าจะแสดงท่าทีอย่างไร

และเมื่อภาพที่ปรากฏบนจอโทรทัศน์ผ่านการถ่ายทอดสดทั้งทางช่อง 11 และโมเดิร์นไนน์ กลายเป็นภาพของ "ป๋า" ยิ้มแย้มแจ่มใส และสนทนากับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างเป็นกันเองตลอดการแสดงดนตรี

ยิ่งตอนที่ส่ง "ป๋า" ขึ้นรถกลับบ้าน แล้ว พล.อ.เปรม ลดกระจกเรียก "ยิ่งลักษณ์" ไปคุยสั้นๆ

ยิ่งทำให้ภาพความปรองดองชัดเจนขึ้น

คำถามที่เกิดขึ้น ก็คือ ทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มต้นการปรองดองกันแล้ว

หรือนี่คือ เกมสร้างภาพเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งตายใจ



คนใกล้ชิดของ พล.อ.เปรม ยืนยันว่านี่คือการส่งสัญญาณ "ปรองดอง" อย่างแท้จริง

เพราะ "ป๋า" เป็นคนเก็บความรู้สึกไม่อยู่

ภาษาท่าทางของ "ป๋า" จะชัดเจนมาก

ถ้าไม่พอใจใคร พล.อ.เปรม จะแสดงปฏิกิริยาให้เห็นชัด ไม่ว่าจะเป็นการเม้มปาก เอียงคอ หรือไม่พูดด้วย

แต่ภาพในคืนนั้น "ป๋าเปรม" ยิ้มแย้มแจ่มใส และสนทนากับ "ยิ่งลักษณ์" เหมือน "ผู้ใหญ่" ที่เอ็นดู "เด็ก"

อย่าลืมว่า พล.อ.เปรม นั้นผ่านเหตุการณ์การทำสงครามคอมมิวนิสต์มาแล้ว และเขาเป็นคนออกนโยบาย 66/2523 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปรองดอง โดยเปิดทางให้กับ "นักศึกษา" ออกจากป่า

ทำไมเขาจะอ่านเกมไม่ออกว่าการเมืองไทยถ้ายังคงดึงดันต่อไป ไม่ปรองดอง เมืองไทยจะเป็นอย่างไร

และผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็ชัดเจนว่าคนส่วนใหญ่เลือกใคร

เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งยื่นมือมาขอปรองดองก่อน "ป๋าเปรม" จึงตัดสินใจไม่ยาก

ทั้ง "ยิ่งลักษณ์" และ "ป๋าเปรม" ต่างมองออกว่าการชมคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นเรื่องการเมือง

และทุกฝ่ายต้องตีความจากภาพที่ปรากฏ

งานนี้ไม่มีใครหลอกใคร เพราะทั้งสองคนตั้งใจให้ภาพนี้เกิดขึ้น

รัฐบาลนั้นไม่เพียงแต่ต้องการส่งสัญญาณให้กับทุกฝ่ายในประเทศ "ยิ่งลักษณ์" ยังหวังผลถึงระดับนานาชาติ

นั่นคือ เหตุผลที่เชิญเอกอัครราชทูตทุกประเทศมาร่วมในงานนี้

เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพ "ป๋าเปรม" กับ "ยิ่งลักษณ์" พูดคุยอย่างเป็นกันเอง และยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน

เพราะเป็นภาพทางบวกของประเทศไทย

คืนนั้น ว่ากันว่า ทั้ง "ป๋าเปรม" และ "ยิ่งลักษณ์" กลับบ้านอย่างมีความสุข

แต่คนที่นอนไม่หลับ และคิดไม่ตกจนถึงทุกวันนี้ คงไม่พ้นพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

และกลุ่มคนเสื้อแดง

เพราะไม่มีใครนึกว่าจะมีภาพเช่นนี้ขึ้นมา

เหมือนประเทศไทยไม่เคยเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ไม่มีผู้มากบารมีนอกรัฐธรรมนูญ

ไม่มีการเผาบ้านเผาเมือง

ไม่มีการสังหารโหดกลางเมือง 91 ศพ

แต่นี่คือ "เรื่องจริง" ประเทศไทยในเดือนแห่งความรัก พ.ศ.2555



++

มือ "นารี" วางหมากแก้ รธน. ใช้ "ร่าง ครม." เข้าวิน-กินหลายต่อ
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1644 หน้า 12


ที่ประชุม "คณะรัฐมนตรี" (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เสนอร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ต่อรัฐสภา ตามที่ "พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอ

โดยเปิดทางให้มีการแก้ไขมาตรา 291 เพื่อจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) จำนวน 99 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน 77 คน และมาจากการคัดเลือกของที่ประชุมรัฐสภาอีก 22 คน

พร้อม "ขีดเส้น" ให้ ส.ส.ร. จัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน เมื่อยกร่างเสร็จแล้วให้เสนอต่อประธานรัฐสภา เพื่อส่งไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติภายใน 45-60 วัน

ถือเป็น "ร่างรัฐธรรมนูญ" ฉบับท้ายๆ ที่ถูกเสนอเข้าสู่รัฐสภา หลัง "หน่วยอื่น" ชิงเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับเข้าสู่รัฐสภาก่อนหน้านี้

ไม่ว่าจะเป็น ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน นำโดย "สงวน พงษ์มณี" ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย (พท.) และ "นิรันดร์ ด่านไพบูลย์" ที่นำรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 60,000 ชื่อ ยื่นญัตติเข้าสู่รัฐสภาเป็นร่างแรก เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555

หรือร่างของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งถือเป็น "ร่างประชาชนฉบับที่ 2" ที่ยื่นไว้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์

และ "ร่างฉบับของพรรคร่วมรัฐบาล" ภายใต้การยกร่างโดย "พท." ที่ถูกยื่นเข้าสู่รัฐสภาในวันเดียวกัน

นอกจากนี้ ยังมี "ร่างพรรคชาติไทยพัฒนา" (ชทพ.) ที่ยื่นเข้ามาเป็นร่างที่ 4 โดยยึดโมเดลสมัย "รัฐบาล บรรหาร ศิลปอาชา" เป็นต้นร่างในการเสนอญัตติ

ทว่า ทั้งวิปรัฐบาล-ทั้งแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ต่างยืนยันว่าจะปล่อยให้ "ร่าง ครม." เป็น "ร่างหลัก"

คำถามคือทำไมต้องยึด "ร่าง ครม." เป็นพิมพ์เขียวหลัก?



หากจับจังหวะ "รุก" เพื่อ "รื้อ" รัฐธรรมนูญปี 2550 ของ "รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" บนกระดานการเมือง 2555 จะพบว่าเป็น "หมากสำคัญ" ที่ถูกวางไว้ตั้งแต่ต้น

ด้วยเพราะมีการบรรจุเป็น 1 ใน 16 "นโยบายเร่งด่วน" ที่ต้องดำเนินการให้เสร็จในขวบปีแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง

มีการประกาศรายละเอียดเป็นครั้งแรกจากปากคำของ "ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรี ที่แถลงนโยบาย (แทนนายกฯ) ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ที่ว่า

"รัฐบาลใส่เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยยืนหยัดไม่เอารัฐธรรมนูญเผด็จการ ทั้งนี้ รัฐบาลจะเปิดทางให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อให้มี ส.ส.ร. โดยจะบอกเลยว่าให้มีการคัดสรร ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง 77 จังหวัด และอีก 22 คนจากนักปราชญ์ ราชบัณฑิต เมื่อยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเท่าใด เพราะไปบังคับไม่ได้ จากนั้นให้ถามประชาชน"

ด้วยเพราะ พท. ได้ชูธง "โละรัฐธรรมนูญอำมาตย์" ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ผ่านการขับเคลื่อน "นโยบายก้าวข้ามวิกฤตสู่สันติสุขของสังคมไทย" จนคล้ายเป็น "สัญญาประชาคม"

กอปรกับได้แรงยุส่งจาก "บิ๊กพรรคร่วมรัฐบาล" ที่หมายพลิก "วิกฤต" ให้เป็น "โอกาส" จึงพยายามผลักให้ "รัฐบาล" เป็นผู้ออกแรงในเรื่องนี้

"เรื่องแก้รัฐธรรมนูญหากไม่ใช่รัฐบาลก็เป็นเรื่องยาก สมัยผมเป็นนายกฯ ก็ต้องคุยกับวุฒิสภาที่ไม่เห็นด้วย ดังนั้น แก้รัฐธรรมนูญหากไม่ใช่รัฐบาลลงมารับผิดชอบ ถือว่าเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย บอกได้แค่นี้ ผมเห็นว่าถ้ารัฐบาลอยากสำเร็จ รัฐบาลจะต้องเป็นเจ้าภาพเอง"

คือข้อเสนอแนะแกมข่มขู่ของ "บรรหาร ศิลปอาชา" ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ชทพ.

จึงไม่แปลกอะไรหาก พท. ที่ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนน 265 เสียง จนเป็นผู้ยึดกุมเสียงข้างมากในสภา และเสียงข้างมากใน "รัฐบาล 300 เสียง" จะต้องออกแรงผลัก-ดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ



แม้เป็น "ไฟต์บังคับ" ที่ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ต้องเป็น "ตัวเดินเกม" แต่การเดินให้ "เข้าวิน" ไม่ใช่เรื่องง่าย

โดยมีตัวอย่างให้เห็นจาก "รัฐบาลรุ่นพี่" มาแล้ว 2 ชุดคือ "รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช" และ "รัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์" ที่ถูก "ล้มกระดาน" ทันทีที่เปิดประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น อย่าได้แปลกใจหากรัฐบาลจะปล่อยหมากล่อ-เดินหมากลวง เพื่อให้ "ฝ่ายตรงข้าม" หลงทาง

หลังผ่านการหยั่งกระแสสังคมด้วยการเปิดโอกาสให้ "ภาคส่วนอื่นๆ" ยื่นญัตติเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วพบว่าเสียงต่อต้านไม่หนักหน่วง-รุนแรงเท่ารัฐบาลชุดก่อนๆ

ตรงกันข้ามเสียงส่วนใหญ่ของสังคมสนับสนุนให้ใช้ "กลไก ส.ส.ร." ในการเดินเกมแก้รัฐธรรมนูญ

จึงสบช่องที่ "รัฐบาล" จะชง "ร่างจริง" เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพราะบางหมาก-บางเกมมีโอกาสตัดสินใจเพียงครั้งเดียว


สำหรับ "จุดเบี่ยงเบน" ที่ปรากฏในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ ครม. คือ กรอบเวลาในการทำคลอดรัฐธรรมนูญ ซึ่งรวบรัด-เร่งรีบเป็นพิเศษ โดยกำหนดการได้มาซึ่ง ส.ส.ร. เพียง 75 วัน ขณะที่ร่างฉบับพรรคร่วมรัฐบาลให้เวลาไว้ 90 วัน

รวมถึงการกำหนดให้ใช้ "คณะกรรมการ 15 คน" เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และกติกาในการสรรหา ส.ส.ร. ผู้ทรงคุณวุฒิ แทนการใช้ "คณะกรรมาธิการวิสามัญ" (กมธ.) เพื่อสกัด "พรรค-พวก" อื่นมากินส่วนแบ่งใน "22 อรหันต์"

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการได้มาซึ่ง ส.ส.ร. ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 22 คน ซึ่งกำหนดให้มีผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชน 6 คน ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ 6 คน และเพิ่มจำนวนให้ผู้มีประสบการณ์ด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย หรือการร่างรัฐธรรมนูญเป็น 10 คน

โดยแกนนำรัฐบาลยอมรับว่าเป็นการเขียนเพื่อ "เปิดช่อง" ให้ "อดีตประธานรัฐสภา" หรือ "อดีตนายกรัฐมนตรี" เข้าร่วมวง "99 อรหันต์" มากขึ้น

นั่นเท่ากับระดับ "ครีม" ของฝ่ายการเมืองจะมีโอกาสเข้าไปคุมกลเกม ส.ส.ร. พร้อมกำหนดเนื้อหาใน "รัฐธรรมนูญฉบับที่ 19"

อย่าลืมว่าทันทีที่ "ส.ส.ร. 3" ล้างรัฐธรรมนูญปี 2550 เสร็จ จะมีกระบวนการลงประชามติตามมาหลังจากนั้น ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่านี่คือการ "ซ้อมเลือกตั้ง"

เพราะทันทีที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีผลใช้บังคับ "ยิ่งลักษณ์" จะถูกบีบบังคับให้ "ขึ้นเกมใหม่" ด้วยการประกาศยุบสภา แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปโดยปริยาย

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ "ยิ่งลักษณ์กับพวก" ต้องสามารถจัดวาง "หมาก" บนกระดานให้ฝ่ายตนได้เปรียบ พร้อมถือโอกาส "หักขา" ฝ่ายตรงข้ามที่เดินสะเปะสะปะอยู่บนกระดาน

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมต้องใช้ "ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ ครม." เป็นร่างหลัก

อย่าลืมว่า "ผู้เขียนกติกา" คือ "ผู้กำหนดเกม" เมื่อ "กรรมการ" กับ "ผู้เล่น" คล้ายเป็นพวกเดียวกัน ชัยชนะจะไปไหนเสีย

ความพยายามเดินเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญของ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ในครั้งนี้ เชื่อว่าคงไม่ได้หมายเพียง "เข้าวิน-เข้าฮอร์ส" แต่กะ "กินหลายต่อ" ด้วย!!!



.