http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-01-07

รธน.บนทาง 2 แพร่ง, "ผังล้มเจ้า โดมิโน"..โกหกคำโต

.
รายงานพิเศษ 3 - เรื่องของ "ปู" กับ "เปรม" เมื่อ "ป๋า" ไม่เปลี่ยน แล้ว "ประยุทธ์" ก็เป็นคนเดิม
รายงานเพิ่ม 4 - กระทู้ห้องราชดำเนิน เวบไซต์ PANTIP : ความซื่อสัตย์ของเปรม ?
______________________________________________________________________________________


รัฐธรรมนูญ บนทาง 2 แพร่ง
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1638 หน้า 9


เริ่มต้นปี 2555

พรรคเพื่อไทย ก็เดินมาถึงทางสองแพร่ง ที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ชัดเจนตั้งแต่พรรคเพื่อไทยหาเสียงในการเลือกตั้งและได้รับชัยชนะท่วมท้น ว่า จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

และยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงนโยบายต่อรัฐสภา อันเสมือนเป็นการแสดงถึง "พันธสัญญา" ที่ต้องดำเนินการ ว่า

"จะเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นอิสระยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เพื่อวางกลไกการใช้อำนาจอธิปไตยที่ยึดหลักนิติธรรม และองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชนและพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งนี้ ให้ประชาชนเห็นชอบผ่านการออกเสียงประชามติ"

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงต้องเกิดขึ้น

แต่กระนั้น สิ่งที่ยังไม่เห็น "พ้อง" กันอยู่ในพรรคเพื่อไทยขณะนี้ คือห้วงเวลาที่จะดำเนินการ

ควรจะทำเดี๋ยวนี้

หรือทอดเวลา ออกไป


นํ้าเสียงล่าสุดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ค่อนข้างมีบทบาทสำคัญในพรรคขณะนี้ ยังไม่เปลี่ยนแปลง

นั่นคือ "ยังไม่ถึงเวลา"

"ควรรอไปอีก 8 เดือนเพื่อให้รัฐบาลมีผลงานทั้งเรื่องแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ยาเสพติด และเรื่องอื่นๆ ก่อน"

ท่าทีเช่นนี้ คาดว่าจะมีรัฐมนตรีหลายคนเห็นด้วย

เพราะอยากจะขอเวลาทำงานก่อน

ซึ่งย่อมหมายถึงการพยายาม คง "อำนาจ" ในฐานะฝ่ายบริหาร เอาไว้ให้นานที่สุด เพราะไม่มั่นใจว่าหากแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วจะเกิดปัญหาแทรกซ้อนอะไรขึ้นมา

สอดคล้องกับท่าทีของนักการเมืองเขี้ยวลากอย่าง นายเสนาะ เทียนทอง ที่โพล่งออกมาช่วงปีใหม่ว่า

"ตอนนี้ใครที่มัวแต่พูดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมันบ้าไปแล้ว เพราะยังไม่จำเป็น ต้องเลิกพูด เรื่องภัยธรรมชาติ ที่เพิ่งผ่านก็แย่อยู่แล้ว ยังจะมาสร้างเรื่อง หาเรื่องกันอีก พอดีไม่ต้องทำอะไรกัน"

จึงค่อนข้างชัดเจนว่า ในปีกนักการเมืองรุ่นเก๋าของพรรคเพื่อไทย ดูเหมือนจะเทข้างไปในทางชะลอไปก่อน

ซึ่งส่วนหนึ่ง ก็คงมาจากบทเรียนในอดีต ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในหลายครั้ง นำไปสู่วิกฤต จนรัฐบาลอยู่ไม่ได้นั่นเอง



อย่างไรก็ตาม เมื่อหันไปดูท่าที นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนสำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดงแล้ว จะพบว่าแตกต่างโดยสิ้นเชิง

เพราะนายณัฐวุฒิ รวมถึงแกนนำคนเสื้อแดงอื่นๆ ไม่ว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ น.พ.เหวง โตจิราการ นางธิดา โตจิราการ ต่างยืนยันว่า ควรจะแก้รัฐธรรมนูญทันที

นายณัฐวุฒิ ย้ำมาหลายเวที และหลายที่ ว่า ชัยชนะของพรรคในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ปี 2554 ไม่เพียงฐานคะแนนนิยมที่มีต่อพรรคเท่านั้น

แต่คะแนนส่วนหนึ่งนั้นมาจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เปลี่ยนบทบาทจากการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เพื่อให้ขับเคลื่อนการแก้รัฐธรรมนูญฉบับ 2550

ดังนั้น จึงควรทำตามเจตนารมณ์ของมวลชนที่ให้การสนับสนุน

โดยตุ๊กตาของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ แก้มาตรา 291 เพื่อเป็นช่องทางตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)

เมื่อ ส.ส.ร. ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว จึงมีการทำประชามติ เพื่อสอบถามความเห็นประชาชนในครั้งสุดท้าย

นายณัฐวุฒิ เชื่อมั่นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ใช่สร้างเงื่อนไขขัดแย้งทางการเมืองแต่อย่างใด

เพราะว่ากันถึงที่สุดแล้ว ความขัดแย้งทางการเมืองยังดำรงอยู่

และฝ่ายที่พยายามสร้างเงื่อนไขตอนนี้ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาล

แต่เป็นฝ่ายตรงข้ามที่จะโค่นล้มรัฐบาลมาตลอด

นายณัฐวุฒิ เชื่อว่าคนกลุ่มนี้พยายามสร้างเงื่อนไขทุกเหตุการณ์เพื่อให้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้ง พรรคเพื่อไทย และ นปช. ต้องการเพียงจะเข้าไปแก้มาตรา 291 เท่านั้น ส่วนเนื้อหาอื่น มาตรา 1 ถึงมาตรา 309 เป็นเรื่องของ ส.ส.ร. จะพิจารณา

"เหมือนกับเขาเอารัฐธรรมนูญปิดประตูล็อกกุญแจไว้ เมื่อเห็นว่าจะต้องแก้เราก็เดินเข้าไปไขกุญแจมาตรา 291 พอไขกุญแจเปิดประตูก็ให้ ส.ส.ร. เป็นคนเข้าไปแก้ เมื่อแก้เสร็จแล้วก็ทำประชามติ ตรงนี้จะไม่มีมิติความขัดแย้งมาเกี่ยวข้อง แต่วันนี้ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ความขัดแย้งก็ดำรงอยู่ ไม่เคลื่อนไหวการเมืองใดๆ ความขัดแย้งทางการเมืองยังดำรงอยู่ เพราะการต่อสู้แต่ละฝ่ายทางการเมืองยังมีคนไม่ยอมรับการตัดสินใจของประชาชน"

นั่นคือจุดยืนอันเด่นชัดของนายณัฐวุฒิ

และขณะนี้เริ่มมีการแปรไปสู่การปฏิบัติ ตามการขยายความของ นางธิดา โตจิราการ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ระบุว่ากำลังเริ่มต้นล่ารายชื่อผู้ที่เห็นด้วยให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 โดยตั้งเป้าไม่เกินกลางเดือน คือ 15 มกราคม 2555 จะต้องได้รายชื่อให้ครบ 50,000 รายชื่อ

ขณะที่คณะของ นายสงวน พงษ์มณี และ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ก็ได้ไปยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงต่อประธานรัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เพื่อขอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

โดยจะรวบรวมรายชื่อประชาชนจำนวน 50,000 รายชื่อ เพื่อเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555

ซึ่งหากทำได้ตามนี้ ก็จะถือเป็นการเคลื่อนไหวประสานกันทั้ง พรรคเพื่อไทย และในภาคประชาชน


คําถามตอนนี้จึงอยู่ที่พรรคเพื่อไทยจะ "สุกงอม" กับเรื่องนี้อย่างไร

ท่าทีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็สำคัญ

ซึ่งล่าสุด การที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ออกมาส่งสัญญาณในทำนองว่า รัฐบาลจะไม่เป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

และคล้ายจะปล่อยให้เป็นเรื่องของสภา และภาคประชาชน ดำเนินการ

ทำให้เกิดภาวะ "กำกวม" เพราะดูเหมือนรัฐบาลจะ "ลอยตัว" ออกไปไม่ยอมกระโดดเข้ามาเล่นเต็มตัว

ตรงนี้เอง จึงเกิดคำถามตัวโตๆ ว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะเอาอย่างไร

จะยื้อเวลาออกไป เหมือนฝ่าย ร.ต.อ.เฉลิม ต้องการ เพื่อที่ขจัดเงื่อนไขการเมือง และเร่งสร้างผลงานก่อน

แต่กระนั้น บทเรียนที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ที่ประกาศว่าจะดึงเกมแก้รัฐธรรมนูญเอาไว้ในช่วงท้ายรัฐบาล ที่สุด "รัฐธรรมนูญ" ที่ไม่ได้แก้นั้น ก็ย้อนกลับมาเล่นงานนายสมัคร จนตกเก้าอี้ไปจากการไปออกรายการปรุงอาหาร

และยังทำให้รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พังทลายลง เพราะถูกยุบพรรค ตามรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นภายใต้บรรยากาศการยึดอำนาจของ คมช. ด้วย

ก็เตือนใจให้ต้องระมัดระวัง

ระมัดระวังว่าหากไม่รีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีหลักประกันว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่เผชิญชะตากรรมเช่นรัฐบาลนายสมัคร และนายสมชาย


ดังนั้น จึงควรเสี่ยง โดยใช้คะแนนที่ได้ 15.7 ล้านเสียง จากการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กค้ำยันให้

ประกอบกับพยายามทำให้รัฐธรรมนูญที่จะร่างขึ้น "ใหม่" มีความสมบูรณ์และพัฒนายิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540

ที่สำคัญ อิงอยู่กับแนวทางประชาชนตั้งแต่กระบวนการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ การทำประชาพิจารณ์และลงเอยด้วยการทำประชามติ อย่างรอบคอบ รัดกุม

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็ควรเดินหน้าแก้ ไม่ควรลังเล

เมื่อมาถึงทาง 2 แพร่งเช่นนี้ น่าสนใจว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยจะตัดสินใจอย่างไร



++

"ผังล้มเจ้า" รีเทิร์น "ดีเอสไอ" สอบ "ถวิล" จุดเริ่มต้นของ "โดมิโน" ...โกหกคำโต
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1638 หน้า 14


และแล้ว "ดีเอสไอ" ทำหนังสือถึง นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะเลขาธิการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉน หรือ "ศอฉ." มาให้ข้อมูลในฐานะ "พยาน" ในวันที่ 10 มกราคมนี้

กรณี "ผังล้มเจ้า"

และยังรุกคืบเตรียมเชิญ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้อำนวยการ ศอฉ. มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วย

การเดินเกมของ "ดีเอสไอ" โดย พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประสุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษครั้งนี้ถือเป็นการ "ตีขนดหาง" ศอฉ. อย่างรุนแรง

เพราะในการสลายการชุมนุม "คนเสื้อแดง" เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 นั้น "อาวุธ" หนึ่งที่รัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" และ "ศอฉ." ใช้ในการโจมตี "คนเสื้อแดง" . . คือ "ผังล้มเจ้า"


การโหมประโคมเรื่องขบวนการล้มสถาบัน กระหึ่มขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. เป็นคนแถลงข่าวเรื่องนี้เอง โดยเปิดประเด็นว่า "คนเสื้อแดง" กำลังยกระดับการชุมนุมซึ่งผิดกฎหมายอยู่แล้วไปสู่ "การก่อการร้าย" และพยายามผูกเรื่องราวเป็นเท็จมุ่งโจมตีสถาบันเบื้องสูง

"มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบผ่านทางบุคคลทั้งที่เป็นแกนนำหลัก แกนนำรอง"
มีการระบุชื่อ ดา ตอร์ปิโต สุชาติ นาคบางไทร จักรภพ เพ็ญแข ชูพงษ์ ถี่ถ้วน ฯลฯ
รวมถึงวิทยุชุมชนคนรักแท็กซี่ของ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ด้วย

จากนั้น "เสธ.ไก่อู" ก็แจกเอกสารประกอบการแถลงข่าว เป็นผังที่เขียนโยงใยความสัมพันธ์ของคนต่างๆ มีทั้ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ฯลฯ
โดยมี "ทักษิณ ชินวัตร" และ "นปช." เป็นแกนกลาง

จากนั้นก็มีการรับลูกต่อจาก "สุเทพ" มีการให้สัมภาษณ์ว่า "ผังล้มเจ้า" เป็นเอกสารที่ใช้วิเคราะห์สถานการณ์ภายใน ศอฉ. หลังมีการตั้งทีมปฏิบัติการพิเศษเพื่อติดตามพฤติกรรมคนที่เชื่อมโยงขบวนการล้มสถาบัน
วันนั้น "สุเทพ" พุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ชวลิต เป็นหลัก

แต่ "ระเบิด" ลูกนี้ไม่รุนแรงตามที่ ศอฉ. คิด เพราะ "สื่อ" ส่วนใหญ่อ่านเกมออก และความน่าเชื่อถือของ "ผังล้มเจ้า" นั้นต่ำมาก การโยงบุคคลจำนวนมากเข้าไปเกี่ยวข้องก็ผิดข้อเท็จจริงหลายเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลก็พยายามใช้ "ผังล้มเจ้า" นี้ในการทำลายล้าง "คนเสื้อแดง" อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำคดีนี้เป็นคดีพิเศษให้ "ดีเอสไอ" ดูแล



"ผังล้มเจ้า" เริ่มล้มละลายด้านความน่าเชื่อถือตั้งแต่ "ถวิล" ให้สัมภาษณ์ "มติชน" เมื่อเดือนมกราคม 2554

เขายืนยันว่า "ผังล้มเจ้า" เป็นแค่การวิเคราะห์ใน ศอฉ.

ไม่ใช่ "ข้อสรุป"

น้ำหนักความน่าเชื่อถือที่ต่ำอยู่แล้ว เริ่มลดต่ำใกล้ 0

จนเมื่อ พ.อ.สรรเสริญ ซึ่งถูกนายสุธาชัยฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทจากกรณี "ผังล้มเจ้า" ยอมแถลงต่อศาลยอมรับว่า "ในการประชุมช่วงบ่ายของ ศอฉ. ได้มีมติของ ศอฉ. ที่ต้องการจะให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่สังคมเป็นลายลักษณ์อักษรอีกทางหนึ่ง เพื่อให้สังคมพิจารณา

"ข้าฯ ได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้นไปแจกแก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง..."

ระดับความน่าเชื่อถือที่ต่ำอยู่แล้วจึงลดฮวบถึงขั้นติดลบ


แต่ใครจะไปนึกว่า "ธาริต" ยังงัด "ผังล้มเจ้า" นี้มาใช้อีกครั้งในช่วงใกล้วันเลือกตั้ง
ช่วงนั้นดีเอสไอเดินหน้าไล่บี้ "คนเสื้อแดง" ทั้งคดีก่อการร้าย และคดีล้มเจ้า
โดยเฉพาะเมื่อ "จตุพร พรหมพันธุ์" โดนข้อหาหมิ่นฯ ในการปราศรัยบนเวที นปช. วันที่ 10 เมษายน 2554
และเป็นห้วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม ไม่นาน
"ธาริต" นั่งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมและชู "ผังล้มเจ้า" ขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งที่วันนั้น "ผังล้มเจ้า" ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือไปแล้ว
แต่ "ธาริต" ก็ยังเอามาเล่น
กล่าวหา 19 แกนนำ นปช. ซึ่งหลายคนเป็นผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยในตอนนั้น
ไม่แปลกที่คนจำนวนไม่น้อยมองว่า "ธาริต" ต้องการเอาใจ "ประชาธิปัตย์"
เพราะวันนั้น "อภิสิทธิ์" ยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่
และพรรคประชาธิปัตย์เตรียมหาเสียงเลือกตั้งโค้งสุดท้ายที่ราชประสงค์ เพื่อโจมตีพรรคเพื่อไทย และ นปช. ในเรื่องนี้
ยิ่งนานวัน "ผังล้มเจ้า" ก็เริ่มกลายเป็น "บูมเมอแรง" ที่ย้อนกลับมาทำลายความน่าเชื่อของรัฐบาล "อภิสิทธิ์" และ ศอฉ.
โดยเฉพาะเมื่อ "ลมการเมือง" เปลี่ยนทิศ


ปัญหาของเรื่องนี้ก็คือ คดีได้ตั้งแท่นขึ้นมาแล้ว
ก็ต้องดำเนินต่อไป
"ดีเอสไอ" แม้อธิบดีจะเป็นคนเดิม
แต่คนกุมอำนาจทางการเมืองเปลี่ยนไป
"ธาริต" จึงอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แม้จะอ้างว่าเป็น "ข้าราชการ" ต้องทำตาม "รัฐบาล"

ในยุค "อภิสิทธิ์" ตัว "ธาริต" เป็นคนแถลงข่าวเองว่า "จตุพร" และแกนนำ นปช. 19 คนมีความผิด
การพลิกลิ้นบอกว่าวันนี้ 19 คนไม่ผิดแล้ว ย่อมทำไม่ได้
กระบวนการที่ดีที่สุด ก็คือ การทำ "ความจริง" ให้ปรากฏ
ไม่แปลกที่ พ.ต.อ.ประเวศน์ ที่คุมคดีนี้จะเชิญตัว "ถวิล" มาให้การในฐานะเป็นเลขาธิการของ ศอฉ.
"ต้นตอมาจากไหน ใครเป็นคนทำ เพราะถึงขณะนี้ยังไม่มีการระบุถึงแหล่งที่มาของข้อมูลแต่อย่างใด"
ตามเป้าหมายของ พ.ต.อ.ประเวศน์ นั้นต้องการรุกคืบไปถึงตัว "สุเทพ"
แต่ "ธาริต" ส่งหนังสือกลับโดยอ้างว่าให้สอบนายถวิลก่อน ถ้าข้อมูลเพียงพอก็ไม่ต้องเรียก "สุเทพ"

จริงๆ คนที่รู้เรื่อง "ผังล้มเจ้า" ดีที่สุดคนหนึ่งก็คือ "ธาริต" เพราะอยู่ในที่ประชุม ศอฉ. ด้วย และเป็นคนชูผังล้มเจ้ามาใช้ในการจัดการ "คนเสื้อแดง"

แต่สถานการณ์วันนี้ "ธาริต" ก็ตกอยู่ในภาวะ "น้ำท่วมปาก"

ในทางการเมือง เกมนี้จะทำลายความน่าเชื่อถือของ ศอฉ. และ "สุเทพ"

ถ้าผลการสอบสวนของ "ดีเอสไอ" ชัดเจนว่า "ผังล้มเจ้า" เป็น "คำโกหก" คำโตเมื่อไร

นอกจากจะเป็นการคืนความเป็นธรรมให้กับ "คนเสื้อแดง" และคนที่มีชื่อในผังนี้

ยังทำให้คนเริ่มฉุกคิดว่าถ้าเรื่องนี้โกหก

แล้วเรื่องอื่นๆ จะไม่โกหกเชียวหรือ

"โดมิโน" แห่งความไม่น่าเชื่อถือจะเริ่มต้นทันที



+++

เรื่องของ "ปู" กับ "เปรม" เมื่อ "ป๋า" ไม่เปลี่ยน แล้ว "ประยุทธ์" ก็เป็นคนเดิม
รายงานพิเศษ ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1638 หน้า 15


สถานการณ์การเมืองในปี 2555 นี้ ถูกคาดหมายว่าจะรุนแรงและร้อนระอุมากขึ้น เพราะมีสัญญาณบอกเหตุต่างๆ มากมาย แบบที่เรียกว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้

มีเหตุระเบิด และความเคลื่อนไหวในทางลับของกลุ่มต่างๆ และขบวนการล้มรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้มาตรา 112 การแก้ไขมาตรา 309 และการแก้ไข พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551 และการรุกคืบคดีเสื้อแดง 91 ศพ รวมทั้งการนิรโทษกรรรม และความพยายามในการกลับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสริมด้วยการกลับมาสู่การเมืองของนักการเมืองบ้านเลขที่ 111

แม้แต่การปฏิวัติรัฐประหาร ที่จะเป็นทางออกที่เป็นทางเลือกสุดท้ายก็ตาม เพราะแม้บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เองก็ย้ำว่าปีนี้ไม่มีปฏิวัติ "จะไปมีได้ยังไง ไม่มีหรอก" ก็ตาม แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะมีเงื่อนไขให้ได้ลุ้น

"ใครจะสร้างปัญหาอะไรหรือเปล่า และทหารจะไปอะไรตรงไหน ทุกคนมีบทเรียนกันอยู่แล้วว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้ไปถึงจุดนั้น ก็แค่นั้น อย่าบอกว่า ความผิดข้างโน้น ข้างนี้ มันไม่ใช่ อยู่ที่ว่าทุกคนต้องช่วยกันและอย่าไปให้ถึงจุดนั้น ทุกอย่างก็จบ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่า ฝ่ายนั้นหรือฝ่ายนี้เป็นคนผู้เริ่ม ไม่จบเสียที" พล.อ.ประยุทธ์ แจง

ทุกความเคลื่อนไหวของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ยังอยู่ในสายตาของฝั่งตรงข้าม ที่จ้องอยู่ไม่กะพริบ

แต่ที่จะเป็นสัญญาณบอกเหตุว่า รัฐบาลของปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมั่นคงไปได้แค่ไหน หรือมีพายุก่อตัวอยู่เบื้องหน้า ก็ที่ประตูบ้านสี่เสาเทเวศร์


แม้ว่า บ้านสี่เสาฯ ของป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จะดูเงียบงัน เหงาๆ ไปไม่น้อย ตั้งแต่เปลี่ยนจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ มาสู่พรรคเพื่อไทย จนถูกตีความได้ว่า หนึ่ง เงียบเพราะว่า ยอมแพ้ และยอมสยบต่ออำนาจรัฐ และการต่อรอง

อีกสาเหตุหนึ่ง เงียบเพื่อหลอกให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจ คิดว่ายอมแพ้ ถึงแม้จะเงียบแต่ทว่าเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวภายในอย่างคึกคัก โดยเฉพาะในมันสมอง

"ป๋าท่านยังเป็นคนเดิม ไม่ได้เปลี่ยน และไม่มีวันเปลี่ยนจุดยืน" ลูกป๋าผู้ใกล้ชิด ยืนยัน

แต่ทว่าการแสดงออกจะอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...

"ระยะหลังนี้ ป๋าท่านสบายใจขึ้นเยอะ อาจเป็นเพราะคิดได้ ทำใจได้" ลูกป๋าเปรยถึงความเป็นห่วงใยบ้านเมืองของป๋า ในฐานะที่ป๋า นั้นเป็นทหารเก่าทหารแก่ เป็น old soldier ที่ไม่มีวันตายไปจากการเป็นทหาร และความห่วงใยชาติ

ในวันที่ป๋าเปรมปรากฏกายภายใต้เสื้อสีชมพูหวาน ต้อนรับ รมว.กลาโหม และผู้นำเหล่าทัพที่มาตบเท้าอวยพรและขอพรปีใหม่ นั้น ก็มีสีหน้าที่เปี่ยมสุข แต่ก็แค่ชั่วครู่ชั่วยาม และแค่ในระยะนี้ ก็ตาม

"ผมมั่นใจอย่างหนึ่งว่า ตราบใดที่กองทัพมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความสามัคคี มีพลัง และมีความสง่า น่าเกรงขาม ผมคิดว่ากองทัพจะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้แน่นอน อยากให้ช่วยกัน ร่วมมือกัน และทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองด้วยกัน" พล.อ.เปรม บอกกับผู้นำกองทัพ

ต้องยอมรับว่า ในช่วงที่ผ่านมา พล.อ.เปรม ลดบทบาทตัวเองลง ทั้งการไม่ค่อยได้เชิญ ผบ.เหล่าทัพ มาพบปะหารือ เนื่องจากรู้ว่า ทุกคนกำลังวุ่นกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม

ป๋าเปรม จึงอยู่แบบเหงาๆ ประหนึ่งไม่มีใครให้ความสำคัญ แต่ก็ใช้ดนตรีและเสียงเพลง การแต่งเพลง เขียนเพลง แก้เหงาไปวันๆ

แม้ว่าจะมีนายทหาร ผบ.หน่วย และอดีตลูกป๋าที่ใกล้ชิดแวะเวียนมาหาบ่อยๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่มี ผบ.เหล่าทัพ

แม้แต่บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. ซึ่งเป็นเสมือนทหารเสือราชินี ที่ใกล้ชิดมายาวนาน ก็วุ่นๆ กับงาน ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ผบ.ทบ. ยิ่งไม่มีเวลา



ว่ากันว่า ในยุคนี้บารมีและบทบาทของ พล.อ.เปรม ลดน้อยและเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเจน เนื่องจากทั้ง พล.อ.ธนะศักดิ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นนายทหารสายตรง ที่ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดสถาบันมาตลอด

นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หยุดที่จะต่อสายตรงหรือผ่านลูกป๋า เพื่อเคลียร์กับ พล.อ.เปรม

รวมถึงการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ยอมเข้าบ้านสี่เสาฯ ทั้งตอนวันเกิดป๋า 26 สิงหาคม 2554 และช่วงปีใหม่

เมื่อครั้งเบิร์ธเดย์ป๋า นั้น ฝ่ายนายกรัฐมนตรี อ้างว่าได้พยายามติดต่อขอเข้าอวยพรแล้ว แต่ พล.อ.เปรมไม่ยอมเปิดบ้าน แต่ทว่าให้เฉพาะ ผบ.เหล่าทัพ และ รมว.กลาโหม เท่านั้น

"ท่านไม่เปิดบ้านค่ะ" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

แต่ลูกป๋ายืนยันว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ติดต่อขอเข้าพบมาเลย เช่นเดียวกับปีใหม่ ที่เธอก็เงียบหาย ไม่ได้ส่งหนังสือมาขอพบเลย

แถมทั้งเป็นช่วงที่นายกฯ ปู ต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ และจะเดินทางกลับบ้านเกิดเชียงใหม่

แต่จะให้มองว่าเป็นเหตุผลในการไม่เข้าพบ พล.อ.เปรม ก็คงไม่สวยงามนัก จริงอยู่ แม้ พล.อ.เปรม จะลดความสำคัญลง แต่โดยสถานภาพแล้ว นายกรัฐมนตรีทุกคนก็ล้วนต้องเข้าพบเข้าหา

เพราะตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ยอมไปพบป๋า จนทำให้ความขัดแย้งปรากฏออกมาชัด จนมาถึงยุคน้องสาว เป็นนายกฯ ก็จะไม่เข้าบ้านสี่เสาฯ อีก จนถูกวิจารณ์ว่า เป็นการทำตามใบสั่ง

"ถ้าขอมาพบ ป๋าก็ให้เข้าพบอยู่แล้ว" ลูกป๋า ยัน

แต่ไม่ว่า ในที่สุดนายกฯ ปู จะมาขอพรปีใหม่ป๋าเปรมหรือไม่ก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ของนายกฯ หญิง กับ ป๋าเปรม ก็คงไม่สู้ดีนัก ในเมื่อผู้หญิงคนนี้ นามสกุลชินวัตร และถูกมองเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ


ในตอนเกิดวิกฤติน้ำท่วมนั้น ป๋าเปรมเองก็อึดอัดกับบทบาทของผู้นำ และรัฐบาล ในการแก้ไขและการช่วยเหลือประชาชน จนทำให้ทหาร โดยเฉพาะ ทบ. จะต้องเป็นกำลังหลัก ที่แม้แต่ป๋าเองก็ยังชื่นชม

"เวลากองทัพได้รับคำชมเชยจากประชาชน ผมก็พลอยดีใจ และได้หน้าไปด้วย แต่ถ้ากองทัพถูกตำหนิ ผมก็เสียใจ" ป๋าเปรม บอกกับ ผบ.เหล่าทัพ เมื่อช่วงปีใหม่

พล.อ.เปรม ยังคงเฝ้ารอดูกองทัพอยู่ห่างๆ ตามประสาทหารแก่ไม่มีวันตาย และจะไม่มีวันยอมแพ้

"ให้รอดูแล้วกัน สถานการณ์แบบนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้สำหรับการเมืองไทย" ลูกป๋าทิ้งท้าย


แต่ที่แน่ๆ นายทหารคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่ถูกวิจารณ์ทั่วบ้านทั่วเมือง ว่าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ นั้น ก็ให้คำตอบแล้ว

"ผมยังเป็นคนเดิม ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนผมได้" บิ๊กตู่ ฝ่ากระแสซุบซิบนินทาที่ว่า ผบ.ทบ. เปลี่ยนไป

"คนเราจะมาเปลี่ยนจุดยืนกันง่ายๆ ได้ยังไง" บิ๊กตู่ ยืนยัน

"จุดยืนของผมเปลี่ยนไม่ได้ เพราะจุดยืนผมอยู่บนความถูกต้อง"

แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แล้วก็ตาม

"ขอให้มั่นใจ ใครที่ยังรักผม ก็ขอให้รักต่อไป แต่ใครที่ไม่รัก ก็ไม่รู้จะทำยังไง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

"ขอให้เห็นใจผมบ้าง แต่ผมก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว



ในส่วนของการทำหน้าที่ ผบ.ทบ. นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระลึกเสมอว่า "การจะเป็นผู้บังคับบัญชานั้น ถ้าจะเป็นเพื่อให้ตัวเองมีความสุข ก็ง่าย แต่การเป็นผู้บังคับบัญชาคือ ความทุกข์ ทุกข์ตรงที่ห่วงว่าลูกน้องจะเป็นยังไง กินอยู่หลับนอน จะมีอะไรมั้ย จะบอกว่า คนเป็น ผบ.ทบ. ไม่มีความสุขหรอก จะเชื่อหรือเปล่า เพราะมีเรื่องให้ห่วงให้ทุกข์ตลอด แต่ถ้าเป็นแล้วเพื่อที่สุข ก็อย่าเป็นเลยผู้บังคับบัญชา"

เพราะในนิยามของการเป็นทหารอาชีพของ พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว เขาบอกว่า ทหารทุกคนมีหัวใจดวงเดียว แต่มี 4 ห้อง ที่มีให้ทั้งชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้กองทัพ ให้ประชาชน และให้ครอบครัว

แต่การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำงานร่วมกับรัฐบาลได้เป็นอย่างดี ไม่วิจารณ์รัฐบาล ไม่สัมภาษณ์ในเรื่องการเมืองอย่างรุนแรงดุดัน นั้นถูกมองว่า เป็นการแสดงละคร ที่สำคัญคือ การอารมณ์เย็น ไม่ฉุนเฉียว ที่ทำให้ไม่เสียภาพพจน์

"ก็ผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วไง" บิ๊กตู่ เปรย

แต่ทว่า ก็ต้องขอร้องสื่อว่า อย่าถามอะไรที่เป็นการยั่วยุ หรือถามไปถามมา ถามฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ หรือว่าถามเพื่อที่จะให้ผมตอบผิด แล้วอะไรที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม หรืออะไรที่ผมไม่ควรตอบก็ไม่ตอบ

"สื่อต้องช่วยกันนะ การจะปรองดองได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทหาร แต่ขึ้นอยู่กับสื่อด้วย เพราะชีวิตผม แค่รบกับสื่อก็เหนื่อยแล้ว ช่วยกันนะ" ผบ.ทบ. กล่าว

"รมว.กลาโหม ยกคำสอนท่านพุทธทาส ว่า ให้เป็นเหมือนลิ้นงูในปากจงอาง ที่จำเป็นต้องอยู่ในที่อันตราย แต่ก็ต้องรอดให้ได้ แต่สำหรับผม เป็นลิ้นอยู่ในปาก แต่ก็ถูกลากออกมาถูกกัด" บิ๊กตู่ เปรย

"ก็ต้องขอร้องกันว่า อย่าเอาผมไปทะเลาะกับใครเลย จะมีปัญหา ปีหน้าขอให้เป็นปีทองของผม ของกองทัพ ของทหารทุกคน ที่จะได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่ และได้พักผ่อน ไม่ต้องมีเรื่องอะไรอีก" บิ๊กตู่ สำทับท้าย

ไม่แค่นั้นในส่วนของ ผบ.เหล่าทัพ ก็ดูจะแนบแน่นและมีจุดยืนเดียวกัน ทั้ง พล.อ.ธนะศักดิ์ ผบ.สส. ทหารเสือราชินี บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. ที่ยืนยันที่จะเลือกกองทัพ และผลประโยชน์ของชาติและกองทัพมาก่อนอย่างอื่น และ บิ๊กเฟื่อง พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ที่ทำให้กองทัพเป็นเอกภาพและเหนียวแน่น ในการเดินหน้าไปพร้อมๆ กัน และต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ร่วมกัน

ท่ามกลางการจับตามองกันว่า เมื่อ ป.ปู ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลัง จะต้องมาเจอกับ ป.เปรม และ ป.ประยุทธ์ ที่เป็นคนเดิม จุดยืนเดิม แล้วอะไรจะเกิดขึ้น...



+++

จากรายงานข่าวของสื่อในช่วงนี้ ที่กล่าวอ้างโพลบางสำนักว่า พลเอกเปรมเป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์
คุณห่างไกล
ได้โพสต์ในห้องราชดำเนิน PANTIP.COM ตั้งข้อสงสัยจากเหตุ พลเอกเปรมไม่เคยแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อเรื่องอื้อฉาวทุจริต ประพฤติมิชอบในกระทรวงต่าง ๆของรัฐบาลเปรมตลอด 8 ปี โดยยกตัวอย่าง 4 เรื่อง ...แต่กลับถูกยกย่องเป็นถึงแบบอย่าง


........... .......... ..........

...........สามารถดูได้โดยพิมพ์ ความซื่อสัตย์ของเปรม??? แล้ว search ด้วยกูเกิ้ล อ่านที่ แคช cache



.