http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-01-08

นิติ-ธรรม โดย คำ ผกา

.

นิติ-ธรรม
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1638 หน้า 89


เขียนอะไรแรงๆๆ มาทั้งปีแล้ว ปีใหม่นี้ขอพูดอะไรเบาๆ กับเขาบ้าง

พูดแล้วอยากจะร้องให้จริงๆ ร้องไห้เพราะคิดมาตลอดเวลาว่าตนเองอยากใช้ชีวิตในฐานะ "ปัจเจกบุคคล" ที่ไม่จำเป็นต้องแคร์สื่อ แคร์สังคม แคร์เสียงชาวบ้าน

อีกทั้งศตวรรษนี้เราไม่ควรต้องมานั่งแคร์ในชะตากรรมของสังคมและหรือถ้อยคำแสนเชยบรมสมกัลล์อย่างคำว่า "ประเทศชาติ"

หลายๆ ปัจเจกบุคคลก็คงคิดเหมือนฉันว่า มันหมดยุคที่เราจะมานั่งพูดว่าสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เราทำเพื่อ "ชาติบ้านเมือง"

หรือการที่เราเรียนหนังสือหนังหา ทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินก็ด้วยเหตุเดียวว่าเพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ได้เงินมากขึ้น ได้มีโอกาสท้าทายศักยภาพของตัวเองมากขึ้น

เราไม่เคยคิดว่าเราจะเรียนหนังสือหนังหามาเพื่อเป็น "กำลังสำคัญของชาติในการพัฒนาบ้านเมือง" ที่ฟังแล้วเหมือนย้อนกลับไปสู่ยุคสร้างชาติแบบมุสโสลินี หรือเมืองไทยยุคสมัยปฏิวัติของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อยู่มั้ง ..


พูดง่ายๆ ว่า ยุคหลังการ "สร้างชาติ" คือยุคที่พลเมืองของสังคมตระหนักในภยันอันตรายของอุดมการณ์ที่อยู่เบื้องหลังการสร้างชาติ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหลอมละลายมนุษย์ในฐานะเสรีชนให้เหลือเพียงการเป็นมนุษย์ในสังกัดของชาติใดชาติหนึ่งที่เกิดมาเพื่อตอบแทนบุญคุณของชาติ บ้านเกิดเมืองนอน แผ่นดินแม่ หรืออะไรทำนองนั้น

การเกิดมาเพื่อ "สนองคุณแผ่นดิน" นำมาซึ่งการสร้างความเป็นอื่น ความแปลกแยก ระหว่างชาติของตนกับชาติที่ถูกเราสถาปนาให้เป็นศัตรูในจินตนาการ (ได้รับการสนับสนุนให้จินตนาการสมจริงจากพล็อตเรื่องในการเขียนประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ ละครเวที ที่สร้างโดยผู้จัดคลั่งชาติ งมงาย ฯลฯ)

มนุษย์ที่ไม่อาจเป็นมนุษย์ได้ด้วยตัวของตัวเองเว้นแต่จะสามารถเป็นมนุษย์ได้โดยผ่านการนิยามหรือผูกพันอัตลักษณ์ของตนเองเอาไว้กับอัตลักษณ์ของความเป็นชาติอย่างมืดบอดจึงเป็นมนุษย์ที่พร้อมจะเข้าสู่สงคราม พร้อมจะตายเพื่อแผ่นดิน พร้อมจะพลีชีพเพื่อจักรพรรดิ

พร้อมจะฆ่าตนเองและฆ่าผู้อื่นเพื่อปกป้องอุดมการณ์ที่ตนเองคิดเองเออเองว่าเป็นอุดมการณ์เดียวที่ถูกต้องที่สุดแล้วในโลกนี้



ยุคหลังการสร้างชาติคือยุคที่มนุษย์ได้ตาสว่างกันบ้างและเริ่มตระหนักว่าตนเองหรือมนุษย์ในยุคของพ่อแม่ของเรากลายเป็นเครื่องมือของรัฐในยุคแห่งการสร้างชาติอย่างไร

จากนั้นเราจึงเริ่มแสวงหาสิ่งยึดโยงใหม่ๆ ที่จะเป็นอัตลักษณ์ที่มีความเป็นสากลกว่า "ชาติ" ในแบบที่คับแคบ

เช่น ชาติ ควรจะก้าวพ้นเรื่องชาติพันธุ์

ชาติ ควรจะก้าวพ้นการใช้ศาสนาใดศาสนาหนึ่งมาเป็นอุดมการณ์หลักในการสร้างชาติ

ควรจะก้าวไปให้พ้นจากการสถาปนาใครคนใดคนหนึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชาติ ราวกับว่าหากปราศจากบุคคลผู้นี้แล้วชาติจะแหลกสลายลงไปโดยพลัน อันนำไปสู่ลัทธิการคลั่งผู้นำ ดังเช่นเราเห็นในยุคของ ฮิตเลอร์ มุสโสลินี หรือล่าสุด คิม จอง อิล แห่งเกาหลีเหนือ


ชาติเวอร์ชั่นใหม่ๆ เป็นชาติที่มีความสุข จะห็นชาติเป็นเสมือน "หม้อต้มจับฉ่าย" ขนาดยักษ์ อันหลอมรวมคนหลากเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ อุดมการณ์ ทว่า สิ่งที่เป็นคุณค่าสากลที่คนในชาติยึดถือร่วมกันเป็นคุณค่าสูงสุด

คือ เชื่อในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่เกิดมาเท่าเทียมกันไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไร ผมสีอะไร ผิวสีอะไร จะยากจน หรือร่ำรวย จะโง่หรือฉลาด จะไอคิวสูงหรือต่ำ จะเป็นคนรักต่างเพศ หรือ เกย์ มีการศึกษาสูงหรือต่ำ

นอกจากนั้น สิ่งที่ชาติในเวอร์ชั่นที่ศิวิไลซ์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดคือหลักการของสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพที่มนุษย์ทุกคนมีอยู่อย่างเสมอหน้ากันมาตั้งแต่เกิด

ชาติเวอร์ชั่นนี้จึงหลีกเลี่ยงการทำสงคราม รังเกียจการสร้าง "ความเป็นอื่น" หรือ "ศัตรู" เพียงเพื่อให้กลุ่มก้อนของตนเองเหนียวแน่น เนื่องจากจินตนาการเห็นศัตรูร่วมของสมาชิกในกลุ่ม ชาติเวอร์ชั่นนี้แชร์คุณค่าสากลของคนในชาติอื่นๆ จึงพยายามที่เปิดพรมแดนทั้งทางกายภาพ วัฒนธรรม จินตนาการ

เช่น การถือกำเนิดของวีซ่าเชงเก้นของยุโรป การเกิดขึ้นของสกุลเงินยูโร ที่บอกเราว่าพรมแดนในแผนที่ ภาษา วัฒนธรรม ประดิษฐกรรมของยุคสร้างชาติล้วนแต่เป็นมายาและหากมนุษย์สร้างมันขึ้นมาได้ ก็เปลี่ยนแปลงมันได้ หากว่ามันจะทำให้มนุษย์ เข้าใจและเคารพกันมากขึ้นแทนที่จะรังเกียจ ชิงชัง อันไม่นำมาซึ้งประโยชน์โภชผลอันใด


ฉันเชื่อมาโดยตลอดว่าเราและเพื่อนร่วมยุคสมัยของเราคือผลผลิตของหม้อจับฉ่าย คือมนุษย์ของปลายศตวรรษที่ยี่สิบและมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

มนุษย์ในเจเนอเรชั่นของพวกเราควรจะต้องหัวเราะเยาะต่อคำขวัญวันเด็ก อีกทั้งสารพัดคำขวัญบนท้องถนน พระที่เที่ยวเทศนาบ้องตื้นอย่างที่ใดมีกิ๊กที่นั่นมีกรรม

ควรเป็นพระที่ถูกตั้งคำถามต่อวิธีวิทยาทางศาสนาของท่านมากกว่าเป็นผู้ชี้ทางสว่างของสังคม

เด็กชายปลาบู่ไม่ควรได้รับเครดิตใดๆ มากไปกว่าปราฏการณ์ทางวัฒนธรรมของชนกลุ่มย่อยที่มีราคาสำหรับการศึกษาในเชิงสังคมวิทยาหรือมานุษยวิทยาเท่านั้น

มนุษย์ในเจเนอเรชั่นของพวกเราพึงเป็นมนุษย์ที่ลุกมาตั้งคำถามกับการเกณฑ์ทหาร การใส่เครื่องแบบนักเรียน นักศึกษา ทรงผมภาคบังคับของกระทรวงศึกษาธิการ ตำราเรียนที่ใช้ในโรงเรียน รายการข่าวล้างสมอง อีกทั้งละครฟูมฟายหลังข่าว

ไม่นับว่า การรับน้องในมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่มนุษย์ในรุ่นหลังการสร้างชาติสะอิดสะเอียน

แนวคิดว่าด้วยความสามัคคี ควรเป็นแนวคิดที่คนรุ่นใหม่หัวเราะหรือยักไหล่ให้ แบบว่า "อ๋อ ..เหรอ"



แต่การณ์กลับเป็นตรงกันข้าม สังคมไทยในปี 2011 ที่ผ่านมา มีอาการสาหัสกว่าในยุคลูกเสือชาวบ้านรุ่งเรืองในทศวรรษที่ 70

คำขวัญที่สิ้นคิดได้รับการพูดซ้ำ เชิดชู

รสนิยมที่จะรัก ชอบ ชัง ไม่ได้เกิดขึ้นจากวิจารณญาณของตนเอง หากเกิดจากการถูกกรอกหู ขืนใจให้ชอบให้ชังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันและช่างสอดคล้องกับพล็อตละครหลังข่าวที่นางเอกชื่นชอบการถูกข่มขืนและแปรการข่มขืนให้กลายเป็นความรักและภักดีในตอนอวสาน

อาการ Mass Hysteria เป็นกลุ่มอาการที่เห็นได้ทั่วไปจนกลายเป็นความปกติสามัญของสังคม ส่วนผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มอาการนั้นกลายเป็นพวก "นอกรีต" หรือ โรคจิต ต้องการการเยียวยารักษา หรือกล่อมเกลาให้กลับเนื้อกลับตัวมาเป็นคนดีศรีสังคม

โรงเรียนทางเลือกที่เปิดกันดาษดื่นในสังคมไทย หาได้เป็นโรงเรียนที่จะสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรมการวิพากษ์ ส่งเสริมพลานุภาพของมนุษย์ในฐานะที่เป็นปัจเจกบุคคล

โรงเรียนทางเลือกของไทยส่วนใหญ่กลับร่วมรักกับอุดมการณ์ fundamentalism อย่างน่าสะพรึงกลัว

ไม่ว่าจะเป็นการผูกโยงตัวเองกับปรัชญาของศาสนากระแสหลัก แนวคิดเศรษฐกิจแบบชาตินิยม ชุมชนนิยม

ขณะเดียวกันก็ไม่ละทิ้งแก่นสารของการสร้างความเข้มแข็งให้กับแนวคิด Elitism

สำหรับฉันโรงเรียนทางเลือกหลายๆ แห่งในเมืองไทยน่ากลัวพอๆ กับโครงการยุวชนนาซี



ความน่าสะพรึงกลัวอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย ณ ขณะนี้คือ การที่เราเห็นการออกมาไล่คนนอกออกประเทศรายวัน และมีการตั้งคำถามกับวาทกรรม "ถ้าไม่...ก็โอนสัญชาติซะ"

"ถ้าไม่...ก็โอนสัญชาติซะ" - คุณจะเติมคำอะไรลงไปในช่องว่าง? "ถ้าคิดว่าต้มยำกุ้งไม่อร่อยก็โอนสัญชาติซะ", "ถ้าไม่รักเมืองไทยก็ย้ายประเทศซะ", "ถ้าไม่ชอบอาหารไทยก็ย้ายประเทศซะ", "ถ้าเชื่อฝรั่งมากกว่าคนไทยก็ไปอยู่กับฝรั่งซะ" ฯลฯ

ถ้าคุณเติมคำในช่องว่างได้ถูกต้อง นั่นแปลว่าคุณได้ถ่องแท้กับอัตลักษณ์ของความเป็นไทยที่หากว่าคุณมีความอารยะ อัตลักษณ์ของ "ชาติ" ควรจะให้ความสำคัญกับการ include คือการเอาเข้ามา มิใช่การ exclude หรือการกีดกันออกไป

"ถ้าไม่...ก็ออกไปจากประเทศ / เปลี่ยนสัญชาติซะ" บ่งบอกถึงความเป็นชาตินิยมแบบคับแคบที่เน้นการกีดกัน ขับไล่ไสหัว แทนที่จะเป็นชาตินิยมแบบเปิดกว้างที่บอกว่า "เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันและความเป็นชาติของเราร่ำรวยได้ด้วยการที่เราให้คุณค่ากับความแตกต่างหลากหลายของเพื่อนร่วมชาติ "

ถึงที่สุดคนที่เฝ้าขับไล่ใครต่อใครออกจาก "ประเทศ" พึงถามตนเองว่าสิ่งสมมุติที่เรียกว่า "ประเทศ" นั้นเป็นของใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่ หรือมันคือสิ่งสมมุติของหน่วยการเมืองที่ในที่สุดเราต้องหาหนทางที่จะอยู่ร่วมกันบนหลักของมนุษยธรรม ขันติธรรม และนิติธรรม


น่าเศร้าอย่างยิ่งที่สังคมไทยไม่เพียงแต่บ้าคลั่งเรื่องเด็กชายปลาบู่ ทว่า ยังเพิกเฉยต่อวาทกรรมคลั่งชาติ หมกเม็ด มุบมิบเคลมเอาความเป็นชาติไว้เป็นของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว และอ้างเอากรรมสิทธิ์ชาตินั้นมาไว้กับพวกของตนโดยมิพักเคยถามว่า "มีสิทธิอะไรมาไล่คนนั้นคนนี้ออกจากชาติ"

มิพักต้องถามว่าในศตวรรษนี้การย้ายถิ่นฐานและแม้กระทั่งการย้ายสัญชาติ ย้ายประเทศชาตินั้นทำไปได้อย่างสามัญด้วยนานาเหตุผลและไม่เกี่ยวกับการรักหรือไม่รักชาติ เพราะความ "รัก" ชาติ อย่างเห็นชาติเป็น "บ้าน" หรือเป็น ภาพจำลองของ "ครอบครัว" นั้น ตกยุคไปอย่างที่ไม่มีใครอยากกอบกู้คืนกลับมาแล้วเพราะมันนำไปสู่การล้างผลาญมากกว่าสร้างสรรค์


สิ่งที่นิติราษฎร์และแนวร่วมทั้งหมดกำลังผลักดันอยู่ ณ เวลานี้ หากใช้คำว่า พวกเขาทำไปด้วยความปรารถนาดีและความรักชาติบ้านเมืองก็อาจจะฟังดูเชยอย่างยิ่ง เพราะถึงที่สุดแล้วพวกเขาไม่ได้เห็นหน่วยของชาติเป็นชาติล้าหลังเฉกเดียวกับชาติในจินตนาการของพวกที่ชอบไล่คนออกจากชาติราวกับชาติเป็นบ้านของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น

ทว่า สิ่งที่พวกเขาทำคือการพยายามจะปฏิสังขรณ์หลักนิติธรรม ความเป็นธรรม มนุษยธรรมขึ้นมาเป็นหลักของหน่วยสังคมการเมืองสมมุติที่เรียกว่า "ประเทศไทย" และเพื่อจะพาเราไปสู่ภาวะ "ปกติ" ของมนุษย์ที่ยึดมั่นในศักดิ์ศรีที่เสมอภาคกันระหว่างมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม

ทั้งหมดที่นิติราษฎร์และผู้สนับสนุนนิติราษฎร์ทำลงไป ไม่ได้ทำเพราะความรักชาติ แต่ทำลงไปเพราะความรักใน "มนุษย์" ที่ในฐานะของหน่วยการเมืองเราเรียกว่า "ประชาชน"



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

เพลงนิติราษฎร์จุดดวงไฟ
www.youtube.com/watch?v=WcMS9_-z5mo


กำลังใจ (โฮป) แด่ "คณะนิติราษฎร์"
www.youtube.com/watch?v=WpwhKzYc2lc



.