http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-01-13

รับมืออากาศเปลี่ยน, ทอฟฟี่สมุนไพร, สุขภาพที่ดีไม่มีขาย

.

รับมืออากาศเปลี่ยน
คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ ( มูลนิธิสุขภาพไทย www.thaihof.org )
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1639 หน้า 93


เปลี่ยน พ.ศ. ใหม่ลมฟ้าอากาศก็พลอยเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวลมแรง ลมฝน ลมหนาวผสมปนเป ลูกเด็กไปจนผู้เฒ่าก็ไอจามเป็นไข้หวัดกันทั่วประเทศ และใกล้ตรุษจีนทางการก็กำลังเฝ้าระวังไข้หวัดนกที่เริ่มมีข่าวโผล่มาจากฮ่องกงจึงอาจแพร่มาไทยได้ ยามนี้จึงไม่มีอะไรดีไปกว่ารู้รักษาตนเอง และมีตำรับยากลางบ้านไว้สู้กับอาการของไข้หวัดต่างๆ

แม้มียาดีแค่ไหนก็ไม่น่าใช้ เพราะร่างกายแข็งแรงไม่ต้องใช้ยาเป็นดีที่สุด ดังนั้น อากาศเปลี่ยนแบบนี้ต้องรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลานอนบางวันรู้สึกร้อนอ้าวๆ พอเช้าใกล้รุ่งลมเย็นหนาวสะท้าน แบบนี้ไข้จับได้ง่ายมากจึงควรใส่เสื้อผ้าหนาพอ ควรดื่มน้ำมากๆ และกินผักผลไม้เพียงพอด้วย

แต่ถ้าเริ่มอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ให้เรียนรู้ดูแลตนเองก่อนเพราะไม่ใช่เอะอะก็ไปให้หมอฉีดยา แม้เมืองไทยจะก้าวหน้าด้านหลักประกันสุขภาพ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายและใช้ยาเกินจำเป็น โดยเฉพาะคนไทยกินยาปฏิชีวนะอย่างฟุ่มเฟือยมาก

ถ้าเป็นไข้หวัดปกติ ไม่มีอาการไข้ขึ้นสูง อาเจียน ท้องเสีย ปวดเมื่อยเนื้อตัวรุนแรง ที่อาจเข้าข่ายไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นั้น ภูมิปัญญาบ้านๆ ที่สืบทอดมานับร้อยๆ ปี ดูแลสุขภาพท่านได้ ขอแนะนำตั้งแต่เป็นตำรับยายอดนิยมไปจนถึงปรุงยากินเองได้

โดยเฉพาะอย่างหลัง หากมีญาติพี่น้องมิตรสหายช่วยเป็นธุระปรุงยาในครัวเรือน จะซาบซึ้งน้ำใจและมีกำลังใจฟื้นไข้ได้ทวีคูณอีกด้วย



ตํารับแรกรู้จักกันทั่วประเทศดีแล้ว แต่ขอย้ำไว้ให้ส่งเสริมกันใช้มากขึ้น คือ ยาฟ้าทะลายโจร มีทั้งแบบลูกกลอนสไตล์โบราณและแคปซูลโมเดิร์น รู้ว่าไข้มาให้รีบกินฟ้าทะลายโจรจะช่วยบรรเทาได้ดี ตำรับที่สองที่ควรส่งเสริมกันมากขึ้น คือ ตำรับ ยาจันทลีลา เป็นยาตำรับที่มีแต่อดีตเป็นยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณขนานแท้ของไทย และได้รับการประกาศให้อยู่ในทำเนียบรายการยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว

ยาจันทลีลา มีฤทธิ์ลดไข้ แก้ตัวร้อนได้ ประกอบด้วยตัวยาคือ โกฐสอ โกฐเขมา โกฐจุฬาลัมพา จันทน์เทศ จันทน์แดง ลูกกระดอม บอระเพ็ด รากปลาไหลเผือก หนักอย่างละ 4 ส่วน เพิ่มพิมเสนหนัก 1 ส่วน ปัจจุบันทำเป็นเม็ดและแบบแคปซูล กินยาทุก 4 ชั่วโมง เด็กก็กินได้ครั้งละ 1-2 เม็ด ถ้าเป็นผู้ใหญ่ครั้งละ 3-4 เม็ด ปัจจุบันมีการศึกษาทางวิทยศาสตร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเห็นพ้องกับสรรพคุณดั้งเดิม คือลดไข้ได้

คราวนี้มาปรุงยากันเองในครัวเรือน หน้านี้ต้นสะเดาออกดอก นอกจากกินสะเดาน้ำปลาหวานแล้ว ให้เอา ก้านสะเดา หั่นเป็นท่อนสั้นๆ ประมาณเท่า 1 องคุลี (ข้อนิ้วมือ) นำมาสัก 15 ก้าน ต้มกับน้ำ 2 แก้ว ต้มเคี่ยวให้เหลือสองส่วน ดื่มน้ำยาครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 2-3 ครั้ง กินสัก 3 วัน


สูตรยาต่อมาประชาสัมพันธ์ไว้ก่อนว่ารสชาติอร่อย แก้ไข้หนาวๆ ได้ดี ให้หาซื้อขิงสดมาสัก 1 แง่ง มะนาว 4-5 ลูก ส้มสัก 2 ลูก และเตรียมน้ำผึ้งไว้ ถ้าไม่มีทำน้ำเชื่อมจากน้ำตาลทรายแทนก็ได้

ล้างขิงให้สะอาด ใช้ครึ่งแง่งก่อนโดยฝานเป็นแว่นๆ แล้วใส่เครื่องปั่น เติมน้ำลงไปครึ่งแก้วจะทำให้ปั่นง่ายขึ้น คั้นเอาแต่น้ำขิงสด แล้วคั้นน้ำมะนาวลงไป 2 ลูก ส้ม 2 ลูก ผสมน้ำผึ้ง แล้วลองชิมดู ถ้ารสขิงเผ็ดร้อนเกินไป ก็เติมน้ำธรรมดา ถ้าไม่พอใจอยากให้เปรี้ยวจี๊ดกว่านี้ก็แต่งรสมะนาว หรืออยากให้หวานชุ่มคออีกนิดก็เติมน้ำผึ้ง

แต่ที่สำคัญตำรับนี้คือยาสมุนไพร ไม่ใช่น้ำผลไม้ จึงแนะนำว่ารสขิงต้องเข้มและให้รสเผ็ดร้อน เพราะตัวยาจากขิงจะช่วยบรรเทาหวัด ลดน้ำมูก และแก้ไอด้วย เช่นเดียวกับฤทธิ์ยาของมะนาวที่ช่วยแก้หวัดและแก้ไอเจ็บคอ สำหรับน้ำผึ้งช่วยให้หวานชุ่มคอ เป็นยาสมุนไพรที่ใครไอแบบแห้งๆ ถ้าได้ยารสหวานน้ำผึ้งบ้างก็จะทุเลาลง ส่วนน้ำส้มก็แต่งรสและเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีบรรเทาไข้หวัดด้วย

ถ้าเป็นตำรับยาแบบอายุรเวชสไตล์ หรือที่ชาวอินเดียในปัจจุบันนี้ยังคงใช้ส่งเสริมสุขภาพยามเป็นไข้หวัดทั่วไป คือ ใช้ผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชาผสมในน้ำนมอุ่นๆ ดื่มกินวันละ 3 เวลา การกินอยู่ของแขกนั้นเขาดื่มนมกันมาก และนิยมอุ่นนมก่อนดื่มเช่นกัน ส่วนผงขมิ้นทั้งไทยและอินเดียก็รู้จักรสกลิ่นอย่างดี เพียงแต่ว่า ท่านที่ไม่ชอบกลิ่นแรงๆ ของเครื่องเทศก็อาจไม่ชอบ แต่ถ้าฝืนได้ก็จะได้สรรพคุณดีมากมายจากขมิ้นชัน

นอกจากแก้ไข้ ช่วยระบายลมในท้อง ยังถือเป็นสมุนไพรบำรุงร่างกาย ซึ่งชาวต่างชาติกำลังนิยมรับประทานเพื่อลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง และสาวๆ ยังนิยมกินเพื่อบำรุงร่างกายให้ผิวพรรณสดใสด้วย


ตำรับสุดท้ายขอให้ต้มน้ำตะไคร้ดื่ม ต้มแบบเข้มข้นไม่ใช่แบบร้านอาหารเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่มรสหวานๆ ตะไคร้ช่วยขับเหงื่อ และถ้าให้เสริมฤทธิ์ให้ดียิ่งขึ้น ให้ใส่ขิงสดฝานแล้วลงไปต้มสัก 2-3 ชิ้น จะได้สมุนไพรดื่มแก้หวัดอย่างดี

เชื่อมั่นกันว่าอาการหวัดไอเจ็บคอพื้นฐานเราดูแลตนเองได้สบาย ไม่ต้องเสียเงินและเวลาไปโรงพยาบาล ทั้งยังได้สายสัมพันธ์ในครัวเรือนด้วย



++

ทอฟฟี่สมุนไพร การเรียนรู้วันเด็ก
คอลัมน์ สมุนไพรเพื่อสุขภาพ ( มูลนิธิสุขภาพไทย www.thaihof.org )
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1638 หน้า 94


เป็นประจำทุกวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ที่ทุกครอบครัวไปจนถึงหน่วยงานระดับประเทศให้ความสำคัญต่อเด็ก มีของแจก เปิดสถานที่สำคัญให้เที่ยวชม ฯลฯ ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่ง แต่ปีเดียวมีวันเดียว เหมือนนาทีทองที่เด็กๆ โหยหา

แต่ถ้าเราเชื่อมโยงการเรียนรู้ให้อยู่ในวิถีชีวิตประจำวัน กิจกรรมที่ริเริ่มในต้นปีก็จะต่อเนื่องได้ และพัฒนาไปสู่การแสวงหาความรู้ การปฏิบัติอื่นๆ ตามมา

วันเด็กปีนี้ ลองจัดบู๊ธให้เด็กทดลองทำ ทอฟฟี่สมุนไพร ซึ่งได้ความรู้มาจากมิตรสหายมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มีด้วยกันหลายสูตร

ขอแนะนำแบบง่ายๆ ตามสำนวนไทย "ของกล้วยๆ" คือ ทอฟฟี่กล้วย เป็นสูตรแรก



กล้วยเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่าอาหารอย่างดี ใช้เลี้ยงเด็กทารกได้ตั้งแต่เด็กรู้จักเคี้ยวอาหาร อายุ 4-6 เดือน กล้วยไม่มีไขมันและคอเลสเตอรอล ซึ่งคนสมัยปัจจุบันไม่ค่อยชอบยิ่งนัก และมีเกลือแร่ต่ำ คือมีโซเดียมต่ำแต่มีโพแทสเซียมสูง ซึ่งโพแทสเซียมสูงมีส่วนช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย มีประสบการณ์ผู้กินกล้วยเป็นประจำ วันละ 2 ลูก ช่วยลดความดันโลหิตได้ แม้ไม่มากแต่ก็ช่วยคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเหล่านี้ได้ดี

สรรพคุณของกล้วยยังมีอีกมาก ที่เด่นๆ คือช่วยปรับธาตุหรือช่วยคนที่ท้องไส้ไม่ดี หรือกระเพาะอาหารทำงานไม่ปกติ เดี๋ยวท้องเสียเดี๋ยวท้องผูกได้ด้วย ให้ฝึกนิสัยกินกล้วยน้ำว้าไม่สุกไม่ดิบก่อนอาหาร สักครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงสัก 1 ลูก อย่างน้อยวันละ 2 เวลา จะช่วยปรับธาตุในร่างกายได้

สำหรับการทำทอฟฟี่นั้นให้หากล้วยน้ำว้าสุก และกล้วยไข่สุก อย่างละ 2 ถ้วยตวง เอาแบบสุกงอมที่คนอาจไม่อยากกินแล้วก็ได้ มาเคี่ยวกวนในกระทะทองเหลือง แนะนำให้กวนไปทิศทางเดียวกัน อย่ากลับไปกลับมา จากนั้นใส่น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง กะทิอีก 2 ถ้วยตวง และเกลือใส่เพียง 2 ช้อนชาก็พอ กวนไปเรื่อยๆ ดูว่าเหนียวได้ที่หรือยัง จากประสบการณ์ต้องใช้เวลากวนประมาณ 1 ชั่วโมง

พอเหนียวได้ที่ ให้ตักกล้วยกวนใส่ถาดสะอาด แล้วผึ่งไว้ให้เย็น ระหว่างรอ ให้ตัดกระดาษแก้วเลือกสีตามชอบ ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 2 คูณ 3 นิ้วฟุต แล้วตักกล้วยกวนใส่ไว้ตรงกลางกระดาษแก้ว แล้วห่อปิดหัวท้าย เท่านี้ก็ได้ทอฟฟี่กล้วยกวนไว้กินเล่น หรือแจกเพื่อนฝูงได้ ปริมาณการทำจะมากน้อยก็เพิ่มสัดส่วนได้ ตามอัตราส่วนที่ให้ไว้

ทอฟฟี่กล้วยออกรสหวานไม่ใช่เพราะน้ำตาลอย่างเดียว แต่เพราะเนื้อกล้วยสุกก็ให้ความหวาน ถ้าใครไม่ชอบหวานจัดจะปรับสัดส่วนลดหวานย่อมได้

ทีนี้ขอแนะนำทอฟฟี่รสออกเปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ ทอฟฟี่มะกรูด



มะกรูดเป็นสมุนไพรที่หาง่าย ใช้ปรุงอาหารในครัวเรือนหาซื้อได้ทุกตลาดสด มะกรูดเป็นสมุนไพรที่ใช้เป็นยาภายในภายนอกได้ เป็นยาดมแก้วิงเวียนก็ได้ กลิ่นมะกรูดถือเป็น อะโรมาเทอราปีส์ (aromatherapy) อย่างดีเยี่ยม ดมแล้วสดชื่นกระชุ่มกระชวย มะกรูดใช้เป็นแชมพูสระผมช่วยแก้ผมคันรังแค บำรุงหนังศีรษะ ลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้

ในมุมของยาสมุนไพร น้ำคั้นมะกรูดใช้แก้อาการท้องอืดเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร ยังใช้เป็นตัวยาในตำรับยาฟอกเลือดและบำรุงโลหิตของคุณสุภาพสตรีอีกด้วย อันที่จริงใบมะกรูดก็เป็นสมุนไพร ใช้แก้อาการจุกเสียด ช่วยขับลมเช่นกัน มะกรูดยังเป็นเครื่องเทศใช้ปรุงอาหารตามเอกลักษณ์อาหารไทยด้วย โดยเฉพาะเครื่องแกงหลายชนิดถ้าขาดใบมะกรูดเรียกว่าเสียรสพริกแกงหมดเลย

หากเด็กๆ ได้เรียนรู้คุณประโยชน์เหล่านี้ แล้วสร้างฐานการเรียนรู้ ทดลองให้เริ่มทำทอฟฟี่มะกรูดก่อนโยงใยไปสู่ความรู้อื่นๆ ก็จะช่วยส่งเสริมภูมิปัญญาของเรา

มาทำกันดังนี้ ใช้มะกรูด 10 ลูก มาผ่าออกเป็น 4 ซีก แกะเมล็ดออก นำมะกรูดทั้งหมดไปต้มน้ำจนเปื่อย ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย เมื่อต้มได้ที่ให้กรองเอาแต่เนื้อ แล้วนำเนื้อมะกรูดไปปั่น

ข้อแนะนำต้องรอให้เนื้อมะกรูดเย็นก่อนจึงนำเข้าเครื่องปั่น ให้ปั่นจนละเอียด เนื้อมะกรูดที่ได้ให้นำไปกวนคล้ายกวนกล้วย แต่คราวนี้ใส่สับปะรดที่ปั่นแล้ว สับปะรดใช้ 2 ลูก (ขนาดย่อมๆ) กวนด้วยกัน ใส่น้ำตาลประมาณครึ่งกิโลกรัม เกลือ 2 ช้อนชา กวนจนเหนียวหนืดดี ตักใส่ถาด รอเย็น แล้วตักใส่กระดาษแก้วเหมือนทำทอฟฟี่กล้วย

เท่านี้ก็ได้ทอฟฟี่สมุนไพรไว้กินเล่นแจกจ่ายได้ กินแล้วชอบใจ อย่าลืมแปรงฟันให้สะอาดด้วย เพื่อป้องกันฟันผุ

อนาคตของภูมิปัญญาอยู่ที่การปรับประยุกต์ให้ร่วมสมัย และอยู่ที่เด็กรุ่นใหม่ให้ความสนใจใช้ได้จริง ทอฟฟี่หรือขนมหวานอาจเป็นหนทางหนึ่งพาคนรุ่นใหม่สืบสานตำนานสมุนไพรได้



++

รับปีใหม่ สุขภาพที่ดีไม่มีขาย แต่หาได้ด้วยพฤติกรรมของตนเอง
โดย น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล dr.banchob@balavi.com www.balavi.com คอลัมน์ ธรรมชาติบำบัด
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1637 หน้า 93


ปีค.ศ.2000 ถูกทำนายทายทักว่า การแพทย์และสุขภาพทั่วโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของการแพทย์ทางเลือกที่เข้ามามีบทบาทนำเหนือการแพทย์แบบแผน

บทสรุปที่ชัดเจนคือการวิจัยในสหรัฐอเมริกาที่พบว่า คนอเมริกันในเวลานั้นเมื่อเจ็บป่วยจะเลือกรักษากับการแพทย์ทางเลือกมากกว่าการแพทย์แบบแผน 5 เท่า และสิ้นค่าใช้จ่ายน้องกว่าการแพทย์แบบแผน 10 เท่า

งานวิจัยพบอีกว่าการแพทย์ทางเลือกที่ชาวอเมริกันสนใจในอันดับแรกๆ คือ 1) การแพทย์แผนจีน 2) อายุรเวท 3) โฮมีโอพาธีย์ จากนั้นก็เป็นธรรมชาติบำบัดแขนงต่างๆ

การก้าวเข้าสู่ของสหัสวรรษใหม่ของการแพทย์ทางเลือก ยังมีความนิยมหนักเบาไปตามแต่ละระยะของเวลาที่ผันผ่านอีกด้วย พอจะจำแนกได้เป็น 4 ช่วงเวลา ช่วงละ 3 ปี แต่ละช่วงมีการตื่นตัวแต่ละด้านเป็นกระแสหลัก แม้ว่าในทางเป็นจริงแล้วจะมีความก้ำกึ่งเหลื่อมล้ำบ้าง

แต่พอจะมองคร่าวๆ ได้ดังนี้คือ :



ช่วง 3 ปีแรก

เริ่มจากช่วง 3 ปีแรก เป็นยุคสมัยของอาหารสุขภาพ มีตั้งแต่มังสวิรัติ คงจำได้ว่ามีการประชุมมังสวิรัติโลกอย่างติดๆ กันหลายครั้งรวมทั้งในประเทศไทยด้วยในช่วงเวลาดังกล่าว

แล้วก็มาเรื่องแมกโครไบโอติกส์ ต่อด้วยอาหารพลังสด (raw energy) เป็นการกินอาหารที่ไม่ผ่านไฟ กินเมล็ดธัญพืชงอกกันสดๆ แล้วก็มาเป็นน้ำปั่นผักผลไม้ มีสูตรต่างๆ ที่เสนอตัวแตกต่างกันไป มีสูตรอาหารล้างพิษด้วยการอดเพื่อสุขภาพ มีอาหารแอตกินส์ (Atkin diet) มีอาหารต้านมะเร็งของเกอร์สัน

ตอนท้ายๆ ก็มีอาหารตามกรุ๊ปเลือด ของไทยเองมีการกินอาหารตามธาตุเจ้าเรือน ตอนนั้นเป็นจุดแพร่หลายของร้านอาหารสุขภาพ เครื่องดื่มสุขภาพ กระทั่งกระเช้าสุขภาพ

จำได้ว่าผมเคยเสนอว่า "เหล้าเบียร์ไวน์เหมาะเป็นของขวัญให้คู่อริ แต่กระเช้าสุขภาพเหมาะจะมอบแด่ผู้ที่คุณรัก "



ช่วง 3 ปีที่สอง

จากนั้นใน 3 ปีที่สองก็เป็นการบริหารร่างกาย

ผู้อ่านคงจำได้อีกเช่นกันว่า สมัยนั้นมีกระแสตื่นตัวของการฝึกโยคะ ชี่กง ไท้เก็ก วูซู เรียกว่าเป็นยุคการเรียนรู้จากตะวันออก (Eastern learning)

การบริหารร่างกายเพื่อสุขภาพมาประกาศตัวชัดเจนในงานเปิดโอลิมปิกที่ปักกิ่ง เมื่อประเทศเจ้าภาพจัดให้มีการแสดงกลางสนามด้วยนักบริหารกายจำนวน 10,000 คน ด้วยการผสมผสานหลากหลายสำนักวิชายุทธประกาศให้โลกรู้ถึงการบริหารกายแบบตะวันออกที่ขึ้นสู่การครอบครองโลก

ส่วนฝรั่งที่มาฝึกโยคะก็กลับไปบ้าน ไปพัฒนาวิชาโยคะให้กลายเป็นโยคะร้อน แล้วกลับมาขายแฟรนไชส์ให้บ้านเรา

ส่วนอายุรเวทของอินเดียขยายหลักปฏิบัติทางสุขภาพที่เรียกว่า ปัญจกรรม ได้ตัดทอนตัวเองมาเหลือเพียงการนวดด้วยน้ำมันร้อน เพื่อเป็นบริการระดับอินเตอร์

ในช่วงเวลาของระยะที่สองแห่งการแพทย์ทางเลือกนี้เอง เป็นจังหวะของการพัฒนาการนวดหลากหลายสัญชาติ ไม่แต่เพียงนวดสัมผัสตำรับสวีเดนซึ่งแตกแขนงแยกย่อยเป็นการนวดอโรมา ห่อสาหร่าย พอกโคลน

แต่การนวดไทยก็มีโอกาสประกาศศักดิ์ศรีให้กับคนทั่วโลก เริ่มต้นจากฝรั่งมาเรียนวิชานวดที่วัดโพธิ์เป็นเบื้องแรก ตามด้วยการพัฒนาแพทย์แผนไทยควบคู่กับการนวดไทยอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

ในเชิงของการบำบัดทางกายด้วยการแพทย์ทางเลือก นอกจากวิชาฝังเข็ม การนวดบำบัดแล้ว แขนงใหม่ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาก็คือเรื่องราวของการรักษาระดับเซลล์ (cell based therapy)

มันครอบคลุมทั้งเรื่องของการใช้สารเจอโรไวทอลซึ่งค้นคว้าโดย ดร.อันนา อัสลาน ประเทศโรมาเนีย ไปถึงเซลล์บำบัดจากสัตว์สู่คน แล้วไปแก่งแย่งความเป็นเจ้ากับสเต็มเซลล์จากคนสู่คน จนถึงการใช้เปปไตด์ชนิดต่างๆ ที่เพิ่มการสร้างมวลกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบ

ไล่เลียงไปถึงการใช้ฮอร์โมนเสริมเฉพาะบุคคลในวงการชะลอวัย ณ ปัจจุบัน



ช่วง 3 ปีที่สาม

แล้วการแพทย์ทางเลือกก็ก้าวสู่การบริหารจิตในช่วง 3 ปีที่สาม เมื่อแพทย์ที่นิยมการบริหารจิตพูดถึงผลของสมาธิในเชิงวิทยาศาสตร์ จึงเป็นการเชื้อเชิญให้คนรักสุขภาพหันเดินเข้าวัด แล้วก็เริ่มเป็นการเปิดเอาธรรมะออกนอกประตูวัดไปสู่ผู้รักสุขภาพไปพร้อมกัน

ผลพวงที่สำคัญคือผู้รักสุขภาพจำนวนไม่น้อยกลายเป็นผู้รักการปฏิบัติธรรม แล้วค้นพบหนทางของธรรมะอันเป็นจุดหมายสำคัญของชีวิตมากกว่าเพียงแค่การรักษาสุขภาพ

ในอีกด้านหนึ่งการบริหารจิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรมก็ขึ้นสู่กระแสสูงด้วย การฝึกวิชาพลังจักรวาล วิชาเรกิ คริสตัลบำบัด พลังรังษีธรรม สวดมนต์บำบัด บำบัดโรคด้วยพลังจิต เป็นที่นิยมแพร่หลาย รวมทั้งวิชาสมาธิธรรมบำบัดที่ใช้ควันไฟ เทียนสี ขนนก ปัดเป่าไอโรคก็มีการปฏิบัติควบคู่กับการอธิบายอย่างปรากฏการณ์ทางจิตเหล่านี้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์และอภิปรัชญา

ระยะปลายของช่วงเวลานี้เอง ศาสตร์การรักษาด้วยพลังงานของสมุนไพรที่ได้รับการค้นคว้าวิจัยอย่างแน่นหนามากว่า 200 ปีชื่อว่า โฮมีโอพาธีย์ ก็เริ่มปรากฏตัวในสังคมไทย

ในอีกด้านหนึ่งกระแสนิยมทางด้านพลังจิตที่แพร่หลายจากฝั่งตะวันตกที่นิยมอะไรที่จับต้องได้ ทำให้ประเทศเหล่านั้นคิดประดิษฐ์เครื่องมือที่ตรวจวัดทางพลังจิตออกมาหลากหลายรูปแบบ เครื่องมือหลายชิ้นพอจะให้เค้าเงื่อนในการตรวจจับพลังจิตได้ในระดับหนึ่ง

แต่ส่วนมากเมื่อเอามาเปิดบริการแก่ผู้รักสุขภาพแล้วผลการทำนายทายทักสภาพทางพลังจิตของแต่ละคนก็ยากที่จะพิสูจน์ให้เชื่อถือได้อย่างแท้จริง

มีเครื่องมือบางชิ้นที่อวดอ้างในการรักษาเช่นเพิ่มพลังให้เส้นโคจร ปรับสมดุลของพลังงาน หรือกระทั่งล้างพิษได้ด้วยเครื่องมือดังกล่าว บางทีก็ก้ำกึ่งไปในทางด่วนสรุปหรือกระทั่งหลอกลวงผู้บริโภค ที่แน่ๆ ก็คือการใช้อุปกรณ์เหล่านี้คิดค่าบริการค่อนข้างสูง

แนวโน้มเช่นนี้ถ้าดำเนินต่อไปอาจกลายเป็นว่า ค่าบริการด้านการแพทย์ทางเลือกอาจแพงเสียยิ่งกว่าด้านการแพทย์แบบแผน ซึ่งแตกต่างจากคุณลักษณ์ที่ดีแต่เดิมของการแพทย์ทางเลือกที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกหันมานิยมกัน



ช่วง 3 ปีที่สี่

ช่วง 3 ปีที่สี่ซึ่งปีปัจจุบันเราก็อยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว อาจถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาของการใช้การแพทย์ทางเลือกในแบบองค์รวม เนื่องจากประเทศไทยที่เป็นสังคมเปิด ทำให้เราสามารถรับความรู้ของศาสตร์สุขภาพประเภทต่างๆ เข้ามาได้อย่างหลากหลาย ทั้งแผนไทย แผนจีน แผนอินเดีย แผนตะวันตก ทั้งการแพทย์พื้นบ้านที่มีต้นกำเนิดในท้องถิ่น ทั้งที่เป็นปัจเจกบุคคลค้นคิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่

ประกอบกับความกว้างขวางทางด้านสื่อ การเสพรับทางสื่อเป็นไปอย่างกว้างขวาง

เมื่อรวมกับปัจจัยที่คนไทยเชื่อง่าย มีลักษณะบริโภคนิยมสูง ต้องการอะไรที่สำเร็จรูปไม่ต้องคิดมาก กระแสสุขภาพชนิดต่างๆจึงเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

เพื่อประโยชน์แก่ผู้รักสุขภาพที่จะเลือกสรรหนทางของตนเอง แนวทางในการพิจารณาเลือกใช้มีดังนี้คือ :

1. ควรประกอบด้วยการดูแล 3 ด้านคือ 1) การควบคุมอาหาร 2) การบริหารกาย 3) การบริหารจิต

2. ส่งเสริมการพึ่งตนเอง ควรเน้นในแง่ที่ช่วยให้ผู้คนปรับพฤติกรรม ดูแลตนเองได้ในเบื้องต้น ดูแลซึ่งกันและกันโดยทั่วไป ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในอีกระดับหนึ่งที่จำเป็น

3. มีประสิทธิผล เป็นความรู้คู่ปฏิบัติ มีต้นธารความรู้ที่สืบทอดมายาวนาน หรือถ้าคิดค้นขึ้นใหม่ก็อธิบายได้ทางทฤษฎีและส่งผลได้จริงทางด้านปฏิบัติ มีเวลาพอสมควรในการพิสูจน์ผลของแนวทางนั้นๆ และผู้เป็นต้นธารความรู้ควรปฏิบัติได้ด้วยตนเองด้วย

4. มีความปลอดภัย ถ้าเป็นการรักษาที่อาจมีผลข้างเคียงบ้าง หรือมีปฏิกิริยาในกระบวนการรักษาก็สามารถรู้ได้และแก้ไขได้

5. ไม่ควรเน้นการบริโภคนิยม มิใช่ส่งเสริมแต่การซื้อหาสุขภาพแนวใหม่ด้วยเงินทองโดยตัวเองไม่มีส่วนรับผิดชอบในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แม้จะเป็นกระบวนการรักษาที่ทำให้โดยผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็ควรดูแลแนะนำผู้รักสุขภาพที่รับบริการในปรับพฤติกรรมตัวเองด้วย

6. สนนราคาที่เหมาะสมตามอัตภาพของแต่ละบุคคล

เหล่านี้น่าจะเป็นแนวทางเพื่อแสวงหาสุขภาพองค์รวมรับปีใหม่ พึงจำไว้ว่า สุขภาพที่ดีไม่มีขาย แต่หาได้ด้วยพฤติกรรมของตนเอง



.