.
คู่มือรู้จักประเทศไทยแบบบ้านๆ (กลัวคนฉลาดอ่านไม่รู้เรื่อง)
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1641 หน้า 89
อ่านข่าวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วต้องสะบัดหัวตัวเองสาม-สี่ครั้ง ก่อนจะหันไปมองซ้ายมองขวา ถามตัวเองอีกรอบว่า
"เฮ้ย ตรูอยู่ที่ไหนในโลกนี้??"
ลองอ่านตัวอย่างข่าวและบทความในหนังสือพิมพ์ที่ทำให้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนในโลก เสื้อผ้าที่นุ่งห่มนั้นไยไม่เป็นใบตองปิด "ตรงนั้น" สักสองใบ อาศัยอยู่ในถ้ำ ทุบหัวศัตรู หรือล่าฆ่าพวกที่คิดต่างมาบูชายัญ เจาะกินน้ำเหลือง ผ่ากะโหลก ดูสมอง หรือเฉาะสมองพวกที่เป็นศัตรูของเรามาร่วมในพิธีกรรมกินสมอง "ศัตรู" เพื่อความสาแก่ใจ สงสัยจังว่า นี่เราอยู่ในโลกที่มีตึกรามบ้านช่อง มีคอมพิวเตอร์ มีอินเตอร์เน็ต มีรถยนต์ เครื่องบิน กันจริงๆ หรือ?
"ผมชักชอบ "วรเจตน์ แอนด์ เดอะ แก๊ง" ขึ้นมาแล้วซีแฮะ นับวัน "ตลกร้าย" ขึ้นทุกที ยึดธรรมศาสตร์เป็นศูนย์กลาง "แดงล้มสถาบัน" ล่าสุด...ใช้ฤกษ์ตรุษจีน ประกาศจัดระเบียบ "สถาบันพระมหากษัตริย์-ศาล-กองทัพ-สถาบันการเมือง" ใหม่ คนที่เป็นพระมหากษัตริย์ต้องสาบานตน ประธานศาลต้องรัฐบาลตั้ง และ ผบ.เหล่าทัพต้องนายกฯ เท่านั้น...ตั้ง"
เสียดายที่ผมไม่ได้ไปร่วมฟังกับขบวนการแดงที่ธรรมศาสตร์วานซืนนี้ (22 มกราคม 2554) ได้แต่อ่านตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขานำมารายงานเป็นข่าวไว้ แค่อ่านยังมันเข้าไส้ ไม่รู้ไปคิดเค้นรูปแบบและวิธีการแปลงบ้าน - แปลงเมืองอย่างนี้มาแต่ไหน
นับถือ...นับถือ นรกจกเปรตดีจริงๆ!" (เปลว สีเงิน, ไทยโพสต์ www.thaipost.net/news/240112/51540)
หรือ
"ผมว่าก่อนจะแก้รัฐธรรมนูญตามที่พวกคุณเสนอ ควรแก้ข้อบังคับทุนอานันทมหิดลให้ผู้รับทุนสาบานว่าจะไม่เนรคุณและไม่ทรยศ ต่อพระมหากษัตริย์ผู้พระราชทานทุนจะง่ายกว่ามั้ย ข้อเสนอผมไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญเลย.!!!" (บวรศักดิ์ อุวรรโณ. ข่าวจาก www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000010283)
หรือคำถามของนักข่าวที่มีต่อ ผบ.ทบ. ว่า
"เมื่อถามว่า ต้องเรียกคณะนิติราษฎร์มาพบปะพูดคุยหรือไม่ " หรือ
"มีการเสนอให้พระมหากษัตริย์สาบานตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เขาทำได้หรือไม่ เขาคิดของเขา ก็ปล่อยให้เขาคิดไป เมื่อถามว่า ใกล้เคียงจะมีการเปลี่ยนระบอบการปกครองหรือไม่"
(www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1327301201&grpid=00&catid=&subcatid=)
เมื่ออ่านแล้ว คิดว่าสิ่งที่ดินแดนที่ฉันอาศัยอยู่ ณ ขณะนี้ รวมทั้งเพื่อนร่วมสังคมเดียวกันต้องการคือ "คู่มือรู้จักประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 ฉบับบ้านๆ"
เริ่มเลยแล้วกัน
ก. นับตั้งแต่ปี 2475 (1932) ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์เป็นประมุข อยากรู้ว่าประชาธิปไตยแบบราชอาณาจักรเป็นอย่างไร ดูตัวอย่างประเทศ ญี่ปุ่น และอังกฤษ พระมหากษัตริย์เปรียบเสมือน พระพุทธรูปบนหิ้งพระ เป็นที่เคารพ ทว่าไม่มีบทบาททางการเมือง
คำพูดที่ว่า The King can do no wrong - พระมหากษัตริย์ไม่มีวันทำอะไรผิดนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้พระมหากษัตริย์ "ไม่ทรงทำการใดๆ" ทุกครั้งที่ทำ ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พูดภาษาบ้านๆ ว่า "เพื่อปกป้องมิให้พระมหากษัตริย์ต้องแปดเปื้อน เราจึงกำหนดมิให้ท่านกระทำการทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น"
พูดให้บ้านกว่านั้นก็คือ เรื่อง "การเมือง" นั้นเป็นเรื่อง โลกย์ๆ บ้านๆ ปล่อยให้เป็นเรื่องของ "นักการเมือง" และ "ประชาชน" ที่จะเข้ามาเปลืองตัว แปดเปื้อนเถิด
ข.การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น จะเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตยอย่างน้อยต้องมี "การเลือกตั้ง" หากปราศจากการเลือกตั้งแล้ว ไม่เรียกว่าประชาธิปไตย
ดังนั้น อย่ามาอ้างว่า "สมัยสุโขทัยก็เป็นประชาธิปไตย", ภูมิปัญญาในท้องถิ่นของเราก็มีความเป็นประชาธิปไตย ดูจากการเลือกผู้นำของชุมชน, ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง, ประชาธิปไตยซับซ้อนกว่าการเดินไปกากบาทในคูหา, เราต้องการประชาธิปไตยแบบยั่งยืน ไม่ถูกครอบงำโดยทุน ฯลฯ
ย้ำแบบบ้านๆ ว่า จะต้องการประชาธิปไตยแบบพิสดาร พันลึก ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ปรึกษาหารือ มีส่วนร่วม หรืออะไรก็ตาม แต่ต้องเริ่มต้นจากการมีการเลือกตั้งและนับที่เสียงข้างมากเป็นเบื้องแรกเสมอ
ค.คนไทยยังโง่อยู่ ไม่พร้อมสำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตย ขอตอบแบบบ้านๆ ว่า การนับเสียงข้างมากนั้นไม่เกี่ยวกับความโง่ความฉลาดของประชาชน และไม่มีใครสามารถไปชี้หน้าตัดสินใครว่า "มึงแม่ง โง่ว่ะ" หรือ "เออ กูว่ามึงค่อยฉลาดมานิดนึงแระ เอาแซมเปิ้ลประชาธิปไตยแบบซองเล็กไปลองใช้ก่อนไหม ถ้าเวิร์กแล้วค่อยมาซื้อแบบขวดใหญ่ไปใช้ต่อ"
พวกคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดจงฟังให้ดี ประชาธิปไตยนับที่เสียงข้างมาก เป็นกติกาที่อยู่บนฐานของแนวคิดที่เห็นคนที่ค่ามีสิทธิมีเสียงเท่ากัน วัดกันที่หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง
แล้วไอ้การวัดเสียงข้างมากก็ทำกันทุกๆ 4 ปี ไม่ได้อยู่ไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย ประเดี๋ยวก็เปลี่ยน ประเดี๋ยวก็ได้ลงสนามมาวัดกันใหม่แบบแฟร์ๆ
ด้วยกติกาเช่นนี้ เราจะลดการตีหัวกัน ฆ่ากัน เพราะแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์เยี่ยงมนุษย์ถ้ำ ง่ายๆ เท่านี้เอง
(ใครโง่กันแน่ฟะ เรื่องง่ายๆ ขนาดนี้ยังไม่เข้าใจ)
ง.ชาติ เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ชาติไม่ใช่ "บ้าน" ที่จะมี "เจ้าของบ้าน" อันถือสิทธิที่จะบอกว่าคนนี้สมควรอยู่ในบ้านต่อ คนนี้สมควรถูกไล่ออกจากบ้าน - ตลกไปป่าว??
บุคคลาธิษฐานที่เปรียบว่า ชาติคือบ้าน คือครอบครัว มีพ่อมีแม่ มีลูก ลูกๆ ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ต้องกตัญญู ต้องตอบแทนบุญคุณ ต้องไม่เนรคุณ ทรยศ แถมยังมีการอุปโลกน์ศัตรูของชาติที่สมาชิกของครอบครัวต้องร่วมกันเกลียดขี้หน้า
บุคคลาธิษฐานแบบนี้เป็น จินตกรรมของชาติที่ผู้นำเผด็จการสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงให้ประชาชนเชื่อว่าตนเองเป็นเพียงเด็กเล็กๆ ของผู้นำ เชื่อเช่นนี้จะได้ปกครองง่ายๆ สั่งอะไรไปก็ไม่โต้เถียง เพราะขืนเถียงก็โดนข้อหาเนรคุณหรือสร้างความแตกแยกในครอบครัวเท่านั้น
แถมเมื่อผู้นำใช้ให้ตายก็จะไป เพราะนึกว่านี่เป็นการสนองคุณ
จ.งบประมาณที่ใช้ในการบริหารประเทศเป็นเงินภาษีของประชาชน สาธารณูปโภค โรงเรียน โรงพยาบาล ถนนหนทาง สถานที่ราชการ เงินเดือนข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครู หมอ มหาวิทยาลัย ทุนการศึกษาของรัฐบาล เงินเดือนข้าราชการสถานทูต ข้าราชการ ก.พ. ที่ดูแลนักเรียนไทยในต่างประเทศ ทุนการศึกษาในมหาวิทยาลัย ฯลฯ ล้วนแต่มาจากภาษีของประชาชน
เพราะฉะนั้น ในประเทศนี้ไม่มีใครเป็นหนี้บุญคุณใคร เพราะทุกคนเป็นประชาชน เสียภาษีเหมือนกัน อยู่ร่วมกันใช้เงินภาษีบนกติกาที่โลกอารยะคิดค้นมาแล้วว่า คนที่มีรายได้มากก็เสียมาก คนมีรายได้น้อยก็เสียน้อย แต่ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงการให้บริหารของรัฐอย่างเสมอหน้ากัน
นี่คือกลไกลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เป็นบันไดให้มีการขยับอัพคลาสเกิดกลุ่มชนชั้นกลางมากขึ้น คนรวยมีน้อยลงขณะเดียวกันคนจนก็จะมีน้อยลงไปด้วย
ง่ายอีกแระ - ไม่เห็นต้องไปเปลืองงบประมาณตั้งสองพันล้านไปจ้างคณะกรรมการปฏิรูปมาลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในสังคม - ทำเรื่อง "พื้นๆ" นี้ให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยไปคิดเรื่องยาก
แต่นี่โครงสร้างภาษีในประเทศไทยยังลักลั่นอัปลักษณ์ คนยิ่งรวยยิ่งมีหนทางฉ้อฉลในกลไกการเสียภาษี ภาษีที่ดิน ภาษีมรดกก็ไม่เก็บ
แค่นั้นยังไม่พอ พวกฉ้อฉลงมงาย ไม่สำเหนียกว่าประเทศชาติอยู่ได้ด้วยภาษีอากรของประชาชนยังชอบมาอ้างบุญคุณว่า "พวกตรูรวยกว่า เสียภาษีมากกว่า (แต่ไม่เคยอ้างอิงว่า "มากนั้น มากจากการอ้างอิงกับอะไร") เบื่อไอ้พวกคนจน เสียภาษีน้อยแล้วยังมามีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่าตรู โลกนี้ไม่ยุติธรรม
ขอย้ำอีกครั้งว่า ประเทศชาติบริหารจัดการด้วยเงินภาษีของประชาชน ไม่มีใครเป็นหนี้บุญคุณใคร ทุกคนมีศักดิ์ศรี มีสิทธิเท่าเทียมกัน ข้าราชการเป็นข้าราชการของประชาชน และเป็นประชาชน ทหารเป็นทหารของประชาชน ต้องปกป้องประชาชน เพราะประชาชนจ่ายเงินเดือน ตำรวจ ครู หมอ ล้วนเป็นลูกจ้างของประชาชน ครูบาอาจารย์ที่ได้รับทุนไปเรียนทั้งในประเทศและต่างประเทศยิ่งต้องตระหนักว่า นี่คือภาษี ยิ่งต้องละอายใจหากจะฉ้อฉลคดโกงต่อวิชาชีพของตนเอง
ไม่นับว่าองค์กรอิสระอีกหลายองค์กรที่กินเงินภาษีประชาชนอยู่ แต่ไม่เคยออกมาปกป้องสิทธิของประชาชนอย่างเช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทย - ท่านเหล่านี้ต้องไปหัดสะกดคำว่า หิริโอตตัปปะกันให้มาก
ฉ.ประเทศไทยไม่เหมาะสมกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย
หากท่านเชื่อเช่นนี้ก็ต้องระบุมาให้ชัดเจนว่า ประเทศไทยเหมาะสมกับการปกครองแบบใด
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
เรามีลักษณะพิเศษเช่นไร หรือเราเป็นมนุษย์ต่างดาว?
เมื่อท่านมีสิทธิเสนอว่า ประเทศไทยไม่เหมาะสมกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย
คนอื่นๆ ที่เห็นว่า ไม่มีการปกครองระบอบไหนที่แย่น้อยไปกว่าประชาธิปไตยก็ย่อมมีสิทธิที่จะเสนอความคิดเห็นของพวกเขาเช่นกัน
โดยไม่จำเป็นต้องเจอข้อหา บั่นหัว ตัดคอ เสียบประจาน เนรคุณ
ช.น่าพิศวงมากว่า คนไทยชื่นชมความเจริญก้าวหน้า ความสวยงามน่าอยู่ ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเมองของเหล่าประเทศพัฒนาแล้วที่อยู่ในระบอบสหพันธรัฐบ้าง สาธารณรัฐบ้าง
เช่น ชอบประเทศ อเมริกา เยอรมัน ออสเตรีย ฝรั่งเศส ทัวร์ยุโรป ชอบโปรวองซ์ คลั่งกระเป๋าหลุยส์ อยากใส่แว่นกันแดดของอิตาลี
แต่ทำมั้ย ทำไม ถึงรังเกียจคำว่าสาธารณรัฐ ราวกับเป็นคำบาป คำต้องห้าม เป็นแวมไพร์ผีดิบ เจอคำนี้แล้วตาเหลือกถลน
ทำไมสังคมไทยไม่สามารถพูดถึงคำเหล่านี้ในฐานะที่เป็นคำศัพท์ทางการเมืองธรรมด๊า ธรรมดา
ไม่ชอบ ไม่อยากได้ก็ถกเถียงกันไปถึงข้อดีข้อเสีย
แต่ปรากฏการณ์สังคมไทยต่อ "คำ" เหล่านี้กลับกลายเป็น "บาป" อันสาหัส เป็นถ้อยคำสกปรก ทั้งๆ ที่ คนชั้นกลางมีการศึกษา อีกทั้งนักข่าวจำนวนมากที่คิดอะไรไม่ออกก็เอาไมค์ไปจ่อปาก ผบ.ทบ. ไว้ก่อน ก็ไม่รู้ว่าคำนี้แปลว่าอะไรและคืออะไรกันแน่?
เฉกเดียวกับที่ ประเทศไทยยังหลอนกับคำว่า "คอมมิวนิสต์" ทั้งๆ ที่เรายังไม่มีคำๆ นี้ในภาษาไทยเลยเสียด้วยซ้ำ - ตลกไหมอ่ะ ที่เราจะกลัวคำอะไรก็ไม่รู้ กลัวกระทั่งไม่มีการแปลออกมาเป็นภาษาไทย?????
โอ้ว...เรากลัวคำที่เรายังแปลกันไม่ได้เนี่ยะ - แล้วจะไม่ให้ฉันมองซ้ายมองขวาแล้วกลับมาถามตัวเองว่า "ที่นี่ที่ไหน" ได้ยังไง
ซ.เอ...คู่มือทำความรู้จักประเทศไทยฉบับบ้านๆ ต้องบอกด้วยหรือเปล่าว่า ประเทศไทย ไม่ได้มีอายุหลายร้อยปี สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี หรือแม้กระทั่งรัตนโกสินทร์ก็ไม่ใช่ประเทศไทย เป็นแต่เพียงอาณาจักรต่างๆ
สำนึกเกี่ยวกับ "ชาติ" สำนึกว่าเราเป็นพลเมืองของ "ชาติไหน" นั้นเป็น สำนึกใหม่ ไม่เคยปรากฏมาก่อนในยุคสุโขทัย หรือพระนครศรีอยุธยา
เวลาดูหนัง ละคร อิงประวัติศาสตร์ ย้อนยุคทั้งหลายจะได้ไม่อินจนไข้ความเป็นไทยกำเริบ ตัวร้อน ผ่าวๆ อยากออกไปฆ่าฟันอริราชศัตรู
น่ากั๊วววว
ยิ่งไปกว่านั้น สำนึกของรัฐชาติสมัยใหม่ก็เกี่ยวพันกับการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างแยกไม่ออก เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รักในประชาธิปไตยก็อย่าได้มาอ้างว่า "รักความเป็นไทย" นะจ๊ะ - อายเค้า
บทส่งท้ายคู่มือรู้จักประเทศไทยแบบบ้าน ขอเสนอข้อคิดแบบคมๆ ว่า (ถ้าคำสอนของพระเซเลบถูกยกย่องว่าคม ไอ้ที่ฉันกำลังจะเขียนนี่มันต้องคมมากแน่ๆ) : "การทำความดีย่อมไม่หวังผลตอบแทนและไม่ทวงบุญคุณ"
คมมั้ย???
.
Selected Messages & Good Article for People Ideas and Social Justice .. หวังความต่อเนื่องของพลังประชาธิปไตยและการเลือกตั้งของปวงชนอันเป็นรากฐานอำนาจอธิปไตย เพื่อกำกับกติกาและอำนาจการเมือง-อำนาจตุลาการ ไม่ว่าต่อคนชั่ว(เพราะใคร?) และคนดี(ของใคร?) ไม่ให้อยู่เหนือนิติรัฐของประชาชน
http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย