http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-01-21

Tinker,Tailor,Soldier,Spy/ TINTIN 3D,The Adventures of

.
คอลัมน์ เงาเกาหลี - Miss Ripley : รักหรือหลอก โดย มาดามหลูหลี

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * *

TINKER TAILOR SOLDIER SPY "สายลับยุคสงครามเย็น"
โดย นพมาส แววหงส์ คอลัมน์ ภาพยนตร์
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1640 หน้า 87

กำกับการแสดง Tomas Alfredson
นำแสดง Gary Oldman , Colin Firth
John Hurt , Mark Strong
Toby Jones , Ciaran Hinds
Benedict Cumberbatch


งงไหมคะว่าชื่อหนังยืดยาวนี้แปลว่าอะไร เดี๋ยวจะเฉลยให้ทราบค่ะ

Tinker, Tailor, Soldier, Spy ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ จอห์น เลอคาร์เร ผู้แต่งเรื่อง The Constant Gardener ที่กลายเป็นหนังที่ทำให้ เรเชล ไวซ์ ได้ออสการ์ไปครอง

ในชีวิตจริง จอห์น เลอคาร์เร เป็นนามปากกาของสายลับอังกฤษตัวจริงเสียงจริงที่เคยถูกหักหลังและเปิดโปงตัวตน และคลุกคลีอยู่ในแวดวงจารกรรมและการหักหลังและการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในยุคสงครามเย็นที่มหาอำนาจแบ่งเป็นสองค่าย หรืออาจจะมากกว่า

ดังนั้น เขาจึงเขียนจากเนื้อหาในแวดวงของประสบการณ์จริงในชีวิต ไม่ใช่สร้างเรื่องราวของจารชนชวนตื่นเต้นเร้าใจแบบ เจมส์ บอนด์ ของ เอียน เฟลมิง ที่กลายเป็นเนื้อหาสำหรับหนังจารชนในโลกบันเทิงมาหลายศตวรรษ และเปลี่ยนโฉมหน้าพระเอกมาหลายคนแล้ว และยังคงจะยังอยู่ต่อไปเป็นต้นแบบของหนังจารชนเท่ๆ สำหรับคนรุ่นต่อๆ ไป

เจมส์ บอนด์ ผู้สำอางเจ้าเสน่ห์และมีผู้หญิงทิ้งไว้ทั่วทุกมุมโลก ฆ่าไม่ตายขายไม่ออก ในฐานะหนังชุดซึ่งต้องมีการผจญภัยครั้งใหม่ตามมาเรื่อยๆ ก่อให้เกิดพระเอกแบบ เจสัน บอร์น ซึ่งเก่งฉกาจเหนือมนุษย์ ท่องไปได้ทั่วโลก หนีการจับกุมและหมายหัวขององค์กรที่มีเครือข่ายและเทคโนโลยีล้ำยุค

แต่ เจสัน บอร์น ก็จบลงได้ในไตรภาค และแม้จะกำลังมีภาคสี่ตามมา ก็จะต้องเปลี่ยนหน้าพระเอกคนใหม่ไปแล้ว


กลับมาสู่หนังเรื่องที่กำลังเขียนถึงนี้กันใหม่ Tinker ฯ เคยเป็นหนังชุดทางโทรทัศน์ที่บีบีซีสร้างมาแล้วในปลายทศวรรษ 1980 ซีรี่ส์ชุดนั้นนำแสดงโดย อเล็ก กินเนสส์ ที่ได้บรรดาศักดิ์เป็นอัศวิน บทบาทของ จอร์จ สไมลีย์ ที่เซอร์อเล็กเล่นนั้นยังคงเป็นที่จดจำรำลึกถึงสำหรับแฟนหนังรุ่นเดอะ เมื่อเทียบกับ แกรี โอลด์แมน ซึ่งทำได้ไม่แพ้กันในหนังใหญ่ปี 2011 นี้

Tinkerฯ เป็นหนังสายลับที่ไม่ได้สร้างเรื่องให้หวือหวาเสี่ยงภัยฉิวเฉียดเหมือนหนังแอ็กชั่นในกระแสทั่วไป แม้ว่าสาระสำคัญของงานในโลกจารชนนั้นหมายถึงการเสี่ยงภัยในทุกขณะจิตต่อเรื่องราวของความเป็นความตายและความสำคัญระดับมหภาค

แต่ Tinkerฯ ก็สร้างบรรยากาศในแวดวงจารชนที่มีเลือดเนื้อและเป็นปุถุชนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการแปรพักตร์ หักหลัง และไว้ใจใครได้ยาก

หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ ที่มีฉายาว่า "คอนโทรล" (จอห์น เฮิร์ต) ระแคะระคายว่ามีหนอนบ่อนไส้ปะปนอยู่ในเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์กร ซึ่งเรียกกันด้วยชื่อเล่นว่า "เซอร์คัส" (จากที่ตั้งของสำนักงานและยังให้ความหมายว่าเป็นที่วุ่นวายเหมือนละครสัตว์)

คอนโทรลสั่งให้สายลับ จิม พริโดซ์ (มาร์ก สตรอง) ไปปฏิบัติงานที่บูดาเปสต์ ฮังการี โดยหวังจะเปิดโปงตัวหนอนบ่อนไส้ที่เป็นสายลับสองหน้าให้แก่โซเวียตในยุคสงครามเย็น

แต่ว่าปฏิบัติการครั้งนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการคนสำคัญ จิม พริโดซ์ ถูกฆ่าตายในขณะทำการติดต่อกับบุคคลผู้จะให้เงื่อนงำสำคัญ ซึ่งเป็นผลให้คอนโทรลต้องเด้งจากตำแหน่งสูงสุดในองค์กร และลากเอา จอร์จ สไมลีย์ (แกรี โอลด์แมน) เจ้าหน้าที่ระดับสูง มือขวาของเขาให้ต้องรีไทร์ก่อนเวลาอันควรไปด้วย

หลังจากคอนโทรลเสียชีวิตเพราะเส้นเลือดในสมองแตก สไมลีย์ได้รับการทาบทามให้กลับเข้ามาสืบหาเบาะแสที่จะเปิดโปงตัวหนอนบ่อนไส้ตัวเบิ้มในเซอร์คัส



สไมลีย์ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในองค์กร ทอม กวิลัม (เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์) เพื่อสืบหาตัวสายลับสองหน้าหรือหนอนบ่อนไส้ในระดับบิ๊กจำนวนสี่คนที่เป็นคณะผู้บริหารของ "เซอร์คัส"

สไมลีย์ลองเล่นกับตัวหมากรุกที่ติดป้ายชื่อต่างๆ ที่มี "ทิงเกอร์" "เทย์เลอร์" "โซลดิเออร์" "พัวร์แมน" ซึ่งเป็นชื่อรหัสของพวก "บิ๊ก" ในองค์กรที่เล่นโดยนักแสดงชายแนวหน้าของอังกฤษทั้งหลาย โทบี โจนส์, คอลิน เฟิร์ธ, ซิอาราน ไฮนด์ส และ เดวิด เดนชิก

ตัวสไมลีย์เองมีชื่อรหัสว่า "เบกการ์แมน"

นี่คือที่มาของชื่อหนังอันชวนงงสำหรับคนที่ได้พบเห็นผ่านตา แต่ยังไม่รู้ที่มาที่ไป โดยยกเอาสมญาหรือชื่อรหัสของสายลับระดับตัวเบ้งๆ มาเป็นชื่อเรื่อง


หนังดูยากนะคะ เพราะความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และการเล่าเรื่องที่เหมือนจริงมากกว่าเป็นเรื่องราวในนิยายที่สร้างเรื่องให้โลดโผนหวือหวาเร้าอารมณ์ แค่ตามเรื่องว่าใครเป็นใคร มีที่มาอย่างไรก็ยากแล้ว ความชวนติดตามจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องราวนัก แต่อยู่ที่บรรยากาศ และความสมจริงของตัวละคร

พูดง่ายๆ ว่าตัวละครเหล่านี้เป็นเหมือนคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกจริง โลกของจารชนที่นำเสนอมา ไม่ใช่โลกที่ชวนระทึกใจในทุกวินาที แต่ออกจะน่าหดหู่ และห่อเหี่ยวใจ

ไม่ใช่หนังบันเทิงแบบ "สนุ้กสนุก" เหมือน Mission Impossible, Ghost Protocol ที่ไม่ยอมทิ้งให้คนดูว่างหรือเบื่อสักอณูตั้งแต่ต้นจนจบ หากแต่ก็เป็นหนังหน้าตาดี เต็มไปด้วยสีสันของนักแสดงฝีมือระดับเทพ เรื่องราวมีสาระชวนติดตาม และขบคิด ที่สะท้อนบรรยากาศย้อนยุคของสงครามเย็นอย่างน่าสนใจและออกจะเที่ยงตรง

แม้ไม่ใช่การสืบสวนอย่างลุ้นระทึก แต่ทุกฉากทุกตอนก็มีความหมายที่จะพลาดไม่ได้ เพราะมีการคลี่คลายปมซึ่งนำไปสู่การเปิดเผยตัวสายลับสองหน้า

ดูจบแล้ว ผู้เขียนเกิดความประจักษ์แจ้งรู้จักตัวเองชัดเจนขึ้นอีกว่า ถ้าตัวเองตกไปอยู่ในโลกจารชน ก็คงจบเห่ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้น เพราะไม่สามารถจับต้นชนปลายกับเงื่อนงำต่างๆ ได้เลย

เป็นหนังน่าจับตามองที่ออกจะเกินสติปัญญาค่ะ ถ้ามีโอกาสต้องหามาดูอีกสักหนสองหนถึงจะเข้าใจเงื่อนงำต่างๆ ได้ดีขึ้น



++

The Adventures of Tintin 3D
โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ คอลัมน์ การ์ตูนที่รัก
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1640 หน้า 75


หนังการ์ตูนโมชั่นแคปเจอร์เรื่อง The Adventures of Tintin ตอนที่ 1 ของ สตีเฟน สปิลเบิร์ก และ ปีเตอร์ แจ๊กสัน ออกฉายแล้วด้วยระบบสามมิติ

ผู้เขียนการ์ตูนที่รักอายุมากกว่าห้าสิบปี เติบโตมากับแต๋งแต๋งผจญภัยในนิตยสารวีรธรรมรายสัปดาห์ของคณะภราดาเซนต์คาเบรียล แม้ว่าจะยอมรับตินตินเวอร์ชั่นใหม่ของแอร์เช่นี้ได้แต่ก็ไม่คุ้นเคย

อย่างไรก็ตาม หากได้ติดตามดูอีกสองตอนที่เหลืออาจจะเปลี่ยนใจ ของอะไรที่ถูกแช่แข็งมานานเกือบร้อยปีห้ามดัดแปลงหรือแก้ไขอะไรทั้งสิ้นน่าจะพบภัยพิบัติในศตวรรษใหม่เสียมากกว่า

มูลนิธิผู้ดูแลงานของแอร์เช่ยินยอมให้มีการดัดแปลงทั้งคาแรกเตอร์ การลงสี และเนื้อหามากมายดังที่ปรากฏ เป็นการกลืนเลือดมองการณ์ไกลอย่างแท้จริง

รอบที่ผู้เขียนไปดูพบปะอดีตรัฐมนตรีท่านหนึ่งยืนรอดูแต่ผู้เดียวด้วย แสดงให้เห็นว่าแต๋งแต๋งเป็นสมบัติร่วมของคนรุ่นหนึ่งอย่างแท้จริง และบัดนี้กำลังปฏิรูปตัวเองสู่โลกใบใหม่ในศตวรรษใหม่


โดยรวมๆ ตัวหนังมืดหม่นแบบนัวร์ซึ่งตัดกับภาพสว่างสดใสลายเส้นคมชัดแบบเคลียร์ไลน์ของแอร์เช่อย่างสิ้นเชิง เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือ ภาพใสสะอาดของท้องทะเล เรือโจรสลัดหรือคฤหาสน์มาลินสไปก์ ทุกที่กลับกลายเป็นมืดทึมซ่อนความลับเอาไว้ทั้งสิ้น ขณะที่ต้นฉบับของแอร์เช่ซ่อนความลับเอาไว้ในแสงสว่าง นอกเหนือจากนี้ก็เป็นเรื่องเสียงอึกทึกโครมครามไม่ยิ่งหย่อนกว่าอินเดียน่า โจนส์

ด้านเนื้อเรื่องถูกดัดแปลงครั้งใหญ่ นำหนังสือสามเล่มคือ ก้ามปูทอง ความลับของยูนิคอร์น และสมบัติของเรดแร็กแฮม มาร้อยเรียงเข้าด้วยกันเพื่อให้เห็นที่มาที่ไปของกัปตันแฮดด็อกและคู่ปรับอัลลันก่อนที่จะเข้าเรื่องสมบัติยูนิคอร์นอย่างรวดเร็ว

ตัวละครที่เพิ่มเติมเข้ามาดื้อๆ คือผู้ร้ายอย่างแซ็กคาริน ซึ่งมีบทน้อยมากครั้งเป็นหนังสือการ์ตูนเมื่อมารับบทโดย แดเนียล เครก บนจอกลายเป็นตัวละครที่มีสีสันและมิติความลึก

ด้านเทคนิคการสร้างสรุปได้คำเดียวว่าอย่างไรก็ต้องไปดู



ไล่เลี่ยกับเวลาที่หนังออกฉาย มีหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่เอี่ยม The Adventures of Herg? วางตลาด ปกแข็งสี่สีสวยสดด้วยลายเส้นแบบเคลียร์ไลน์ วางรูปเล่มและจัดช่องแบบแต๋งแต๋งดั้งเดิม เขียนโดย Jose-Louis Bocquet, Jean-Luc Fromental & Stanislas Barthelemy สำนักพิมพ์ Drawn&Quarterly เล่าชีวประวัติของแอร์เช่ได้อย่างสนุกสนานและน่าตื่นเต้น

เป็นเช่นเดียวกับหนังสือการ์ตูนประวัติบุคคลสำคัญของต่างประเทศทั่วไปที่จะไม่เล่าเพียงด้านดีแต่เล่าเรื่องด้านมืดด้วย แอร์เช่มิใช่ข้อยกเว้น ชีวิตของเขามีด้านมืดเช่นเดียวกับมนุษย์ปุถุชนทั่วไป

ศิลปินทั้งสามจะเล่าเรื่องด้านมืดของแอร์เช่ด้วยลายเส้นเคลียร์ไลน์สว่างไสว
ตรงข้ามกับหนังที่เล่าเรื่องสนุกสดใสของแต๋งแต๋งและสโนวี่ด้วยแสงเงามืดมัว
แอร์เช่มีเรื่องที่หลายคนอาจจะขมวดคิ้วแล้วแต่ว่าใครถือสาอะไรมากน้อยเพียงใด

เรื่องแรกสำคัญที่สุดนั่นคือข้อกล่าวหาที่ว่าเขาฝักใฝ่นาซี
เรื่องที่สองคือเรื่องผู้หญิง
เรื่องที่สามคือเรื่องการไปพบนักจิตวิเคราะห์
สุดท้ายคือเรื่องมิตรภาพและความสัมพันธ์กับ จาง จง เชน

เมื่อเยอรมนียึดครองเบลเยียมระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง แอร์เช่ได้งานเขียนการ์ตูนในเซ็กชั่นเยาวชนของหนังสือพิมพ์ Le Soir ซึ่งพิมพ์จำหน่ายภายใต้การดูแลของเยอรมนี
ทำให้เขาแก้ตัวได้ยากว่าตนเองรับงานเพียงเพราะใจรักในงานศิลปะและอยากสานต่องานเขียนการ์ตูนที่คั่งค้างไว้

การ์ตูนเล่าเรื่องราวตอนนี้ชัดเจนและปลดข้อกล่าวหาของแอร์เช่ได้อย่างดี
อย่างดีหมายถึงยังคงเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ขบคิดและตัดสินใจเองอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องราวตอนนี้ปิดลงด้วยการประหารเพื่อนร่วมห้องขังของแอร์เช่หลังการตัดสินคดีว่าแอร์เช่พ้นผิด!


การ์ตูนเล่าเรื่องผู้หญิงคนที่หนึ่งของแอร์เช่คือ Germaine ตามแบบฉบับภรรยาคนแรกทั่วไป นั่นคือรู้จักกัน รักกัน ก่อร่างสร้างตัวด้วยกันตั้งแต่ครั้งอายุยังน้อย
เพิ่มเติมว่าผู้หญิงคนที่หนึ่งมาจากตระกูลที่มั่งคั่งกว่าและมีส่วนช่วยเหลือให้เขาตั้งตัวได้
แล้วชีวิตก็ดำเนินไปเฉกเช่นชีวประวัติของวีรบุรุษทั่วไปที่มิอาจผ่านด่านสาวงาม

หน้าที่การงานพาเขาใกล้ชิดกับผู้หญิงคนที่สอง Fanny ซึ่งทำหน้าที่ลงสีการ์ตูน ผู้หญิงคนที่สองมิใช่ภรรยาน้อย เธอเพียงมาช้ากว่าผู้หญิงคนที่หนึ่งและเธอรักเขามากเท่าๆ กับผู้หญิงคนที่หนึ่ง

สตรีคนหนึ่งพบผู้ชายดีๆ คนหนึ่งช้ากว่าผู้หญิงอีกคนหนึ่งแปลว่าอะไรได้บ้าง การ์ตูนเพียงเล่าให้ฟัง

แอร์เช่พบกับ จาง จง เชน ครั้งแรกเมื่อปี 1934 ทั้งสองเป็นเพื่อนรักที่ดีต่อกันและ จาง จง เชน ได้ให้คำแนะนำช่วยเหลือแอร์เช่
จาง จง เชน จะปรากฏตัวในหนังสือยุคแรกที่ดีที่สุดของเขาคือ The Blue Lotus ซึ่งวิพากษ์ประเทศจีนและคอมมิวนิสต์อย่างถึงพริกถึงขิง

แอร์เช่เขียนถึง จาง จง เชน อีกครั้งในเวลาต่อมาด้วยผลงานที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งคือ Tintin in Tibet ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาเริ่มพบนักจิตวิเคราะห์แล้วพร้อมกับ "ความฝันสีขาว" ดังที่มีคำกล่าวว่าความฝันคือการตั้งคำถามของคนเราต่ออะไรที่ไม่มีคำตอบ เรื่องความเป็นความตายของ จาง จง เชน ในกองหิมะที่ทิเบตจึงเป็นเหตุการณ์สำคัญและความขัดแย้งในจิตใต้สำนึกของแอร์เช่อย่างไม่ต้องสงสัย

แอร์เช่ได้ช่วยเหลือ จาง จง เชน ลี้ภัยจากประเทศจีนสำเร็จในปี 1981 ภาพมิตรทั้งสองพบกันยามชราปรากฏเป็นภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศ



ในตอนต้นของหนังที่สร้างโดยสปิลเบิร์กและแจ๊กสัน เราจะเห็นฉากตลาดนัดที่มีผู้คนขวักไขว่ ลำพังฉากนี้ฉากเดียวก็เกินราคาค่าตั๋วไปแล้ว

จิตรกรคนหนึ่งวาดรูปเหมือนให้แก่ตินตินซึ่งรับบทโดย เจมี เบล เป็นฉากที่เรียกเสียงหัวเราะให้แก่คนที่รู้จักตินตินมานาน

เพราะภาพเหมือนกลับกลายเป็นภาพการ์ตูนดั้งเดิม

ส่วนจิตรกรคนนั้นที่แท้คือแอร์เช่นั่นเอง

ภาพประกอบที่นำมาลงนี้เป็นภาพ caricature ในทางกลับกัน ตีพิมพ์ในหนังสือ The Essential Guide of World Comics เขียนโดย Pilcher&Brooks สำนักพิมพ์ Collins&Brown ปี 2005 เป็นภาพหาดูยากภาพหนึ่ง



+++

Miss Ripley : รักหรือหลอก
โดย มาดามหลูหลี : hluhlee@gmail.com คอลัมน์ เงาเกาหลี
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1640 หน้า 86


ลีดาเฮ นางเอกน่ารักจากเรื่อง My Girl ในบทใสๆ จนเป็นที่ชื่นชอบของแฟนคลับ เธอหายหน้าไปนานกลับมาอีกทีมีข่าวว่าเธอทิ้งงานละครกลางคันหลายเรื่อง จนคิดว่าจะไม่ได้ดูเธอแสดงเสียแล้ว

แถมยังมีข่าวว่านางเอกคนสวยไปทำศัลยกรรมใบหน้ามาให้สวยกว่าเดิมทั้งๆ ที่สวยมากอยู่แล้ว คนสวยก็อย่างนี้ไม่เคยพอใจความสวยของตัวเอง และการปรากฏตัวครั้งนี้เธอผอมไปมาก คงเช่นเดียวกับพวกคนผอมก็ต้องการให้ผอมกว่าเดิมจึงต้องใช้บริการคลินิกลดน้ำหนัก มนุษย์เราเป็นเช่นนี้เอง ไม่เคยพอไม่รู้จักหยุดยิ่งมียิ่งได้ยิ่งละโมบ (ว่าแล้วขออนุญาตไปฉีดโบท็อกซ์ก่อน)

Miss Ripley ลีดาเฮรับบทเป็นจางมีรี เด็กสาวกำพร้าชาวเกาหลีซึ่งไปเติบโตที่ญี่ปุ่น และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ถึงกับต้องทำงานในบาร์เพื่อเลี้ยงชีพ

ฉากแรกที่ได้ดูคือเห็นน้องนางเอกใส่วิกสีชมพูสด กำลังวิ่งหนีนักเลงคุมบาร์ โดยมีเพื่อนให้ความช่วยเหลือจนหนีไปเกาหลีใต้ได้

ละครค่อยๆ เดินเรื่องปูพื้นให้เห็นชีวิตที่คับแค้นของจางมีรี ตั้งแต่วัยเด็กที่ถูกแม่แท้ๆ ทิ้งอย่างไม่ไยดี กับการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในบ้านเด็กกำพร้า และถูกขอไปเลี้ยงอยู่ที่ญี่ปุ่น

จางมีรีมาเกาหลีเพื่อตามหาแม่ที่ทิ้งเธอไป


เธอต้องรีบหางานให้ได้ก่อนวีซ่าหมดอายุ แต่ด้วยประวัติการศึกษาที่ไร้คุณวุฒิ ทำให้จางมีรีหางานได้ยาก

ความบังเอิญและปัจจัยแวดล้อมหลายๆ อย่าง ส่งให้จางมีรีได้พบได้ทำงานกับจางมยองฮุน (คิมซองวู นักแสดงมาดดีจาก Hotelier ที่หายไปจากจอนาน) ผู้อำนวยการโรงแรมใหญ่ ซึ่งเป็นลูกเขยประธานโรงแรม และกำลังมีปัญหาความสัมพันธ์สั่นคลอนกับภรรยา

เพียงแค่คำพูดลอยๆ ของจางมีรีที่บอกว่า "ถึงเธอจะจบมหาวิทยาลัยโตเกียว ก็คงไม่มีใครเชื่อ..." ผู้อำนวยการจึงคิดไปเองว่าเธอมีวุฒิการศึกษาและมีคุณสมบัติตรงตามที่เขาต้องการ

เรื่องบางเรื่องเริ่มได้หยุดได้ แต่บางเรื่องก็เริ่มแล้วหยุดไม่ได้ คำพูดที่ไม่ตั้งใจของจางมีรีนำไปสู่การเข้าใจผิด และด้วยสถานะกับความกดดันที่เธอต้องดิ้นร้นเอาตัวรอด จางมีรีจึงก้าวถลำลึกไปกับการโกหกสร้างหลักฐานการศึกษาปลอม เพื่อให้ที่ทำงานยอมรับ

ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดบวกความสามารถของจางมีรี เธอจัดการกับเรื่องงานและเรื่องต่างๆ ได้ แม้จะทำให้คนดูต้องลุ้นระทึกไปด้วย

แค่เรื่องการปกปิดแก้ไข้ประวัติส่วนตัวเรื่องงานและการศึกษา จางมีรี่ก็วุ่นวายมากแล้ว แต่เธอยังไม่หยุดแค่นี้ เธอริเล่นกับความรักและหัวใจของคนอื่นซึ่งเป็นคนที่รักเธอ


จางมีรีรู้ว่าผู้อำนวยการจางชอบเธอและดีกับเธอมาก ซึ่งดูเหมือนทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยความลงตัว แต่เพราะจางมีรีต้องการบินสูงขึ้นก้าวไกลกว่าเดิม เมื่อเธอรู้ว่าซงยูฮยอนหรือยูกาตะ (มิคกี้ ยูชอน พระเอกขวัญใจสาวๆ จากซองฮยุนฮวาน) ชายหนุ่มที่เธอไม่สนใจทักทายทำความรู้จัก ที่แท้เป็นลูกชายคนเดียวของประธานซงอินโฮ (จางยอง) นักธุรกิจใหญ่ซึ่งได้ร่วมทุนกับโรงแรมที่เธอทำงานอยู่ มีรีจึงวางแผนเพื่อให้ได้รู้จักใกล้ชิดซงยูฮยอนแบบเนียนๆ

ใช่แต่จางมีรีที่มีพฤฒิกรรมแบบนี้ แม่ของเธอและคนทั่วๆ ไปก็เป็นแบบเธอขึ้นอยู่กับว่า อะไรคือเป้าหมายอะไรคือผลประโยชน์ กับใครที่ควรทุ่มเทและกับใครที่ควรละเลยละเว้น สิ่งไหนที่รอคอยได้และบางสิ่งที่ไร้ค่าเสียเวลารอคอย

หนุ่มหล่อซงยูฮยอนที่มีใจแอบชอบจางมีรี เพราะเธอมีบุคลิกหลายๆ อย่างคล้ายแม่ที่จากไป

ซงยูฮยอนจึงเชื่อใจหลงรักจางมีรีอย่างไม่มีเงื่อนไข

จางมีรีจึงเหมือนนายสถานีรถไฟฟ้าซึ่งต้องคอยสับรางหลบคนนั้นคนนี้ ทั้งชายหนุ่มที่เธอรักที่เธอหลอกและที่เธอต้องหนี

จางมีรี จึงสมเป็น Miss Ripley who I loved คือเธอจะเลือกใครหรือว่าใครจะเลือกเธอ เพราะเธอเหมือน Miss Ripley or not หมายหลอกลวงให้คนเชื่อให้งุนงงสงสัย ดูแล้วเหนื่อยใจแทนเธอแต่ก็แอบลุ้นแอบเอาใจช่วยเธอ ไม่อยากให้ใครจับโกหกเธอได้



ละครปูเรื่องตอนแรกๆ ให้เห็นใจเข้าใจจางมีรี ว่าที่เธอกลายเป็นเช่นนี้เพราะเธอถูกแม่ทอดทิ้งกับการอยู่คนเดียวจึงต้องดิ้นร้นเอาตัวรอดในแต่ละวัน

ส่วนนาฮีจู (กงฮยีจอง นางรองน่ารัก) เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่จริงใจห่วงใยจางมีรี ช่วยทำให้บทของจางมีรียิ่งร้ายยิ่งเด่นมากขึ้น กับกลวิธีที่มีรีคิดกลอกล่อคนนั้นคนนี้ แต่กับนาฮีจู เธอจะต่อว่าแรงๆ อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจว่าเพื่อนจะเสียใจเสียความรู้สึกหรือไม่

สิ่งที่เกือบหลอกคนดูได้ แต่แฟนคลับคอซีรี่ส์รู้ทันละครเกาหลีแล้ว หากแอบซะใจนิดๆ กับลีฮวา (ชอยมยองกิล) คุณนายท่านประธานมาดเข้มบุคลิกเนี้ยบกริ๊บ แม่เลี้ยงผู้แสนดีของซงยูฮยอน ที่รับไม่ได้และไม่ยอมรับจางมีรีมาเป็นสะใภ้ ต้องตกใจหงายหลังกับประวัติของจางมีรี

เขาถึงว่ากันว่า อย่าทำร้ายใครง่ายๆ เพียงเพราะไม่ชอบหน้าไม่ชอบใจหรือต่ำต้อยกว่า เพราะเคราะห์กรรมนั้นจะย้อนกลับมาหาตัวอย่างชนิดที่กระโดดหนีแทบไม่ทัน

และในทางกลับกันสิ่งดีๆ ที่คนเรามีให้กันก็ย่อมส่งผลกรรมดีให้คนคนนั้นเช่นกัน



Miss Ripley โดยผู้กำกับฯ สองท่านคือ ชอยยีซบและชอยวอนซุค ละครที่มีปัญหาจนผู้กำกับฯ เกือบถอดใจและคนดูเกือบไม่ได้ดู นับว่าไม่เสียเวลารอดู นางเอกลีดาเฮที่แม้จะมีปัญหามาก (อาจเป็นปัญหาของดาราดังทั่วโลก ความดังจึงมักทำลายทำร้ายตัวเอง) ก็ยังคงรักษาฝีมือการแสดงได้ดี

ในบทที่เธอต้องใช้อารมณ์มากๆ โดยเฉพาะบทร้องไห้เธอร้องไห้จนเส้นเลือดบนหัวเหม่งๆ โหนกๆ ของเธอปูดโปน และบางตอนเธอใส่อารมณ์ได้เหมือนเจ็บปวดจริงๆ จนมือไม้สั่น

และ มิกกี้ ยูซอน พระเอกขวัญใจอาจุมม่า ในเรื่องนี้จะยิ่งหลงรัก เพราะเขาดีเหลือใจ ทั้งเก่ง, หล่อ, รวยและแสนดีแบบนี้ จะไปหาที่ไหนได้อีก

เนื้อเรื่องของ Miss Ripley สร้างจากชีวิตจริงของชินจองอาห์ ซึ่งปัจจุบันเธอเป็นถึงศาสตราจารย์สอนศิลปะ ในหมาวิทยาลัยดองกุก

ใช่ว่านิยายละครทุกเรื่องจะสร้างจากเรื่องลอยๆ ที่ผูกขึ้นมา เรื่องราวบางเรื่องก็มาจากชีวิตจริง เขาถึงว่าชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย

เพลงประกอบละครไพเราะเช่นเคย และมีเพลงที่คุ้นหูคือเพลงจากละคร The Phantom of the Opera ละครโอเปร่าของอังกฤษ และภาพปกละครมีจางมีรีถือหน้ากาก ราวกับว่าผู้คนบนโลกนี้ต่างสวมหน้ากากเข้าหากัน หรือเธอใส่หน้ากากเพื่อปกป้องตัวเอง

น่าสงสารและเข้าใจจางมีรี ผู้มีหัวใจโดดเดี่ยว, เจ็บแค้นและปวดร้าว หากความเจ็บแค้นกับไม่ยอมรับคำขอโทษ ยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดมากขึ้น และกลับจะทำร้ายตัวเธอเองไม่ใช่ใครอื่น



.