http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-01-15

About กะทิ โดย คำ ผกา

.
โพสต์ ประชาสัมพันธ์ คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112)
www.ccaa112.org วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2555 เวลา 13.00 – 17.30 น.
ณ หอประชุมศรีบูรพา (หอประชุมเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
รายละเอียด ที่ http://botkwamdee.blogspot.com/2012/01/bt112tul.html

*สามารถอ่านและดาวน์โหลดข้อเสนอและเหตุผลประกอบโดยละเอียดของคณะนิติราษฎร์ได้ที่ www.enlightened-jurists.com/blog/56
* คณะนักเขียนแสงสำนึก www.ccaa112.org/Open-Letter.html
(*หมายเหตุ: ผู้ประสงค์จะลงนามในวันแถลงข่าว กรุณานำบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านติดตัวมาด้วย หากประสงค์จะลงนามแต่ไม่สะดวกร่วมงานแถลงข่าว เบื้องต้น สามารถติดต่อสอบถามมาได้ที่เฟซบุค sangsumnuek หรือ thaiwriteranti112@rocketmail.com และเว็บไซต์ ครก.112 WWW.CCAA112.ORG)

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


About กะทิ
โดย คำ ผกา
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1639 หน้า 89


กะทิห่างไปนานขนาดนี้ก็คงต้องคิดถึงกันบ้างอะไรบ้าง ชิมิชิมิ :

ล่าสุดอย่างที่กะทิเขียนจดหมายไปหาเพื่อนๆ และได้เขียนโน้ตลงในเฟซบุ๊กว่ากะทิได้ขึ้นไปทำไร่สะตอบอแหล เอ๊ย ไร่สตอว์เบอร์รี่ที่เชียงใหม่ เพื่อนๆ คงได้เห็นรูปไร่สตอว์เบอร์รี่ของกะทิที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย จากดินกระดำกระด่างค่อยๆ กลายเป็นไร่เป็นสวนที่แสนจะมีชีวิตชีวา

อาจจะไม่สวยงามเหมือนภาพในโปสการ์ด แต่กะทิก็ภูมิใจว่าทั้งหมดมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแท้ๆ คุณตายังบอกว่า "ภูมิใจในตัวหลานคนนี้เหลือเกิน"

กะทิขอบคุณกำลังใจจากเพื่อนๆ ทุกคนที่มาโพสต์ให้กำลังใจและชื่นชมกระท่อมน้อยในไร่สตอฯ ของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ค่ะ

ในเวลาไม่กี่เดือนที่กะทิขึ้นมาทำไร่ ทำให้กะทิได้คิดอะไรได้เยอะมาก

ได้ตระหนักว่าความสุขของคนเรานั้นต้องเกิดจากความพอเพียงเรียบง่าย พระพุทธเจ้าตรัสไว้นานนับพันปีแล้ว พวกเราไม่ใส่ใจไม่สนใจไม่ตระหนักเอง

พูดถึงตรงนี้กะทิอยากจะร้องไห้ ว่าทำไมคนไทยถึงมองข้ามคำสอนอันล้ำค่านี้ เที่ยววิ่งไล่ตามก้นฝรั่ง อยากได้ อยากมี อยากรวย

กะทิสะเทือนใจว่าพวกเราเสียชาติเกิดที่อุตส่าห์ได้เกิดมาเป็นคนไทยภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา แต่กลับไม่เห็นคุณค่า ไม่ใส่ใจคำสอนของพระพุทธองค์

ที่คุณตาสอนกะทิไว้นั้นจริงทีเดียวว่า ข้อเสียของคนไทยคือไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ ต้องรอให้ฝรั่งมาเห็นต้องรอให้ฝรั่งมาชม

ดูอย่างไร่สตอฯ ของกะทิ ไม่เห็นจะต้องดั้นด้นไปถึงเกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส แค่มาพลิกฟื้นผืนดินบ้านเรา ใส่ความตั้งใจ จริงใจลงไป เราก็สร้างสวนสตอฯ ขึ้นมาได้เหมือนกัน


กะทิโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวอบอุ่น - สังเกตไหมคะ เวลาเราพูดหรือเขียนอะไรให้ใครอ่าน อย่าลืมบอกนะคะว่าครอบครัวเราอบอุ่น มันเป็นคำคุณศัพท์ภาคบังคับ เพราะอีกพวกที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่อบอุ่น - ครอบครัวที่ไม่อบอุ่นเป็นยังไงเหรอคะ? ก็ครอบครัวประเภท พ่อแม่ไม่มีเวลาสั่งสอนลูกเต้า ครอบครัวแตกแยก ครอบครัวไม่รักกันครอบครัวที่พ่อแม่มัวแต่ทำมาหากิน ตกเย็นกินเหล้า ตบตีกัน เกิดมาโตมาในครอบครัวแบบนี้คงเอาดีในชีวิตยากหน่อย

ทุกวันนี้กะทิก็คิดนะคะ ที่ประเทศไทยไม่พัฒนาก็เพราะเรามีครอบครัวแตกๆ หักๆ อย่างนี้เยอะ ครอบครัวคนจนคนหาเช้ากินค่ำ การศึกษาต่ำ มีลูกก็เลี้ยงลูกไม่เป็น จนแล้วยังกินเหล้า จนแล้วยังขี้เกียจ จนแล้วตกเป็นเหยื่อของการครอบงำจากการโฆษณา ทำให้เกิดความโลภ อยากได้ อยากมีเหมือนคนอื่น สุดท้ายก็เป็นหนี้

บ่วงความจนของคนจนในสังคมไทยจึงเป็นแบบนี้คือ จนแล้วไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา ตกเป็นเหยื่อของวัตถุนิยม บริโภคนิยม ทุนนิยม เป็นหนี้ หลงเชื่อนักการเมือง เป็นทาสประชานิยมอีกที ขาดวิจารณญาณ เสพศิลปะบันเทิงต่ำช้าลามก ศีลธรรมทางเพศเสื่อม ครอบครัวแตกแยก ลูกเต้าระส่ำระสาย สุดท้ายเด็กเหล่านี้ก็โตขึ้นมาเป็นปัญหาสังคมอีก ไม่มีที่สิ้นสุด

ต่างจากครอบครัวเพื่อนๆ ของกะทิ อย่างเพื่อนกะทิคนที่สร้างสมการความสุข นั่นก็มาจากครอบครัวที่พ่อแม่มีการศึกษา ฐานะดี มีความรู้ เรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ต้องแบบนี้สิคะ ครอบครัวที่สังคมไทยต้องการให้มีเยอะๆ ครอบครัวที่เลี้ยงลูกออกมาเป็นพลเมืองดีของสังคม มีจิตสาธารณะ คอยดูว่าใครยืนไม่ยืนในโรงหนัง กะทิขอประกาศชื่นชมเพื่อนคนนี้

นี่คือบทพิสูจน์ว่า ครอบครัวที่อบอุ่นนั้นจะเลี้ยงดูลูกให้ออกมาเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ จะเป็นกลุ่มคนที่นำพาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าสถาพร



อย่างครอบครัวกะทิ แม้พ่อแม่จะเลิกกัน แต่กะทิไม่เคยขาดความรักจากคุณตาคุณยาย คุณตาคุณยายมีเวลานั่งอบรมสั่งสอนกะทิมาอย่างดี

ครอบครัวเราไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่พูดเสียงดังใส่กัน ไม่พูดคำหยาบ ไม่จน ไม่เครียด เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์

ทำยังไงดีหนอ เมืองไทยถึงจะมีครอบครัวแบบกะทิแบบเพื่อนของกะทิเยอะๆ เพราะถ้าคนไทยเป็นแบบนี้หมด บ้านเมืองเราคงจะเต็มไปด้วยความสุขสงบ ปราศจากความขัดแย้ง ไม่ต้องมานั่งทะเลาะ ฆ่าแกงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

กะทิไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเราคนไทยไม่คิดกันง่ายๆ ว่า แค่ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ใครมีหน้าที่กวาดถนนก็กวาด ใครมีหน้าที่ปลูกข้าวก็ปลูก ใครเป็นช่างไม้ก็เป็น ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ทำครอบครัวของตนเองให้ดี สั่งสอนลูกเต้าของตนเองให้ดี แค่นี้สังคมโดยรวมก็จะดีเอง

แต่นี่ ตัวเองเป็นแม่ค้า เป็นชาวนา แต่อยากมีชีวิตเหมือนนายธนาคาร แต่ไม่เคยไปศึกษาเลยว่ากว่าคนจะขึ้นมาเป็นนายแบงก์ เป็นนายธนาคาร เป็นเจ้าสัว เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ต้องอดทน มีวินัย ต้องสู้ชีวิตมาแค่ไหน

ไม่แต่เพียงเท่านั้น คนพวกนี้ยังเอาแต่ขูดต้นไม้หาหวย ไม่เคยศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง เลยไม่รู้ว่าที่ตัวเองต้องเกิดมาเป็นอะไรในชาตินี้มันขึ้นอยู่กับกรรมเก่าจากชาติที่แล้วด้วย แทนที่จะก้มหน้าก้มตาสั่งสมกรรมดี เผื่อชาติหน้าเกิดมาจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ กลับไปโทษว่าเป็นเพราะการเมือง เพราะความไม่มีประชาธิปไตยอะไรไปนู่น

กะทิเพลียใจจริงๆ สะกดคำว่าประชาธิปไตยยังไม่เป็นกันเลย รู้หรือเปล่าว่าประชาธิปไตยคืออะไร แปลว่าอะไร สักแต่จำขี้ปากนักการเมืองโกงชาติโกงแผ่นดินมาพูด

จนแล้ว มีกรรมเก่ามาสาหัสแล้วยังจะต้องมาถูกนักการเมืองหลอกอีก นี่มันสร้างกรรมซ้อนกรรมเป็นผลกรรมซ้ำซาก น่าเห็นใจจริงๆ


กะทิคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นระบบการศึกษาของบ้านเรามันห่วย โชคดีที่กะทิมีโอกาสได้ไปเรียนต่างประเทศ ได้เปิดหูเปิดตา ได้ไปเห็นว่าประเทศที่เจริญแล้วที่เป็นประชาธิปไตยแล้วเขาเป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้นกะทิคงดักดานเหมือนพวกที่ออกมาเรียกร้อง ประท้วง เรื่องไพร่-อำมาตย์ โถๆๆๆ ช่างไม่รู้เลยว่าล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ท่านยกเลิกไปทั้งระบบไพร่ ทาส โดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันแม้แต่หยดเดียวเพราะอัจฉริยภาพของท่าน แต่ในศตวรรษนี้ยังมีพวกดักดาน ขาดการศึกษาไปโดนหลอกว่าเรายังมีไพร่มีอำมาตย์กันอยู่

แหม...ไม่รู้เสียแล้วว่าขนาดอำมาตย์อย่างกะทิยังต้องมานั่งทำไร่ ส่วนพวกหัวหน้าไพร่นั้นป่านนี้ก็นั่งจิบไวน์กันสบายอารมณ์

ถ้ากะทิมีโอกาสได้ไปทำงานในกระทรวงศึกษาธิการ กะทิจะสั่งเปลี่ยนหลักสูตรวิชาประวัติศาสตร์ เราต้องให้ความสำคัญกับวิชาประวัติศาสตร์ไทยให้มากๆ เพราะมันจะทำให้เราคนไทยรู้จักรากเหง้าของตนเอง

รู้ว่าที่มีประเทศไทยเป็นปึกแผ่นอยู่ทุกวันนี้ บรรพบุรุษของเราต้องแลกมาด้วยชีวิต เลือดเนื้อ กว่าจะปกป้องผืนแผ่นดินมาเป็นมรดกแก่อนุชนรุ่นหลัง บูรพกษัตริย์ของเราได้ทุ่มเทเพื่อปกปักรักษาแผ่นดินของเราเอาไว้ เหล่าทหารกล้าได้ทำหน้าที่ชายชาติทหารปกป้องผืนแผ่นดินไทยของเราจากอริราชศัตรู

ทำไมเดี๋ยวนี้คนไทยลืมเลือนประวัติศาสตร์ส่วนนี้เสียแล้วหรือ?

เขียนมาถึงตอนนี้กะทิก็อยากจะร้องไห้อีกแล้ว มือไม้สั่นไปหมด มันสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก สงสารวิญญาณของบรรพบุรุษป่านนี้คงหลั่งน้ำตาว่าทำไมคนไทยไม่รักชาติ ไม่หวงแผ่นดิน ดีแต่ท่องคำว่า ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนตามก้นฝรั่งไปวันๆ

พวกนักวิชาการร้อนวิชาก็ดีแต่ลอกตำราทฤษฎีฝรั่ง รู้จักฝรั่งครึ่งๆ กลางๆ หารู้ไม่ว่าบูรพกษัตริย์ของเรานั้นถ่องแท้ถึงภาษาละติน ถกเถียงกับปราชญ์ฝรั่งมาจนฝรั่งยังต้องยอมซูฮก ท่านได้คัดสรร คัดกรองเอาเฉพาะสิ่งที่เหมาะสมกับคนไทย เมืองไทยมาไว้ให้พวกเราแล้ว แต่เราไม่เห็นคุณค่ากันเอง

เศร้าจัง



ว่าจะไม่พูดเรื่องการเมืองแล้วก็อดไม่ได้ กะทิอยากให้เพื่อนๆ ลองพักจากคำว่า "ประชาธิปไตย" ไปศึกษา "ธรรมาธิปไตย" ดูบ้างแล้วจะรู้ว่า ประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย อยู่ในพุทธศาสนา อยู่ในธรรมะใกล้ๆ ตัวเรานี่เอง

ตั้งแต่กะทิได้ศึกษาธรรมะ เดี๋ยวนี้กะทิใจเย็นลงเยอะ ปล่อยวางได้มากขึ้น คิดได้มากขึ้นบางอย่างมันก็เป็นกรรม คนที่ออกมาเรียกร้องอยากเปลี่ยนแปลงประเทศชาติให้เป็นอย่างนี้อย่างนั้น อยากแก้กฎหมาย ทำไมไม่คิดว่า แทนการแก้กฎหมาย เราเริ่มต้นที่ "แก้ไขในตัวเราเอง" จะง่ายกว่าไหม?

คนที่อยากให้เมืองไทยของเราให้เหมือนประเทศนี้ประเทศนั้น ท้ายที่สุดพวกเขาก็ร้อนรุ่มอยู่กับความอยากกับกิเลสของตนเอง

พวกนี้ดีแต่โทษคนอื่น โทษระบบการเมือง โทษโครงสร้าง โทษสังคม แต่ไม่เคยโทษตัวเอง ไม่เคยหันมาพิจารณาว่าแท้ที่จริงตัวเองนั้นแหละเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศชาติอย่างไรบ้าง

โมงยามนี้หลังจากได้ไปทำความรู้จักกับธรรมะ ได้ไปฝึกปฏิบัติธรรมมาบ้าง กะทิคิดว่ากะทิได้พบหนทางที่จะไปสู่ความสุขที่แท้แล้ว

วันนี้กะทิไปอ่านบล็อก "สมการความสุข" ของเพื่อนรักกะทิแล้วช่วยให้หายเศร้าได้เยอะ อ่านแล้วอิ่มใจ การมีกัลยาณมิตรในทางธรรมมันดีอย่างนี้นี่เอง

ถ้าสังคมไทยมีคนแบบนี้เยอะๆ เราคงไมสิ้นหวังเสียเลยทีเดียว

กะทิประทับใจคำพูดของคุณแม่ที่เพื่อนยกเอาให้อ่านในบล็อกมากที่บอกว่า "แม่รู้ว่าลูกไม่อยากเกิดแล้ว แต่ถ้าลูกต้องมาเกิด ขอเกิดเป็นลูกแม่นะ" โอ...ท่านช่างเป็นแม่ที่ประเสริฐเหลือเกิน กะทิก็เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่กำลังอยู่ในเทรนด์เอามากๆ คือเทรนด์ที่จะ "ไม่ขอกลับมาเกิด"

ตั้งแต่เกิดมากะทิไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย ไม่รู้ว่าเทรนด์ไม่อยากกลับมาเกิดนี้เริ่มฮิตขึ้นมาในสังคมตั้งแต่เมื่อไหร่

ทีแรกกะทิก็ลังเลเหมือนกันนะคะ เพราะการเกิดมาเป็นกะทิมันก็มีความสุขหาใช่น้อย เพราะกะทิเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นไงคะ ฐานะก็ดี การศึกษาก็ดี หน้าตาก็ดี ความรัก ความใคร่ก็ไม่เลว

เอ๊ะ ถ้าจะให้เกิดมาเป็นกะทิอีกในชาติหน้า กะทิก็เหมือนอยากจะเกิดอีกรอบนะเนี่ย

แต่ไม่เก๋ค่ะ ความสุขที่แท้คือเราต้องรู้ว่าการเกิดนั้นคือ "ทุกข์" สุดยอดปรารถนา (เอ๊ะ ความปรารถนานี่เป็นตัณหาอย่างหนึ่งหรือเปล่าเนี่ยะ) ของผู้ไฝ่ในธรรมคือต้องปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อจะได้ไม่ "ทุกข์" อย่างถาวร

มองในแง่นี้แล้ว กะทิสมเพชพวกที่ยังออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องประชาธิปไตยมันช่างเชย ล้าหลัง คลั่งลัทธิบูชาเสรีภาพ แม้แต่ฝรั่งที่เสพเสรีภาพกันจนอ้วก ตอนนี้ก็หันมาหน้ามาเข้าหาธรรมะกันเป็นแถว เพราะรู้แจ้งแล้วว่า เสรีภาพไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น การปฏิบัติธรรมต่างหากที่เป็นหนทางที่จะทำให้มนุษย์เราหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงอย่างยั่งยืน

แต่ความรู้ทางธรรมของกะทิก็เพิ่งอยู่ในระดับเตรียมอนุบาล แม้การไปวิปัสสนาสิบวันแรกจะนำมาซึ่งความปีติจนน้ำตาแตก มันอิ่มเอมตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก กะทิยังต้องเรียนรู้อีกมาก และกะทิเชื่อว่ายังคงต้องใช้เวลาอีกหลายชาติกว่าที่กะทิจะไม่ต้องเกิดอีก

แต่หากจะต้องเกิด เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้ได้เกิดมาเป็นลูกของคุณแม่ เป็นหลานของคุณตาคุณยายที่เป็นคหบดี เกิดเป็นหลานของน้าๆ ที่ร่ำรวย มีการศึกษาดี

ขออย่าให้ได้ไปเกิดในครอบครัวที่ไม่อบอุ่น ครอบครัวคนหาเช้ากินค่ำ ด่ากันเช้าเย็น ครอบครัวที่พ่อกินเหล้า สาวโรงงานที่ทำงานวันละสอง-สามกะ ไม่มีเวลาเลี้ยงดูลูก

อย่าให้เกิดในครอบครัวของพวกคนจนเหยื่อนโยบายประชานิยม

อย่าได้เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่ไร้การศึกษาตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองชั่วช้าเลวทราม

อย่าให้ได้ไปเกิดในครอบครัวของคนที่ไม่รักในความเป็นไทย ไม่รักชาติ ไม่จงรักภักดี

เกิดมาชาติหนึ่งขอให้ได้เกิดเป็นคนไทย เป็นข้าแผ่นดิน ขอให้ได้เกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนอีกทุกชาติ ขอให้ได้เกิดมาเพื่อจะได้สัมผัสรสชาติของธรรมะอันลึกซึ้งสูงส่งอีก

ขอเกิดมาในแผ่นดินไทยของบรรพบุรุษไทยทุกชาติเทอญ



.