http://BotKwamDee.blogspot.com...webblog เปิดเผยความจริงและกระแสสำนึกหลากหลาย เพื่อเป็นอาหารสมอง, แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการวิเคราะห์ความจริง, สะท้อนการเรียกร้องความยุติธรรมที่เปิดเผยแบบนิติธรรม, สื่อปฏิบัติการเสริมพลังเศรษฐกิจที่กระจายความเติบโตก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศสู่ประชาชนพื้นฐาน, ส่งเสริมการตรวจสอบและผลักดันนโยบายสาธารณะของประชาชน-เยาวชนในทุกระดับของกลไกพรรคการเมือง, พัฒนาอำนาจต่อรองทางประชาธิปไตย โดยเฉพาะการปกครองท้องถิ่นและยกระดับองค์กรตรวจสอบกลไกรัฐของภาคสาธารณะที่ต่อเนื่องของประชาชาติไทย

2555-01-10

ถึงเวลาทุบโต๊ะ, อีลูกช้าง โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

.

ถึงเวลาทุบโต๊ะ
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในมติชน ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 09 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 21:00:00 น.



ผมคิดว่าถึงเวลาที่ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะต้องทุบโต๊ะเสียที

อย่านึกว่าคนยิ้มหวาน, อ่อนน้อมถ่อมตน มีแต่ตำแหน่งแต่ไม่มีพวกของตนเอง จะทุบโต๊ะไม่ได้หรือไม่ดัง ตรงกันข้ามเสียงทุบโต๊ะของคนประเภทนี้ดังกว่าคนเหี้ยมเกรียม, กะล่อน, และเป็นหัวหน้าแก๊งค์มากมาย เพราะใครๆ ก็รู้ว่าคนประเภทหลังนี้ทุบโต๊ะเป็นการแสดงเท่านั้น

ในมือที่อ่อนมีความแข็ง เพราะไม่มีมุ้งของตนเองนั่นแหละคือความแข็ง เจ๊อะไรต่อมิอะไรซึ่งจะหลุดออกมาในเดือนพฤษภานั้น ย่อมเป็นที่รังเกียจของมุ้งอื่นๆ ยากจะหาความยินยอมพร้อมใจจากทุกฝ่ายได้เท่าคุณยิ่งลักษณ์ อีกทั้งมวลชนคนเสื้อแดงที่มองคุณยิ่งลักษณ์เหมือนพี่, น้อง, ลูก, หลาน ของตน ต่างจากเจ๊ๆ ทั้งหลายที่มีความกร่างเป็นเจ้าเรือน ไม่อาจมองเป็นอื่นได้ นอกจากเป็นนาย (และจะหาอะไรที่น่าเบื่อในสมัยนี้ยิ่งไปกว่า "นาย" ได้ยาก)

และหากท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์พร้อมจะทุบโต๊ะ ก็ต้องรักษาความแข็งของตนตรงนี้ไว้ คือไม่มีมุ้ง แต่มีแรงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากมวลชน

คุณยิ่งลักษณ์ต้องทุบโต๊ะ ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะในท่ามกลางแรงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากประชาชนจำนวนมากเช่นนี้ ฝ่ายที่ต่อต้านประชาธิปไตยรู้แล้วว่า ยังทำรัฐประหารไม่ได้ ยังยุบพรรคไม่ได้ และยังไม่อาจตั้งรัฐบาลในค่ายทหารได้ ต้องรอจนกว่าผู้คนจะเอือมระอากับคุณยิ่งลักษณ์ยิ่งไปกว่านี้อีกมาก ฉะนั้นคุณยิ่งลักษณ์จึงต้องรักษาส่วนใหญ่ของฐานเสียงไว้ และเพิ่มจำนวนขึ้นไปอีก ส่วนที่ต้องเอือมระอาไปในที่สุด เพราะทนการทุบโต๊ะของคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไป เพราะคนที่แสวงหาความรักจากทุกฝ่าย จะไม่ได้รับความรักจากใครเลยสักฝ่ายเดียว


ท่านนายกฯ จะต้องทุบโต๊ะเรื่องอะไร และกับใครบ้าง? ที่เร่งด่วนต้องรีบทำก่อนจะสายเกินไปก็คือ

1.ท่านนายกฯ ต้องแสดงจุดยืนด้านประชาธิปไตยให้ชัด ท่านได้รับเสียงจำนวนมากจากผู้สนับสนุนประชาธิปไตย ทั้งที่เป็นเสื้อแดงและไม่ใช่ มวลชนอาจไม่ชัดนักว่าประชาธิปไตยคืออะไร แต่ท่านนายกฯ ต้องชัด โดยศึกษาจากเสียงเรียกร้องของคนเสื้อแดงและผู้สนับสนุนประชาธิปไตย แล้วพัฒนาความคิดนั้นขึ้นเป็นนโยบายที่จะต้องทุบโต๊ะ เช่นการเรียกร้องความเสมอภาค (ไพร่-อำมาตย์, สองมาตรฐาน) ท่านต้องขจัดหรืออย่างน้อยก็บรรเทาความเหลื่อมล้ำในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำด้านอำนาจ, ด้านเศรษฐกิจ, ด้านสังคมและวัฒนธรรม จำเป็นต้องปฏิรูปอะไรก็ทำ-กองทัพ, ตุลาการ, ภาษี, ฯลฯ-เอาเลย เป็นไรเป็นกัน แต่อย่าผลีผลาม รณรงค์ในเรื่องที่จะทำให้เต็มที่ เพื่อจะได้พลังสนับสนุนในสังคมอย่างกว้างขวางเสียก่อน

2.ธุรกิจอุตสาหกรรมก็สำคัญ แต่อย่าไปห่วงพวกเขามากเกินไป เพราะเขามีปากเสียงของตนเอง อย่างไรเสียเขาก็ย่อมต่อรองเอาผลประโยชน์เข้าตัวจนได้ ท่านนายกฯ ต้องห่วงไยคนที่มีรายได้น้อยก่อน เพราะน้ำท่วมทำลายชีวิตของเขามากกว่านักธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างเทียบกันไม่ได้ (อย่าหลงกลเอามูลค่าของความเสียหายเป็นตัวตั้ง) ท่านนายกฯ ต้องมีแผนที่ครอบคลุมและจริงจังว่า จะช่วยแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ (รวมทั้งต่างด้าว) อย่างไร คนที่อยู่ในเศรษฐกิจภาคที่ไม่เป็นทางการจะฟื้นตัวได้อย่างไร ต้องกู้พื้นที่เกษตรกลับมาผลิตใหม่โดยเร็ว ทุบโต๊ะให้ผู้เกี่ยวข้องร่วมทำแผนกับภาคประชาชนมาโดยเร็ว แล้วทุบโต๊ะให้ ครม.ผ่านมาตรการเหล่านั้นออกมาอย่างเป็นรูปธรรมทันที

อย่าทิ้งฐานเสียงทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของท่านไปในโอกาสนี้ คนเล็กๆ ที่สนับสนุนท่านย้ำตลอดมาว่าเขาต้องการประชาธิปไตยที่ "กินได้" ด้วย ไม่ใช่น้องสาวทักษิณเพียงอย่างเดียว

3.ถูกต้องแล้วที่ท่านนายกฯ ชูนโยบายปรองดองมาแต่ต้น เพราะความแตกแยกทางการเมืองทำลายประเทศเสียยิ่งกว่าอุทกภัยหลายเท่านัก แต่ปรองดองไม่ได้แปลว่ายืนอยู่ตรงกลางระหว่างความผิดและความถูก ท่านนายกฯ ต้องทุบโต๊ะให้ชัดว่าจะปรองดองบนความถูกต้อง ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก ไม่ว่าสีไหน ไม่ว่ามือไหนจะอยู่ข้างหลังก็ไม่หวั่น

การเข่นฆ่าประชาชนกลางเมืองในปีที่แล้ว ต้องกระจ่างชัดโดยเร็ว ไม่ใช่เพื่อกีดกันศัตรูทางการเมือง หรือแก้แค้นใครทั้งสิ้น แต่ท่านนายกฯ ต้องให้หลักประกันว่า การชุมนุมของประชาชน (แม้แต่ที่ผิดกฎหมาย) จะไม่มีอำนาจฝ่ายใดเข้ามาเข่นฆ่าอย่างป่าเถื่อนเช่นนั้นอีก ขอให้เมษา-พฤษภา 2543 เป็นความป่าเถื่อนทางการเมืองครั้งสุดท้ายของประเทศไทย ต้องมีคนรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างน้อยก็ต้องรับผิดชอบทางการเมือง

นักการเมืองเขี้ยวลากดินไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใด ย่อมไม่อยากให้แตกหักถึงขั้นนั้น เพราะต้องการลอยตัวให้กระแสพัดพาไปสู่ผลประโยชน์มากกว่า การปรองดองของเขาจึงหมายถึงการเกี้ยเซี้ยเท่านั้น ท่านนายกฯ ต้องทุบโต๊ะเพื่อจะนำความปรองดองไปสู่ความจริงและความยุติธรรม อันเป็นต้นทางของการให้อภัยที่แท้จริง

4.รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีเจตนาที่ชัดเจนว่าจะลดอำนาจประชาชน โดยเฉพาะการใช้อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ฉะนั้นต้องร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อเสนอของพรรค พท.ถูกต้องแล้วที่จะจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.เพื่อการนี้ แต่คงจะมีการต่อต้านในหลายรูปแบบ ท่านนายกฯ ต้องทุบโต๊ะว่ารัฐบาลจะสนับสนุนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หากรัฐมนตรีคนใดหน้าถอดสีเพราะแรงต่อต้าน ก็ให้ลาออกไปเสีย

5.ท่านนายกฯ ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในความขัดแย้ง ซึ่งคลี่คลายมาจากความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ดังเช่นจะแก้หรือไม่แก้ ม.112 ในกฎหมายอาญา อย่านั่งทำตาปริบๆ รอให้ส้มหล่นแล้วกระโดดเข้าไปเก็บส้มกินหน้าตาเฉย ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คดีที่เกิดจากความผิดในมาตรานี้เพิ่มสูงขึ้นเป็นปีละนับร้อย ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งแก่สถาบันพระมหากษัตริย์และประเทศชาติ ความจงรักภักดีกลายเป็นเกมการเมือง เพื่อเอาใจอำนาจนอกระบบทั้งหลาย เช่นกองทัพ นี่เป็นเกมสำหรับพรรคอย่างประชาธิปัตย์ ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นรัฐบาลผ่านการเลือกตั้งได้อีกหนึ่งทศวรรษเป็นอย่างต่ำ

เมื่อ ปชป.ท้าทายรัฐบาลว่าจะไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ท่านนายกฯ ต้องทุบโต๊ะบอกว่า รัฐบาลนี้จะไม่ปกป้องอย่างสิ้นคิดเช่นนั้น และหนึ่งในความไม่สิ้นคิดคือต้องแก้ ม.112

หากรองนายกฯ คนใดคิดว่า คนที่คิดแก้ ม.112 คือคนที่ไม่มีอะไรจะทำ ก็แสดงว่าเขามองไม่เห็นความเดือดร้อนทุกข์ยากของผู้คน และสภาวะที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ท่านนายกฯ ควรทุบโต๊ะบอกให้เขาลาออกไปโดยดี ทำให้เขาเห็นแต่บัดนี้ว่า การเข้าไปยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับแม่ทัพบก จะไม่ทำให้เขาปลอดจากการถูกปรับออกแต่อย่างไร

หาก ผบ.ทบ.ไล่คนที่คิดแก้ ม.112 ไปอยู่ต่างประเทศ ท่านนายกฯ ต้องทุบโต๊ะสั่งรมต.กลาโหม ให้เรียก ผบ.ทบ.มาลงนามรับทราบหนังสือตำหนิอย่างเป็นทางการ เพราะคนในเครื่องแบบจะต้องไม่แสดงความเห็นทางการเมืองใดๆ โดยเฉพาะในปัญหาที่กำลังร้อนแรงเช่นนี้ในสังคม อยากวิจารณ์การเมือง ก็ถอดเครื่องแบบออกสิครับ

6.ทุบโต๊ะปรับ ครม.ทันที คนที่จะเป็นรัฐมนตรีนอกจากต้องมีความสามารถแล้ว ยังต้องมีจุดยืนทางการเมืองที่ไปกันได้กับนายกรัฐมนตรีด้วย หากท่านนายกฯ ทำตัวเป็นคนที่จืดจนหาสีไม่เจอเช่นนี้ ครม.ของท่าน ก็จะเฉิ่มๆ อย่างนี้

ท่านนายกฯ มีพลังบารมีมากขึ้นกว่าเดิมมาก ตั้ง ครม.ชุดใหม่ครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องคำนึงเรื่องมุ้งอีกต่อไปแล้ว หากรวมหัวกันล้มรัฐบาล ท่านนายกฯ ยุบสภาทันที แล้วแฉให้หมดว่าอะไรเกิดขึ้นที่ทำให้ต้องยุบสภา ประชาชนจะมีทางเลือกที่ชัดเจนว่า คุณยิ่งลักษณ์จะผลักดันประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง กับกลุ่มนักการเมืองในมุ้งต่างๆ ซึ่งต้องการเพียงเสวยอำนาจด้วยการเกี้ยเซี้ย หากการเลือกตั้งกำหนดว่าประชาชนต้องการนักการเมืองเหล่านั้น ให้รู้กันไปว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอย่างนั้น ก็ยกประเทศให้คนอย่างคุณเฉลิม อยู่บำรุงไป คุณยิ่งลักษณ์ก็กลับไปเลี้ยงลูกเท่านั้นเอง

7.โต๊ะสุดท้ายที่ท่านนายกฯ ต้องทุบก็คือ โต๊ะของคุณทักษิณและเหล่าญาติพี่น้องของท่านนายกฯ เอง แน่นอนทำได้ยากที่จะขัดใจพี่ชายผู้มีพระคุณ แต่ความสุภาพอ่อนน้อมของท่านนายกฯ เป็นคุณสมบัติที่มีประโยชน์ในการทุบโต๊ะกับคนเหล่านี้ พี่ชายท่านนายกฯ ได้รับความอยุติธรรมในหลายเรื่อง ท่านนายกฯ ยืนยันได้ว่า ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง คุณทักษิณควรได้รับความยุติธรรมจากประเทศของตัวเอง ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้น



แต่คุณทักษิณและเหล่าพี่น้อง ต้องหยุดเข้ามาแทรกแซงการบริหารของคุณยิ่งลักษณ์

ผมคิดว่าไม่ใช่ผมคนเดียว แต่ยังมีอีกมากที่เบื่อการแทรกแซงทางการเมือง โดยไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเต็มประดาแล้ว ไม่ว่าจะจากคุณทักษิณหรือจากใคร คุณทักษิณและเหล่าพี่น้องถอยๆ ออกไปเถิด ความเบื่อพวกท่านทั้งหลายกำลังขยายไปเบื่อคุณยิ่งลักษณ์ด้วย คิดให้ดีๆ เถิด นอกจากคุณยิ่งลักษณ์แล้ว คุณทักษิณยังเหลือไพ่ในมืออีกกี่ใบ เหตุใดจึงต้องเร่งทำลายไพ่ใบสุดท้ายเสียเล่า

คุณยิ่งลักษณ์นั้นมีศักยภาพที่จะสั่งสมพลังทางการเมืองของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมแตกต่างจากพลังทางการเมืองของทักษิณและเหล่าเจ๊ๆ ทั้งหลาย ปล่อยให้พลังนั้นเติบโตไปตามทิศทางที่เป็นอิสระของตนเอง หากประชาธิปไตยพัฒนามากขึ้นในประเทศ คุณทักษิณและเหล่าเจ๊ๆ ก็จะได้ประโยชน์ด้วย เหมือนและเท่ากับคนไทยอีกจำนวนมากซึ่งไม่ชิงเบื่อคุณยิ่งลักษณ์ไปเสียก่อน

คุณยิ่งลักษณ์จึงต้องทุบโต๊ะ อย่างนุ่มนวลแต่เด็ดขาด กับคุณทักษิณและวงศาคณาญาติ



++

อีลูกช้าง
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันศุกร์ที่ 06 มกราคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1638 หน้า 30


ไม่แตกต่างจากสังคมสมัยใหม่อื่นๆ สังคมไทยปัจจุบันเต็มไปด้วยความเชื่อและการปฏิบัติ "ลัทธิพิธี" (cult)

ลัทธิพิธีคือความเชื่อเกี่ยวกับผีสางเทวดา หรือเวทมนตร์คาถาที่จะเพิ่มพลังและศักยภาพของบุคคล ลัทธิพิธีไม่มีคุณสมบัติของศาสนาครบถ้วน เช่น มักไม่มีบัญญัติด้านจริยธรรม ไม่มีข้อเสนอที่ละเอียดลออในด้านลัทธิความเชื่อ ฯลฯ เป็นต้น ด้วยเหตุดังนั้นลัทธิพิธีจึงมักอิงกับศาสนาหลักในสังคม อิงในเชิงยอมรับหรืออิงในเชิงปฏิเสธก็ได้ทั้งสองทาง นอกจากนี้ ลัทธิพิธีจะเน้นความสำคัญของพิธีกรรมเป็นหลัก

เรามักเข้าใจว่า ลัทธิพิธีที่พบเห็นในสังคมสมัยใหม่ เป็นมรดกที่ตกค้างมาจากความเชื่อผีสางเทวดาในสมัยโบราณ ซึ่งย่อมมีในทุกสังคม แต่นักศึกษาด้านศาสนาเห็นว่าความเชื่อเหล่านี้ ล้วนเป็นของใหม่ที่เกิดขึ้นจากการที่เราต้องเผชิญกับ "ความทันสมัย" และวิกฤตของมัน เพราะเมื่อวิเคราะห์ลัทธิพิธีเหล่านี้ให้ดี จะพบว่าล้วนแตกต่างจากความเชื่อและการปฏิบัติต่อผีสางเทวดาในอดีตโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่น่าสังเกตในเรื่องลัทธิพิธีของสังคมไทยปัจจุบันที่ผมอยากพูดถึงก็คือบทบาทเด่นของผู้หญิง แต่ผมจะขอไม่พูดถึงลัทธิพิธีของคนชั้นกลางระดับบนที่แพร่หลายเป็นที่รู้กันทั่วไป เช่นลัทธิพิธี "เสด็จพ่อ ร.5", กวนอิม, จตุคามรามเทพ ฯลฯ แต่จะขอพูดถึงการทรงเจ้าเข้าผี ซึ่งแพร่หลายในเขตเมืองมาก่อน และมี "สาวก" จำนวนมาก เพียงแต่ไม่ได้นับถือเจ้าองค์เดียวกันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ต้องเตือนไว้ด้วยว่า ข้อมูลที่ผมใช้นั้นล้วนเป็นงานวิจัยที่ทำมากว่าหรือเกือบ 20 ปีแล้วทั้งนั้น ผมเชื่อว่าสถานการณ์ของลัทธิพิธีทรงเจ้าเข้าผีในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปมากแล้ว เพราะสังคมไทยก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน แต่ผมเข้าไม่ถึงข้อมูลใหม่ๆ เหล่านั้น


การทรงเจ้าเข้าผีมีในเมืองไทยมานมนานแล้ว แต่พิธีกรรมทรงเจ้าเข้าผีแต่ก่อนนี้ กระทำในนามของชุมชน เช่น ทุกเทศกาลปีใหม่ในชุมชนชาวนาไทยโบราณ ก็มักจะจัดการทรงผีบรรพบุรุษเพื่อขอความคุ้มครองและความอุดมสมบูรณ์จากผีบรรพบุรุษเป็นต้น แต่การทรงเจ้าเข้าผีของลัทธิพิธีต่างๆ ในปัจจุบันกระทำเพื่อประโยชน์ของปัจเจกบุคคล ทำให้บุคคลได้บรรลุอำนาจหรือเป้าประสงค์ที่แต่ละบุคคลมุ่งหมาย

ส่วนใหญ่ของแขกที่ไปใช้บริการของสำนักทรงต่างๆ นั้นเป็นผู้หญิง ตัวเลขจากงานวิจัยในเขตเมืองนครราชสีมาพบว่า 78% เป็นผู้หญิง ในขณะที่ผู้ชายมีเพียง 22% ผู้หญิงเหล่านี้เป็นแม่ค้า, แม่บ้าน, ลูกจ้างและนักเรียนนักศึกษา หรือผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก และมีอายุเฉลี่ย 39.15 ปี การสำรวจในเมืองฉะเชิงเทราก็ให้ผลใกล้เคียงกัน

ไม่เฉพาะแต่แขกเท่านั้น แม้แต่คนทรงเองก็มีการสำรวจโดยนิตยสารฉบับหนึ่งซึ่งมุ่งตลาดสาวกของลัทธิพิธีต่างๆ โดยตรง พบว่า 66.67% เป็นผู้หญิง และอยู่ในกลุ่มอาชีพเดียวกับแขก (ที่กล่าวถึงข้างบน)

สรุปก็คือ ลัทธิพิธีทรงเจ้าเข้าผีเป็นความเชื่อของคนในเขตเมือง (เกษตรกรเป็นสัดส่วนที่น้อยสุดในบรรดาแขก) อยู่ในฐานะทางเศรษฐกิจที่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนชั้นกลางระดับล่าง และส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง

แต่น่าสังเกตด้วยนะครับว่า แม้คนทรงและแขกส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แต่เจ้าที่เข้าประทับทรงส่วนใหญ่กลับเป็นเพศชาย เรื่องนี้เกี่ยวกับมโนทัศน์เรื่องอำนาจในวัฒนธรรมไทย เพราะเราเอาลักษณะของอำนาจไปผูกไว้กับเพศชายค่อนข้างมาก



ทำไมผู้หญิงจึงมีบทบาทเด่นในลัทธิพิธีทรงเจ้าเข้าผี?

ก่อนจะดูถึงชีวิตของผู้หญิง (คนชั้นกลางระดับล่าง) ในสังคมไทยปัจจุบันว่า การทรงเจ้าเข้าผีช่วยตอบปัญหาในชีวิตอย่างไร ผมคิดว่าคงจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้นหากพิจารณาเรื่องการประทับทรงเสียก่อน

มีนักมานุษยวิทยาฝรั่งคนหนึ่งให้คำอธิบายว่าการเข้าฌาน (ไม่ใช่ญาณนะครับ) หรือที่ฝรั่งเรียกว่า trance นั้นมีสองอย่าง หนึ่งคือที่เนื่องกับศาสนา เช่น การทำสมาธิ หรือใช้ยา (เช่น น้ำโสมของอินเดียนะครับ ไม่ใช่เกาหลี) ขวางกั้นประสาทสัมผัสบางส่วนของตนเอง รวมทั้งดื่มเหล้าให้เมาด้วยนั้น มักทำกันในสังคมที่หากินทางล่าสัตว์หรือเก็บของป่าเป็นหลัก และมักทำโดยผู้ชาย เพราะในสังคมหรือสมัยอย่างนั้นผู้ชายต้องรับผิดชอบด้านอาหาร จึงได้รับแรงกดดันสูง การเข้าฌานให้อำนาจโดยตรงแก่ผู้ทำ เช่น เหาะได้ หรือบันดาลสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้

ส่วนการเข้าทรงซึ่งมักทำในสังคมเกษตร ผู้หญิงมักเป็นผู้ทำมากกว่า การเข้าทรงส่อผลสำเร็จไปอีกอย่างหนึ่ง คือการเลี้ยงดู, การพึ่งได้ และความเชื่อฟัง อันเป็นค่านิยมที่จำเป็นในสังคมเกษตรซึ่งผู้หญิงมีส่วนรับผิดชอบอยู่สูง นักมานุษยวิทยาบางคนยังกล่าวว่า ผู้เข้าฌานยังเป็นตัวของเขาเอง แม้มีฤทธิ์มากขึ้นก็ตาม แต่การประทับทรงถูกขี่โดยผีหรือเทพ ผู้ประทับทรงไม่เป็นตัวของตัวเองต่อไป ในบางกรณีม้าทรงยังกลายเป็น "เมีย" ของผีหรือเทพที่ลงไปด้วย ฉะนั้น การเข้าทรงจึงเป็นการ "ยอมจำนน" และเต็มไปด้วยมโนภาพของเพศสัมพันธ์

ยิ่งไปกว่านี้ การทรงเจ้าเข้าผีในทัศนะของนักมานุษยวิทยาคนนั้น ยังเห็นว่าลัทธิพิธีประเภทนี้ ในศาสนาที่ไม่เน้นการปล่อยอารมณ์ศรัทธาไปจนสุดขีด (เช่น กรีดเนื้อตนเอง หรือแทงลิ้น) เช่น คริสต์, พุทธ, อิสลาม มักเป็นลัทธิพิธี "ชายขอบ"

นั่นคือไร้อำนาจ เช่น ปฏิบัติโดยคนไม่มีอำนาจหรือไม่เชื่อมโยงกับระบอบอาญาสิทธิ์ (รัฐบาล, กฎหมาย, สถาบันศาสนา, สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือสถาบันแห่งความรู้ ฯลฯ) นอกจากนี้ ก็ไม่เกี่ยวกับระเบียบทางศีลธรรมของศาสนาหลัก คือเป็นชายขอบด้านศีลธรรมด้วย

จำนวนไม่น้อยของผู้หญิงในหลายสังคมสมัยใหม่ รวมทั้งสังคมไทยด้วย ตกเป็นคน "ชายขอบ" คือไร้อำนาจหรือถูกกีดกันออกไปจากระบอบอาญาสิทธิ์ของสังคม

เรื่องนี้ตรงกับข้อสรุปของนักมานุษยวิทยาไทย ซึ่งศึกษาการนับถือผีในภาคเหนือ เขาเห็นว่าพิธีกรรมผีปู่ย่า, ผีมด, ผีเมง เป็นพิธีกรรมที่เปิดพื้นที่ให้ผู้หญิง ในขณะที่พิธีกรรมของพุทธ และการบูชาผีอารักษ์หลักเมือง ซึ่งเกี่ยวข้องไปถึงการบ้านการเมือง เป็นพื้นที่ของผู้ชาย

(และทั้งพุทธและการบูชาอารักษ์หลักเมืองไม่มีการเข้าทรงเลย แต่ในพิธีกรรมผีปู่ย่า, ผีมด, ผีเมง ล้วนมีการเข้าทรงหรือสะกดจิตตัวเองปนอยู่ด้วยเสมอ)



ข้อมูลที่นักวิจัยแยกเรื่องที่แขกนำมาปรึกษาเจ้าในการเข้าทรงที่เมืองนครราชสีมา พบว่า ดูดวงชะตา, ดูฤกษ์ยาม, สะเดาะเคราะห์, แก้บน, ขอหวย, อยากรวย, ตั้งศาลพระภูมิ บวกกับปัญหาครอบครัว คือผัวมีเมียน้อย, ลูกเกเร, ลูกผัวติดยา แล้ว มีจำนวนทั้งหมด 70% และขอให้สังเกตนะครับว่าเรื่องเหล่านี้ส่วนใหญ่ของผู้ต้องการบริการคือผู้หญิง

แสดงว่าผู้หญิงที่เป็นคนชั้นกลางระดับล่างในเขตเมืองมีทุกข์มากเหลือเกิน

หันมาดูชีวิตจริงของเธอ ก็น่าจะถูกกดดันรอบด้านจริงเสียด้วย

จำนวนไม่น้อยของผู้หญิงกลุ่มนี้มาจากชนบท แต่ด้วยความจำเป็นด้านอาชีพของตนเองหรือสามี จึงต้องเข้ามาอยู่ในเมือง ดังนั้น จึงขาดออกไปจากการอุปถัมภ์คุ้มครองของเครือญาติ ต้องเผชิญกับความผันผวนของชีวิต รวมทั้งพฤติกรรมของสามีตามลำพัง

สามีเองก็เหมือนกัน มาจากชนบท ขาดจากเครือญาติและขาดจากการลงทัณฑ์ทางสังคมซึ่งเคยมีในสังคมจารีต ฉะนั้น จึงอาจระเริงไปกับชีวิตในเมืองได้ง่าย นับตั้งแต่ติดยาเสพติด, ติดผู้หญิง, หรือติดเหล้า

อีกจำนวนไม่น้อยของผู้หญิงเหล่านี้ ต้องรับผิดชอบการหารายได้เลี้ยงครอบครัว เป็นรายได้เสริมหรือรายได้หลักด้วยซ้ำ อาชีพที่หาทำได้ในเขตเมืองคือลูกจ้าง (ส่วนใหญ่รับงานจากโรงงานมาทำที่บ้านเป็นรายชิ้น) หรือค้าขายเบ็ดเตล็ด ทั้งสองอาชีพล้วนต้องเผชิญกับ "อำนาจ" ที่ตนไม่สามารถต่อรองได้ทั้งสิ้น นับตั้งแต่เทศกิจ, ตำรวจ, นายทุน หรือเถ้าแก่

ชีวิตของเธอจึงเป็นชีวิตของคนไร้อำนาจทั้ง 24 ชั่วโมง ไม่มีอำนาจจะต่อรองกับสามีในบ้าน ออกมาทำงานก็ไม่มีอำนาจต่อรองกับคนที่ตัวต้องเกี่ยวข้องด้วย การได้เข้าไปหาเจ้าผ่านคนทรง จึงเท่ากับได้เข้าไปอยู่ใกล้กับอำนาจ ซ้ำเป็นอำนาจใหญ่ แต่ตัวกลับต่อรอง (ทั้งในความหมาย bargain และ negotiate) ได้มากกว่า

เจ้าจะช่วยได้จริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่เจ้าช่วยปลดปล่อยแรงกดดันรอบข้างตั้งแต่รับปากว่าจะช่วยแล้ว


เจ้าที่ลงประทับทรงทั้งหลาย ได้พัฒนามาเป็นอำนาจลี้ลับที่เชื่อมโยง (ในทางลี้ลับ) กับอำนาจรัฐด้วย เช่น หลายสำนักด้วยกันจัดช่วงชั้นของเจ้าต่างๆ จากระดับท้องถิ่นขนาดเล็กขึ้นไปถึงระดับภาค และชาติในที่สุด เชื่อกันในหลายสำนักว่าเจ้าแต่ละสำนักว่า เจ้าใหญ่ๆ ประจำภาค (เช่น ในภาคเหนือก็เจ้าคำหลวงแห่งดอยเชียงดาว) จะต้องเข้าประชุมสมัชชาที่กรุงเทพฯ ทุกปี โดยมีเจ้าพ่อหลักเมืองกรุงเทพฯ เป็นประธานสมัชชา เหมือนกับพรรคคอมมิวนิสต์มีประชุมสมัชชาประชาชนประจำปี ยังไง ยังงั้น

เจ้าในสมัยปัจจุบัน ห่างไกลจากเสื้อบ้านในสมัยโบราณลิบลับ เพราะต่างเชื่อมโยงกับองค์กรกลางของเจ้าแห่งชาติ ทำให้แขกที่เข้า "เฝ้า" ต่างรู้สึกถึงอำนาจที่เชื่อมโยงไปถึงรัฐ

แต่คน "ชายขอบ" เหล่านี้ โดยเฉพาะเพศหญิง อยู่ห่างไกลจากรัฐมาก ไม่มีอะไรเชื่อมโยงไปกำกับควบคุมรัฐได้เลย แม้แต่ประเด็นอะไรที่ใหญ่โตขนาดเรื่องของรัฐ ผู้หญิงยังถูกกีดกันออกไป (ผมหมายถึงผู้หญิงคนชั้นกลางระดับล่างในเขตเมือง ไม่ได้หมายถึงผู้หญิงระดับนายกรัฐมนตรี) แต่ในชีวิตจริงกลับต้องเผชิญกับอำนาจรัฐอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่เทศกิจ, ตำรวจ, กฎหมายต่างๆ ฯลฯ เจ้าที่ประทับทรงจึงให้อำนาจต่อรองกับรัฐแก่ผู้หญิงเหล่านี้


จะพรรณนาความทุกข์ยากของผู้หญิงชั้นกลางระดับล่างในเมืองได้อีกมากมาย แต่ก็จะทิ้งให้ผู้อ่านคิดต่อเอาเอง

อย่างที่กล่าวแล้วว่า ข้อมูลที่ผมใช้นั้นล้วนเก่าเกินไปทั้งสิ้น ผมไม่ทราบว่ามีความเปลี่ยนแปลงในลัทธิพิธีทรงเจ้าเข้าผีไปมากน้อยเพียงไรใน พ.ศ. นี้

เช่น แทนที่จะผ่านเอเย่นต์ของเจ้าพ่อหลักเมืองในกรุงเทพฯ ผู้หญิงเหล่านี้อาจพบว่าร้องทุกข์ผ่านเอเย่นต์ของเจ้าพ่อทักษิณ อาจแก้ปัญหาได้ตรงจุดกว่า เป็นต้น

และด้วยเหตุดังนั้น ผมจึงเห็นผู้หญิงในการชุมนุมของเสื้อแดงมากกว่าผู้ชายเสมอ



.